เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 258
< < 166 Sec3 > >
ผมเดินตามหลังของวินมาตั้งแต่เมื่อครู่ ตั้งแต่ทางเดิน แยกทางกลับบ้าน จนไปถึงโรงพยาบาลหรูแห่งหนึ่ง มีระบบเวทมนตร์ที่ทันสมัย แอบคล้ายกับโรงพยาบาลในยุคปัจจุบันอย่างบอกไม่ถูก
“โรงพยาบาลที่อาณาจักรฟัฟนิร์เป็นยังไงเหรอ?”
จู่ๆวินก็เอ่ยขึ้นมาแบบลอยๆ
“ดูเก่ากว่าที่นี่ เพราะวัสดุที่ใช้ก่อสร้างรวมถึงดีไซน์แตกต่างกัน แต่เทคโนโลยีเวทมนตร์ในฐานะโรงพยาบาลหรูด้วยกัน ฟัฟนิร์ยังเหนือกว่าอยู่”
“สมกับเป็นอาณาจักรที่เด่นด้านเวทมนตร์โดยเฉพาะจริงๆนะ”
เพราะผู้บริหารส่วนใหญ่ยึดมั่นในความเด่นด้านเวทมนตร์มาตลอดจนพากันนอนลอยตัวนี่แหละ สักวันเสียวว่าจะโดนแซงเอาได้ อย่าง อาณาจักรเนลยอนที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ แต่จะอย่างไรก็ช่าง ทั้งหมดที่ว่ามามันไม่ใช่ปัญหาในเส้นทางชีวิตผมเลย
“ได้ยินว่าดีกว่า เล่นเอาอยากส่งน้องสาวไปอยู่ที่โน่นแทนเลยนะ”
“ได้ที่ไหนกัน”
“นั่นสินะ ..บางอารมณ์ก็แค่อยากเปลี่ยนสถานที่บ้าง ก็น้องสาวฉันอยู่แต่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดเลยนี่นา–อือ ถึงแล้วละ”
หน้าห้องหมายเลข 508 เป็นห้องหรู VIP ที่สุดของโรงพยาบาลแห่งนี้ วินเลื่อนประตูและเข้าไปข้างใน ผมเดินตามเธอไป …ภาพที่เห็นก็คือเจ้าหญิงนิทรา? ไม่ใช่ น้องสาวของวินต่างหาก แต่โฉมงานที่ปรากฏนั้นทำให้เผลอคิดไปว่าเธอคือเจ้าหญิงที่ต้องมนต์สะกดจากแม่มดชั่วอยู่
เส้นผมสีเดียวกันที่ยาวกว่าวินหลายเท่าตัว สีผิวที่ขาวกว่ามาก แล้วก็ร่างกายที่ผอมแห้ง โดยรวมแล้วเหมือนกับวินทุกประการ ยกเว้น ผมที่ยาวกว่า และหุ่นที่ดูผอมแห้งแรงน้อย เป็นวินในเวอร์ชั่นที่ไม่ป่าเถื่อนกระมัง?
