< < 26 > >
โรงเรียนเลิกราวบ่ายสามครึ่ง หากเปรียบเทียบกับโลกเก่าซึ่งตอนนี้อยู่ ม.4แล้วเลิกค่อนข้างเร็ว เหตุผลคงเป็นเพราะโรงเรียนชอบปล่อยให้เด็กไปทำกิจกรรมชมรมอย่างจริงจัง
ชมรมถือเป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียนเลย สำหรับโรงเรียนเวทมนตร์สิ่งนั้นไม่ต่างกับห้องวิจัยชื่อดังเลย
ตัวผมเองซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวิจัยบลาๆ อะไรพวกนั้นอยู่แล้ว คงทำอะไรไม่ได้นอกจากรับผลพลอยได้นั่นไป แล้วใช้เวลาที่ได้มาฟรีๆไปกับการหายใจไปวันๆ ตอนนี้เองก็กำลังทำอยู่อย่างตั้งใจ
ผมยืนอยู่หน้าโรงเรียน กำลังรอคนอยู่
เย็นนี้ผมมีนัดคุยเรื่องโจรขโมย กกน. กับเรย์ และคุณพยานที่เคารพเบลลามี
ตอนนี้เกือบจะสี่โมงแล้ว แต่เรย์ยังไม่ยักจะโผล่หัวมาเลย ต่างกับผมและเบลลามีซึ่งมายืนรอตั้งแต่เลิกเรียน
“มาช้าจริงนะเจ้าหมอนั่น”
“น่าจะมีธุระนะ”
เบลลามีเริ่มตั้งใจคุยตอบโต้กับผมมากขึ้นแล้ว แม้จะเป็นการตอบแบบทื่อๆ ก็ตาม พยายามได้ดี ขอบคุณครับ
“ยังไงก็แล้ว ขอถามอะไรหน่อยสิเบลลามี”
“อือ” เบลลามีพยักหน้ารับ
เกริ่นไว้ก่อน ผมถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงใด มา ณ ที่นี้
“มีคนที่ชอบหรือยัง?”
“…ไม่มีหรอก”
—-เรื่องราวตั้งหนึ่งปีก่อนจะถึงเนื้อเรื่องหลัก คงมีเหตุการณ์อะไรบ้างนั่นแหละ ผมคิดเช่นนั้น
ผมทำความเข้าใจได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ต่อให้มีก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก กลับกันจะช่วยอย่างสุดความสามารถเลย ผมไม่ได้คิดจะเลิฟๆ กับเบลลามีอยู่แล้วด้วย สำหรับผมเธอเหมือนเทพธิดามากกว่า แน่นอนว่ามนุษย์ไม่สามารถแตะต้องเทพธิดาได้ ถึงจะมีใจเต้นและกระวนกระวายเกี่ยวกับเธอบ้าง แต่ห้ามล่วงเกินเด็ดขาด
“แล้วรู้จักคนที่ชื่อ ‘ดิลุค’ มั้ย?”
“ไม่นะ ถ้าหมายถึงคน แต่ถ้าจอมมารรู้จักอยู่ตามหนังสือประวัติศาสตร์”
เธอตอบกลับทันควัน ไม่รู้จัก ‘ดิลุค’ สมกับเป็นเจ้าวิญญาณระดับเทพปลอม จอมมารชั่วนั่นปลอมแปลงได้ดีจริงๆ ขนาดผมยังจับสัมผัสเจ้าสิ่งนั้นไม่ได้เลย แล้วคนที่ชื่อดิลุคบนโลกนี้ไม่น่าจะมีด้วย เพราะเป็นชื่อของจอมมาร ความหมายอกุศล ถ้าพ่อแม่ไม่ใจร้ายจริงๆไม่มีทางตั้งชื่อนี้ให้หรอก
เอ๋..หรือว่าจอมมารนั่นจะเข้าสิงเบลลามีให้หลังปี 1? ไม่มีทาง ในเนื้อเรื่องต้นฉบับก็บอกอยู่—เอาเป็นว่าคิดเผื่อๆ ไว้ละกัน
ถ้าเกิดบังเอิญต้องสู้กับจอมมารนั่นจริงๆ ผมไม่ไหวหรอกบอกตามตรง ไม่สิ ถ้าสู้กะชนะก็มีความเป็นไปได้ เพียงแค่ความเป็นไปได้ทีผมจะแพ้มันเยอะกว่าอีกฝ่ายมาก แล้วยังความสามารถหลายๆอย่างที่ยากจะรับมือ ต้องเล่นเกมเร็วไม่พออีกฝั่งต้องประมาทด้วย ยังอื่นอีกๆ… ให้ ดิลุค 95 / ผม5 เลย
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมอ่อนแอหรอก อีกฝ่ายแค่เก่งเกินไปเท่านั้น แกร่งสุดในหมู่วิญญาณระดับเทพเลยละ เจ้าจอมมารดิลุคนั่นน่ะ
ขณะที่คิดในหัวนั้นเอง เรย์ก็เดินมาพร้อมกับผู้หญิงหนึ่งคน
เธอที่เดินคู่กับเรย์มาคือสาวสวย เลือนผมสีบลอนด์ ตัวสูง 170 ซ.ม. หน้าอกใหญ่ ดวงตาสีเขียวดุดัน สวมชุดถูกกฎระเบียบโรงเรียบร้อยทุกอย่าง โดยรวมคือสาวสวยดูเป็นผู้ใหญ่ และใบหน้าแบบนั้นผมเองก็คุ้นเคยอีกแล้ว
หนึ่งในตัวละครที่สำคัญไม่แพ้ หนิง มีชื่อว่า ‘ไอริส’ บุตรีของมาท่านมาควิซ ผู้มากด้วยพรสวรรค์เวทมนตร์ และความฉลาดรู้คน
ในอนาคตเธอจะได้ขึ้นเป็น ‘มาร์เชอเนส’ ให้เปรียบเทียบก็เป็นผู้หญิงที่เหมือนกับแองเจลิน่า พี่สาวของผม เก่งและสวย นอกจากนั้นความเป็นผู้นำยังสูงลิ่ว
เธอรับบทเป็นอาจารย์สอนเวทมนต์ให้พระเอกยูจิละนะ เพราะเก่งและเป็นรุ่นพี่ปี 2 ส่วนหนิงมีหน้าที่เป็นแม่โอ๋ลูก แล้วโซเฟียเป็นนางไม่รู้ใจตัวเอง จะว่าเด๋อก็ได้ น่ารักดี ..เบลลามีม้ามืดที่บทส่งมาตาย ประมาณนี้ จริงๆน่าจะมีตัวละครหญิงมาเพิ่มอีกพอตัวเลย แค่ ณ ปัจจุบันยังไม่โผล่
ผมจ้องหน้ากับไอริส พลันใดนั้นเธอก็ชักสีหน้าใส่อย่างไม่ปิดหวัง
ไม่กลัวผมแม้แต่น้อย แหงละ สถานะเธอกับผมทางสังคมแทบไม่ต่างกันเลย
“ที่บอกว่าจะมาจับโจรกางเกงในนี่ หมายถึงจับบุตรชายดยุคตรงหน้าใช่มั้ยคะ? ท่านเรย์”
เธอกล่าวอย่างสุภาพ แต่เนื้อความโคตรเจาะจงเป้าหมายเลย พับผ่าสิ
อีกบทบาทสำคัญของเธอก็คือ—-คนคุมหอผู้หญิง เออ ใช่ๆ คนคุมหอ เพราะฉะนั้นเรื่องที่ผมเป็นโจรขโมยกางเกงใน (โดนใส่ความ) ก็ย่อมเข้าหูหล่อน ตอนนี้คงเกลียดผมเข้าไปไปละ
เรย์พยายามปรามไอริสไม่ให้เหวี่ยงใส่ผม
“น่าๆ รุ่นพี่ไอริส ผมเรียกมาคุยเพื่อแก้ความเข้าใจผิดน่ะ”
“ความเข้าใจผิด?”
