เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 292
< < 185 Sec2 > >
ไม่รีรออะไร พวกผมรีบพากันออกจากอาณาจักรเนลยอนทันที โดยการใช้เงินในการแก้ปัญหา ซื้อเที่ยวเดินเรือสำหรับเรือท่องเที่ยวแบบเหมาไปที่ชายฝั่งของทวีปฟัฟนิร์ ด้วยเงินค่าตอบแทนที่ได้จากรัฐมนตรีฮิโรชิ ทำให้ไม่ใช่เงินจำนวนมากอะไรเลย แม้จะต้องจ่ายเงินจำนวนมากกว่าเดิมหลายเท่าเพื่อบังคับออกเรือกับธุรกิจบริษัทเอกชนในสถานการณ์เช่นนี้
แน่นอนว่าผมแวะไปรับวินและน้องสาวที่หลับใหลเข้ามาในเรือก่อนจะออกแน่นอน ด้วยความช่วยเหลือของอานิม่าทำให้วินสามารถลอบเข้ามาในเรือได้โดยสวัดดิภาพ ในทีแรกที่โทมิเรียเจอกับวิน ทั้งสองก็ต่างทำอะไรไม่ถูก จากคนที่เคยสนิทกัน กลายมาเป็นศัตรู และลงเอยด้วยการสูญเสียลูกน้องคนสำคัญของโทมิเรีย จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไรเลย ถึงอยู่ด้วยแล้วไม่สบายใจ แต่โทมิเรียก็ไม่มีที่ไปมากนัก
สุดท้ายก็ดำเนินเรื่องได้ และออกเรือทันทีหลังจากนั้นเพียงชั่วโมงเดียว
เวลานี้น่าจะเป็นเวลาราวๆตีสองไม่ก็ตีสาม หลังจากสงครามภายในอาณาจักรเนลยอนจบเพียงครู่เดียว ผมก็มีความจำเป็นต้องออกจากที่แห่งนี้โดยทันที
ผมมองไปที่อาณาจักรเนลยอนซึ่งค่อยๆไกลออกไปเรื่อยๆ …แม้ตอนนี้จะยังคงมองเห็นได้ชัดอยู่ แต่คิดว่าอีกไม่ถึงชั่วโมง อาจจะมองไม่เห็นแล้วก็เป็นได้
อาณาจักรแห่งนี้ไม่มีอะไรต้องใส่ใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น เหตุใดผมจึงรู้สึกมีอาลัยอาวรณ์อะไรบางอย่าง
“..เบ็นจิโร่”
ใบหน้าของสหายร่วมรบคนสำคัญลอยเข้ามาในหัวสมองของผม
ตั้งแต่ที่จบสงคราม พวกเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเลย เนื่องจากว่าเธอเต็มไปด้วยภาระหน้าที่ในฐานะทหารเรือ ช่างน่าเสียดาย เพราะเธอเป็นคนที่ผมอยากจะเอ่ยลาด้วยมากที่สุดในเวลานี้
……
…..ไม่สิ
“นึกๆดูแล้ว”
เรื่องที่ติดค้างในใจที่สุดอาจจะไม่ใช่คำบอกลา แต่เป็น ..พวกเรายังไม่ได้สู้ตัดสินตามที่เคยสัญญากันไว้เลยนี่นะ ไม่ใช่แค่ฝั่งเบ็นจิโร่ ผมเองก็อยากจะวัดกับเธอตรงๆเหมือนกัน ในฐานะคนที่พัฒนาตัวเองในการต่อสู้ตลอดเวลา อยากจะตัดสิน และพิสูจน์ให้เห็นว่า–ฮะ ฮ่า ตูข้าเหนือกว่าเว้ย ต่อให้ผ่านไปเป็นสิบปี หรือว่าได้อะไรเพิ่มขึ้นยังไงเอ็งก็แพ้อยู่ดี ไอ้กระจอก น่ะนะ
อันนี้คิดจากใจจริงเลยนะเนี่ย กับคนที่ผมเห็นเป็นคู่แข่ง ผมไม่ได้อยากจะจับมือพูดอวยกันไปมาหลังสู้ชนะ แต่เป็นถมถุยใส่ผู้แพ้แบบเร้าใจต่างหาก
อนึ่ง ผมแยกคนที่มองว่าเป็นคู่แข่ง กับคนที่เคราพเอาไว้อยู่ ผมคงไม่เลวพอไปถุยใส่ราชาจอมเวทย์หรอก
พอนึกดูแล้วก็ใช่จริงๆด้วย ไม่ได้อาลัยอาวรณ์ในแง่ของเพื่อนที่อยากกล่าวลากัน แต่เป็นอยากชนะเธอก่อนไปในฐานะคู่แข่ง
เหวอ อะไรละนั่น ดูไม่โรแมนติกเสียเลยตัวผม
….