ถ้าเกิดยัยนี่นิ่งสงบได้อย่างน้องสาวก็จะสวยขนาดนั้นเชียวแหละ
วินลงไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียงนอนน้องสาว หล่อนยื่นมือไปสัมผัสที่ศรีษะพร้อมกับยิ้มร่าให้ฝาแฝดผู้หลับใหล
“โทษทีนะ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มาหา พอดีติดงานน่ะ พี่พึ่งจะว่างเมื่อเร็วๆนี้เอง”
ผมถือวิสาสะลงไปนั่งข้างๆวิน แล้วก็เฝ้ามองวินที่พูดคุยกับน้องสาวที่ไม่อาจตอบโต้อะไรเธอได้เลย
“คือว่านะ อาจจะฟังดูน่าเหลือเชื่อไปหน่อย ใครๆก็พากันคิดว่าไม่น่าเชื่อกัน เรื่องนั้นถ้าเธอได้ยินก็คงจะตกใจเหมือนกันแน่ๆ เอาเป็นว่า ถึงจะบอกว่าตกใจแน่ๆ แต่ก็อย่าตกใจเชียวนะ—พี่มีแฟนแล้วแหละ เย้!” พูดจบวินก็ตบมือให้ตัวเองอย่างเหงาๆ “ก่อนจะเล่าความเป็นมา ขอแนะนำตัวก่อนนะ เชิญเลย คุณแฟนหนุ่มของฉัน”
ผมลุกขึ้นยืน และโค้งศรีษะให้น้องสาววิน
“ ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ บุตรชายเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลดราแคล์ นักศึกษาเวทมนตร์จากวิทยาลัยเรดฮอต ปัจจุบันยังคงเป็นนักศึกษา แต่พ่วงด้วยตำแหน่งจอมเวทย์ขั้นบรรลุ ว่าง่ายๆ เป็นคนที่มีอนาคตไกล และสามารถฝากฝังทุกๆเรื่องให้ได้”
“อือ! อย่างที่เห็น เป็นคนที่เชื่อถือได้ แถมยังรูปหล่ออีก ตามมาตรฐานขี้ปากชาวบ้านแล้ว ถือว่าผ่านได้แบบไม่น่าโดนนินทาเลยแหละนะ”
อะไรละนั่น มาตรฐานขี้ปากชาวบ้านเนี่ยนะ ไม่ใช่ว่าที่บอกว่าไม่ได้โกหกครึ่งหนึ่งจะหมายถึงเรื่องนี่น่ะ? ถึงจะไม่ได้คิดมากอะไรก็เถอะ แต่แอบเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายแฮะ
“เรื่องมาตรฐานผ่านไปแล้ว ต่อไปก็ที่มาที่ไปสินะ”
จากนั้นวินก็เริ่มเล่าการเจอกันครั้งแรกของพวกเรา ไปจนถึงช่วงที่ตกลงคบเป็นแฟนกัน
แน่นอนว่าแอบโกหกสัญญาโกหกปลอมๆ แล้วก็โกหกเรื่องที่ผมมีคนรักอยู่แล้ว พวกเราในเรื่องเล่าเป็นเพียงคู่รักต่างแดนที่เผอิญรักกันหลังจากผ่านความยากลำบากมามากมาย เรื่องทั้งหมดมันก็แค่นั้น ..
เมื่อเล่าจบแล้ววินก็ทำท่าปาดเหงื่อปลอมๆ และก้มตัวลงนอนข้างเตียงของน้องสาว
“ตามอย่างที่ว่าไป พวกเราเป็นคู่รักที่แสนสมบูรณ์แบบ เรเซอร์เป็นคนเก่ง แล้วยังนิสัยดีอีก ถึงจะชอบปากเสียเป็นระยะๆ แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้ใจร้ายอย่างที่คิด ออกจะเป็นพวกที่น่าคบหาไม่ว่าจะฐานะเพื่อนหรือคนรัก ..”
วินเคลื่อนมือขึ้นไปลูบใบหน้าของน้องสาว ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆอย่างที่ควรจะเป็น เธอจึงผละมือออก
วินหรี่ตามองน้องสาวของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนปั้นยิ้มสดใสมาอีกครา
“พี่กลับก่อนนะ’
****
“รีบกลับจริงนะ”
ทันทีที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วผมก็ทักขึ้น วินที่เดินนำหน้าผมหันกลับมาตอบพร้อมกันกับรอยยิ้มบนหน้า
“ช่วยไม่ได้นี่ มีเรื่องให้พูดแค่นี้ ถ้าอยากให้พูดคุยกันเยอะๆ คุณแฟนอย่างเรเซอร์ก็ช่วยทำเรื่องเซอร์ไพรส์หน่อยสิ”
“เอาเป็นหลังจากคบกันได้สองวันก็โดนฉันเตะตูดแล้วบอกเลิกดีมั้ย?”
