เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 276
< < 176 > >
….
“ขอบคุณนะ ..แล้วก็ ..อย่าจ้องเชียวนะ”
หลังจากนั้นไม่นานวินก็ปรับอารมณ์ตัวเองได้ และผละตัวออกจากผม ก่อนขดตัวปิดสัดส่วนบนร่างกายที่ไม่อยากให้เพศตรงข้ามอย่างผมมอง แน่นอนว่าผมสุภาพบุรุษพอที่จะ
“ต่อให้มองก็ไม่มีอารมณ์หรอกนะ”
ในสถานการณ์แบบนี้
“รอบที่สองแล้วนะที่พูดอย่างนั้น เดี่ยวก็ร้องไห้อีกรอบหรอก”
“เต็มที่เลย”
ผมหยิบเอาผ้าคลุมออกมาจากกระเป๋าเวทมนตร์ และวางบนลงตัวของวิน
“เท่านี้ก็ไม่มีปัญหา”
“เตรียมของแบบนี้ไว้ด้วยนี่เอง”
“เพื่อนร่วมทาง ..หมายถึงหนิง ยัยนั่นตอนแปลงร่างเสื้อผ้าจะขาดน่ะ เลยเตรียมผ้าไว้หลายๆตัวเผื่อกรณีนั้น”
ไม่รู้ทำไม แต่เวลาเห็นร่างเปลือยของหนิงผมกลับรู้สึกผิดมันซะทุกที ว่าไงดี ผมทรยศยูจิไม่ได้หรอกนะโว้ย! อะไรจำพวกนี้
“ใส่ใจกันดีจริงๆนะ”
วินใส่ผ้าคลุมนั้นและมีท่าทางดูซึมๆ
….แบบว่า สัมผัสได้ถึงบรรยากาศน่ากลัวๆอย่างไรไม่รู้สิ เอาเป็นว่าช่างมัน เพราะมีเรื่องสำคัญกว่าต้องคุยด้วย
“อาจจะดูไม่เข้ากับสถานการณ์ไปหน่อย แต่ชีวิตเธอต่อจากนี้ ..ถ้าไม่รังเกียจ สนใจจะตามฉันมารึเปล่า?”
“คนที่ตกลงกันไว้ว่าจะให้เรเซอร์ดูแลมีแค่น้องสาวฉันนะ ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบทุกอย่างหรอก ยังไงก็ไม่เต็มใจที่จะให้ฉันเป็นหนึ่งในนั้น(ภรรยา)อยู่แล้วด้วย ฮะ ฮะ ฮะ อย่าห่วงฉันมากนักเลยนะ เก็บแรงไว้ดูแลคนที่รักดีกว่า”
วินหัวเราะร่าขึ้นมาตามปกติ พลางพึมพำว่า “ดูแลตัวเองได้น่า หายห่วง สบายบรื๋อ ชิลเว่อร์”
“อยากจะพูดคือฉันอยากให้เธอไปลองคุยกับเบลลามีแล้วคนอื่นๆดู ..”
ไม่ถนัดที่จะพูดอะไรแบบนี้เลยแฮะ-ผมหรี่ตามองพื้น เม้มปากเข้าหากัน พยายามจะปกปิดใบหน้าที่มีอะไรแปลกๆของตัวเองผุดขึ้นมา
“เอ๋?”
วินกระพริบตาปริบๆ ผมถอนหายใจเฮือกโต และโพล่งออกมาเสียงดัง
“มะ ไม่อยากจะพูดหรอกนะ! แต่จะพูดให้ฟังก็ได้!”
“ซะ ซึนเดเระสุดๆ! อะไรกันเนี่ย น่ารักอ่ะ!”
จู่ๆผมก็แอ็บเสียงแหลมประหนึ่งสาวทวินเทลผู้มีเดเระเดเระสุดน่ารัก
“คือว่านะ ยัยบ้า บ้า บ้า บ้า บ้าแบบไร้ที่ติอย่างเธอน่ะ คงจะอยู่คนเดียวไม่ได้แหงๆ แล้วก็อยากจะอยู่กับน้องสาวอยู่ด้วยแล้วใช่เปล่าล่ะ เพราะอย่างนั้นแหละ คือไม่ได้จะบอกให้มาเป็น ‘ของจริง’ บ้าบออะไรหรอกนะ แค่จะบอกว่า ..นั่นแหละ!!!!”
“สรุปที่จะบอกนี่อะไรเหรอ??”
