เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 267
< < 171 Sec2 > >
“..เทมเมอร์ ..คิดว่าหายสาบสูญไปตั้งแต่พันปีก่อนแล้ว เพราะความอ่อนแอ และความสามารถของทักษะ แต่ ..มันแข็งแกร่งได้นี่เอง”
สโนว์อยู่ในสภาพที่ใจลอยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ดวงตาของเธอ และร่างกายคล้ายว่าหยุดทำงานไปแล้ว—เป็นผลที่เกิดจากการโดนเบ็นจิโร่เล่นงานยกใหญ่
เท็งงุ เบ็นจิโร่ เทมเมอร์ผู้ใช้ธนูเป็นนิดหน่อยได้โยนร่างของสโนว์ที่แบกไว้บนหลังคา พอทำอย่างนั้นสโนว์ก็หมดสติไปโดยสมบูรณ์
“มหามังกรเทียม ..เป็นสิ่งที่น่าสะพึงจริงๆ”
แม้จะเล่นงานสองมหามังกรเทียมซะจนไม่มีที่ยืน แต่เธอก็กล่าวออกมาเช่นนี้
พลังที่มากมายมหาศาลแม้เพียงช่วงเวลาหนึ่ง มหามังกรเทียมจะเข้าสู่ขอบเขตุด้วยกับมหามังกร เสมือนกับพวกเธอมีมานาที่ไร้ขีดจำกัด และมีร่างกายที่เป็นอมตะ ทั้งทุกการโจมตียังมีความเสียหายระดับที่หากใช้ผิวกายมนุษย์รับเข้าไปตรงๆสักทีได้ตายแน่นอน อย่าว่าแต่ เบ็นจิโร่ที่มีเกราะภูตสวรรค์อย่าง เวลเดีย เลย
เกราะเวลเดียมีรอยแตกหักอยู่หลายส่วนจากการต่อสู้ ทั้งถูกแช่แข็งและโดนไฟฟ้าช็อต อาจจะดูเหมือนไม่มีปัญหา แต่ทุกการโจมตีที่อีกฝ่ายมีโอกาสทำเพียงเล็กน้อยนั้นส่งผลมาถึงร่างจริงของเบ็นจิโร่ไม่มากก็น้อย
แล้วก็ ..
“เกินขีดจำกัดแล้ว”
เกราะสวรรค์กริฟฟินกลับคืนสู่ร่างเกราะไร้สีตามเดิม ร่างของปีเตอร์ก็พุ่งออกจากเกราะไปนอนอยู่ข้างๆสโนว์ในสภาพหมดสติเช่นเดียวกัน จากนั้นแขนสองข้างของเวลเดียก็งอกจากตัวเกราะ และใช้แขนดันตัวเองออกจากเกราะ โดยที่เวลเดียโผล่มาครึ่งตัวได้ เธอหัวเราะพึมพำทันทีที่โผล่หัวมา
“ทำเอามานาร่อยหรอเลยนะเนี่ย ท่านหญิง ไหวแน่นะ?”
ข้อความที่เหมือนกับดูถูกกัน– ‘วิลรันเทีย’ ทูตสวรรค์ที่เป็นธนูเอาตัวโผล่มาครึ่งตัวเช่นกัน
“เสียมารยาท!”
“เอาอีกแล้ว โผล่หัวมาบ่นได้น่ารำคาญจริงๆนะ วิลรันเทียเนี่ย”
ก่อนที่ทั้งสองจะบ่นไปมากกว่านี้
“เอาเป็นว่า–ทำได้ดีมาก แต่ก็อย่างที่เห็น มานาไม่พอใช้งานเธอแล้ว กลับไปนอนซะ ถ้ามีธุระอะไรอีกเดี่ยวปลุก”
“ชัยโย!”
