เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 26: จุดเริ่มต้นของชีวิตนักเรียน
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 26: จุดเริ่มต้นของชีวิตนักเรียน
< < 24 > >
——–อย่าหนีนะโว้ย!!
ผมวิ่งไล่ไอหัวขโมย กกน.—-ผู้ใส่ร้ายป้ายสีให้ผม ผู้ที่ทำให้ผมต้องวิ่งหนีสาวๆ และวิ่งไล่กวดมันแบบห้ามหยุด
มันผู้นั้นชื่อ ‘เรย์’ เจ้าเพื่อนพระเอกตัวป่วนแสนน่ารำคาญ ผู้เป็นน้องชายของชิน คนคนนี้นั่นแหละ ที่ทำให้ผมตกสู่สถานการณ์วิกฤตซ้ำซ้อน
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนพึ่งโดนสาวทิ้ง แล้วเจอกับโจรข้างทางมาหยกๆเอง! ไอ้บ้านี่!
“แกนะแก!!”
ผมร้องสุดเสียงทั้งน้ำตา
“ฮะๆๆ! วิ่งเร็วจริง เป็นนักเวทจริงปะเนี่ย!”
“เออดิ!”
ผมวิ่งตามเจ้าบ้านั่นไปอย่างไม่คิดชีวิต—พูดให้ถูกคือคำนึงถึงชีวิตตัวเองดี ถึงได้ตัดสินใจวิ่งตามไปอย่างสุดตัวต่างหาก
ผู้หญิงนับสิบคนกำลังวิ่งตามหลังผมมา เนื่องจากพากันคิดเองเออเองไปว่าผมเป็นโจรขโมยกางเกงใน เพราะฉะนั้น—ต้องจับไอหัวขโมยตัวจริงให้ได้ก่อนที่ชีวิตวัยเรียนจะพังย่อยยับ
“ไอบ้ากามข้างหน้าน่ะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็หยุดวิ่งหนีได้แล้ว!”
ผมกล่าวเตือนไปก่อนที่ผมจะเริ่มเอาจริงเอาจังกับเขา
บังอาจมาใส่ร้ายป้ายสีผมซะได้ …ถึงชั่ววูบหนึ่งผมเกือบจะเก็บมันเข้ากระเป๋าแล้วก็เถอะ ไอสามเหลี่ยม กกน. นั่นน่ะ แต่ตอนนั้นไม่นับจึงลงเอยได้ว่า เซฟ!!
แต่ว่าก็ว่าเถอะ ตอนนี้ กกน. มันอยู่ในกำมือผมไปแล้วละ บ้าเอ๊ย ขืนถูกจับได้ขึ้นมาแก้ตัวไม่ขึ้นแหงๆ ชีวิตผมได้พังแหงๆ!! ไอ้เลวระยำ!!
ผมไม่เหมือนกับเรย์หรอกนะ ที่ต่อให้โดนผู้หญิงเกลียดขี้หน้าแล้วจะใช้ชีวิตเฮฮาต่อได้หน้าตาเฉยน่ะ ผมมีหน้าตาทางสังคมพอตัวเลย ต่างกับบักเรย์
“—แน่จริงก็ทำให้ได้สิ วะฮ่ะ!”
ไอหมอนี่ท้าทายกันสินะ! ได้ดิ!
“—ยูนา!!!”
‘ไม่ได้ค่ะ’
ซะอย่างนั้น
“ทำไมกันเล่า!? ฉันกำลังโดนใส่ร้ายป้ายสีนะ! จะให้เจ้านายสุดที่รักของตัวเองโดนรังเกียจแบบนี้ คิดดีแล้วเรอะ?”
‘ที่ฉันเห็นก็แค่ไอ้โรคจิตซึ่งถูกเสน่ห์ของกางเกงในสาวน้อยล่อลวงจนเกือบจะเก็บไว้กับตัว …เท่านั้นค่ะ ที่สำคัญจะถือไว้ทำซากไร?’
—ฮึย! ถึงจะจริงก็เถอะ แต่ไม่ใช่! ที่ผมหยิบมาด้วยน่ะเพื่อยัดให้เจ้าบ้าเรย์ต่างหาก
‘โรคจิตค่ะ อย่างมาสเตอร์น่ะสมควรโดนลงโทษขั้นหนัก แล้วก็เจ้าหนุ่มชื่อเรย์ด้วย’
“ไม่สนแล้ว! ฉันจะใช้พลังละนะ!”
ผมไม่จำเป็นต้องขออนุญาตยูนาเวลาจะใช้พลังของเธอหรอก แค่ตั้งใจผมก็ทำได้แล้ว เพียงแค่ถามเป็นมารยาทต่อกันเท่านั้น—
‘ลองสิคะ’
ทว่าน้ำเสียงเย็นชาของเธอทำให้ความคิดในหัวผมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ —-ขอโทษครับ จะพยายามด้วยตัวเองดูครับ
‘เข้าใจก็ดีแล้วค่ะ’
พูดจบยูนาจึงเงียบไปเลย
เป็นคนที่โมโหง่ายจริงๆ …!! เอาไงเอากัน
“อย่าคิดว่าจะหนีได้เชียวละ!”
“ฮะๆ ที่หอนี้เขาห้ามใช้เวทมนตร์นา!”
“—-เออ! แล้วทำไม!? คิดเรอะว่าจะวิ่งหนีฉันได้น่ะ!” ผมแสยะยิ้ม “ต่อให้ใช้เวทมนต์ไม่ได้ก็ตาม แต่ระดับแกไม่เกินมือฉันหรอก!”
“ระยะทางเราก็ตั้งไกลกัน เห็นแบบนี้แต่ร่างกายของฉันเอาเรื่อง——เอ๋!!!!?”
เมื่อเรย์หันหลังกลับมาก็ตะลึงกับภาพเบื้องหน้า—ผมวิ่งตามหลังเรย์มาติดๆ แล้ว
“——ไม่จริงน่า!”
“ก็แสดงให้เห็นแล้วนี่ไง!”