วินยิ้มอย่างกับตาลุงเต๊าะเด็ก และเอามือมาเกาแก้มผมรัวๆ
“นี่ๆๆๆ สรุปจะพูดอะไรกันแน่เหรอ? ถ้าไม่พูดตรงๆทางนี้ไม่เข้าใจหรอกนะ เพราะตกภาษาการสื่อสารแหละเธอ”
โกหก เห็นแบบนี้แต่วินเรียนเก่งระดับ ท็อป10 จากที่ผมเคยได้ฟังมา ทั้งเธอยังถนัดวิชาเกี่ยวกับภาษาที่สุดอีกด้วย!
“..จะลองถามทุกคนดู ..ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ..อยากให้เธอมาอยู่ข้างๆฉัน คอยช่วยเหลือฉันในสถานะ ..มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่เมีย!!”
เพื่อนสนิทไงเล่า! ยัยบ๋อง ใครมันจะไปพูดตรงๆกันเล่-
“หมายถึง ‘หมั้น’ กันไว้ก่อนสินะ!!”
อึก–ยัยนี่
ผมทำเมินไม่ตอบ วินเอาหน้าเข้ามาใกล้ พอหันหน้าหนีหล่อนก็หันหน้าตามมา พอเห็นว่าผมหน้าแดงและพูดอะไรไม่ออก หล่อนก็แสยะยิ้มออกมาอย่างสะใจ
“เอาไงดีนะ? ทั้งได้อยู่กับน้องสาว ทั้งได้อยู่กับเรเซอร์ บางทีมันอาจจะดีเกินไปสำหรับคนอย่างฉัน”
“จะไปรู้เรอะ? อารมณ์ดีเกินไปแล้วด้วย ทางนี้ปรับตัวไม่ทัน”
“ฉันเก็บความรู้สึกเก่งตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วน่ะนะ แต่ก็นั่นสินะ ตอนนี้ควรโฟกัสกับอย่างอื่นมากกว่า ..”
วินหันหน้าไปมองบนฟ้า ผมจึงหันตาม และต้องเบิกตาโพลงกว้างกับสิ่งที่เห็น
เพลิงสีแดงฉานพวยพุ่งอยู่บนฟากฟ้า
ไม่ใช่เพลิงสีเดียวกับผมที่เป็นเวทมนตร์ หากแต่เป็นเพลิงสีแดงฉานประหนึ่งว่าเป็นไฟจากลาวาที่เป็นก้อนๆสามารถสัมผัสได้ เอาเป็นว่าไม่ใช่เพลิงที่ผมเคยพบเคยเห็นมาก่อน และไม่น่าใจเพลิงที่ฝั่งเดียวกับผมจะใช้กันได้ด้วย
ว่าโดยง่าย ค่อนข้างอันตราย
“วิน”
“เข้าใจแล้ว ไปก่อนเลยที่เหลือฉันดูแลตัวเองได้”
“ถ้ามีปัญหาอะไรส่งสัญญาณเรียกฉันบนฟ้–”
“รู้แล้วน่าๆ”
ยังไม่ค่อยอยากวางใจทางนี้ก็จริง แต่ช่วยไม่ได้ ผมรีบโยนเรลันดาฟและกระโดดขึ้นไปขี้บนคทาเวทย์ จากนั้นก็เร่งสปีดสุดแรงเกิดมุ่งสู่จุดที่เกิดการปะทะนั่นทันที
****
หลังจากที่มองส่งเรเซอร์ที่บินไปยังจุดต่อไปแล้ว วินก็เริ่มออกเดินด้วยเท้าเปล่า เธอเดินไปเรื่อยๆตามซากปรักหักพังที่ถล่มหรือถูกลบหายไปจากเปลวเพลิงรุนแรงสูง
เดินมาได้พักหนึ่ง เธอก็มาหยุดอยู่ที่ร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง เหมือนว่าจะไม่ถูกไฟเผาจนกลายเป็นเถ้าธุรี .. ‘มิเรีย’ พี่เลี้ยงคนสำคัญในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าผู้เป็นเพื่อนของเธอ
“ฉันจะคอยดูแลเด็กๆทุกคนต่อไปเองนะ ..ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้ไปเจอกันที่นั่น”
วินยกเอาหินที่ทับร่างของเธอออก จากนั้นก็ทำการรักษาร่างกายของเธอให้กลับมาเหมือนเดิม เพียงแค่วิญญาณนั้นจะไม่ได้อาศัยอยู่ในร่างอีกต่อไปแล้ว ว่าง่ายๆก็ตายไปแล้ว แค่อยากจะให้ตายในสภาพร่างกายที่ดูดีเหมือนก่อนหน้า
เมื่อเสร็จหน้าที่ทั้งหมดแล้วเธอก็จะเดินไปต่อ ทว่า
‘ช่วยไม่ได้นะคะ’
เอ๊ะ?