เวบเดียมุดตัวกลับเข้าเกราะ ชุดเกราะวับหายไปทันทีอย่างไม่มีพิธีปีตอง ร่างของเบ็นจิโร่กลับมามีขนาดเท่าเดิม เพิ่มเติมก็บาดแผลเล็กๆน้อยที่ติดตามตัวจากการรับมือมหามังกรเทียมพร้อมกับสองตน
“เช่นนั้นดิฉันก็”
“อือ”
วิลรันเทียเองก็มุดตัวกลับเข้าคันธนู และหายวับไปเช่นเดียวกัน
เบ็นจิโร่มองไปรอบๆทั้งข้างล่างบนหลังคาบ้าน หรือเหนือหัวเธอ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วเธอจึงถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นแขน และบริเวณส่วนล่างของแขนซึ่งเปิดกว้าง แม้จะเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แต่มันก็ดูลีนไม่ได้ใหญ่จนผิดกับขนาดตัวของเบ็นจิโร่แต่อย่างไร
“สภาพดูไม่ได้เลย”
แขนข้างซ้ายของเบ็นจิโร่มีสภาพที่เละสุดๆ ทั้งหัก และสั่นไม่หยุด เบ็นจิโร่จึงหยิบเอาขวดน้ำขนาดใหญ่ในกระเป๋าเสื้อคลุมออกมา และราดใส่ตัวเอง
‘มณีวารี’ เลืองแสงทันทีที่ได้รับน้ำ มานาของเธอได้รับการฟื้นฟูกลับมา รวมถึงแขนข้างซ้ายที่มีสภาพไม่น่าดู และแผลเล็กๆตามร่างกาย ทุกบาดแผลในร่างกายของเธอได้รับการเยียวยาด้วยอำนาจของมณีวารี ถึงอย่างไรก็เป็นน้ำจำนวนไม่ได้เยอะมาก คงจะฟื้นฟูอะไรได้ไม่เยอะเท่าที่ควร เบ็นจิโร่อยากจะรักษาแขนตัวเองด้วย [ฮิล] ซ้ำอีกรอบ แต่น่าเสียดายที่เธอใช้เวทมนตร์ที่ใช้ยากอย่างฮิลไม่ได้ เพราะเธอไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้ รวมถึงเวทมนตร์ เล่นแร่แปรธาตุ
ร่างกายของเธอไม่เหมาะกับการใช้ตัวเองเป็นสื่อการใช้มานา แต่เหมาะกับการใช้สิ่งที่ทำพันธสัญญาด้วยเป็นสื่อกลางใช้เวทมนตร์มากกว่า จึงเป็นที่มาของการที่เธอเลือกจะเป็น ‘เทมเมอร์’ ทักษะที่แทบจะหายสาบสูญไปจากโลกใบนี้
ขุมพลังแทบทั้งหมด นอกจากทักษะการต่อสู้และสายเลือดเท็งงุของเธอนั้นอยู่ที่สิ่งที่ทำพันธสัญญาด้วยล้วนๆเลย ไม่ว่าจะภูตสวรรค์ หรือสัตว์มายาอย่างกริฟฟิน แน่นอนว่ายังมีตัวอื่นๆอีกที่เธอทำพันธสัญญาด้วย ทั้งหมดใช้ต่างกันไปแต่ละสถานการณ์ และมีปริมาณที่ใช้มานาต่างกันไปแต่ละสิ่งมีชีวิต
อย่างที่รู้กันดี ตัวเธอนั้นเริ่มต้นจากติดลบ ด้วยพรสวรรค์ที่ใช้งานได้ยาก ดวงตาที่ถ้าเพ่งเล็งมากเกินไปก็จะแหลก ปีกที่ใช้งานมากไม่ได้ แต่ด้วยการทำพันธสัญญากับหลายๆอย่าง ทำให้ข้อเสียทั้งหมดได้รับการกลบหรือเสริมทักษะขึ้นแล้วแต่การเลือกใช้งาน