เรย์หน้าเหวออย่างเห็นได้ชัด เขามั่นใจในพลังกายเพรียวๆ ของตัวเองมากที่สุด ระดับที่ว่าในโรงเรียนนี้มีไม่มีคนที่ทัดเทียมกับเขาด้านนี้ได้—แต่เสียใจด้วย เพราะผมเป็นไอขี้โกงมากพรสวรรค์ไงละ แน่นอน ถ้าใช้ยูนาหรือเวทย์ช่วย มันจะสุดยอดยิ่งกว่านี้อีก! แหงละ!
อย่างที่ว่า วงจรเวทย์ คือตัวกำหนดปริมาณพลังกายในร่างกายตัวเอง ยิ่งวงจรเวทย์ดีพลังกายก็ยิ่งมากขึ้น นอกจากนี้ปริมาณเวทมนตร์ในการใช้เวทมนตร์แต่ละทีก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆด้วย สิ่งนี้ทุกคนจะสามารถพัฒนาได้เหมือนๆกัน ในโลกนี้สิ่งที่เท่าเทียมมีเพียงวงจรเวทย์เท่านั้น! แต่ก็ไม่พ้นพรสวรรค์หลายบุคคลไปอยู่ดี เพราะมานาเป็นสิ่งจำเป็นของวงจรเวทย์อย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากวงจรเวทย์ล่อเลี่ยงด้วยมานา ถ้ามานาเยอะความเหนื่อยก็จะน้อยตามไปด้วย ทำให้ง่ายต่อการฝึก
และ ‘เรเซอร์’ คือหนึ่งในตัวละครที่มีมานาเยอะแต่เกิด ถ้าหากเรเซอร์ฝึกแบบเดียวกันกับหลายๆ คน ไม่มีทางเป็นไปได้ที่วงจรเวทย์เขาจะด้อยกว่าใคร เพราะฉะนั้น—อย่าคิดว่าจะชนะกันได้ง่ายๆ เชียวละ! เรย์!
….แต่เอาเถอะ ถึงจะโม้ไปตั้งขนาดนั้นก็ตาม
เรย์ยิ้มร่าออกมา—ผมรู้ดีว่าเขายังไม่ใส่เต็มแรง ต่างกับผม
บอกตามตรง พลังกายของผมกับเขาต่างกันในระดับนึง เรย์เหนือกว่าผมด้านนี้แน่นอน ก็เขาเป็นนักดาบนี่นะ นักดาบย่อมมีวงจรเวทย์ดีเป็นพิเศษอยู่แล้ว ต่างกับนักเวทย์ที่วงจรเวทย์ใช้ปล่อยเวทย์ สำหรับนักดาบวงจรเวทย์ใช้เพื่อให้เกิดวิชาดาบ ย่อมเฉียบคมกว่าในด้านๆนั้น
พวกนักดาบหรือพวกที่ใช้แรงกายเป็นหลัก จะมีพลังกายดีเยี่ยมกว่านักเวทย์แน่นอน ถึงวงจรย์เวทย์จะด้อยกว่าก็ตาม
เรย์เร่งฝีเท้าของตัวเองสุดขีดจนเริ่มจะนำผมได้เล็กน้อย—–เสียใจด้วย
“อยู่ใกล้ไปแล้วเฟ้ย ไอโรคจิต!”
ผมนำมือล้วงกระเป๋าคาดเอว—ของขวัญที่ได้จากอันนา แะดึงเชือกในกระเป๋าออกมาจนมันลอยตามอากาศ พร้อมกันนั้นผมก็เหวี่ยงเชือกไปชุดแรงเกิด—-จนมันไปคล้องเข้ากับขาสองข้างของเรย์
“—เวรละ”
เรย์ทำท่าจะกระโดดหลบ
“ช้าไปแล้ว!”
ผมพุ่งตัวเข้าไป และจับขาหนึ่งข้าง—จนเสียการทรงตัว
“—–เหวอ!!”
เรย์ดิ่งลงพื้นอย่างหมดท่า ผมไม่รีรอพุ่งดิ่งลงพื้นจับเรย์กดกับพื้น—–สำเร็จ!!
ผมฉีกยิ้มใส่เรย์
“จับได้แล้ว ไอโจรขโมยกางเกงใน”
วันนี้ผมเจอแต่โจร—โจรเบลลามีผู้ขโมย หะ หะ หัว หัวใ ..ไม่เอาดีกว่า โจรผ้าคลุมดำ แล้วตอนนี้ก็โจรขโมยกางเกงใน
เรียกว่าวันซวยคงได้ เจอแต่เรื่องน่าปวดหัวทั้งนั้น
เรย์ซึ่งถูกจับดิ้นอยู่กับพื้นสุดแรงเกิด อย่างกับปลา
“…เปล่านะ! ฉันไม่ได้ขโมยกางเกงในใครทั้งนั้น!”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว! เห็นๆกันอยู่!”
เรย์กัดฟันกรามตัวเองแน่น ท่าทางดูเจ็บใจ
คนที่เจ็บใจกับเรื่องแบบนี้ มันก็แค่ไอ้บ้าเท่านั้น …สมกับเป็นเจ้าเพื่อนพระเอกตัวป่วนนี่ บ้าได้สมบทบาทดีชะมัด
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
ถึงจะรู้ก็เถอะว่าหมอนี่ไม่ใช่คนเลว แต่อดไม่ได้เลย …อยากซัดหน้ามันชะมัด ขอสักหมัดได้ปะ? ชินคงไม่โกรธหรอกนะ
ชินคนนั้นสง่างามสุดๆ แท้ๆ แต่เจ้าน้องชายตัวป่วนนี่กลับไม่ใช่—เอาเถอะ คนเรามันต่างกันละนะ ผมรู้ดี จะดูถูกนิสัยเรย์เพราะเอาไปเทียบกับพี่ชายแสนเท่ไม่ได้หรอก
“ขโมยของมันไม่ดีนา ไม่ต้องไปคิดกับการขโมยกางเกงในเลย มันผิดอย่างแน่นอน”
เรย์ยิ้มอย่างมีเลศนัย เป็นรอยยิ้มที่หาได้ยาก เอาเป็นว่าดูน่าขยะแขยง
“ทำเป็นพูดดี …ตอนแรกก็เกือบจะเก็บไว้กับตัวแล้วไง? ไม่ใช่?”