‘ในเมื่อแบกทุกอย่างไว้แล้วก็อย่าตายจากไปไหนอีกนะคะ’
เสียงที่ล่องลอยไปมาคนละมิติแว่วผ่านหูของวินมา จนเธอต้องหันกลับไปหามิเรียอีกครั้ง
“มิเรีย?”
ไม่ได้ยินเสียงตอบรับอะไร แม้จะยืนรอนานแค่ไหนก็ไม่มีบทต่อไปแล้ว แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วละ มากพอที่จะทำให้วินรู้สึกว่าตัวเองควรจะมีชีวิตต่อไป
อย่างน้อยก็อย่างหนึ่ง เธอจะรับฝากหน้าที่ของมิเรียต่อเอง
“วางใจได้เลย”
****
“ยูนา นี่ ยูนา เรามีเรื่องต้อยคุยกัน ..อ๋อ เลยครึ่งวันมาแล้วนี่นา”
ผลกระทบจากการใช้ดาบสะบั้นมิติ ทำให้ผมสามารถสื่อสารกับยูนาได้แค่ช่วงเที่ยงคืนถึงเที่ยงวันเท่านั้น นอกจากนั้นผมก็เชื่อมาโดยตลอดว่าอายุขัยตัวเองจะถูกแลกกับการใช้งานดาบทลายมิติ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่
..มันแลกกับบางอย่างของยูนา และทันทีที่ใช้มันไปแล้ว ยูนาก็ได้เปิดทางลงไปสู่นรกแล้วเช่นกัน ด้วยเหตุนั้น หลังจบเรื่องทั้งหมด ผมมีเรื่องต้องคุยกับยูนาเพียบเลยละ
ตรู๊ด ตรู๊ด ตรู๊ด เสียงเรียกเข้าจากเวทมนตร์สื่อสารระยะไกลดังขึ้น ผมรีบรับทันทีที่ได้ยิน–
‘คุณเรเซอร์ ปลอดภัยดีหรือเปล่าคะ!!? ก่อนหน้านี้ติดต่อไม่ได้เลย!’
เสียงดังกระแทกหูจนแทบจะระเบิด ผมเสียหลักระหว่างบินเล็กน้อยแต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก
“โทษทีที่ก่อนหน้านี้สัญญาณไม่ค่อยดี ว่าไงดี ใส่เต็มไปหน่อยน่ะ”
อนึ่ง จำพวกเวทมนตร์สื่อสารระยะไกลนั้นจำเป็นต้องมีไอเทมเป็นสื่อกลาง ทั้งยังต้องอยู่ในระยะไม่ไกลมาก และหากอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวายไปด้วยเวทมนตร์ หรือมานามากเกินไป สัญญาณพูดคุยจะติดขัด มากน้อยตามระดับของมานา ซึ่งระดับเปลวเพลิงที่ผมใส่ในการสู้กับวินคือระดับที่ชนเพดานมานาของผมแล้ว เพียงแค่ผมใช้วิหคอมตะฟื้นฟูพลังกลับมาทุกครั้ง ด้วยพลังระดับนั้นทำให้ไม่มีใครสามารถติดต่อผมได้อย่างแน่นอน
ได้ยินเสียงถอนหายใจโล่งอกของอานิม่าบางๆ ก่อนเธอจะพูดต่อ
‘จะว่าจัดหนักก็ใช่ค่ะ คุณรัฐในตรีเค้าฝากเตือนมาด้วย แต่สำคัญกว่านั้นคือเรื่องที่จะมาแจ้ง’
จากนั้นอานิม่าก็เริ่มเล่า เรื่องแผนการณ์จริงๆของเนลยอน กับเรน ที่ตั้งใจจะสังเวยมหามังกรเทียมในการคืนชีพเทพมังกร แล้วก็ ..เรื่องที่มีมหาบาปบุกอาณาจักรเนลยอนเองก็ด้วย แถมยัง–ผมเงี่ยหูฟังที่อานิม่าอธิบายสถานการณ์ทั้งหมด โดยที่รีบเร่งไปในจุดๆที่สำคัญที่สุด
****
ย้อนเวลากลับไปที่ก่อนหน้านี้ไม่นาน–ในห้วงเวลาที่อาณาจักรเนลยอนกำลังถูกทะเลเพลิงเผาไปเกือบครึ่ง ไรเดน อาคาสะ ได้เข้าต่อสู้กับเรน และ …
“ติดกับเต็มๆเลยนะ นักรบที่แข็งแกร่งที่สุด”