เธอกลายเป็นนักรบที่เปลี่ยนรูปแบบการโจมตีได้อย่างอิสระ เสมือนตัวตนที่ปรับค่าสเตตัสตัวเองได้ดั่งใจนึก และหากเป็นการต่อสู้ในทะเล เธอจะเข้าสู่ขอบเขตุตัวตน ‘กึ่งอมตะ’ ด้วยความสามารถของมณีวารี ข้อเสียเดียวของเธอจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเธอสู้บนบกที่ไม่มีน้ำมาคอยฟื้นฟูมานาให้ ทำให้หากเธอใส่เต็มอย่างที่สู้กับสองมหามังกรเทียม ร่างกายของเธอจะต้องแบกรับภาระมหาศาล และสู้ได้ในเวลาที่จำกัด
อย่างไรก็ช่าง เธอคือตัวตนที่หลายคนเชื่อว่าจะก้าวข้าม ไรเดน อาคาสะ ไปได้ เป็นหนึ่งในสัตว์ประหลาดของเนลยอนเคียงคู่ ไรเดน อาคาสะ ทั้งยังเป็นคู่แข่งของ เรเซอร์ ดราแคล์ เธอนั้นแข็งแกร่งที่สุดในฐานะ ‘เทมเมอร์’ อย่างไม่ต้องสงสัย
เบ็นจิโร่หยิบน้ำอีกขวดมาราดตัวเอง ด้วยเนื้อผ้าที่บางก็เผยให้เห็นเลือนร่างจางๆ แต่ในฐานะทหารเรือ เธอมิได้เขินอายแต่อย่างไร
“เอาละ’
เบ็นจิโร่หันกลับมาหาสองมหามังกรเทียมที่นอนหลับปุ๋ย—
“อึก!!!”
สโนว์ตื่นแล้ว
เร็วมาก
เธอพุ่งเข้าใส่เบ็นจิโร่
ไม่ได้ยินเสียงเลย? แช่แข็งเสียงฝีเท้าตัวเองอยู่กระมัง แต่ว่า–ดูจากสภาพแล้ว มานาก็ไม่น่าจะมีเยอะเท่าไหร่ ถ้าเกิดยังมีมานาเหลือเยอะ เธอน่าจะระเบิดน้ำแข็งอัดเบ็นจิโร่ให้ตายโดยตั้งตัวไม่ทันเลยยังได้ ทันทีที่ได้ข้อสรุปว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยมีมานา เบ็นจิโร่ก็พุ่งสวน
หมัดซ้ายพุ่งอัดหน้าของสโนว์-สโนว์ฝืน พยายามจะใช้แขนข้างที่ใกล้ที่สุดคว้าร่างของเบ็นจิโร่ให้ได้ แต่เบ็นจิโร่ก็ดูทันว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะสัมผัสร่างของเธอ เธอจึงหลบ และเตะเข้าที่หน้าท้อง—
“อั้ก!!!”
สโนว์กระอักน้ำลาย สภาพไม่สู้ดี น้ำแข็งที่รวบรวมไว้ในมือก็สลาย เบ็นจิโร่ดึงมีดสั้นออกจากฝัก และพุ่งเข้าไปหมายจะฟันทิ้ง
“ไม่ให้ทำหรอกค่ะ!”
อลิซาเบธโผล่มา และเหวี่ยงเคียวของเธอใส่ เบ็นจิโร่ใช้มีดสั้นตั้งรับเพียงวิเดียว ก่อนจะใช้แรงดันช่วยส่งตัวเองลอดตัวหลบเคียว เบ็นจิโร่ไม่รอช้า พุ่งเข้าใส่อลิซาเบธต่อทันที
“!!”
แต่ก็หยุดตัวเอง และกระโดดหลบไปทางขวา ตามคาด เคียวของอลิซาเบธพุ่งเข้ามาหมายจะสะบั้นคอของเธอ ยังดีที่ไหวตัวทัน—เบ็นจิโร่เสกคันธนูออกมาอีกครั้ง เธอแอบยิงธนูจากข้างหลังโดยอาศัยมุมมองที่อลิซาเบธมองไม่เห็น
ลูกศรอากาศพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว และปักเข้าที่ไหล่ซ้ายหนึ่งรอบ ไหล่ขวา-อลิซาเบธรับมืออย่างทันท่วงทีหลังจากที่โดนดอกแรก
“ฮึย!”