“พูดเป็นเล่น …แค่จะเอาไปคืนเจ้าของน่ะ”
ผมเก๊กหน้าเข้มพูดออกไปจากกล่องดวงใจ ทำให้เรย์หัวเราะขึ้นจมูก
“โกหกมันไม่ดีนา คุ-ณ-เร-เซ-อร์”
…รู้จักผมดีสินะ? …ถ้านั้นก็น่าแปลก นึกว่าจะเกลียดขี้หน้าผมซะอีก ตอนนี้กลับดูเหมือนเล่นสนุกกับผมอยู่มากกว่า …แบบนี้นี่เอง ความต่างของเนื้อเรื่องสินะ หรือว่าเป็นการเสแสร้งกัน? ในนิยายต้นฉบับเรย์ดูจะหาเรื่องผมพอดูเลย ..
ตั้งแต่ที่ผมได้มาอยู่ในร่างเรเซอร์นับจากนั้นผมก็ไม่เคยทำข่าวเสียๆ หายๆ อีกเลย มุมมองของเรย์อาจจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ผมยิ้มตอบ
“ไม่ได้โกหก ส่วนแกน่ะ เอาเวลาไปตรากตรำฉันไปหาข้อแก้ตัวไม่ให้โดนโทษหนักดีกว่ามั้ย?”
“…ก็จริงแฮะ”
“ว่าแต่ว่า แกรู้จักฉันได้ไงเนี่ย?”
เรย์นิ่งลงราว3วิ ก่อนปั้นยิ้มตอบผม แน่นอนมันดูเสแสร้งจะน่าขัน
“รู้สึกสนใจคุณนิดหน่อยน่ะนะ” เรย์ยิ้ม “ในหลายๆเรื่อง คิดประมาณว่า ‘เฮ้อ จะเอาไงดีกับหมอนี่ดีนะ’ ประมาณนี้ได้”
—-คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับชินแหงๆ ไม่รู้หรอกว่าจะใช้วิธีไหนเคลียร์ปัญหากัน แต่ผมพร้อมรับเสมอแหละ
“ฉันไม่มีรสนิยมทางนั้นนะบอกก่อน จนถึงตอนนี้ก็มีผู้หญิงหลงรักฉันตั้งสองคนแล้วด้วย เสียใจด้วยนะ”
“พูดเป็นเล่นน่าคุณเรเซอร์ เปล่าๆ สนใจเรื่องอื่นต่างหาก”
รู้อยู่แล้วละ
“แล้วสนใจเรื่องอะไรละ? บอกมาเลย ฉันจะตอบอย่างตรงไปตรงมาเอง”
ไม่คิดจะปิดบังอะไรหรอก ผมจำเป็นต้องขอโทษเขาอย่างจริงใจด้วยซ้ำ แต่เรื่องของชินกับเรื่องกางเกงในมันคนละเรื่องกัน ..เตรียมตัวรับโทษได้เลยเจ้าคนหื่นกาม บังอาจมาทำให้ผมเสียภาพลักษณ์เอาซะได้
เรย์จ้องหน้าผม ก่อนจะหลับตาลงและตอบคำถามผม
“เวทมนตร์ที่ใช้ในตอนทดสอบเจ๋งดีนะ ว่างๆ มาสอนฉันหน่อยได้มั้ย?”
…มัวลังเลอะไรเนี่ยเจ้าหมอนี่? เอาเถอะ
“เข้าใจแล้ว”
สอนไปผมก็ไม่เสียหายอะไรหรอก กลับกันผมกับเขาและยูจิอาจจะสนิทกันขึ้นก็ได้ แบบนั้นยิ่งดีเลย
“แล้วก็ช่วยปล่อยมือได้มั้ย?”
“ไม่ได้”
เรย์ยิ้มเจื่อน—-ก่อนจะแสยะยิ้มเยี่ยงตัวร้าย
มาแล้ว—เรย์ตอนคิดแผนชั่วร้าย!
ผมจำได้ดีใบหน้าน่าขยะแขยงแบบนั้น! เจ้าหมอนี่คิดอะไรอยู่?
เอาเป็นว่ารีบยัดกางเกงในให้มันคืนดีกว่า
ผมเอากางเกงในยัดเข้ามือของเรย์ แม้ว่าเขาจะขัดขืนแต่ผมก็บังคับสุดตัว—แต่พวกผู้หญิงก็โผล่มาพอดี
“—–ช่วยด้วย!! ช่วยฉันด้วย!!!!”
นั่นคือเสียงร้องไห้ของเรย์—–เขาดิ้นสุดแรงเกิดและ แอ๊บ แบ๊ว คล้ายจะร้องไห้
“ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย! อย่านะ อย่าเอากางเกงในมาให้ฉันนะ! ฉันไม่ได้ทำก็บอกแล้ว!”
ซะ ซวยแล้ว! ไอบ้ากามนี่มาไม้นี้นี่เอง
“ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันไม่อยากโดนผู้หญิงเกลียดหรอกนะ! ทำไมต้องมายัดเจ้าสิ่งนี้ให้ฉันด้วย—กางเกงในของผู้หญิงไม่เคยอยากได้เลยนะ!! อย่ามายัดเยียดให้กันนะ!”
“นะ หนวกหูน่า! รีบๆ เอาไปได้แล้ว! ไอ้กร๊วกเอ๊ย!” ผมขืนใจเรย์อย่างสุดแรงเกิด “รับไอนี่ไปได้แล้ว เวรเอ๊ย!”
“อย่าเอาไอนั่นมายัดใส่จุดซ่อนเร้นของฉันนะ!!”
ซ้อนเล้นบ้างเอ็งดิ ไอ้เวร! ตูแค่ยัดใส่กระเป๋ากางเกงเอง
“อย่ามาวอนนะเฟ้ย! เดี่ยวก็ยัดตูดให้แหกซะหรอก!!”