เรย์พยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม
*******
สุดท้ายพวกเราจึงมานั่งหารือกันที่ร้านคาเฟ่ โต๊ะกลมขนาดใหญ่สำหรับนั่งได้สี่คนพอดีเรียงกันเป็นวงกลม
ทั้งไม้และการตกแต่งดูแพงเอาเรื่อง สมกับเป็นคาเฟ่ใกล้โรงเรียนเวทมนตร์ดูมีราคาสุดๆ เปรียบได้กับร้าน สoาร์oัค ของโลกเราเลยละ ไม่ใช่สถานที่คนอย่างผมควรมาอยู่เลย
พนักงานนำเมนูมาเสิร์ฟด้วยรอยยิ้ม
เมนูทุกอย่างราคาขึ้นหลักร้อยไปทั้งนั้น(นับตามราคาบาท) สุดจะแพง—ร้อยบาทกินข้าวได้ตั้งสองมื้อเชียวนะ กับตัวผมที่ถูกตัดเงินเข้าไปอีกมันย่อมแพงเอาเรื่อง แล้วร้อยบาทนี่ราคาขั้นต่ำนะเออ
ทว่าคนที่มาด้วยกลับนั่งชิลๆกัน เรย์เป็นลูกตระกูลอัศวิน ไอริสเป็นบุตรีของมาควิซ ทั้งสองว่าไปอย่าง แต่เบลลามีเองก็ดูเมนู และสั่งโดยไร้ความสะทกสะท้าน
หรือว่าราคานี้มันปกติ? ผมคิดว่าแพงไปเองนั้นหรือ
ว่าแล้วก็สั่งบ้าง แต่จิ้มอันที่ถูกที่สุดไปละนะ
“แล้วเรื่องเข้าใจผิดที่ว่าคืออะไรหรือคะ?”
ไอริสเอ่ยถามหลังจากที่ทุกคนได้รับน้ำที่สั่งไปแล้ว
“เรื่องนั้นฉันขออธิบายได้มั้ย?”
“เชิญเลยค่ะ
ผมเล่าทุกอย่างให้ฟัง
เรื่องที่ผมไปเจอกางเกงในพอดี แล้วก็กะจะเอาไปคืนแต่ดันโดนไล่กวดซะก่อน
แน่นอนว่าตัดเรื่องของเรย์ไป ไม่นั้นพวกผมจะโดนมองว่าทุเรศอย่างไม่อาจเลี่ยง
ไอริสเธอพยักหน้าเมื่อเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว
“แล้วกางเกงในนั่นก็เป็นของท่านเบลลามีสินะคะ?”
“อือ เราไม่รู้ตัวเลยละ”
ไอริสถอนหายใจและจิบกาแฟในดูมีราคาเข้าปาก
“จริงๆ แล้วเหตุผลที่ฉันมาร่วมคุยด้วยก็มีอีกข้อค่ะ”
….ไอริสกระแอมหนึ่งทีและโพ่งโคตรจะขัดบรรยากาศ
“—เครื่องนุ่งห่มส่วนล่างของฉันโดนขโมยไปเหมือนกันค่ะ”
เครื่องนุ่งห่มส่วนร่างคงหมายถึง กกน.กระมัง—–พร๊วกกกก!!! ผมสำลักน้ำทันที ราวกับ เอoooเลอร์แสปลชของ คะเคียวoิน
“แค้กๆ วะ ว่าไงนะครับ!?”
ไอริสที่ทำนิ่งมาตลอดแก้มเริ่มแดงจางๆ คงจะเขินเหมือนกันที่ต้องพูดออกมา แต่เธอก็ปรับอารมณ์ให้ตัวเองได้โดยการถอนหายใจ
“เย็นนี้เวลาราวบ่ายสามห้าสิบ ฉันไปถึงห้องพักของตัวเอง ก่อนพบว่าเครื่องนุ่งห่มส่วนร่างหายไปค่ะ”
—-เอาจริงดิ!? กับไอริสเนี่ยนะ!? เจ้าบ้าโจรขโมยกางเกงในมันกล้าถึงขนาดขโมยกางเกงในคนระดับนี้เลยเรอะ!
แม้แต่เบลลามียังเผลออ้าปากค้างเลย ไอ้เรย์มันคงรู้อยู่แล้วเลยกุมขมับตัวเอง ในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์แล้วอดเห็นใจทั้งไอริสและเบลลามีไม่ได้เลย
“แย่เลยสิครับ!” ผมทุบโต๊ะหนึ่งทีก่อนแหกปาก “โดนขโมยกางเกงในเนี่ย!!”
“ค่ะ แย่สุดๆ เลยค่ะ”
“รุ่นพี่อย่าปล่อยให้มันขโมยไปได้ตลอดนะครับ ต้องจับให้ได้ ไม่สิ เดี่ยวผมจับให้เอง ขโมยกางเกงในใครไม่ขโมย มาขโมยกางเกงในของรุ่นพี่ไอริสเนี่ย!!”
คิ้วไอริสเริ่มกระตุก
“ทราบแล้วคะ ฝากด้วยนะคะ”
“ผมจะกอบกู้ กกน. ของรุ่นพี่ให้เองครับ! ในฐานะรุ่นน้องที่เคราพ!”
“ค่ะ ค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ”
“ฟังไว้นะเฟ้ย! เรเซอร์ ดราแคล์ผู้นี้จะกอบกู้เอกราช ..จะกอบกู้กางเกงใน! ของรุ่นพี่มาให้จงได้ ถ้าโจรได้ยินก็ฟังไว้ซะว่าเอ็งหนีไม่พ้นหรอก”
“..รู้แล้วค่ะ”
“จำชื่อผมไว้นะรุ่นพี่ไอริส ยะโฮ้วว!!!!! ผมคนนี้นี่แหละจะเอากางเกงในที่ถูกขโมยไปมาคืนให้จงได้ วัชโช้ย!!!”
“ค่ะ รู้แล้วค่ะ—–เงียบปากได้แล้วค่ะ!” ไอริสทุบโต๊ะดังปั้งจนทุกคนพากันเงียบสนิท ..
ดะ โดนวีนใส่ซะงั้น
“…ขอโทษครับ”
“ขออภัยค่ะ แต่เรื่องพวกนี้ไม่ควรพูดเสียงดัง แล้วมาพูดแทนว่ากางเกงในมันก็หยาบคายไปหน่อยหรือเปล่าคะ?”