อลิซาเบธใช้เคียวเกี่ยวลำตัวสโนว์ และโยนขึ้นมาไว้บนบ่า ก่อนจะรีบกระโดดหนีไปทางอื่น
ต้องรีบตามไป แต่ว่า—ตรงหน้าท้องของเบ็นจิโร่มีบาดแผลขนาดใหญ่พอประมาณอยู่
“พลาดจนได้”
พอนึกๆดูก็น่าจะจังหวะปะทะที่สองที่เคียวของอลิซาเบธยื่นออกจากที่จับได้ ตอนนั้นน่าจะพลาดโดนเข้าก่อนหลบทันกระมัง?
เบ็นจิโร่มองแผ่นหลังของอลิซาเบธที่ใกล้ออกไป ก่อนถอนหายใจโดยปล่อยวาง
“ช่วยไม่ได้สินะ”
“ขะ ขอโทษด้วยนะคะ คุณเบ็นจิโร่”
อานิม่าพึ่งวิ่งมาอย่างทุลักทุเล ด้วยพลังกายที่ต่ำเตี้ยอยู่แล้วจึงไม่แปลกที่จะตามอลิซาเบธไม่ทัน
“จู่ๆอลิซาเบธก็ทิ้งการต่อสู้กับฉันแล้วตรงมาหาทางคุณเลยน่ะค่ะ”
“ฉันพลาดเองที่วางใจเร็วเกินไป ถ้าฝืนตัวเองอีกหน่อย อาจจะรวบทีเดียวสามคนเลยก็ได้ ต้องบอกว่าเป็นผลลัพธ์ที่น่าผิดหวังจากผลงานที่ไม่ได้เรื่อง”
“ไม่หรอกค่ะ เล่นรับมือมหามังกรเทียมพร้อมกับสองคนเนี่ย ..แถมยังชนะอีก”
เบ็นจิโร่ส่ายหัวไปมาอย่างผิดหวัง ก่อนจะกระโดดลงไปข้างล่าง และตรงไปที่สายน้ำที่ผ่านไปมา เธอกระโดดลงไปในน้ำ และเล่นน้ำราวกับเด็กน้อย ทั้งๆที่มีสีหน้าเข้มขรึมจริงจัง ทำเอายากจะรู้เลยว่ายัยคนนี้มันจะอารมณ์ไหนกันแน่
“…”
“ขอนาทีเดียวพอ”
เป็นการชาร์จพลังที่แปลกดี?
“ที่สำคัญช่วยมัดมหามังกรสายฟ้าคนนั้นไว้ที”
“รับทราบค่ะ”
ด้วยอารมณ์ของเบ็นจิโร่ที่เหมือนกับหัวหน้างานสายจริงจัง ทำให้อานิม่าเผลอพูดสุภาพ และวางตัวเป็นลูกน้องโดยไม่รู้ตัว
****
อลิซาเบธอุ้มสโนว์หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอีกไม่นาน–เบ็นจิโร่จะตามพวกเธอมาแน่นอน
“ขอโทษนะ ..เบ็นจิโร่แข็งแกร่งเกินไป”
“ขนาดวางแผนลากเบ็นจิโร่ให้ออกมาสู้ในจุดที่ไม่มีน้ำก็ยังไม่ไหวสินะคะ”
“อือ ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ สโนว์ทำได้ดีแล้ว ..อีกไม่นาน ก็จะได้รับการปลดปล่อยแล้วค่ะ”
อีกไม่นานจะได้รับการปลดปล่อย? สโนว์ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มร่าออกมา
“นั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ท่านเรนจะปลดปล่อยพวกคุณทั้งสามคน”
“ที่พูดมัน..ดีจังเลยนะ แต่ว่า..อลิซาเบธ”
สโนว์หรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนพูด
“ขอโทษจริงๆนะ”
…..