“ไอ้ชั่วไร้น้ำตา!!”
ผมหันกลับไปมองข้างหลังทำให้พบว่า—ซวยแล้ว
แม้ผมจะรู้ดีแก่ใจว่าใครกันแน่คือคนร้ายตัวจริง ทว่าในมุมมองของพวกหล่อนก็มีตัวร้ายตัวจริงเพียงหนึ่งเดียวเช่นกัน
นั่นคือ ‘ผม’ ไงละ
ผมหน้าซีกเผือกพลางสบตากับพวกหล่อน บ้างก็นำมือมาประกบปาก บ้างก็มองมาที่เรย์อย่างสงสาร บ้างก็มองผมอย่างรังเกียจ
ต้องแก้ตัว—-ผมปล่อยเรย์ทันที ทั้งๆ ที่มือยังถือ กกน. อยู่
“เปล่านะ”
“กรี๊ด!!!!!”
“ไอสารเลว!”
“ผู้ชายสถุล!”
—ไม่ใช่!
“ชะ ช่วยฉันด้วยพวกเธอ ฉันโดนเจ้าโจรนี่ยัดเยียดของแล้วบังคับให้มอบตัวเฉยเลย! ฉันไม่ได้ทำนะ พูดจริงๆ นะ …แค่บอกให้เอาของคนอื่นไปคืนเองแท้ๆ!”
เรย์พยายามลุกขึ้นมาเพื่อก่อไฟให้ตัวผม—ผมรีบกดหัวมันลงพื้นทันที
“รีบไปอธิบายแล้วยอมรับสภาพได้แล้ว! ฉันไม่ได้ทำเข้าใจมั้ย! รีบๆไปบอกเร็ว!”
“ไม่น้าาา!!!”
พวกผู้หญิงตะโกนสาปส่งผมพลันใด
“เลวได้โล่!”
“ปล่อยเขาคนนั้นนะ!”
“จบไม่สวยแน่ ฉันจะฟ้องต้นตระกูล”
—-บ้าเอ๊ย
ผมหน้าซีกเป็นไข่ต้ม ไร้หนทางสนิท ผมกลายเป็นผู้ร้ายโดนสมบูรณ์
…เรย์ เจ้าหมอนั่นแสยะยิ้มอย่างสะใจในมุมที่ไม่มีใครมองเห็นนอกจากผม ..ตั้งใจกันสินะ ไอ้กร๊วกนี่!!
แม่งเอ้ยย!!!
“ไอบ้ากาม! อย่ามาตลกนะเว้ย รีบบอกพวกหล่อนได้แล้วว่าใครผิดใครถูกกันแน่!?”
“—ช่วยฉันด้วย!”
“ไอหมอนี่เลวได้โล่จริงๆ!”
พวกผู้หญิงแหกปากต่อว่าผม
“ที่เลวน่ะมันแกต่างหาก!”
“ไอสารเลว อย่าคิดว่าเรื่องวันนี้จะจบง่ายๆ นะ!”
“ท่านไอริสไม่ปล่อยคนแบบแกไว้แน่!”
ไอริสชื่อคุ้นๆ —ช่างมัน ตอนนี้จะยังไงก็ช่างแม่มันแล้ว!
จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี! ภาพพจน์ที่พยายามฟื้นมาตลอดกำลังจะพังอีกรอบแล้ว ไม่เอานะ กะว่าชีวิตรั้วโรงเรียนคราวนี้จะอยู่แบบสบายตัวโดยไม่ต้องมีพวกปลิงลูกขุนนางมาเกาะแดกแท้ๆ …..ไม่มีทางเลือก
ผมแสร้งยิ้มชั่วร้ายหันไปหาพวกผู้หญิง
“คะ คือ ฉันชื่อเรเซอร์เป็นบุตรชายโดนตรงของท่านดยุคดราแคล์ …รู้ดีสินะว่าฉันใหญ่แค่ไหน? หะ ห้ามเอาเรื่องนี้ไปพล่ามบอกชาวบ้านเชียวนะ! ถ้ารู้ฉันเอายับแน่ จะเอาไม่ให้มีที่ยืนเลย เข้าใจมั้ยหะ!?”
ทำจนได้ ..วิธีของตัวร้าย
ต้องปิดข่าวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมมีทางเลือกแค่นี้เท่านั้น …บ้าเอ๊ย อย่างน้อยๆ ถ้ายูนาให้ตัดมิติละก็—ผมจะเปลี่ยนได้กระทั่งความคิดในหัวพวกหล่อนเลยละ ทำให้เรื่องตอนนี้ไม่เคยเกิดขึ้นยังได้ด้วยซ้ำ
‘บ้าค่ะ ไม่ให้ใช้พลังกับเรื่องไร้สาระพรรค์นี้หรอก’
—ก็เป็นอีแบบนี้
ผมร้องไห้ภายในหัวใจพลางมองพวกผู้หญิง
พวกหล่อนถึงกับหน้าเปลี่ยนสี ทุกๆ คนคงรู้จักชื่อผมดี–
–กลับกันไอตัวต้นเหตุอย่างเรย์กลับยิ้มร่าเมื่อรอดตัวแล้ว
“เป็นไปตามแผน”
“ตูเอาเอ็งตายแน่”
—–นี่คือตำนานแรกของผม ณ โรงเรียนแห่งนี้มันพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น จากนี้ไปผมจะสร้างตำนานอีกมากมาย ในอีกสามปีให้หลังผมจะได้ชื่อว่า ‘ปีศาจที่แท้จริงแห่งชมรมหนังสือพิมพ์ เรเซอร์’ —ตำนานประจำโรงเรียนจำพวกนั้นนั่นแหละ