ดูเหมือนผมจะติดลมไปหน่อย ขอโทษครับผม
เรย์ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนกลางเลยพูดสรุปหัวข้อต่อไป
“สรุปแล้วเหยื่อโดยตรงมีคุณเบลลามีที่หายไปเมื่อวาน และคุณไอริสที่หายไปวันนี้ ส่วนเรเซอร์คือคนที่ได้รับผลกระทบจากการป้ายความผิดนะ”
ไอคนป้ายความผิดมันก็แกนั่นแหละ—
“จากเมื่อเช้า ฉันได้พูดคุยกับเรเซอร์ แล้วเขาก็ขออาสาเป็นคนตามจับโจรให้น่ะ เลยตัดสินใจมานัดคุยกับเพื่อหารือเรื่องข้อมูล”
พูดจบเรย์ก็นำกระดาษขนาดA4 ขึ้นมา
“จะเขียนแผนผังลำดับเหตุการณ์นะ ขอรบกวนด้วย”
ทุกคนพยักหน้าให้เรย์
“เรารู้สึกตัวว่าโดนขโมยไปเวลา 3 ทุ่มจึงออกไปแจ้งให้รุ่นพี่ในหอฟัง” เวทมนตร์ลามีเล่าเหตุการณ์
“หลังจากที่รุ่นพี่ในหอเจอแล้วเวลาเกือบ 4ทุ่ม ก็พบว่าเรเซอร์เป็นคนกำกางเกงในไว้ และวิ่งหนีพวกรุ่นพี่หอผู้ใหญ่ที่บังเอิญมาเจอเข้า” เรย์พูด
“ทุกคนเข้าใจฉันผิด ฉันไม่มีทางเลือกเลยตัดสินใจปิดปากโดยการขู่จนเกิดเรื่องเข้าใจผิด น่าจะประมาณ4ทุ่ม”
แผนผังวันแรกเสร็จแล้ว ต่อมาเป็นวันที่ไอริสถูกขโมยสิ่งสำคัญ
“เลิกเรียนฉันก็เข้าหอทันทีเลยค่ะ แล้วสิ่งนั้นก็หายไปทั้งๆ ที่พึ่งเข้าห้อง …น่าจะเบาะแสสำคัญคะ เก๊ะสำหรับใส่เครื่องนุ่งห่มส่วนล่างมันเปิดไว้อยู่ เหมือนกับรีบเปิดรีบปิด”
“สันนิษฐานว่าคนร้ายพึ่งจะขโมยไปสินะ”
ผมแสยะยิ้มเยี่ยงตัวร้าย
“เหมือนจะตีวงตัวคนร้ายได้แล้ว”
ทั้งสามคนทำหน้าฉงน จ้องมาทางผมอย่างคาดหวังกัน
“ถ้าเกิดกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาเห็น ทำไมไม่ขโมยแต่ก่อนจะเลิกเรียนเลยละ ถ้ามีเวลาละก็—-โจรขโมย กกน. อาจจะเป็นนักเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ก็ได้ แล้วก็คงมีความสามารถหลบหนีพอสมควรเลย”
ไม่รู้เหมือนกันว่าที่วิเคราะห์ไปมันถูกหรือเปล่า แต่มันน่าจะถูกนั่นแหละ
“คนที่มีสกิลหลบหนีสูงสินะ …โรงเรียนของเรามีด้วยเรอะ?” เรย์ถาม
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ส่วนใหญ่มักจะเป็นสายนักเวทย์แท้ๆ มากกว่า พวกกึ่งดาบหายากแล้ว แต่สายหลบหนีด้วยยิ่งไม่มี” ไอริสเสริม
“แล้วเวทมนตร์หลบหนีแท้ๆ ก็ไม่มีด้วย” เบลลามีเสริม
ถ้าพูดถึงเวทมนตร์ …ไม่สิ ความสามารถวิเศษสำหรับการหลบหนีมันมีอยู่ตั้งมาก
“ไสยศาสตร์ว่ายังไงละครับ?”
“จะบอกว่าเป็นผู้ใช้ไสยศาสตร์หรือคะ? แถมยังเป็นเด็กนักเรียนเราด้วย?”
“ครับ แค่รู้จักแล้วฝึก ถ้าจับจุดได้ไม่ว่าใครก็ใช้ได้ทั้งนั้น อย่างผมเองก็ใช้ได้เล็กน้อย”
แต่การใช้ให้เก่งมันคนละเรื่องเลยละ
“โฮ จริงเรอะเนี่ย!?” เรย์ตะลึง
“จริงหรือ?”
ขนาดเบลลามียังสงสัย รุ่นพี่ไอริสเหมือนจะไม่ใส่ใจแต่ก็แอบสงสัยเหมือนกัน
สุดยอดจริงๆ ด้วยสินะไสยศาสตร์สำหรับทวีปฟัฟนิร์เนี่ย …พวกเบื้องบนไม่คิดจะเผยแพร่หน่อยหรือไง ไอไสยศาสตร์มันเป็นรูปแบบพลังที่เก่งมากๆ หากมีความสามารถรอบตัวสูง ถ้าใช้คู่กับเวทมนตร์คงต่อยอดได้ไกลแน่
แต่ก็มีปัญหาอยู่—จะให้แดนแห่งเวทมนตร์ของเราแปดเปื้อน ด้วยวิชาผีปลอบไม่ได้เด็ดขาด พวกไดโนเสาร์หัวโบราณคงคิดเช่นนั้น พับผ่าสิ
ในอาณาจักรนี้ถ้ามีคนเห็นใครใช้ไสยศาสตร์มันจะโดนสาปส่งดูถูกเป็นประจำ กล่าวได้ว่าที่ทวีปแห่งนี้ช่างล้าหลัง
“ก็ไม่ได้เก่งอะไรมากหรอก เพราะไสยศาสตร์มักคู่ไปกับเงื่อนไข ถ้าทำตามเงื่อนไขได้วิชาก็จะสมบูรณ์แบบ—อาทิเช่นถ้านำสิ่งที่สำคัญที่สุดของอีกฝ่ายมาได้ จะสามารถแปลงกายสิ่งนั้นเป็นตุ๊กตาและโจมตีตัวเจ้าของได้ โดยที่ตอกตะปูใส่ตุ๊กตาก็พอ ..นั่นแหละครับ”
“ก็ได้ยินมาอยู่หรอกค่ะ แต่ไสยศาสตร์นี่สะดวกดีนะคะ”
รุ่นพี่ไอริสเหมือนจะรู้เรื่องไสยศาสตร์บ้าง
“ครับ แต่การใช้วิชาพวกนี้มันโกงครับเลยใช้ยากตามไปด้วย จึงไม่ใช่วิชาสายต่อสู้โดยตรง เป็นเหมือนของเสริมที่ใช้ประยุกต์ไปด้วยระหว่างสู้ครับ และจะทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้นหากไม่ได้เอามาใช้สู้ แต่ใช้สืบคดีหรืออื่นๆ เป็นเชิงวิเคราะห์”
บางคนแค่ได้เลือดอีกฝ่ายสักเศษเดียว ก็สามารถสร้างวาร์ปไปหาได้แล้ว โกงเหลือเกิน นั่นคือกรณีของพวกบรรลุวิชาสักแขนง
วิชาไสยศาสตร์มักจะมีปัญหาใหญ่ๆ คือฝึกฝนได้ยาก การจะใช้ให้ได้แค่วิชาเดียวยังเป็นไปได้ยากเลย ไม่ต้องพูดถึงการเข้าถึงแก่นแท้วิชาหรอก
อย่างผมก็ใช้ได้เพียงสามวิชาไสยศาสตร์เท่านั้น แถมยังได้แบบงูๆ ปลาๆ ด้วย ก็นะ ผมไปเด่นด้านเวทมนตร์มากกว่า ถ้าเก่งไสยศาสตร์ด้วยมันจะโกงไปหน่อย ไม่สิ โกงมากๆ เลยละ
“นั้นหรือคะ …ถ้านั้นก็สามารถตีกรอบวงได้สินะ ว่าคนร้ายคือนักเรียนที่ใช้วิชาไสยศาสตร์ได้”
“ก็ประมาณนั้นครับ แต่ตัวเจ้าของวิชาคงไม่เปิดเผยตัวแน่นอนว่าใช้มันได้ ก็อย่างที่รู้ว่าทวีปเรามันหัวโบราณครับ เกิดอวดตัวขึ้นมาคงโดนเหยียดแหงๆ”
“นั่นสินะค่ะ แต่คุณบอกแล้วนี่ว่าใช้ได้? จะไม่เป็นอะไรหรือคะ?”