“แล้วก็ขอบคุณ”
อลิซาเบธนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะยิ้มตอบอย่างไม่คิดอะไรมาก แน่นอนว่าเธอรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่าสโนว์สื่อถึงอะไร
****
“ตื่นเร็วจังเลยนะคะ”
“..บะ..เบ็นจิโร่!!!! ไอ้เปรตเบ็นจิโร่มันไปอยู่ไหนของมัน!! ฉันจะคิดบัญชีกับมัน!”
“น่าเสียดายแต่คุณเบ็นจิโร่เขาไปทำงานของเขาต่อแล้วค่ะ ส่วนตอนนี้คุณปีเตอร์? สินะคะ ตอนนี้คุณถูกจับกุมตัว คุณจะได้รับการปลดปล่อยแล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องไปทำงานสกปรกให้เรนอีกต่อไป ดีสุดๆเลยไม่ใช่เหรอคะเนี่ย?”
ปีเตอร์ได้ยินคำปลอบกึ่งๆเสแสร้งของอานิม่าก็ถุยน้ำลายใส่หน้า โดยที่อานิม่าแม้จะโดนถุยน้ำลายใส่เธอก็ยังคงยิ้มให้อย่างสวยงาม
“ปล่อยฉันซะ!!!!! จะยอมตายทั้งๆที่ยังไม่ได้คิดบัญชี—มันได้ที่ไหนกัน!!?”
“ตาย? ไม่มีใครตั้งใจจะฆ่าคุณหรอกนะคะ”
สำหรับตอนนี้เท่านั้น ต่อจากนี้ก็ไม่แน่–แต่ก็จริงที่เบ็นจิโร่กับอานิม่า ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่คิดจะฆ่าปีเตอร์หรอก
“อย่าบอกนะว่าพวกแกไม่รู้อะไรเลยน่ะ? ฮ่าๆๆๆๆๆ โง่ได้โล่ซะจริงๆเลยพวกมนุษย์เนี่ย”
“มนุษย์? อ๋อ ใช่ค่ะ มนุษย์เองค่ะ ว่าแต่ที่พูดเนี่ยน่าสนใจดีนะคะ”
อานิม่ายื่นหน้าเข้าไปใกล้ปีเตอร์จนหน้าแทบจะชนกัน ปีเตอร์หยุดปากดีอย่างกระทันหัน …
“ดะ ..เดี่ยว”
จู่ๆก็มีท่าทางเขินอายขึ้นมา ถึงจะปากดีและมีอายุเยอะแค่ไหน แต่ภายในก็แค่เด็กอายุน้อยที่ปากเสียนิดหน่อยแค่นั้น จะเขินอายกับเรื่องแค่นี้จึงไม่แปลก แน่นอน ผู้ใหญ่อย่างอานิม่าไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย เธอแค่ตั้งใจจะอ่านใจปีเตอร์เล็กๆน้อยๆก็เท่านั้น ..แต่พอได้อ่านใจดูแล้วเธอก็นิ่งไปด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี
“..เครื่องสังเวย”
“..นี่แก เห็นอะไรน่ะ?”
ปีเตอร์พึ่งจะรู้สึกตัวว่าอานิม่ามีบางอย่างแปลกๆ
“แก..แอบดูเหรอ?”