บริเวณหน้าท้องของไรเดนอาคาสะมีรอยแผลขนาดใหญ่ซึ่งเป็นแผลที่มาจากดาบขนาดยักษ์ และไม่มีทางเป็นดาบของเรนอย่างแน่นอน เพราะตรงหน้าของเขามีคนๆหนึ่งยืนอยู่
หญิงสาวผู้ใกล้เคียงกับเด็กสาว ผมสีชมพูทวินเทลยาวประบ่า บริเวณปลายผมมีไฮไลท์สีแดงฉาน และเช่นเดียวกับมหาบาปตนอื่น ที่ปลายหูของเธอนั้นมีต่างหูอันเป็นสัญลักษณ์ของบาปแห่งโทสะติดเอาไว้ ดูผิวเผินอาจจะเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงธรรมดา เพียงแต่บนไหล่ของเธอนั้นมีดาบยักษ์เกินตัววางไว้อยู่ มันคือ ‘ดาบยักษ์สีแดงดำ’ สลับไปมาประหนึ่งลาวา มีรูปทรงที่น่าหยะแหยงไร้ซึ่งความสวยงามใดๆ
“ในเมื่อยืนยันได้แล้วว่าแกไม่อาจทำอะไรตัวผมในตอนนี้ได้ก็ขอตัวก่อน ช่วยเก็บกวาดให้เข้าที่ด้วยซะนะ—มหาบาปแห่งโทสะ ‘ซาตาน’ ”
ตัวจริงของเด็กสาวผู้นี้คือมหาบาปแห่งโทสะ หนึ่งในเจ็ดบริหารผู้แข็งแกร่งข้างกายแห่งจอมมาร
“จะไปก็รีบๆไปซะทีเถอะ ตัวตนของนายมันน่ารำคาญ”
เรนหัวเราะขึ้นจมูกและเดินไปต่อตามที่ว่า เมื่อเห็นว่าเรนไปแล้วซาตานก็ให้ความสนใจแก่ ไรเดน อาคาสะ
“นักรบที่แข็งแกร่งที่สุด? เทียบกับทูตสวรรค์ ‘มิคาเอล’ ซึ่งถูกเรียกว่านักรบที่แกร่งสุดในยุคของฉันแล้วยังห่างไกลกับชื่อๆนั้นนะแกน่ะ” ซาตานถอนหายใจ “แต่ก็ต้องอย่างนั้นแหละนะ สำหรับ ‘มนุษย์ธรรมดา’ แกเองก็ไม่เลว”
ซาตานยกดาบขึ้นฟ้า จากนั้นก็เหวี่ยงลงมา ประหนึ่งว่าดาบยักษ์ที่ถือไร้น้ำหนัก—ไรเดนรู้สึกตัวได้ รีบกระโดดหลบขึ้นไปบนหลังคา จากนั้นก็ตามที่สัญชาตญาณบอกกับเขา
ทะเลเพลิงสีเลือดได้พุ่งผ่านกลางถนนขนาดเล็กในอาณาจักรเนลยอน ยาวไปจนถึงสุดขอบของริมฝั่งทะเล บ้านเมืองรอบๆรวมถึงถนนถูกละลายหายไปด้วยไอร้อนจากเพลิงที่ออกมาจากดาบเล่มยักษ์ที่น่าหยะแหยงเล่มนี้
“เร็วดีน-”
ไรเดนไม่รอช้ารีบสวนกลับด้วยความรวดเร็ว เขาเหวี่ยงดาบใส่ซาตาน–เธอทำเพียงยกมือขึ้นมากันไว้ ปล่อยให้ดาบพุ่งผ่านแขนของเธอ และเกร็งกล้ามเนื้อ ดาบของไรเดนถูกหยุดด้วยแรงบีบจากกล้ามเนื้อ
“–!”
“ตายซ–ะ!!!!!!!!”
ตึ้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ซาตานเหวี่ยงหมัดอัดเข้าหน้าท้องอย่างจัง ทั้งตัวไรเดน และดาบลอยขึ้นไปบนฟ้าพร้อมๆกัน ร่างของนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดกลิ้งไปมาบนหลังคาบ้านเมือง ยังไม่จบแค่นั้น ซาตานกระโดดตามมาด้วยแรงอันเหลือล้น จากนั้นเธอก็ทำการเหวี่ยงดาบที่เปล่งประกายสีแดงฉานออกมาใส่อีกครั้ง
ก้อนเพลิงสีแดงพุ่งใส่ไรเดนในระยะเผาขน–ในจังหวะที่กลิ้งตัว ไรเดนเอื้อมมือหยิบดาบ แทงเข้ากับพื้น และทำการเหวี่ยงตัวหลบการโจมตี
“หืม??”