จากนี้อีกสามปี ผมจะกลายเป็นหัวโจกของโรงเรียน และเป็นที่น่าเคราพของเหล่านักเลงทั่วสารทิศ—ไม่เอาดิ แบบนี้
****
ทำไปซะแล้ว การกระทำของตัวร้าย
ผมตอนนี้ห่อเหี่ยวสุดๆ ทั้งทางกายและใจ
ทางกายก็คือยืนรอเบลลามีเฉยๆ หลายชั่วโมง และสู้กับโจรซึ่งกินพลังงานเอาเรื่อง หลังจากนั้นก็วิ่งไล่จับเรย์—-ส่วนทางใจก็คือถูกเบลลามีทิ้ง และโดนเจ้าเรย์ใส่ร้ายป้ายสีจนโดนเข้าใจผิด
ชีวิตในรั้วโรงเรียนของผมฉิบหายซะละ ไอ้เลวเรย์นั่น—กะว่าจะเป็นเพื่อนด้วยสักหน่อย เห็นทีคงได้เป็นอริกันมากกว่าเสียแล้ว
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางเดินโซซัดโซเซเข้าไปในโรงอาบน้ำซึ่งมีบ่อน้ำร้อนอยู่ อย่างที่ว่าหอของโรงเรียนนี้ดียิ่งกว่าโรงแรมซะอีก
เพราะว่าผมอ่อนล้าทั้งทางใจและกาย ฉะนั้นขอไปผ่อนคลายที่บ่อน้ำร้อนสักครู่ละกัน เรื่องสัมภาระทางโรงเรียนขนทุกอย่างไปในห้องแล้วเรียบร้อย …ผมจึงสนุกได้เต็มที่—-ไอ้บ้าเอ๊ย ไอ้เลวเรย์ สักวันเถอะ ผมจะซัดหน้ามันให้ดู แบบไม่ไว้หน้าชินด้วย ถึงจะเป็นพี่น้องกันก็ตามแต่ค่าความกวนส้นเท้าต่างกันลิบลับเลย
ผมถอนหายใจอีกครั้ง พลางเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องก่อนถึงโรงอาบน้ำ คาดผ้าสีขาวไว้ตรงเอวและเดินเข้าไปข้างไหน
เวลานี้คงไม่มีนักเรียนมากเพราะเป็นวันแรกของการอยู่หอ ที่สำคัญยังมืดมากแล้วด้วยราวสามทุ่มได้
ตอนนี้คงกำลังนั่งเล่นในห้องพลางจัดของเฮฮาปาร์ตี้แหงๆ —เทียบกับผมที่เวลาเดียวกันหาเรื่องร้อยแปดสารพัดมาขู่ชาวบ้านไม่ให้แพร่งพรายเรื่องของผมแล้ว …น่าอนาถแท้
ถอนหายใจอีกครั้ง—เผลอตัวไปอีกแล้วละ
เอาเถอะ
ทำสมองโล่งๆ และเข้าไปเสพสุขดีกว่า วันนี้ออกแรงซะเยอะ แช่น้ำทีคงฟินน้ำแตกเลยละ
โรงอาบน้ำใหญ่ใช้ได้เลย คงบรรจุคนได้แบบไม่รกหูรกตา ราว 100 คน ประมาณนี้โอเครเลย
ผมขึ้นไปในบ่อน้ำและเอาร่างของตัวเองย่อมลง—-ฟินสุดๆ
“…อ๊า”
รู้สึกดีถึงขนาดเผลอส่งเสียงครางเลยละ
ข้างๆ นั้นเอง—
“—อะ เอ่อ ขอโทษนะครับ คุณเรเซอร์ใช่มั้ยครับ?”
เสียงหวานๆ เบาหวิวโพ่งขึ้นข้างตัวผม ว่าแล้วผมจึงหันไปดูทำให้ผมพบกับพระเอกต้นฉบับ ‘ยูจิ’
เขากำลังยิ้มร่าเช่นเดียวกับผมในบ่อน้ำร้อน
“โอ้ ใช่ครับ บังเอิญจังนะ”
ผมตอบทั้งรอยยิ้ม ยูจิสัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรเลยพูดต่อ ..ไม่กลัวยิ้มผมเลยนะ สมกับเป็นพระเอก นิสัยดีจริงๆ
“นั่นสินะครับ …อา เรื่องตอนนั้นต้องขอบคุณมากนะครับ อุตส่าห์ช่วยผมไว้”
“เด็กปี 1 เหมือนกัน ผูกมิตรกันไว้ก็ดีนา”
ผมมองไปที่ยูจิ—ว่าแล้วเชียว ผู้ชายจริงๆ ด้วย
จริงๆ แล้วหลังจากที่รู้ว่ายูจิเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ ผมจึงตั้งสันนิษฐานไว้ว่าเรื่องราวในโลกของผมต่างกับในต้นฉบับ และคิดไปถึงขั้นที่ยูจิอาจเป็นผู้หญิงก็ได้ …ผลสรุปคือยูจิเป็นผู้ชาย แปลว่าโลกนี้ต่างกับในต้นฉบับจริงๆ ไม่นับผลกระทบจากตัวผม นับแค่ตัวยูจิที่เปลี่ยนไปก็รู้ได้เลย
หรือว่าจะเป็นโลกคู่ขนาน? ความฝันของผม? ไม่รู้สิ แต่ถ้าเป็นฝันมันไม่ยาวนานไปหน่อยหรือ?
ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน นี่คงเป็นหนึ่งในปัญหาที่ผมต้องแก้กระมัง—–ยูนาเคยว่าไว้
‘ถ้านับตั้งแต่ยุคโบราณ คนที่สามารถเปลี่ยนโลกได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ด้วยพลังของตัวเอง หรือไอเทมช่วยเหลือ มีเพียงแค่สองคนเท่านั้น’
แม้แต่ยูนายังไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนั้น ถึงเธอจะบอกอีกทีถ้าต้องสู้กันตัวเองไม่แพ้สองสิ่งที่ว่าหรอก แค่มีพลังไม่ถึงระดับเปลี่ยนโลกทั้งใบ—อย่างไรซะมันก็เป็นข้อสันนิษฐานเท่านั้น
ที่สำคัญแม้สองคนที่ยกตัวอย่างมาจะเปลี่ยนโลกได้ ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนได้ง่ายๆ มันจำเป็นต้องมีเงื่อนไขยากๆ พอดู ระดับที่ถ้าจะทำก็คงโดนพวกเก่งๆ ในโลกหยุดไว้จนถึงขั้นตาย แต่ว่ากันตามตรงนับกันทางเทคนิคมันก็ทำได้จริงๆ นั่นแหละ
ผมจ้องยูจิไม่วางตา—-หนึ่งในที่น่าสงสัยก็เป็นตัวยูจิด้วยละนะ หากโลกใบนี้เปลี่ยนไปและรีใหม่เพราะหนึ่งในสองคนนั้นจริงๆ
สิ่งที่อยู่ข้างในวิญญาณของยูจิ …หนึ่งในสิบเทพผู้มีพลังแสนน่ากลัว
—จู่ๆยูจิก็แก้มแดง น่ารักชะมัด
“ยะ อย่าจ้องกันแบบนี้สิครับ”
น่ารักชะมัด
สมตำแหน่งหนุ่มหน้าสวยแห่งยุคจริงด้วย
“โทษที พอดีฉันสนใจนายนิดหน่อยน่ะ”
“งะ นั้นหรือครับ”
ยูจิดูไม่ไว้วางใจผมขึ้นมาฉับพลัน เขาเกาแก้มตัวเองเบาหวิวทั้งรอยยิ้ม
“…ผมเองก็สนใจคุณเรเซอร์เล็กน้อยละครับ” ยูจิเกาแก้มเจื่อนๆ “จะว่าไงดีละ …อยากสนิทด้วยกระมัง?”
“เขินเลยแฮะ ถ้าเป็นนายอาจจะชนะใจฉันก็ได้นะ”
‘จัดเลยค่ะมาสเตอร์’
ยูนาเชียร์เต็มที วางใจได้เลย คู่หู
“ปะ ปะ เปล่านะครับ! ไม่ใช่อย่างนั้น!”
ยูจิแก้ตัวทั้งๆที่ยังเขินอยู่
หรือว่ายูจิจะคิดเป็นจริงเป็นจัง? ตลกน่า แต่น่ารักดีแฮะ อย่าใส่ใจมากเลยดีกว่า
‘น่ารักสุดๆ เลยค่ะคุณยูจิเนี่ย’
ใช่มั้ย? เป็นพระเอกแท้ๆ แต่น่ารักกว่านางเอก(หนิง)แบบทาบไม่ติดเลย
‘ให้ฉันเปลี่ยนเพศให้เอามั้ยคะ? จากนั้นมาสเตอร์ก็จีบยูจิเลย’
ทางเทคนิคคงทำได้สินะ เอาเป็นว่า—หยุดเลย ทำไมผมต้องไปแย่งผัวชาวบ้านด้วยละฟร้ะนั่น?
‘น่าเบื่อเหมือนเคยนะคะ มาสเตอร์’
เอาเถอะ ยังไงก็ขอบคุณผมด้วยละยูจิ อุตส่าห์ช่วยรักษาเอกราชให้นายแล้ว
“ฝากตัวด้วยนา”
“คะ ครับ …แบบเพื่อนนะครับ”
“แหงสิ”
ยูจิถอนหายใจ โล่งอกสุดๆ—คิดว่าผมจะทำลายเอกราชจริงๆ ด้วยแฮะ
ผมยิ้มให้ยูจริงค่ะเพื่อสร้างความสมานฉันท์
“ฝากตัวด้วยนะครับ อย่างเป็นทางการ ผมชื่อ ‘ยูจิ’ นะ”
เขาสามารถรับรู้ถึงใจจริงผมได้ สมกับเป็นพระเอก ความสามารถการอ่านใจจริงชาวบ้านเข้าขั้นเทพเลยละ
“เช่นกันๆ”
…ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว
“ยูจินายรู้จักคนชื่อเรย์มั้ย?
“รู้จักครับ เขาเป็นรูมเมทของผมเอง”
รูมเมท? อ่อ นั่นสินะ ผมได้อยู่ห้องเดี่ยวเพราะบ้านรวย เอาง่ายๆ เลย
“คุณเรย์เป็นคนดีมากๆ เลยละครับ”
“โดนปั่นหัวแล้วละยูจิ เจ้าหมอนั่นมันนิสัยเสียขนานแท้”
ยูจิเอียงคอฉงน
“ไม่ถูกกันหรือครับ?”
“ก็ไม่เชิง หลังจากนี้คงได้ทะเลาะกันอีกเยอะเลย”
“ฮะๆ …สนิทกันไว้นะครับ”
ยูจิยิ้มสวยให้ผมสุดๆ——–นางฟ้า ถึงจะเพศชายแต่ก็นางฟ้าชัดๆ
‘รักเลยค่ะ คุณยูจิน่ารักสุดๆ จะเอ็นดูยันจบการศึกษาเลยค่ะ ใครมาแกล้งจะฆ่าทิ้ง’
รสนิยมดีชะมัดยูนา ขอเห็นด้วย
‘มาสเตอร์ก็เช่นกัน ของยอมรับเลยละค่ะ’
ผมกับยูนาเกิดสนิทกันขึ้นมาทันทีเพราะยูจิ
คนอะไรทั้งน่ารักและยิ้มสวยขนาดนี้ ตรงกันข้ามกับผมเลย สุดยอดจริงๆ
หลายคนอาจจะคิดว่ายูจิเป็นเพียงพระเอกโหลยๆ—-แต่ เออ ก็ใช่ เหมือนกับตัวร้ายแบบผมนั่นแหละ ธรรมดาฉิบเป๋ง แต่อย่างไรก็ช่างรอยยิ้มของเขานั้นช่วยผู้คนมากมายนั่นคือความจริงที่ไม่อาจเลี่ยง ผู้คนมากมายสามารถก้าวข้ามอดีตตัวเองและยอมมีความสุข เพราะรอยยิ้มของยูจิ
ให้ยกตัวอย่างก็เช่นเบลลามี เธอถูกยูจิช่วยไว้และตกหลุมรักในรอยยิ้มนั่นของเขา—-อ่า แหงอยู่แล้ว พระเอกนี่นะ แค่ยิ้มก็ตกสาวได้แล้วละ ไม่จำเป็นต้องทุกข์ใจเหมือนตัวละครสาวๆ หรือคนที่จมปลักกับความเศร้า แค่พูดอะไรโลกสวยก็ช่วยเหลือผู้คนได้… แต่แล้วมันจะทำไมละ? ยูจิเขาเข้าใจความเจ็บปวดพวกนั้นดี แต่ก็ตามเดิมเหมือนกับพระเอกทั่วๆ ไป—
—เหมือนกับหนังเกรด B หรือนิยายแนวต่างโลก พลังภายใน ระบบเกม นั่นแหละ ยูจิก็เช่นกัน ไม่ต่างกันมากหรอก ซ้ำซากบ้าง อะไรบ้าง ก็ช่างมันดิ สุดท้ายทุกคนมีความสุขก็พอแล้ว ไม่ดีหรือไง? ความจริงที่ว่ายูจิช่วยทุกคนได้ แค่นั้นก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง?