เสียงตัดผ่านอากาศดังขึ้นบนท้องฟ้า ผมเพ่งสมาธิไปที่เสียงๆนั้น และ—เอียงหัวหลบลูกศรที่พุ่งเข้ามาหมายจะเอาชีวิต
ตึง!!!! ศรปักเข้าที่เสาของเรือ ผมหลบทันได้อย่างหวุดหวิด ดูจากเมื่อครู่แล้ว หากหลบไม่ทันมันคงปลักเข้าหัวผมเต็มเป้าแหงๆ
ผมแสยะยิ้มออกมา มองไปที่ใครสักคนที่ยืนอยู่ริมฝั่ง—ผมคว้าลูกธนูนั่นซึ่งมีกระดาษข้อความติดเอาไว้อยู่
“อะไรละนั่น”
ถึงจะมองไม่เห็นหน้า แต่ผมก็พอเดาสีหน้าของเธอได้ รวมถึงเจตนาได้
ผมเปิดกระดาษนั้น และลงมืออ่านในทันที
‘สักวัน ฉันจะเอาชนะนาย และถุยน้ำลายใส่นายที่นอนไร้ทางสู้คาพื้น นายเองก็คงคิดเหมือนๆกับฉัน มันคงจะไม่เสียมารสินะที่กล่าวเจตนาไม่ดีออกมาจนหมด แต่ต่อให้จะมองยังไงฉันก้ไม่สนอยู่ดี เอาเป็นว่าก่อนจะถึงวันนั้นอย่าชิงตายไปก่อนซะละ
ป.ล.ยัยคนทรยศที่นายพาไปด้วย ไว้ฉันจะไปคิดบัญชีหลังจากเอาชนะนายได้ ระวังตัวไว้ด้วยละ’
“ไม่โรแมนติกเอาซะเลยนะ เบ็นจิโร่
ผมโยนกระดาษแผ่นนั้นลอยอยู่บนฟ้า ร่ายเวทย์ลมบางๆห่อหุ้มให้มันลอยบนฟ้า จากนั้นก็หยิบเรลันดาฟขึ้นมา นำผ้าที่คลุมเอาไว้ออก และ–
“[ไฟเยอร์บอล]”
ต้องตอบกลับข้อความสักหน่อย ไม่นั้นจะเสียมารยาทเอาได้
****
เบ็นจิโร่ยืนอยู่ ณ ท่าเรือของอาณาจักรเนลยอน โดยที่ข้างหลังมีทหารเรือลูกน้องยืนกันอยู่กว่าสิบคน ทุกนายทหารต่างมึนงงกับผู้คุมของตัวเอง ที่จู่ๆก็ขอลางานไม่กี่นาที มายืนยิงธนูตรงนี้ ถ้าหากอยากจะยิงธนูระบายความเครียดก็ยิงที่ฐานก็ได้ไม่ใช่หรือไง บางคนก็มองเห็นว่าลูกศรนั้นติดกระดาษข้อความเอาไว้ อาจจะส่งให้ใครสักคน และนั่นก็ยิ่งน่าคิดกว่าเดิมว่า เท็งงุ เบ็นจิโร่ ผู้นี้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นนอกจากเรื่องงานด้วยนั้นรึ
แม้จะสงสัยอะไรมากมาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถามออกมาโดยตรง
เหล่าทหารเรือที่ยืนอยู่ตรงนี้ต่างไม่ใช่ทหารในสังกัดของเบ็นจิโร่ แค่ได้รับมอบหมายชั่วคราวให้คอยติดตามเธอ และกระจายคำสั่งข่าวสารของเบ็นจิโร่เท่านั้น สำหรับพวกเขา เบ็นจิโร่คือทหารเรือบ้าเลือดน่ากลัวคนหนึ่งจากเหตุการณ์กวาดล้างโจรสลัดอันเลื่องชื่อ
จุดนี้สามารถบอกจุดยืนของเบ็นจิโร่ได้ดีเลยว่าเธอนั้นโฉดชั่วในมุมมองคนอื่นขนาดไหน
“..เอ๊ะ”
“เดี่ยวนะ”
หลังจากที่เบ็นจิโร่ได้ยิงศรนั้นไป ไม่นานนายทหารทุกคนก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแหวกอากาศ ลอยเข้ามาด้วยความรวดเร็วไม่แพ้ลูกศรของเบ็นจิโร่ เมื่อเข้าระยะการวิเคราะห์ก็ทำให้ทุกคนรู้ว่านั่นคือ [ไฟเยอร์บอล] ที่ถูกเสริมด้วยอะไรหลายๆอย่างจนมีความรุนแรงประหนึ่งเวทมนตร์ขั้นสูงที่สามารถทำลายขบวนทัพได้ง่ายๆหากโดนตรงๆ
ทั้งบอลเพลิงนั้นยังตรงมาที่เบ็นจิโร่ ไม่บอกก็รู้ว่านั่นคือการโจมตีกะเอาตาย
“ขะ ข้าศึกบกอีกแล้วเหรอ!!?”