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะ แต่ก็ประมาณนั้น เกินคาดเลยนะคะที่อาวุธสงครามอย่างพวกคุณ แท้จริงแล้วจะเป็น— ‘เครื่องสังเวย’ ของเรน”
อานิม่าลูบคางตัวเองครุ่นคิด ‘ก็นึกอยู่หรอกว่าทำไมต้องสร้างมหามังกรเทียมที่ขั้นตอนการสร้างดูยากกว่าอย่างอื่นขึ้นมาด้วย แต่เพราะอย่างนี้เองสินะ ..ถ้าไม่ใช่มหามังกร ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ใกล้เคียงกับมหามังกร แผนการณ์ก็ไม่มีทางเป็นจริง’
“ที่บอกว่ายังไงก็คงตายเร็วๆนี้ดูท่าจะจริงนะคะ แถมยัง ..ประสบความสำเร็จในหน้าที่ตัวเองมหาศาลเลย เก็บข้อมูลของคุณเบ็นจิโร่ไปได้เยอะเลยนะคะ ทั้งยังช่วยถ่วงเวลา และเล่นงานคุณเบ็นจิโร่ได้ในระดับหนึ่ง”
“….”
“ภัยพิบัติของโลกคนนั้น ดูท่าจะไม่ใช่แค่คนโง่นะคะ”
ไม่มีทางที่คนโง่จะตั้งตนเป็นศัตรูของโลกได้หรอก ..
“เออ ใช่ ไม่ช้าก็เร็ว ยังไงพวกเราสามมหามังกรเทียมก็ต้องถูกสังเวยเพื่อพิธีกรรมคืนชีพ ‘เทพมังกร’ อยู่ดี จะหมดสภาพการต่อสู้ หรือใกล้ตายยังไงก็ไม่สำคัญ ต่อให้ตาย แก่นแท้ก็คงจะลอยอยู่แถวๆนี้และใช้สังเวยได้อยู่ดี หน้าที่ก็มีแค่ถ่วงเวลา ส่งข้อมูลความสามารถของพวกตัวปัญหาไปให้ไอ้เรน แล้วก็ตายเพื่อมันอยู่ดี”
เป้าหมายของเรน คือการคืนชีพ ‘เทพมังกร’ เช่นเดียวกับเนลยอน และอามาเทราสึ ฮิโรโตะก็รู้เห็นเกี่ยวกับแผนนี้ด้วย ก็จริงที่พวกอานิม่ารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ข้อมูลที่ต้องใช้มหามังกรเทียมสังเวยนั้นไม่เคยรู้มาก่อนเลย
อานิม่าวิเคราะห์ข้อมูลทุกอย่างในสมอง
“วิธีคืนชีพเทพมังกร”
ในฐานะหนึ่งในสิบเทพเช่นเดียวกัน เธอพอจะรู้ได้
มานาจำนวนมหาศาลจากการต่อสู้ แก่นแท้ของมหามังกร ใช้ของเทียมแทนได้สี่พอดี(น้ำแข็ง,สายฟ้า,แสง,ความมืด) เพียงเท่านี้ก็จะอัญเชิญเทพมังกรกลับคืนสู่โลกใบนี้ได้ แต่ปัญหามันไม่ใช่แค่นั้น–
“..เหลี่ยมจัดสุดๆเลยนะ เรนคนนั้น”
อานิม่ารู้ดีในสิ่งที่เนลยอนเองก็คงจะไม่รู้ ..
“จุดเริ่มต้นของเทพมังกรก็คือพลัง เขาไม่มีตัวตนอยู่จริงหรอก เขาเป็นเพียงแค่ก้อนพลังที่ไร้รูปลักษณ์ที่แท้จริง แค่มังกรเป็นรูปลักษณ์ของความแข็งแกร่งที่สุด เทพที่แข็งแกร่งที่สุดจึงเป็นเทพมังกรก็แค่นั้น อย่างไรก็ตาม การถือกำเนิดของเขามันจะเป็นเพียงแค่การถือกำเนิดของพลัง” อานิม่าถอนหายใจ “เรนตั้งใจจะครอบครองพลังนั้น ..ตั้งใจขึ้นเป็น ‘เทพมังกร’”
….
“ก็ตามนั้น”
“ไม่เฉลยง่ายไปหน่อยหรือคะ?”