บอกตามตรงผมชอบยูจิมากกว่านางเอกหลักแบบหนิงซะอีก
‘หนิงน่าสงสารจริงค่ะ’
“ให้ขัดหลังให้มั้ยยูจิ?”
‘ขัดให้ครบทุกมุมเลยนะคะ’
ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก แต่จัดไป
“ขะ ขอผ่านนะครับ”
ไม่ไว้ใจกันซะงั้น
*****
หลังจากนั้นพูดคุยสอบถามข้อมูลของยูจิเท่าที่อยากรู้จนเกือบหมด
ในห้องขนาด 8×8 มีทั้งห้องน้ำและระเบียง ห้องนอน ตู้เสื้อผ้า เครื่องประดับหรูหรา พร้อมไปทั้งทุกอย่าง สมกับเป็นชีวิตของไอ้ตัวร้ายโรยๆ
ผม ‘เรเซอร์’ ยืนอยู่ระเบียงห้องพลางมองออกไปข้างนอกยามพลบค่ำ
ร่างวิญญาณของยูนาปรากฏตัวออกมาข้างๆ ผม เธอยืนอยู่ข้างกายพลางมองขึ้นไปบนพระจันทร์
‘คุณยูจิยังไม่รู้เลยสินะคะ เรื่องการมีอยู่ของเทพในตัวตนของเขาและวิญญาณระดับเทพ ‘อลัน’’
ข้อมูลทั้งหมดผมเป็นคนบอกยูนาเอง—ครั้งนี้ระหว่างคุยก็ให้เธอโดนตรวจสอบแล้ว แต่ตามคาดมันมีเขตแดนที่ฝ่าไม่ได้อยู่ จะตัดมิติเอาก็ได้แต่ถ้าทำยูจิอาจจะตายได้ เพราะการจะเข้าเขตแดนนั้นจำเป็นต้องตัดไปถึง ‘ขั้นวิญญาณ’ เลยละ ทั้งตึงมือและอยู่เส้นกึ่งกลางระหว่างเป็นตาย
ระดับนั้นเรื่องชีวิตมันไม่เกี่ยวแล้ว แค่ไม่ให้วิญญาณสลายไปยังยากเลย เพราะฉะนั้นไม่คุ้มหรอกที่จะทำกะอีแค่ตรวจเช็กคนน่ะ
ยังไงก็ช่าง การมีเขตแดนระดับนั้นอยู่ มันไม่ต่างกับยืนยันไปในตัวแล้วว่าข้างในของยูจิ มีอะไรสักอย่างซ่อนไว้อยู่
แล้วก็น่าจะความจำเสื่อมไปจริงๆ ด้วย เพราะพอจะพูดถึงหนิงเขาดันบอกว่าหนิงคิดว่าเขาหน้าคล้ายกับใครบางคนที่ตามหาอยู่ …หนิงน่าสงสารจริงๆ โดนรังแกตลอดเลยแฮะ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางฟุบนอนที่รั้วระเบียงห้อง
“ทุกอย่างเป็นไปตามเนื้อเรื่อง …ยกเว้นรูปร่างของยูจิที่ต่างออกไป เขาดูเป็นผู้หญิงกว่าปกติแต่ไม่ใช่ผู้หญิงแน่นอน พอมีความเป็นไปได้อื่นบ้างมั้ยยูนา?”
ผมกล่าวถามผู้รอบรู้อย่างยูนา ถึงจะไม่รู้ทุกอย่างแต่ความรู้ของเธอเทียบเท่าได้กับหนังสือความลับของโลก
‘วิญญาณของเทพและคุณยูจิเกิดการผสมกันค่ะ—บางทีโลกต้นฉบับที่มาสเตอร์กล่าวถึงคุณยูจิอาจมีวิญญาณเป็นชายแท้ๆ พอไปผสมกับเทพทำให้เกิดเป็นผู้ชายโดยสมบูรณ์ แต่มาคราวนี้ตามข้อสันนิษฐานของมาสเตอร์คุณยูจิดูเป็นผู้หญิงเกินไป …วิญญาณคราวนี้อาจเหมือนกันแต่มีเพศที่ต่างก็ได้ค่ะ’
ถ้านั้น
“ที่นี่คือโลกคู่ขนาน?”
‘ประเด็นโลกคู่ขนานฉันเคยปัดตกไปแล้วค่ะ ที่แห่งนี้ไม่มีโลกคู่ขนานแน่นอนเพราะทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน …ถ้าหากมีขึ้นมาคงเกิดสงครามข้ามโลกแน่นอนค่ะ ถ้าเกิดในยุคของฉันบอกตามตรงฉันเองก็คงเลือกจะทำลายทิ้งไม่ให้เหลือค่ะ’
“พะ พวกเก่งๆ แบบหล่อนนี่โหดจังนา”
‘ไม่หรอกค่ะ โดยส่วนใหญ่พลังของคนที่เก่งทัดเทียมกับฉันหลายๆ คนหากมีโลกคู่ขนานสามารถข้ามไปได้สบายเลย แล้วก็อีกฝ่ายก็คงเช่นกัน ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นโลกใบนี้ก็จะไม่ปลอดภัย ทุกสรรพสิ่งควรมีของจริงเพียงอย่างเดียวและไม่ควรมีของปลอม …ปัจจุบันนี้ก็ไม่น่ามีด้วยโลกคู่ขนานนั่น ถ้ามีฉันจะพามาสเตอร์วาปไปแล้วค่ะ’
ไม่ไปได้มั้ยเนี่ย?