“ท่านเบ็นจิโร่ ถอยออกมาก่อนเถอะครับ–”
“[กำแพ—”
ก่อนที่เหล่าทหารเรือจะได้ทำอะไร เบ็นจิโร่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง และเอื้อมแขนไปคว้าบอลเพลิงนั้นเอาไว้
“ “ “ทะ ท่านเบ็นจิโร่!!!!!!!!!!!!!!” ” ”
แขนเล็กๆนั่นได้ขยี้เปลวเพลิงจนดับ ไร้ซึ่งรอยไหม้บนฝ่ามือ เบ็นจิโร่สะบัดแขนไปมาแบบสบายๆ จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมาเมื่อพบว่าบนกำมือของเธอมีกระดาษตอบกลับเขียนไว้อยู่
ไม่รอช้า เธอกางกระดาษออกมาอ่านทันที
‘นับวันรอวันที่เธอจะอยู่ใต้เท้าฉันได้เลย
ป.ล.สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าหกเดือน ถึงวันที่กล้ามาท้าฉันดวลเมื่อไหร่ จะสุขสันต์วันตายให้ด้วยนะ’
เบ็นจิโร่ฉีกกระดาษทิ้ง จากนั้นก็โยนเศษกระดาษเข้าที่กระเป๋าเวทมนตร์ ถึงจะฉีกทิ้งเพราะหมันไส้เรเซอร์ แต่อีกใจก็อยากเก็บมันเอาไว้ จึงเลือกจะทำอะไรพิลึกๆเช่นนี้
พึงพอใจแล้ว ราวกับจะบอกอย่างนั้น เธอหันหลังกลับ และเดินตรงไปหมายจะกลับไปทำงาน เธอเดินแหวกทหารเรือนับสิบชีวิตไปโดยไม่พูดไม่จา กระนั้นก็ห้ามตัวเองให้เผลอใจไม่ได้ รอยยิ้มผุดอยู่บนใบหน้าของเธอทั้งๆที่พึ่งรับเปลวเพลิงหมายจะฆ่าไปแท้ๆ
รอยยิ้มและใบหน้านั้นปล่อยให้นายทหารตกลงในห้วงแห่งความงง และ ..
“สีหน้าของท่านเบ็นจิโร่”
“ราวกับ ..”
“ราวกับลูกสาวของฉันตอนมีรักแรก”
เรื่องราวในคราวนี้จะถูกลือกันอย่างหนักว่า เท็งงุ เบ็นจิโร่ ตกหลุมรักชายหนุ่มปริศนาจากต่างแดน หลายต่อหลายคนก็ตั้งทฤษฎีว่าคนๆนั้นเป็นขุนนางจากฟัฟนิร์ บ้างก็ว่าเขาคือพ่อค้าหนุ่มที่เดินทางไปทั่วโลก บ้างก็ว่าเขาคือลูกของโจรสลัดที่เบ็นจิโร่ไปกวาดล้าง ความรักของทั้งสองเสมือนรักต้องห้าม บ้างก็ว่าคนๆนั้นคือสุภาพบุรุษเพลิงสังหารในตำนาน
นิตยสารมังงะหลายสัปดาห์ มังงะที่อิงเรื่องราวของเบ็นจิโร่และสุภาพบุรุษเพลิงสังหาร ถึงกับใช้ฉากนี้เป็นตอนจบของเรื่องราว ..