“ฉันเกลียดเรน ..ถ้าทรยศได้ทรยศไปนานแล้ว”
“คิดว่าโอกาสให้ทรยศมีมากกว่าที่คิดนะคะ”
อานิม่าพอจะเข้าใจทุกอย่างได้เพียงแค่ชายตามอง ..
****
พื้นที่โล่งๆ ไร้ซึ่งธรรมชาติหรือเทคโนโลยี เป็นเพียงพื้นที่ที่ยาวอย่างไร้จุดสิ้นสุด ณ ข้างใต้ของอาณาจักรเนลยอน
มหามังกรเพลิง ‘ฟัฟนิร์’
มหามังกรวายุ ‘แซร์อิซ’ และผู้ติดตาม ‘อลิซ’
ทั้งสองตัวหนึ่งคนเดินตามกันมา โดยที่ผู้ติดตามอย่างอลิซนั้นเดินไปตัวสั่นไปไม่หยุด
ทั้งสามเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่-เด็กหนุ่มก็ไม่ใช่ เด็กสาวก็ไม่เชิง มนุษย์คนหนึ่งที่มีความใกล้เคียงกับเพศทั้งสองเพศ เขาคือ มหามังกรวารี ‘เนลยอน’
เนลยอนยืนรอการมาถึงของแขกคนสำคัญ
“ไม่ได้เจอกันนานนะ เนลยอน หลายสิบปีได้”
“ส่วนข้าล่าสุดน่าจะร้อยปีก่อนกระมัง?”
“..นั่นน่ะเหรอ มหามังกรวารี ดูสมมาดมหามังกรกว่าแซร์อิซเยอะเลยนะ”
ต่างคนต่างการทักทาย และเนลยอนก็ไม่คิดจะตอบกลับใครเลย เขาทำเพียงยืนมองอย่างจิกกัด
“..ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเหรอ? นี่พี่สาวนะ ฟัฟนิร์เองนะ เนลยอน”
“เมื่อไหร่จะเลิกเล่นเป็นครอบครัวไร้สาระเสียทีกัน ฟัฟนิร์”
ฟัฟนิร์อ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูกจึงหัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อน
“..เจ้าเนี่ยไม่เปลี่ยนจากเดิมเลยนะ น้องรัก ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน เจ้าก็เอาแต่จะยึดติดอยู่กับต้นกำเนิดของพวกเราอย่างท่านพ่อ แม้จะพยายามพูดคุยด้วยมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ก็จบที่การทะเลาะวิวาท และความทะเยอทะยานของเจ้าที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” แซร์อิซหยักไหล่ “เอาแต่ร้องหาท่านพ่อ โดยไม่เห็นหัวพวกข้าที่เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันเลย”
“มาที่นี่เพื่ออะไร? ไม่ต้องถามก็พอจะรู้ได้แล้วละ ฟัฟนิร์ แซร์อิซ แล้วก็ลิงผู้ติดตามชั้นต่ำ จะบอกให้เอาบุญว่าตอนนี้กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ..อารมณ์ไม่ดีสุดๆเลยด้วย” เนลยอนขยี้ผมตัวเองอย่างรุนแรง ทุกการกระทำเต็มไปด้วยโทสะอันมากล้น “ถ้าคิดจะขวางกันละก็–ตายสถานเดียว”
มาถึงขนาดนี้แล้ว ทั้งสองไม่ได้กลัวความตายหรืออะไรเลย ฟัฟนิร์สัมผัสหน้าอกของตัวเองที่มีเสียงเต้นของหัวใจแห่งมหามังกรเพลิงอยู่ ถึงน่าเสียดายที่มันจะโดนแบ่งขึ้นไปแล้วก็ตาม แต่ว่ายังไงมันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“ที่พวกข้ามาหยุดเจ้า ไม่ใช่เพราะการคืนชีพท่านพ่อเป็นเรื่องที่ผิดหรอกนะ แต่แผนของเรนคือการสังเวยมหามังกรเทียม แล้วก็–รวมถึงมหามังกรวารีเช่นเจ้าด้วย” ฟัฟนิร์ยิ้มให้เนลยอน “ข้าทนไม่ได้หรอกที่จะต้องเห็นเจ้าตายจากไป เนลยอน ช่วยลืมตาตื่นขึ้นจากความฝันทีเถอะ หากเจ้าต้องการไออุ่นข้าจะช่วยจุดไฟให้เจ้าเอง หากเจ้าต้องการความร่มเย็น แซร์อิซจะช่วยเป่าลมให้เจ้าเอง และหากเจ้าต้องการบ้าน เกรลจะช่วยสร้างให้เอง”
….