รุ่นพี่ไอริสห่วงเล็กน้อย
“หายห่วงครับ—ผมเป็นลูกชายของดยุค แล้วก็มั่นใจในฝีมือตัวเองเล็กน้อย ไม่ใช่พวกชอบประมาทด้วย อย่างน้อยในตอนนี้นักเรียนโรงเรียนเราก็ไม่น่ามีใครชนะผมได้”
ไอ้ที่ผมพูดเนี่ยแหละที่เรียกกันว่าประมาท ..
แต่ถ้าอีกปีหรือสองปีข้างหน้าผมไม่มั่นใจหรอกนะ เพราะโรงเรียนเรามีพวกกึ่งสัตว์ประหลาดเยอะ อย่างเรย์ละคนนึง เผลอๆ แค่นักเรียนทั่วไปผมยังกลัวจับใจเลยถ้าถึงเวลาเมื่อไหร่ เพราะอาจจะจับจุดได้และเก่งกัน ไม่ต้องไปพูดถึงตัวท็อปแบบเคียวยะหรือยูจิเลย ผมลำบากแหงๆ—เพราะฉะนั้นถึงตอนนี้จะเก่งลอยลำระดับที่ไม่น่ามีใครทำเจ็บได้ ผมก็ต้องฝึกฝนยิ่งกว่าเดิมจะได้ไม่โดนเขาแซงเอา
แต่ศาสตร์ของเวทมนตร์ดันไม่มีอะไรต้องเรียนแล้วด้วย วิชาไสยศาสตร์ก็น่าสนใจ ไปหาเรียนเพิ่มดีกว่า
“…มั่นใจดีนะคะ”
ถึงจะเหมือนพูดเหน็บแนม แต่ออกไปทางสนอกสนใจมากกว่า
“ก็นะครับ”
“แล้วมีอะไรจะถามอีกหรือเปล่าคะ?”
ผมพยักหน้าให้
“อีกหน่อยน่ะ รบกวนทั้งสามด้วยนะ”
*****
เมื่อคุยหาลือกันจบพวกเราจึงแยกย้ายกลับหอราวห้าโมงเย็นสามสิบนาฬิกา
ขณะนี้ผมกำลังเดินอยู่ที่ใจกลางเมืองซึ่งแสงสว่างส่องมาถึง เมืองหลวงฟัฟนิร์เป็นที่ที่สวยงามเอาเรื่อง—ผมเดินอยู่คนเดียวละนะ อยากชวนเบลลามีอยู่หรอกแต่ครั้งนี้ไม่ได้
อนึ่งเมืองหลวงฟัฟนิร์นั้นจะเป็นทรงกลม โดยที่มีธารน้ำเล็กๆ ผ่านแบ่งแยกเป็นสี่โซนชัดเจนหากมองจากที่สูง แล้วก็มีหอคอยสูงทัดฟ้าถึงสี่เสา เป็นเหมือนดั่งบาเรียร์กันเหล่าร้าย
ทั้งสี่โซนของเมืองหลวงได้แก่–
1.โซนการค้า ตรงตามชื่อเลย เป็นสถานที่สำหรับชนชั้นกลางซะส่วนมาก เป็นโซนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2
2.โซนท่องเที่ยว เป็นโซนที่เล็กที่สุดเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่กระนั้นก็ยังกว้างมาก ในสถานที่นี้จะมีโบสถ์มากมาย เพราะทวีปฟัฟนิร์ให้ความสำคัญกับศาสนามากที่สุดในโลก อัศวินและพวกศาสนจักรจึงมีความสำคัญ แล้วก็พวกบันทึกประวัติศาสตร์ ห้องสมุด สวนสาธารณะ ทั้งหมดจะอยู่ที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ควบกำการค้าขายไปด้วยเล็กน้อย
3.โซนที่พักอาศัยชนชั้นกลาง-ล่าง ตามชื่อเป็นที่พักอาศัย
4.โซนที่พักอาศัยชนชั้นสูงและราชวงศ์ ก็ตามชื่อเช่นกัน แต่โซนนี้จะอยู่ใจกลางของอาณาจักรเลย โดยที่หนึ่งในสี่หอคอยสูงทัดฟ้าเป็นที่อยู่ของราชวงศ์ ในส่วนหลังเป็นความรู้ลับๆ ซึ่งผมรู้เพราะอ่านนิยายมา XD
ทั้งหมดสี่โซน แต่ก็ยังมีโซนลับที่หลายคนไม่รู้อยู่ นั่นก็คือ—โซนด้านมืด เป็นโซนที่ไม่มีชื่อบรรจุจริงๆ แต่หลายต่อหลายคนก็รู้ถึงการมีอยู่
เป็นโซนที่มีย่านรื่นรมย์ผิดกฎหมาย ซ่องโสเภณี การพนันที่ไม่ใช่ของกาสิโนถูกกฎหมาย กระทั่งค้าทาสก็ยังไม่แคล้วมีมัน—กล่าวได้ว่าเป็นศูนย์รวมด้านมืดทวีปฟัฟนิร์
ทุกที่มีด้านมืดของมันหมด ผมรู้ได้โดยอัตโนมัติ และยืนยันความคิดนั้นได้หลังออกเดินทางทั่วโลก ทั้งหมดทำให้ผมรู้ว่าโลกนี้—มันน่ากลัวกว่าโลกเก่าเรามาก
ด้านมืดโลกเก่ามีอยู่แล้ว เพียงแต่คนธรรมดาอย่างเราๆ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ด้านสว่างกัน แต่โลกนี้ไม่ใช่ ทุกคนมีสิทธิ์เข้าไปอาศัยอยู่ด้านมืดได้ง่ายๆ หรือไปพัวพันกันมันโดยไม่ตั้งใจได้ตลอด ทาสที่เอามาขายหลายคนก็เป็นเด็กที่โดนลักพาตัวเอย พวกติดเหล้าติดพนันจนหมดตัวเอย มีให้เกลื่อนเลย
ที่สำคัญการมีอยู่ของด้านมืดก็เป็นสิ่งสำคัญของอาณาจักรฟัฟนิร์—-ไม่นั้นด้านมืดคงไม่มีที่อยู่ในเมืองหลวงหรอก พวกอัศวินไม่ใช่ไม่ทำงาน แต่ถูกสั่งไม่ให้ทำอะไร
ผลประโยชน์ร่วมกัน สิ่งผิดกฎหมายจึงได้ดำเนินต่อ เป็นธรรมดาของทุกๆ ที่
ทวีปฟัฟนิร์เองก็ใช่ย่อยเลยสำหรับเรื่องผิดกฎหมาย ถึงไปเปรียบกับทวีปแซร์อิซแล้วจะด้อยไปนิด แต่ก็เอาเรื่อง พวกคนใหญ่คนโตใช้อำนาจกันไม่สนหน้าอินหน้าพรหม ศาลที่เคารพไร้ซึ่งอำนาจหากเจอพวกคนใหญ่คนโตเข้า ซ้ำร้ายพวกคนใหญ่คนโตยังเล่นเกมการเมืองกับพวกทวีปแห่งไสยศาสตร์อย่าง ‘ทวีปเนลยอน’ ทุกวันนี้จะเกิดสงครามแล่ไม่เกิดสงครามแล่อยู่ละ
เหตุผลที่ทะเลาะกันคือวิชาไสยศาสตร์ ฟัฟนิร์อยากเคลมมาเป็นของตัวเอง และเรื่องของผู้ถือครองพลังมังกรธาตุในแต่ละฝ่าย ฟัฟนิร์เห็นว่าพลังของมหามังกรน้ำ ‘เนลยอน’ เก้าส่วนที่ถูกแยกออกมาคือปืนใหญ่ พวกเขาสามารถจับต้องได้ ต่างกับอาณาจักรฟัฟนิร์ที่ครอบครอง ‘หนิง’ ไม่สามารถควบคุมได้โดยสมบูรณ์ ในจุดนี้ทำให้ทวีปฟัฟนิร์ด้อยกว่าด้านพลังเก้าส่วนของมังกรธาตุ