“[ดาบประกายแสง]”
“เปล่าประโยชน์”
ซาตานสวนกลับด้วยดาบบนมือ การปะทะของตัวดาบและทักษะดาบปรากฏผลลัพธ์ขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งดาบประกายแสง และบ้านตรงหน้าถูกลบหายไปด้วยแรงระเบิดเพลิง
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ไม่ทันจะได้ทำอะไร ไรเดนปลิวไปกลับแรงระเบิดนั้น และกลิ้งเกลือกฝุ่นกับพื้นอย่างหมดสภาพ
ไม่ใช่ความต่างด้านทักษะการต่อสู้หรือว่าอะไรเลย ต่างกันแค่–พลัง
ไรเดนลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีทีท่าเหมือนกับคนที่บาดเจ็บจากการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย
“แข็งแกร่ง”
เขาพึมพำออกมาสั้นๆ ใช่ เรื่องที่ซาตานนั้นแข็งแกร่งมันแน่นอนอยู่แล้ว เพราะเธอคือ ‘มหาบาปที่แข็งแกร่งที่สุด’
“ยังไม่ตายอีกสินะ เป็นมนุษย์ที่หนีเก่งใช่เล่น”
ซาตานดูดฝุ่นควันทั้งหมดเข้าไปในดาบ จากนั้นก็ชี้มันขึ้นฟ้าอีกครา
“ระเบิดอาณาจักรนี้ไปพร้อมกับนายเลยคงจะไม่มีทางให้หนี-เอาตามนี้ดีกว่า”
ระเบิดอาณาจักร
“คงยอมให้ทำอย่างนั้นไม่ได้”
ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าไปแลกดาบกันอีกครั้ง
“เสียงแปลกๆ?”
เสียงอากาศตัดดังสนั่นขึ้นในที่แห่งนี้ ซาตานและไรเดนหันหน้าไปทางที่มีเสียงพร้อมกัน และพบกับ [ทวนสายฟ้า] ที่กำลังพุ่งมาด้วยความรวดเร็วราวห้าบท และทั้งหมดก็มีเป้าหมายเป็นซาตาน
“มีตัวมาจุ้นจนได้”
ซาตานยืนรอทวนสายฟ้าทั้งหมดเข้ามาใกล้ จากนั้นก็เหวี่ยงดาบทำลายทุกการโจมตีทิ้งอย่างง่ายดาย แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ทันทีที่ทวนสายฟ้าถูกทำลาย [เฟลมบาสเตอร์] ขนาดยักษ์ก็พุ่งเข้าใส่เธอต่อทันที
“ฮึบ!”
เธอทำเพียงคว้าเปลวเพลิงนั่น และเหวี่ยงมันขึ้นฟ้าเปลี่ยนทิศ จากนั้นก็ใช้ดาบบนมือแทงเข้าไปที่เปลวเพลิง และ ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เกิดการระเบิดจากภายในเพลิง แต่ร่างของซาตานนั้นไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเธอกางบาเรียร์ทันทีที่มันระเบิดราวกับเดาได้อยู่แล้ว
ดวงตาของเธอเลืองแสงข้างหนึ่ง ใช่ เธอเองก็มีความสามารถในการวิเคราะห์อยู่บ้าง
“ถ้าเป็นบิลเซบับ หรือแอสโมเดียสคงตายไปแล้ว เป็นการโจมตีที่ไม่เลว-ใครกันนะ?”
ซาตานแหงนหน้ามอง และพบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนคทาเวทย์นาม ‘เรลันดาฟ’
****
“มาทันเวลาสินะ”
ผมหรี่ตามองคนที่ยืนอยู่ข้างล่างสุด นอกจากสุดยอดนักรบอย่าง ไรเดน อาคาสะ ซึ่งอยู่ในสภาพไม่สู้ดีก็คือ ‘มหาบาปที่แข็งแกร่งที่สุด’ บาปแห่งโทสะ นาม ‘ซาตาน’