อย่างไรก็แล้วแต่ ไม่มีทางที่ทฤษฎีเหล่านั้นจะได้รับการยืนยัน เบ็นจิโร่ไม่มีทางเปิดปากพูดแน่นอน เพราะนี่คือ–ความลับของเธอกับเขาคนนั้นที่ไม่อยากจะให้ใครอื่นมามีความทรงจำร่วม
****
เรือยักษ์กำลังตรงจากอาณาจักรเนลยอนไปที่ทวีปเกรล
ภายในเรือขนาดยักษ์ที่ใช้สำหรับขนส่งนักโทษไปยังเรือนจำที่โหดที่สุดในโลก อย่าง ‘คุกนรก’ คัลเซเรม’ นั้นมีนักโทษอยู่ราวยี่สิบคน ..ใช่ แม้จะต้องอาศัยแรงงานบุคคล และทรัพยากรณ์มากมาย แต่ก็ต้องใช้เรือขนาดยักษ์ในการขนนักโทษระดับนี้ในการส่งไปคัลเซเรม ที่แห่งนั้นมาตรฐานสูงขนาดนั้นเลยละ
ณ คุกนรก มีเพียงอาชญากรระดับประเทศ อาชญากรสงคราม หรือตัวอันตรายเท่านั้นที่จะถูกคุมขังในที่แห่งนั้น เป็นเรือนจำที่ตั้งอยู่ในเขตุการปกครองของ ‘อาณาจักรเกรล’ และถูกดูแลรักษาโดยคนของอาณาจักรมหาอำนาจทั้งสี่
เพราะฉะนั้น ลูกน้องที่เหลือรอดของเรนเพียงหยิบมือเองก็ต้องถูกส่งไปคุกนรกอย่างแน่นอน ในฐานะผู้ให้ความร่วมมือแก่ภัยพิบัติของโลก
ภายในห้องขังที่ถูกแยกเป็นสองแห่ง กรงทางซ้ายมีนักโทษราวยี่สิบคน และกรงทางขวานั้นมีนักโทษเพียงคนเดียว ทั้งสองที่ถูกเฝ้าดูแลโดยทหารชั้นนำ และอุปกรณ์ที่กดระดับพลังเอาไว้มากมายนั้น
แต่น่าแปลกที่ในกรงยักษ์ทางขวานั้นมีเพียงแค่หญิงสาวนั่งอยู่ ดูผิวเผินก็เป็นผู้หญิงรูปงามที่ดูบอบบาง ทำไมจึงถูกหวาดกลัวขนาดนี้?
“..แวมไพร์? นึกว่าสูญพันธ์ไปเป็นพันปีแล้วซะอีกนะ โลกนี่กว้างใหญ่จริงๆแฮะ”
ทหารตนหนึ่งพึมพำขึ้นขณะจ้องไปที่เธอคนนั้น โดยที่สายตาจับจ้องไปที่เลือนร่างของเธออย่างไม่เกรงใจ ทหารที่ยืนอยู่ข้างๆหัวเราะขึ้นมาในลำคอ
“ไม่ใช่ว่าเจ้าเรนนั่นมันเป็นโรคจิตชอบของแปลกนั้นรึ หึๆ”
“รู้สึกเข้าใจมันเลยวะ สวยขนาดนี้”
เธอผู้นั้นคือ ‘อลิซาเบธ’ แวมไพร์สาว แวมไพร์คนสุดท้ายของโลก มือขวาของภัยพิบัติแห่งโลก แล้วแต่จะเรียก
ผู้เปรียบได้ดั่งมือขวาของเรนนั่งอยู่อย่างหมดอะไรตายยาก เธอนั่งกอดเข่าของตัวเอง ก้มมองพื้น และบางครั้งก็เผลอลืมหายใจไปนับชั่วโมง …สภาพคล้ายกับคนตาย ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร แม้จะถูกพูดจาล่วงเกิน หรือโลมเลียด้วยสายตาที่น่ารังเกียจ แต่เธอในตอนนี้ไม่อาจตอบโต้อะไรได้
ความสูญเสียอันใหญ่โต นายเหนือที่มอบทุกอย่างให้แก่เธอได้จากไป แผนการณ์หลายพันปีที่ร่วมก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกันตั้งแต่จุดดเริ่มต้น ถูกทำลายในพริบตาเดียว ความฝัน และความหวังของเธอถูกช่วงชิงไปจนหมด
ในส่วนลึกของจิตใจ เธออยากจะกัดลิ้นตายตามคนๆนั้น ..แต่ว่า
“…..ท่าน ..เรน”
แต่ว่าจะตายไม่ได้เด็ดขาด เพราะนั่นคือคำสัญญาระหว่างเธอและเรน ใช่ คำสัญญาที่ว่า—เขาจะให้อลิซาเบธเป็นคนแรกที่เห็นโลกที่ตัวเองสร้างน่ะนะ เพราะอย่างนั้นจะตายไม่ได้เด็ดขาด แม้เรนจะสลายไป แม้เรนจะไม่อยู่บนโลกนี้ แม้ตัวตนของเรนจะไม่มีอีกแล้ว แต่เธอก็จะเชื่อในคำพูดของคนๆนี้..เพราะเธอเชื่อ ..เชื่อว่าทุกอย่างมันยังไม่จบ