แม้ทวีปผมจะมีเจ้าสัตว์ประหลาดอย่าง ‘เอเธอร์’ อยู่แต่เขาเป็นทรัพยากรบุคคลไม่ใช่พลังที่ครอบคลุมในสงครามนัก ใช่ถ้าเป็นตัวต่อตัวเขาชนะแน่ แต่ถ้าเป็นสงครามมันก็อีกเรื่อง พลังของมังกรธาตุเนลยอนก็โคตรจะอันตรายด้วยในรูปแบบสงคราม เป็นไปได้ก็อยากชิงมาก่อน หรือกำจัดทิ้งก็ได้—แน่นอนถ้าทำอย่างนั้นสงครามเกิดแน่
เนลยอนเองก็อยากจะจัดการฟัฟนิร์เต็มแก่แล้ว เพราะเหตุผลด้านการค้าและทรัพยากร
ขอแค่มีสักฝ่ายชิงลงมือ สงครามใหญ่ก็เกิดขึ้นทันที กล่าวได้ว่าทั้งโลกทวีปฟัฟนิร์กับทวีปเนลยอนกำลังจ่อไกปืนเข้าหากันแล้ว อีกสองทวีปก็คงรอโอกาสเหมือนกัน โดยเฉพาะทวีปแห่งหิน ‘เกรล’ พวกเขาเองก็อยากได้ทรัพยากร และวิทยาการไสยศาสตร์กับเวทมนตร์มากกว่านี้
มีแค่ทวีปแซร์อิซนั่นแหละที่ไม่ค่อยอยากได้อะไรเท่าไหร่ กลับกันก็ไม่มีใครอยากมีเรื่องด้วยเพราะพลังมังกรธาตุของทวีปแซร์อิซใช้ได้ง่าย และมีประสิทธิภาพที่สุด ที่สำคัญพวกนักผจญภัยเก่งๆ มันน่ากลัว ตัวตนของผู้กล้าด้วย อะไรอีกมากมาย มีเรื่องด้วยมีซวย—แต่ก็ใช่ว่าหลายๆ ทวีปปล่อยมันไปหรอก วางแผนรับมือแบบลับๆ อยู่
แต่เป้าหมายของทั้งหมดก็เกี่ยวกับมังกรธาตุทั้งนั้น มันเปรียบได้ดั่งนิวเคลียร์ในโลกใบนี้เลยละ แล้วไม่ใช่นิวเคลียร์ธรรมดาแต่เป็นนิวเคลียร์ที่สั่นโลกได้เลย เพราะแต่ละทวีปมีลูกเดียวแล้วนำมารีซ้ำได้ตลอด ถ้าหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มังกรธาตุไปครองสองตนย่อมเหนือกว่าคนอื่นไกลโข—เพราะฉะนั้นจึงพยายามถ่วงดุลไว้ มีแค่ฟัฟนิร์นี่แหละที่อยากได้มังกรธาตุของเนลยอนจนตัวสั่น
ช่วยไม่ได้ละนะ มังกรธาตุของเราได้มาในรูปแบบทรัพยากรบุคคล จำเป็นต้องบ่มเพาะ และปลูกฝังถึงจะแข็งแกร่ง ต่างกับทวีปอื่นที่เป็นอุปกรณ์ จึงกลัวตัวสั่นว่าจะด้อยกว่าเขา
เอาเถอะ เรื่องพวกนี้ยังไม่เกี่ยวกับตัวผมตอนนี้มากนัก ถึงทวีปจะโดนเล่นจนยับบ้านผมก็รวยพอจะพาหนีได้—ฮะๆ เอาเป็นว่าช่างเรื่องพวกนั้นก่อนดีกว่า
ใช่ๆ ตอนนี้ผมก็กำลังมุ่งไปโซนด้านมืดนั่นแหละ
อายุอย่างผมเข้าได้สบายอยู่แล้ว ที่ต้องกลัวมีเพียงแค่พวกโจรลักขโมยเท่านั้น ถึงจะมั่นใจเรื่องพลังต่อสู้แต่ก็วางใจไม่ได้เพราะพวกโจรวิ่งราวมันฉลาดในพื้นที่ของมัน ถ้าให้เด็กลูกขุนนางแบบผมเดินไปเดี่ยวๆ คนเดียว หากเป็นเด็กนักเรียนปกติสามารถตายได้เลยละโซนด้านมืดนั่นน่ะ เป็นสถานที่อันตรายขนาดนั้นเลย
แม้แต่ผมถ้าเจอพวกโจรระดับเก่งไปคงหมดตัวแหง —ให้ยกตัวอย่างก็นั่นไง คนที่ผมเคยเจอด้วยเมื่อนานมาแล้ว รู้สึกจะชื่อว่า ‘คริสตีน่า’ เป็นคนที่คิดจะฆ่าพี่สาวของผม เธอเป็นกึ่งนักฆ่ากึ่งโจร ราวหนึ่งปีก่อนก็ลองแวะไปหาดูแล้ว ก็พบว่าความสามารถในฐานะโจรเธอเหลือๆ เลยละ เกิดเจอโจรระดับเธอเข้าผมคงหมดตัว จากที่ไม่มีตังค์มากก็จะไม่เหลืออะไรเลย
อนึ่งปัจจุบันความเป็นอยู่ของคริสตีน่าคือทาสของพี่สาวผม แต่ไม่ได้อยู่เลวร้ายหรอก แค่มีตราทาสไว้ไม่ให้ก่อเรื่องลับหลังเท่านั้น
คงต้องภาวนาให้เป็นเช่นนั้นละนะ อย่าเจอเลย—ถ้าถามว่านั้นจะมาทำไม ผมมีเหตุผลอยู่
โซนด้านมืดเป็นศูนย์รวมของโจร แล้วเผอิญโจรที่ขโมยกางเกงในกับโจรที่ขโมยของตอนผมไปเที่ยวย่านรื่นรมย์เล่นๆ ดันใช้วิชาไสยศาสตร์เป็นเหมือนกัน
ผมมาที่นี่เพื่อการนั่นแหละ จะถามข้อมูลจากคนแถวนี้หน่อย แน่นอนว่าต้องใช้เงินเล็กน้อยอะนะ
ไม่นานก็มีซอยเล็กๆ ที่เป็นทางถอดยาวไป ผมไม่ลังเลเดินเข้าไปทันที—–ที่ต้องทำมีแค่ระวังกระเป๋าตังค์หายเท่านั้น พวกโจรมันเหลี่ยมจัด
ผลสรุปไปถึงได้โดยสวัสดิภาพ
ภาพที่เห็นคือเมืองขนาดย่อมที่ถูกโดมห่อเอาไว้ มีเพียงแค่แสงจากโคมไฟเท่านั้น ทั้งๆ ที่ยังเย็นบรรยากาศเลยเหมือนยามราตรีของย่านรื่นรมย์
แน่นอนว่าดูไม่สะอาดเท่าไหร่เลย ตัวบ้านเองก็สกปรกและมีรอยแตกเยอะด้วย ผู้คนโดยรอบดูเถื่อนๆ ถ่อยๆ กันทั้งนั้น หญิงสาวขายบริการก็เดินเตร่ไปทั่วจับคู่กับผู้ชายบ้าง หรือยืนเรียกแขกบ้าง
ทาสเองก็มี ขายกันหน้าด้านๆ เลย
…ไม่ถูกกับที่แบบนี้เลยสักนิด
ผมไม่ใช่คนใจแข็งอะไรหรอก กับเรื่องที่ผิดศีลธรรมย่อมใจฝ่อเป็นธรรมดา แน่นอนว่าอดทนน่ะได้อยู่แล้วแต่มีดีต่อสุขภาพตาสักนิดเดียว
จะว่าโลกสวยคงได้กระมัง?