พลังงานภายในร่างกายที่ไร้ขีดจำกัด ดาบเพลิงทำลายล้างที่มีการยกระดับพลังตัวเองขึ้นเรื่อยๆตาม ‘เฟซ’ โดยมีทั้งหมด ‘5 เฟซ’ แล้วก็มีพลังบาปแห่งโทสะที่จะเพิ่มพลังให้แก่เธอตามระยะเวลาในการต่อสู้อีกด้วย
อนึ่งการเปลี่ยนแปลงใน เฟซต่างๆจะเป็นตามนี้
เฟซ 1 เรียกดาบทลายโลกาออกมาได้
เฟซ 2 เพิ่มไอร้อนรอบตัว ผนวกด้วยชุดเกราะที่ช่วยเสริมร่างกายของตัวเอง
เฟซ 3 เรียกมอนสเตอร์ขั้นสูงออกมาอาละวาด
เฟซ 4 ดูดกลืนมานารอบตัวทุกอย่างเข้าร่าง ไม่เว้นแม้แต่อากาศหรือว่าสิ่งมีชีวิต หากว่าสิ้งนั้นมีมานาก็จะโดนดูดเข้าไป
เฟซ 5 ระเบิดสิ่งที่ดูดกลืนไปทั้งหมดออกมาเป็นพลังอันมหาศาลชั่วขณะหนึ่งให้กับตัวเอง
ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะอยู่ในเฟซ ..เฟซ 1 สินะ รอดตัวไป พูดตามตรง หลังจากขึ้น เฟซ 4 ขึ้นไป ผมไม่มีความมั่นใจว่าจะรับมือซาตานไหว ไม่สิ มั่นใจเลยแหละว่าแพ้แหงๆ
พูดก็พูดเถอะ ซาตานแข็งแกร่งไม่แพ้จอมมาร หรืออาจจะแกร่งกว่าด้วยซ้ำในแง่ของพลังการต่อสู้ ถ้าหากไม่ติดเงื่อนไขที่ว่าเทพไม่อาจถูกฆ่าตายได้ ซาตานเป็นตัวตนเพียงหนึ่งเดียวในยุคโบราณที่สามารถไล่ปาดคอทวยเทพทุกตน นอกจากเทพมังกรได้ และถ้าอยู่ใน เฟซ 5 เมื่อไหร่ เธอจะมีพลังระดับที่ชนกับเทพมังกรได้โดยตรง และน่าจะ 1-9 กับทวยเทพทุกตนนอกจากเทพมังกรได้สบายๆ
แต่สิ่งที่ผมกลัวในตัวซาตานที่สุดไม่ใช่ว่าผมจะโดนซาตานฆ่า ตราบใดที่ยังไม่ยกระดับตัวเองไปไกลกว่า เฟซ 3 ผมก็ไม่มีทางโดนเธอเล่นงานถึงตายหรอก แต่–อาณาจักรนี้อาจจะระเบิดก่อนก็เป็นได้ อย่างที่เห็นตามรูปเหตุการณ์ เธอแค่เหวี่ยงดาบไม่กี่ที เมืองในระยะไกลหลายกิโลก็เละเป็นกองได้แล้วละ
แค่ เฟซ 1 ก็ขนาดนี้แล้ว ..น่ากลัวจริงๆแฮะ เอาเถอะ
กว่าจะไปเฟซที่ไกล เฟซ3 เธอจะต้องเก็บมานาเข้าร่างกายเรื่อยๆก่อน คาดว่าใช้เวลานานทีเดียวเลยหายห่วงได้
“คุณไรเดน ไปก่อนเลยครับ เดี่ยวผมรับมือยัยนี่เอง”
“เข้าใจแล้ว ฝากด้วย”
ไรเดนตอบกลับง่ายๆจากนั้นก็รีบวิ่งตามเรนไปต่อทันที ซาตานทำท่าจะขัดขวางด้วยการเหวี่ยงดาบ ผมรีบอัดเปลวเพลิงสวนเธอทันที
แน่นอนว่าโดนทำลายทิ้งด้วยเพลิงของเธอ ซาตานถอนหายใจแบบหงุดหงิด ก่อนหันหน้ามามองผม และดูตกใจขึ้นมา
“..นาย ..คนรักของท่านจอมมารไม่ใช่รึไง?”
“ก็ประมาณนั้น”
“ให้ฆ่าคนรักของท่านจอมมารคงไม่ไหว ปล่อยให้เจ้าเรนมันโดนฆ่าให้จบๆไปละกัน”
คิดแบบนั้นจริงดิ อีกฝ่ายเป็นพันธมิตรเชียวนะ ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่ไม่ได้พูดออกไป เพราะเข้าทางผม
“ไม่สิ ให้เป็นแบบนั้นก็ไม่ได้ด้วย แมม่อนคงบ่นแย่ ..ช่วยยอมแพ้หน่อยจะได้รึเปล่า คนรักของท่านจอมมาร”
“ไม่ได้ที่ต้องบอกให้ยอมแพ้มันทางนี้ต่างหาก!”