“ความเป็นไปได้อื่นละ ย้อนเวลา?”
ยูนาส่ายหน้าให้
‘ถ้าแบบนั้นคุณยูจิคงมีใบหน้าเช่นเดิม เพราะฉะนั้นฉันจึงคิดว่าจักรวาลโลกของมาสเตอร์คงจะเป็นเรื่องราวที่ผิดไปจากเดิม ไม่ก็ย้อนเวลาจริงๆ แต่มีตัวแปรอื่นนอกจากมาสเตอร์เช่นกัน …จริงๆ มีอีกหลายความเป็นไปได้เลยละค่ะ’
“แล้วที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดละ?”
‘คงจะเป็นอันแรกที่ฉันบอกค่ะ …ไม่สิ’
ยูนาพึมพำกับตัวเอง
‘ถ้านั้นเรื่องราวที่ถูกส่งไปมาสเตอร์จะมีความหมายอะไรกัน?’
ถ้าเกิดทฤษฎีที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นจริง ไม่ใช่ว่าควรบอกความจริงหมดเปลือกหรือไง? นั่นสินะ
‘…ความเป็นไปได้มันมากเกินไปค่ะ’
“ระหว่างนั้นฉันก็ต้องหาข้อมูลเรื่อยๆ สินะ …ผจญภัยก็ตั้งนานแต่ได้เบาะแสน้อยจนแทบจะไม่เห็นเลยทั้งนั้น มีแค่ยูจิเท่านั้นสินะที่จะบอกทุกอย่างให้พวกเราได้”
ยูนาพยักหน้ารับ——ผมยิ้ม
“ยูนาคืองี้นะ—–ในโลกใบเก่าของฉัน มันมีสื่อนิยายและเกมของญี่ปุ่นอยู่ใช่มั้ย?”
‘ใช่ค่ะ มาสเตอร์เคยเล่าให้ฟังเป็นชั่วโมงยาวเหยียดเหมือนเก็บกดบ่อยๆ แม้จะไม่เข้าใจแล้วก็ไม่อยากฟังก็ตาม’
ท่อนหลังไม่ต้องบอกกันก็ได้
“มันมีไม่น้อยเลยที่หลายๆ สื่อที่ฉันติดตามมันเล่นประเด็นที่ว่าโลกใบนี้ถูกรีจักรวาลน่ะ”
‘…ทุกอย่างกลับไปยันจุดเริ่มต้นล้านๆ ปีหลายต่อหลายครั้งหรือคะ?’
“ใช่แล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นลูปเดิมๆ ที่ต่างกันไปบ้าง และไม่มีทางจบลง…คิดไงบ้าง?”
ยูนาก่ายหน้าผากตัวเองกับการเดามั่วๆ ของผม
‘มีความเป็นไปได้ค่ะ เพียงแต่….’
ราวกับทุกอย่างนั้นเงียบลง
ผมรู้สึกอึดอัดราวกับจะอ้วกออกมาได้ตลอด ไม่ว่าจะทางไหนมันก็ดูไม่จืดทั้งนั้น
‘ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ ปัญหาใหญ่ที่สุดคงจะใหญ่ยิ่งกว่าจอมมารดิลุค …ถ้าหากมันเป็นถึงขนาดต้องรีทุกสรรพสิ่งซ้ำซากไม่รู้จบ นับไม่ถ้วน ฉันคิดว่า—-การมาของมาสเตอร์เป็นเพียงตัวแปรเล็กๆ เท่านั้นค่ะ สุดท้ายแล้วทุกอย่างอาจจะจบอย่างเดิมก็ได้ …ถ้าเป็นอย่างนั้น’
ยูนายิ้มเจื่อน
‘พลังของพวกเราเพรียวๆ ไม่พอจะเปลี่ยนมันได้หรอกคะ—ปัญหาระดับที่โลกใบนี้ถูกรีซ้ำไปมาน่ะ มันไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่อดีตเลยละค่ะ …ถ้าคิดว่าเกิดเป็นอย่างนั้นขึ้นมา มาสเตอร์เตรียมใจที่จะต้องก้มกราบร้องขอความช่วยเหลือคนอื่นอีกมากมาย และเตรียมใจตายไว้ด้วยนะคะ’
เป็นข้อสรุปที่เลวร้ายที่สุดหากเป็นเช่นนั้น
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากตาย …เข้าใจแล้ว”
‘—อย่าลืมนะคะว่าเป็นเพียงหนึ่งในความเป็นไปได้เท่านั้น อย่าปักใจเชื่อเชียวนะคะ’
“อ่า …ขอให้เป็นแบบที่ง่ายสุดๆละกัน”
ผมภาวนาเช่นนั้นอย่างสุดหัวใจ
จุดเริ่มต้นมันหลังจากนี้ไปต่างหาก—พอคิดเช่นนั้นก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเลยละ
สุดท้ายแล้วโลกใบนี้ก็คือชีวิต—-มันไม่มีทางง่ายหรอก ทั้งชีวิตในโรงเรียนและเรื่องราวหลังจากนี้
‘สูญเสีย ช่วงชิง ก้าวเดินต่อไป’—มันคงจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ผมคงจะร้องไห้อีกหลายต่อหลายครั้ง และทำลายสิ่งสำคัญของผู้อื่นอีกมากมาย แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ต้องทำก็เหมือนเดิมคือการก้าวข้ามมันให้ได้
นี่แหละ ‘ชีวิต’ ให้เปรียบเทียบเป็นนิยายก็คือเรื่องราวที่ตัวเอก—เป็นคนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ผู้มีโลกหมุนรอบตัว แค่เป็นตัวเอกในเรื่องราวของตัวเองเพียงเท่านั้น …ต่อให้ยูจิ หรือตัวผม โลกก็ไม่หมุนรอบตัวให้หรอก