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่และเดินชมบรรยากาศที่น่าสลด
“เฮ้ย”
มีคนเข้ามาทักละ—ชายร่างสูงสามคนเดินมาหาผม เปลือยท่อนบนกัน มีรอยสักเต็มตัว กล้ามหนาด้วย น่าจะแข็งแกร่ง
“เด็กลูกขุนนางตระกูลผู้ดีสินะ?”
คงรู้ได้จากชุดที่ผมใส่ ผมใส่ชุดนักเรียน
“ครับ มีธุระอะไรหรือครับ?”
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ของแก กลับไปซะ”
มาเตือนผม …ดูเหมือนจะหวังดีแฮะ
“พอดีผมมีธุระเล็กน้อยน่ะครับ”
“ถ้าจะมาเล่นหญิงไปแถวรื่นรมย์ถูกกฎหมายดีกว่า แถวนี้เอากันเสร็จเผลอๆ โดนปล้นฆ่าด้วยนา มีเรื่องของโรคติดต่ออีก”
ว่าแล้วพี่ชายที่มาเตือนก็หัวเราะเจื่อนๆ ราวกับเจอมาทุกรูปแบบแล้ว นี่สินะที่เรียกว่าอาบน้ำร้อนมาก่อน
“ดูแผลตรงคอตูเนี่ย”
แผนคล้ายมีดบาดใหญ่มาก รอดมาได้ไงกันนะ คนคนนี้
“เข้าใจแล้วก็ไปซะ มีเงินอยู่แล้วนี่”
“ขอบคุณที่เตือนนะครับพี่ชาย แต่ผมไม่ได้จะมาใช้บริการหรอกครับ เผอิญว่า…อยากตามหาคนหน่อยน่ะ”
“ตามหาคน? มีเรื่องชกต่อยรึ”
“เปล่าครับ เขาที่ตามหาเป็นโจรน่ะ”
“แบบนี้นี่เอง ตรงไปเรื่อยๆ จะมีร้านเหล้าสามชั้นหลังใหญ่ ที่นั่นจะมีบาร์เทนเดอร์ที่สอดรู้ทุกเรื่อง ให้เงินสักนิดก็ยอมพูดหมดเปลือกแล้ว”
ผมยิ้มให้เขา
“ขอบคุณมากพี่ชาย”
“อ่าๆ ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
เขาฉีกยิ้ม
“กว่าจะไปถึงเงินในกระเป๋าคงโดนปล้นหมดแล้วแหละ ไม่ก็โดนพวกจิ๊กโก๋ข่มขู่”
“ถ้ามาแค่ชกต่อย สวนหมัดกลับก็สิ้นเรื่อง ส่วนพวกโจรถ้าเป็นผู้หญิงจะลวนลามเอาให้ร้องเสียงหลงเลยครับ”
แน่นอนเรื่องลวนลามผมไม่ได้พูดจริงหรอก แค่พูดให้เข้ากับนิสัยคนที่คุยด้วยเท่านั้น
“ฮะๆๆ! มั่นใจดีนี่”
ผมหัวเราะประสานเสียงกับเขา
“แกนี่ห้าวได้ใจดีจริง เอานี่”
เขาให้ตั๋วมา
“มันคือตั๋วสำหรับเล่นเกมพนันร้านนั้นหนึ่งตา พอดีไม่คิดจะไปแล้วน่ะ ดันบังเอิญหมดเขตวันนี้ด้วย ไม่ว่าง ไหนๆ แล้วเลยให้แกเอาไปเล่นเอาสนุกละกัน”
“เดี่ยวเอาเงินล้านมาฝากนะครับ”
“อย่ามาร้องไห้งอแงโทษว่าหมดตัวเพราะตูซะละ ไปละ”
เขาเดินกับพวกพ้องสามคนไปเมื่อเห็นว่าผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งมายืนรอแล้ว—-แหม่ๆ เด็กแบบผมไม่กล้าสบตาเลย
ว่าแล้วผมก็เดินไปตามทางที่เขาบอก เจอโจรกับนักเลงบ้างประปราย พวกโจรจะมาในรูปแบบของทาสที่ขอความช่วยเหลือผมแล้วเล็งแอบหยิบกระเป๋าตังค์ แน่นอนว่าแก้ปัญหาได้โดยการวิ่งหนีเอา
ส่วนพวกนักเลงที่มาหาเรื่องผมแก้ปัญหาโดยการวิ่งหนีเช่นกัน จนแล้วจนรอดก็มาถึงหน้าร้านเหล้าได้สักที
“โซนมืดให้ตายจะไม่กลับมาเหยียบอีก”
คล้ายกับสถานที่ท่องเที่ยวแท้ๆ แต่ดันวางใจไม่ได้เลย บ้าจริงๆ
ผมเดินเข้าไปข้างใน มีสามชั้นตามที่บอก ทำจากไม้โทรมๆ ร้านใหญ่เอาเรื่องเมื่อมาถึงชั้นแรกก็มีที่พนันสำหรับเด็กแล้ว โป๊กเกอร์ พวกตระกูลไพ่บลาๆ —-แต่สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ ไม่ใช่ของพวกนั้น
ผมยืนอึ้งและมองไปยันสุดสายตาที่มีชายคุ้นหน้ายืนอยู่
เส้นผมสีม่วงยาวบังระยะสายตา รูปร่างผอมสูง 170ซ.ม. ผิวสีซีด แววตาดุดันคล้ายจะหาเรื่องชาวบ้านไปทั่ว—–เคียวยะนั่นเอง เจ้านั่นมาย่านรื่นรมย์ตามที่พูด ซ้ำร้ายยังเป็นสถานที่ที่เลวร้ายที่สุดอีก
เหมือนว่ากำลังจะมีปากเสียกับใครอยู่ด้วย เป็นเด็กที่ใส่เสื้อเสื้อหลวมๆ โทรมๆ กางเกงที่เหมือนจะหลวมแต่ถูกมัดด้วยเชือก และสุดท้ายสวมหมวกแก๊ปเก่าๆ ไม่แน่ใจเรื่องเพศเพราะเป็นเด็กอยู่
“อย่ามาล้อเล่นนะแก!! โกงกันชัดๆ รู้ได้ไงกันหา!!”