ซาตานถอนหายใจอีกครั้ง คิดว่าการถอนหายใจบ่อยๆคือเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคนขี้หงุดหงิดเช่น ซาตาน ถึงนิสัยแรกเริ่มเท่าที่เห็นในยุคโบราณจะเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่ดูอ่อนแอ แต่เพราะผ่านอะไรมาหลายอย่างในช่วงหลายแสนปีมานี้ ทำให้นิสัยเปลี่ยน และโหดร้ายขึ้นมาได้ขนาดนี้เลยละ
“ช่วยไม่ได้”
ทางนี้ก็เหมือนกัน บอกตามตรงไม่อยากสู้ด้วยเลยนะ นอกจาก ‘เอเธอร์’ ก็มีซาตานเนี่ยแหละนะที่ไม่อยากจะเป็นศัตรูด้วย เธอ ..แข็งแกร่งระดับนั้นเลยละ
ในนิยายต้นฉบับ เธอเป็นตัวละครที่เล่นยูจิในช่วงที่เก่งที่สุดเกือบตายด้วยพลังแห่ง เฟซ 5 ของซาตาน แต่ยูจิชนะมาได้ด้วยพลังแห่งปาฏิหารย์ ซึ่งผมมารู้ในภายหลังว่ามันคือ ‘พล็อตอาร์มเมอร์(การปกป้องจากพลอตเรื่อง)’ ที่พวกทวยเทพเขามีติดไว้กับตัวกัน ส่งผลให้ซาตานฆ่ายูจิไม่ตาย และพ่ายแพ้ไปในที่สุด แต่ว่านะ ..FACT ก็คือยูจิที่เก่งที่สุดโดนซาตานซัดตายแน่นอน ถ้าไม่มีวิญญาณของเทพ และเผอิญว่า–ไอ้ผมไม่ใช่เทพด้วยนี่ดิ!
ให้เปรียบเทียบการต่อสู้กับซาตาน เธอเป็นตัวตนที่เหมือนกับ ‘บอส’ ประจำเกมออนไลน์ และใช่ พวกบอสในเกมออนไลน์นั้นยากที่จะต่อกรได้ด้วยตัวคนเดียว เท่าที่ผมรู้จักบนโลกนี้มีตัวตนระดับบอสเกมออนไลน์แค่สองตนเท่านั้น นั่นคือ ‘เทพมังกร’ แล้วก็ ‘ซาตาน เฟซ 5’ เนี่ยแหละ
“จะยังไงก็ได้ แต่อย่าเข้า เฟซ 5 เชียวละ!!!”
“ทางนี้ก็ไม่ได้อยากเข้าหรอก”
ก่อนที่พวกเราจะแลกกันอีกครั้งด้วยเพลิงทำลายล้าง–มหามังกรเทียมสายฟ้ากำลังแบกร่างของอลิซาเบธที่ปักด้วยลูกธนูมาทางนี้
“ซะ ซาตาน!! อลิซาเบธแย่แล้ว โดนยัยเบ็นจิโร่มันเล่นเข้า สโนว์ก็โดนจับตัวไป ฉันต้องรีบไป ..อ๊ะ แกมัน!!”
ไม่เจอกันนานแฮะ ไอ้เด็กเปรตสายฟ้านั่น
ทันทีที่พวกเราพบกันอีกครั้งก็สื่อสารกันผ่านสายตาได้เลยละ ทั้งผมและมันต่างมีคำด่าส่งถึงกันไปมา ..แต่ก่อนอื่น อลิซาเบธสภาพแย่น่าดู จากที่อานิม่าเล่าให้ฟังคือเบ็นจิโร่เล่นพวกมหามังกรเทียมซะเละ จากนั้นพวกมันก็หนีไปได้พร้อมกับอลิซาเบธ เลยไล่ล่าต่อ และตอนนี้ อลิซาเบธเจ็บหนัก คงเป็นฝีมือของเบ็นจิโร่ด้วยเหมือนกัน
“โธ่เว้ย!! ซาตาน ฝากรับมือยัยเบ็นจิโร่นั่นที ฉันจะไปหาไอ้เรน!”
“ตามนั้น”
พูดคุยกันจบ ปีเตอร์ก็แบกร่างของอลิซาเบธหนีไป
ไม่นาน
เบ็นจิโรก็บินตามมาด้วยความเร็วสูง ซาตาน-กระโดดขึ้นไปบนฟ้าทัดเทียมกับระยะที่เธอบินอยู่ ผมบินตามไปด้วยเรลันดาฟ
“ศัตรู?”
“ระวัง!”