****
ไกลออกไป จากมหาสมุทร บนรถไฟของทวีปฟัฟนิร์ที่วิ่งจากอาณาจักรไปสู่อาณาจักรแห่งหนึ่ง ณ ขบวนรถไฟขบวนหนึ่ง
มหาบาปแห่งความตะกละ ‘บิลเซบับ’ มหาบาปแห่งราคะ ‘แอสโมเดียส’ และ ‘เบลลามี’ นั่งอยู่บนนั่ง
เบลลามีและบิลเซบับนั่งด้วยกัน แอสโมเดียสนั่งอยู่ข้างหน้า
ออกจากภายในรถไฟไปคือยามราตรีอันเงียบเหงา ด้วยความที่มืดมากแล้ว ไม่ว่าจะด้วยความเพลียร์หรืออะไรต่างๆมากมายก็แล้วแต่ เบลลามีเองก็กำลังนอนอยู่โดยใช้ไหล่ของบิลเซบับเป็นที่รองโดยไม่รู้ตัว แอสโมเดียสที่นั่งอยู่ตรงข้ามเองก็หลับสนิท เหลือเพียงแต่บิลเซบับที่ยังคงตื่น เธอใช้มือลูบศรีษะของเบลลามีที่หลับอยู่ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
“ท่านจอมมารตอนอ่อนแอก็ไม่เลว ..แต่ว่า”
บิลเซบับถอนหายใจ และหันหน้าไปตามทางเดินของรถไฟ ซึ่งมีคนๆหนึ่งกำลังเดินมา
“น่าเศร้าที่โดนขัดจังหวะ”
แสงไฟจากบนรถไฟได้ดับลง ……….
………..
…..
*****
‘คัลเซเรม’ คุกนรกที่อยู่กลางทะเลทราย ในพื้นที่เขตุอันตรายของอาณาจักรเกรล รอบๆคุกเต็มไปด้วยมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่ง และน่าหวาดกลัว นอกจากนั้นภายในคุกก็เต็มไปด้วยอาชญากรก้องโลก และผู้คุมที่โหดเหี้ยม แม้แต่เหล่านักโทษชาติชั่วยังต้องกลัว
และ ณ จุดที่ลึกที่สุดของคุกแห่งนั้น
พระเอก .. ‘ยูจิ’ นั่งอยู่ภายในคุกแห่งนั้น คอถูกล็อคไว้ด้วยปอดคอโซ่ที่คอยยับยั้งมานาในร่างกายเอาไว้ คนๆนี้เองก็ถูกพาตัวมาที่คุกนรกคัลเซเรม หลังจากถูกเทพดาบแกนน่อนสังหารไปในตอนที่ไปชิงเอาสมบัติสวรรค์ ณ จุดศูนย์กลางโลก
ยูจิจับที่ปอดคอของตัวเอง ก่อนจะพึมพำออกมา
“ ..ออโรโบรอส ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว”
….
“หนึ่งอาทิตย์เหรอ? ช้ากว่าที่คิดนะครับ ..ไม่คิดเลยนะครับว่าจะเสียท่าให้แกนน่อนได้ ผมประมาทเอง ..แกนน่อนเร็วมาก ยากที่จะปัดป้องได้ในระยะนั้นโดยไม่เตรียมตัวมาก่อน ..แต่ไม่มีปัญหาครับ” ยูจิหรี่ตาลงอย่างนิ่งเงียบ “เจอกันคราวหน้า ผมไม่แพ้แน่”
….
“เทพมังกรฟื้นคืนชีพ? เรนตายแล้ว? คุณเรเซอร์มีส่วนร่วมสำคัญสินะครับ ครับ พอจะเดาได้ไม่ยาก แม้แต่ทางคุณเบลลามีก็ ..เอเธอร์ทรยศ? …โลกภายนอกตอนนี้วุ่นวายน่าดูนะครับ”
ยูจิถอนหายใจเฮือกโต ก่อนจะหลับตาครุ่นคิดหลายๆอย่าง
“ได้เวลาอาหารแล้ว! รีบไปที่โรงอาหารซะเจ้าพวกสวะ”
เสียงตะโกนดึงยูจิออกจากห้วงลึก ผู้คุมขังเดินมาปลดล็อคประตูเหล็กให้ยูจิ แต่ก่อนจะเดินไปทำงานของตัวเองต่อ เขาก็แวะมาเตะปากของยูจิหนึ่งทีก่อนจะเดินจากไป
“..ถ้าไม่รีบละก็ ..”
ยูจิกัดฟันกรามแน่นด้วยสีหน้าที่เจ็บใจถึงที่สุด