“โง่ แกมันโง่ไง ไอเด็กโง่ กลับบ้านไปขอโทษแม่ที่ไปขโมยเงินมาเล่นการพนันซะละ ไอเด็กโง่” เคียวยะพูดจารุนแรงสุดๆ ไม่เกรงใจเด็กตัวเล็กเลย “กลับบ้านไปดูดนมเน่าๆของแม่ตัวเองไป ไอ้กร๊วก”
ด่าแรงเกินไปแล้ว เจ้าบ้านั่น
“—-แก ไอลูกคุณหนูสารเลว!!”
เคียวยะหัวเราะขึ้นลำคอ
“เป็นเด็กทุนวะ โทษทีที่ฉลาดเกินไปจนได้ไปอยู่กับพวกคนรวยโสโครก ส่วนเด็กเปรตอย่างแกก็เวียนว่ายอยู่แค่นั้นแหละ ทำงาน เล่นพนันหมดตัว กินเหล้า โตไปก็อย่าลืมไปทำหญิงท้องจนมีลูกตามสูตรสำเร็จของพวกชั้นต่ำด้วยล่ะเป็นไอ้เลวของครอบครัวเหมือนที่พ่อคนส่วนใหญ่เขาเป็นกัน”
ทัศนคติแย่สุดๆ
“…จะฆ่าแก”
“เอาสิ ถ้าทำได้ละนะ บ๊ายละเด็กเปรต ฉันจะขึ้นไปพนันกับพวกโง่ที่มีดีแค่พนันต่อ” เคียวยะบิดขี้เกียจ “พวกไม่มีตังค์ให้รีดจะไปตายที่ไหนก็ตายไป แต่อย่าลำบากคนอื่นเขาละกัน”
เด็กคนนั้นกำหมัดแน่นแต่ทำอะไรไม่ได้ …เคียวยะพูดจารุนแรงไปแล้ว แถมที่พูดมีแต่เรื่องแย่ๆ อีก
ถึงจะรู้ก็เถอะว่าเป็นคนนิสัยรุนแรง แต่ระดับนี้มันเหนือกว่ายัยปากร้าย ‘อันนา’ ของผมซะอีก อันนาดูน่ารักไปเลย ไม่สิพักนี้น่ารักขึ้นเป็นกองถึงถูก
นึกแล้วกลุ้มใจ
เมื่อเขาขึ้นไปชั้นสองแล้วผมก็เดินไปหาเด็กคนนั้นที่เหมือนจะร้องไห้ ส่งยิ้มให้
“ยิ้มแบบนั้นอยากมีเรื่องเหรอฟร้ะ!!?”
หาเรื่องผมซะนั้น—อ่อ คงคิดว่าผมมาหาเรื่องกระมัง
“เด็กอย่างเธอมาอยู่ที่แบบนี้จะดีเรอะ พ่อแม่ไม่ว่าเหรอ?”
“พ่อเป็นไอ้เลวที่เปิดซ่อง ส่วนแม่เป็นไอ้เลวโสเภณีที่ไม่สนใจลูก ไอพวกนั้นไม่มีเวลามาสนใจฉันหรอก …เหมือนกับที่ไอสารเลวแห้งนั่นพูด”
เด็กคนนั้นน้ำตาคลอเบ้า พูดอย่างกับคนหายใจไม่ออก คงเจ็บใจไม่น้อย
ที่พูดมามันด้านมืดของสังคมปัจจุบันทั้งนั้น ผมในโลกเก่าไม่ได้เจอกับตัวหรอกเพราะพ่อกับแม่ชิงตายไปก่อน แต่กับเด็กแถวบ้านเห็นอยู่ให้เพียบเลย
เขาคือเด็กที่เกิดมาโดยไม่ตั้งใจ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เด็กที่ควรดูแลอย่างดี อย่างน้อยก็ในความคิดของพ่อแม่
“ถูกของมันเลย เด็กชั้นต่ำอย่างฉันสักวันก็ต้องเป็นเหมือนไอพ่อเลวนั่น แล้วก็เวียนว่ายอยู่แค่นี้แหละ …ฮึก จะฆ่ามันให้ได้คอยดู!”
ยกแขนมาเช็ดน้ำตาซะแล้ว ก็เด็กละนะโดนด่าขนาดนั้นสมควรแล้วละ
ผมยกแขนขึ้นมาลูบหัวเด็กตรงหน้า
“ระบายให้พี่ฟังได้นะ”
“อย่ามาแทนตัวว่าพี่!!!!”
แหกปากสุดเสียงด้วยเสียงที่บิดเบี้ยว
เด็กคนนี้น่าสงสารชะมัด
“น่านะ มาเล่นเกมกับพี่หน่อยมั้ย?”
“หมดตัวแล้ว”
“แค่เล่นเฉยๆ …เอางี้ ถ้าเล่นเอาสนุกกับพี่แล้วชนะได้”
ผมหยิบตั๋วการพนันขึ้นมา
“จะให้ตั๋วไปท้าดวลกับไอผมห่วงขี้โกงนั่น”
เด็กทำตาปริบๆ ทันที ก่อนจะยิ้มร่าสมวัย
“มาสิ!”
“เยี่ยม”
นั่งเล่นเกมเดียวกับที่เด็กเล่นกับเคียวยะ เป็นเกมไพ่ที่ต้องสุ่มจับการ์ดในมืออีกฝ่ายให้ถูกตามที่เดา โดยรูปแบบเกมจะเป็นดังนี้—-มีการ์ดสามประเภทคือภูเขาและธารน้ำ ภูเขาและท้องฟ้า ภูเขาและป่าไม้
ผู้เล่นต้องเล่นไปและสุ่มจับการ์ดในมืออีกฝ่ายให้ได้ตรงตามที่ต้องการ มีการ์ดทั้งหมด 6ใบ ซ้ำอย่างละหนึ่งใบหน้า คือจับให้ได้สองใบหน้าเดียวกันแล้วนำไปลงกระดาน การ์ดในมือใครเหลือหนึ่งใบก่อนชนะ
เกมง่ายๆ ที่จบเร็วหากเดาถูก
—แล้วก็เป็นเกมที่เคียวยะได้เปรียบเพราะเขามีดวงตามหาปราชญ์ กะอีแค่มองทะลุน่ะมันง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยอีก
เจ้าเคียวยะมันโกงเด็กได้หน้าตาเฉยเลย นิสัยเสียจริงๆ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่และเล่นกับเด็กตรงหน้าอย่างซื่อตรง พลางคุยไปด้วย
“ปกตินายอยู่ยังไง?”
“ขโมยของเอา”
“พ่อกับแม่ไม่ช่วยหาข้าวให้เลยรึ?”