ผมผลักร่างของเบ็นจิโร่ออกด้วยเวทย์ลม ทำให้ซาตานพลาดเป้าในการเหวี่ยงดาบ
ฟรือ!!!! เปลวเพลิงสีแดงฉานทยานขึ้นไปบนท้องฟ้า แยกก้อนเมฆออกจากกัน ละลายหิมะที่ตกลงมาจนหมด และ ..ทำให้หิมะหยุดตกทั่วทั้งอาณาจักรเนลยอนได้ในการตวัดดาบเพียงคราเดียว แถวท้องฟ้ายังเปลี่ยนสีเป็นสีแดงโทนมืดแล้วด้วย
ผมบินลงหลังคา เช่นเดียวกับเบ็นจิโร่ที่ลงที่เดียวกัน พวกเราจ้องไปที่ซาตาน
“พลังบ้าบออะไรกัน”
“อีกฝ่ายเป็นมหาบาปที่แข็งแกร่งที่สุด บาปแห่งโทสะน่ะ”
ผมเท้าสะเอวมองซาตานที่ถอนหายใจเฮือกโตอีกรอบ
“ปล่อยให้หนีไปได้จนได้ ขอโทษด้วย”
“ไม่หรอก ทางนี้เองก็ทำอะไรมากไม่ได้ด้วยสิ”
อีกฝ่ายคือ ซาตาน ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะเมินเฉยได้ ..แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าให้ตายได้ด้วย
อย่างที่บอก ซาตานเป็นตัวตนที่เหมือนกับบอสในเกมออนไลน์ ไม่ใช่แค่เก่งเว่อร์ในร่างสุดท้าย แต่ยังมีเงื่อนไขในการฆ่าให้ตายอีก นั่นคือการปล่อยให้ซาตานระเบิดพลังตัวเองใน เฟซ 5 จนพลังหมด เธอจะไร้พลังโดยสมบูรณ์ ถึงตอนนั้นแหละ ถึงจะฆ่าเธอให้ตายได้ ซึ่งอย่างที่ผมบอก ซาตาน เฟซ 5 มันเก่งเกินไป
วิธีชนะเดียวก็มีแค่-ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับคนอื่นๆ ส่วนพวกผมก็มีหน้าที่ถ่วงเวลาซาตานไว้ให้ได้
เบ็นจิโร่เองก็คงสามารถรับรู้ถึงพลังของซาตานได้เพียงชายตามอง เธอจึงปล่อยวางพวกปีเตอร์ และหันมาหาผม
“เหมือนพวกเราจะต้องร่วมมือกันอีกแล้วละ”
“ไม่ดีรึ?”
เบ็นจิโร่หัวเราะขึ้นจมูก จากนั้นเธอก็บินขึ้นไปบนฟ้า
“น่าเสียดายแต่แถวนี้ไม่มีน้ำที่ช่วยเพิ่มมานาให้ฉันได้เลย ด้วยมานาที่มีจำกัด ทำให้ฉันไม่สามารถสู้ได้แบบอิสระมากเท่าที่ควร จึงขอเป็นฝ่ายสนับสนุนแทน”
ให้จอมเวทย์อย่างผมไปชนตรงๆเนี่ยนะ? แต่ก็เอาเถอะ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดนี่นะ
“รอบนี้ใช้ยูนาช่วยหนักหน่อยละกัน ..เปลี่ยนฟอร์ม”
เรลันดาฟหมุนเข้าหากันเป็นเกรียว–กลายเป็นวงกลมสีทองในที่สุด
“[ธง]”
เกิดแสงจ้าขึ้น คทาเวทย์ของผมกลายร่างเป็น ‘ธง’ ที่ยาวถึงสองเมตร ผมปักธงไว้กับพื้น จากนั้นก็เกิดโดรมสีทองขึ้นในระยะที่กว้างพอสมควร
“นี่มัน?”
“ตราบใดที่มานาของฉันไม่หมด และฉันยังไม่ตาย สิ่งที่อยู่ภายนอกโดรมนี้จะไม่สามารถหลุดไปจากที่นี่ได้ ..ด้วยความสามารถนี้รับมือกับซาตานได้สบายใจกว่า”
ถ้าเกิดต้องสู้กับซาตานที่เหวี่ยงดาบไปมาแบบเอาจริงละก็ทั้งอาณาจักร รวมถึงคนอื่นๆแทบทั้งหมดได้โดนเผาจนเฮี้ยนแหงๆ แถวๆนี้ก็ไม่ไกลจากเขตุที่ผู้คนอพยพไปด้วย แล้วก็ปล่อยให้มีโอกาสที่ซาตานจะเล่นเหลี่ยมเหวี่ยงดาบแอบช่วยเรนไม่ได้ด้วยเหมือนกัน เพื่อเผื่อไว้หลายๆกรณีจึงต้องใช้ฟอร์มธงจำกัดขอบเขตุการทำลายล้างของซาตาน
ข้อเสียคือผมจะใช้เรลันดาฟไม่ได้เลย แต่ก็ช่างมันประไร ศึกนี้ไม่จำเป็นต้องคุมเกมหรืออะไรทั้งนั้น แค่มีชีวิตอยู่ให้นานพอจนทุกอย่างในโลกภายนอกมันจบก็พอ
“ไรเดน อาคาสะ”
มีแต่ต้องฝากความหวังให้คนๆนั้น