“ถึงช่วงนี้เกรลจะไปติดผู้ชายคนหนึ่งเข้าก็เถอะ แต่เกรลไม่มีทางลืมพวกเราพี่น้องมหามังกรแน่นอน เพราะอย่างนั้นนะ ..เนลยอน ช่วยจับมือข้าที”
ฟัฟนิร์ยื่นมือออกไปให้ และมือนั่นก็หลุดจากร่างของเธอแทบจะทันที
“ที่ต้องลืมตาตื่นมองความจริง มันพวกแกต่างหาก ..ข้าไม่คิดญาติดีกับของจอมปลอมอย่างพวกแกหรอก”
“..เนลยอน”
“ถ้าข้าขัดขืนพวกแกจะทำอะไรต่อล่ะ? ใช้กำลังบังคับใช่มั้ยล่ะ? เหอะ! ทำเป็นพูดสวยหรูแต่สุดท้ายก็ลงอีหรอบเดิม ไม่ใช่แค่ข้าหรอกที่ไม่เคยเปลี่ยนไป พวกแกเองก็คงเหมือนๆกันนั่นแหละ ตั้งแต่เมื่อตอนที่จมโลกลงสู่ความมืดมิดนิรันดร์ ..พอดีเลย”
เนลยอนค่อยๆเดินเข้ามา พร้อมกับการสั่นสะเทือนของมานาจำนวนมหาศาลที่อยู่รอบตัว สายน้ำค่อยๆโผล่ขึ้นมาโอบร่างของเนลยอนเอาไว้
“คราวนี้ไม่มีวีรสตรีจอมจุ้นมาป้วนเปี้ยน ตอนนี้มีแต่ข้าและพวกชั้นต่ำอย่างพวกแก ถ้าเป็นตอนนี้คงจะตัดสินกันได้อย่างขาวสะอาด ..ถ้าอยากจะหยุดข้านักก็ฆ่าข้าซะสิ แต่บอกให้รู้ไว้เลย ไม่ว่าข้าจะแพ้ หรือชนะ ผลลัพธ์ในจิตใจของข้าก็ไม่มีวันแปรเปลี่ยน!!!”
สายน้ำได้ปกคลุมร่างของเนลยอน และระเบิดออกมา—ผ้าสีขาวที่ลอยไปมาตามอากาศ ตามมาด้วยอาภรณ์ที่งดงาม
กระทั่งในร่างๆนี้ เนลยอนก็ยังงดงามเสมือนหญิงสาว และทรงด้วยสเน่ห์เสมือนชายหนุ่ม
เกร็ดมังกรสีฟ้าปกคลุมทั่วทั้งร่าง ยกเว้นบริเวณลำคอลงไปถึงหน้าท้อง ผ้าพาดคอมหาสมุทรที่ลอยไปมาตามอากาศ และคล้องคอของเนลยอนเอาไว้ บริเวณกลางปีกที่ส่องแสงอย่างงดงาม วงแหวนแห่งสายน้ำบนหัว แล้วก็บนมือที่ถือดาบเรเปียร์เอาไว้ สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือคลื่นพลังที่ต่างจากทุกที
“[อาภรณ์เทพมังกร]-[มิซุคามิ]”
เนลยอนพึมพำขึ้น ก่อนจะมองเหยียดลงมาที่พวกชั้นต่ำทั้งหลาย