“ไอ้เลวพวกนั้นไม่แม้แต่จะหาน้ำให้ฉันอาบด้วยซ้ำ ปกติฉันก็ขโมยเงินแม่เอานั่นแหละ ชอบวางไว้บนโต๊ะดีนัก”
ตั้งหลายรอบ แต่ยังไม่จับสังเกตได้รึ? …ให้ตายสิ ไม่แน่ใจหรอกแต่เริ่มเดาออกแล้ว
“นั้นหรือ แล้วเย็นนี้กินข้าวกับอะไรละ”
“ไม่ได้กิน ไม่มีตังค์ ฉันแพ้พนันเจ้าบ้านั่นก่อน”
“…อย่าเอาเงินพวกนั้นมาเล่นพนันจะดีกว่านะ”
“หนวกหู ปกติไม่แพ้หรอก แค่เจ้านั่นมันขี้โกง หยิบไพ่แบบไม่ลังเลทุกรอบได้ แล้วชนะใสๆ แล้วเงินจากไอแม่เลวนั่นเป็นแค่เงินขโมยด้วย เอามาใช้กับเรื่องสกปรกก็ถูกแล้ว”
ภายนอกอาจจะเหมือนแค่เด็กพาล—-แต่เคียวยะมันโกงจริงๆ
“ระวังจะไม่มีข้าวกินเอานะ”
“ดูหุ่นก็รู้แล้วนี่ ไม่มีจะกินอยู่แล้ว”
…รันทดจริงๆ
“เล่นเกมกันให้ชนะสองในสามนะ”
“มาเลย”
—ผมชนะอย่างง่ายดาย
“ทำไม?”
“ถ้าจะหยิบการ์ดขึ้นมาก็หยิบดีๆ หน่อย นายจั่วซะเห็นหมดเลย”
“…อย่าบอกนะว่า”
ผมพยักหน้าให้
“เจ้านั่นมันแอบเห็นละ แต่ไม่ต้องห่วง ตามข้อตกลงสองในสาม”
เด็กกำหมัดแน่นจ้องเขม็งใส่ผม
“ขอถามต่อหน่อยสิ ปกติเวลาอยู่กับครอบครัวนายทำอะไรบ้าง?”
“ยัยผู้หญิงคนนั้นไม่เคยจะอยู่บ้าน อยู่แค่ตอนเช้าๆ เข้านอน ไม่สนใจฉันที่หิวข้าวตอนเช้าเลย ส่วนไอหมอนั่นทุกทีจะตบตีกับแม่ตลอด ฉันรำคาญเลยหนีออกบ้านก่อนจะเกิดเรื่อง”
….ด้านมืดโดยแท้
“เคยเห็นแม่ของตัวเองร้องไห้บ้างมั้ย?”
“ไม่เคย ฉันแอบไปส่องอยู่บ้างตอนทำงาน เห็นทำหน้าระรื่นตลอด”
“เป็นงานนี่นะ”
เด็กตรงหน้ามองค้อนผม
“ที่ถามเนี่ยมีปัญหาอะไร?”
“เปล่าหรอก แค่ถามเป็นกรณีศึกษาน่ะ”
มองค้อนผมใหญ่เลย ชักกลัวแล้วสิ
“แค่คิดว่านายน่าสงสารดีนะ จำพวกนี้”
“อย่ามาสงสาร มันน่ารำคาญ”
เขาหยิบการ์ดไปและ—ชนะ
“หึ แค่ไม่โดนโกงฉันก็ไม่มีทางแพ้ใครหน้าไหนหรอก”
นั่นสินา
“ตาสุดท้าย”
“อ่า”
ยิ้มระรื่นเชียว เด็กนี่
ผมยิ้มกริ่ม
“มีเพื่อนบ้างมั้ย?”
“มี เป็นพวกหัวโจกลูกขุนนาง”
“ถ้าทะเลาะกันเรียกพี่ได้นะ พี่เส้นใหญ่”
“อย่าแทนตัวเองว่าพี่”
เป็นเด็กที่ปากเสียชะมัด ทำไมชีวิตผมไม่แคล้วพวกปากเสียประจำเลยนะ ผมออกจะเป็นคนดีแท้ๆ
“จะว่าไปนายชื่ออะไรรึ?”
“ ‘วิด้า’ ไม่มีสกุลเพราะเจ้าพ่อนั่นไม่อยากแปดเปื้อน”
ชื่อน่ารักชะมัด
“เป็นผู้หญิงเหรอ? ชื่อนั้นแม่ตั้งให้รึเปล่า?”
“เออ ทำไม?”
“เปล่าๆ ว่าแต่เป็นชื่อที่เพาะดีนะ”
มันมีความหมายว่า ‘เป็นที่รักอย่างสุดซึ้ง’
เท่านี้ผมก็ยืนยันความคิดโลกสวยของตัวเองได้แล้วละ
“จริงๆ แล้วพี่เป็นนักสืบน่ะ”
“ลูกขุนนางอยากเล่นเป็นนักสืบหรือไง?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
ผมถอนหายใจ และยกมือขึ้นหนึ่งข้าง—-วิชาไสยศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่เล่นกับกฎของเวทมนตร์ เบี่ยงเบนกฎของโลก
ผมเองก็ใช้ได้อยู่บ้าง หนึ่งในนั้นก็คือ—‘วิชามายา’
การสร้างภาพลวงตา ระดับต่ำ-สูงตามฝีมือ แน่นอนว่าผมอยู่ต่ำสุดเลยสำหรับวิชานี้ ใช้ได้แค่ระดับสร้างภาพที่เหมือนกับหลุดออกจากโลก เป็นภาพมายาที่รู้ได้ทันทีว่าเป็นของปลอม
ก็แค่วิชากากๆ ใช้เล่าเรื่อง
“ทำอะไร?”
“ว่างๆ เลยลองใช้พลังเล่นน่ะ”
เส้นสีดำปรากฏขึ้น มันม้วนไปมาจนกลายเป็นร่างของเด็กตัวเล็ก—ผมสร้างเหตุการณ์วงลูป ที่เด็กคนเล็กตื่นนอน หยิบเงินจากบนโต๊ะและเดินออกไป และอีกมุมที่เด็กคนเล็กนอน แม่ของเด็กก็นำเงินมาวางไว้และมองที่เด็กคนนั้น …เป็นภาพที่รีซ้ำ
เด็กตรงหน้าผม—- ‘วิด้า’ มองแรง เขารู้ดีว่าผมตั้งใจจะสื่ออะไร
“กวนประสาทกันสินะ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ฉันไม่ได้จะบอกว่าแม่ของเธอเป็นคนดีอะไรหรอก แค่ให้ดูอีกมุมน่ะ”
“…เข้าข้างไอ้เลวนั่นสินะ จะบอกว่าฉันสารเลวสินะ”
“ยังไม่ได้พูดเลย ให้ตายสิ”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ฟังหูไว้หูไปละกัน”
ว่าแล้วผมก็ชนะอย่างง่ายดาย
วีด้าอึ้งปากค้าง
“…แพ้..แล้ว”
“คงจะอย่างนั้น แต่ฉันมีข้อเสนอมาให้ละ วีด้า”
“อะไร?”
“ฉันจะไปดวลกับเคียวยะ สนใจมาเป็นสักขีพยานมั้ย? ช่วยกันไม่ให้เคียวยะมันโกงน่ะ”
วีด้าเล่ห์มองผม
“เจ้านั่นชื่อเคียวยะเหรอ?”
“อ่า รู้จักเป็นการส่วนตัวเล็กน้อย”
วีด้าเงียบลงน่าจะลังเลอยู่
“ถ้าชนะจะเอาเงินมาคืนนายให้หมดเลย”
“เข้าใจแล้ว”
พอเอาเงินมาล่อก็ตอบกลับทันควัน—-คงอย่างนั้นแหละ โลกมืดเขาไม่มีเวลามาห่วงเรื่องศักดิ์ศรีหรอก
“ถ้านั้นก็ตามมาเลย”
ผมลุกจากเก้าอี้และแสยะยิ้มเยี่ยงตัวร้าย
“เดี๋ยวจะไปตบเกรียนเคียวยะให้เอง”
ว่าอย่างนั้นแล้วก็มัวรออะไรละ–
MANGA DISCUSSION