“ฮ่าๆๆ ได้ที่ไหนกันเล่า”
วินลดความเร็วฝีเท้าลง เธอเดินอยู่ข้างๆผมในระดับความเร็วที่พอดี
“ชอบบ่นว่ารำคาญฉันที่เอาแต่พล่ามแท้ๆนะ แต่พอเงียบแล้วดันไม่พอใจอะไรก็ไม่รู้”
“..พูดตามตรง เธอที่เอาแต่เงียบนี่น่ารำคาญยิ่งกว่าตอนพล่ามไม่เลิกอีกนะ”
“หา!? ทำตัวน่ารำคาญจริงนะ อุตส่าห์ยอมให้เป็นคุณแฟนแท้ๆ!”
หล่อนทำกึ่งบังคับต่างหาก–โว้ย
ผมขี้เกียจจะเถียงเลยไม่พูดออกไป
“โทษทีละกันที่ทำตัวน่ารำคาญ ขอโทษที่เงียบค่ะ”
ทำเอาผมเลือกไม่ถูกเลยว่าจะให้หล่อนปิดปาก หรือให้หล่อนพูดไปเรื่อยดี เหนื่อยใจแฮะ
“เธอรักน้องสาวมากเลยสินะ”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ พวกเราก็มีกันแค่สองคน ถึงจะไม่เคยพูดคุยอะไรกันเลยแม้แต่ครั้งเดียวก็เถอะ”
“ไม่เคยคุยโต้ตอบกัน ต่อให้มีสายเลือดเดียวกัน ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีแหละนะ ว่าจะไปผูกพันธ์ด้วยได้ยังไง ..สุดท้ายก็มีแค่เธอคนเดียวที่ต้องใช้ชีวิต ในขณะที่อีกคนไม่สามารถรับรู้อะไรได้ ของแบบนี้เรียกว่าสายสัมพันธ์ได้เหรอ? คนแปลกหน้ามากกว่ามั้ง”
“…”
“ฉันไม่เข้าใจความคิดเธอเลยนะ ตามที่เข้าใจมันก็แค่มนุษย์คุยกับก้อนหินที่มีหน้าตาเหมือนกันแค่นั้นแหละ”
“เรเซอร์”
เป็นครั้งแรกเลย
“ถ้าพูดมากกว่านี้ จะโกรธจริงๆนะ”
ที่วินมีสีหน้าอย่างนี้ ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน เหมือนว่าผมจะแตะต้องสิ่งที่ไม่ควรแตะเข้าให้แล้ว แต่ว่า
“ฉันอยากให้เธอมีชีวิต”
“…”
“ต่อให้น้องสาวเธอต้องตายแทน ไม่สิ เพื่อให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อ คิดว่าให้น้องสาวเธอตายไปก็ไม่ได้แย่อะไร กับคนที่ใช้ชีวิตมากว่าสิบปี กับคนที่หลับมาตลอด ความสูญเสียมันต่างกัน น้องสาวเธอตายไป คงมีแค่เธอที่เศร้า แต่ถ้าเธอตายไป หลายๆคนคงจะเศร้ามากกว่า คุณป้าคุณลุงที่เธอรู้จัก เด็กๆหรือเอมิที่เธอรู้จัก เพื่อนที่โรงเรียน” ผมถอนหายใจ “พูดตรงๆเลยนะ แทนที่จะตายเพื่อให้อีกชีวิตเริ่มต้นใหม่ สู้ทิ้งชีวิตที่ยังไม่ได้เริ่มนั่นทิ้งซะ ส่วนเธอก็ใช้ชีวิตต่อไปอย่างที่ควร ไม่ดีกว่าหรือไง?”
ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังพ่นเรื่องสุดต่ำช้าออกมา แต่ทั้งหมดคือใจจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
คนใดคนหนึ่งจะต้องตาย เพื่อให้อีกคนได้ใช้ชีวิตต่อไป ตัดเรื่องความสัมพันธ์ทั้งหมดไป คนที่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อคือวิน ผมก็แค่พูดไปตรงๆตามใจตัวเองก็เท่านั้น
แน่นอนว่าพูดออกไปโดยไม่สนใจความรู้สึกของวินเลย แต่แล้วยังไงล่ะ? เพียงนิดเดียว ถ้าช่วยโน้มน้าววินได้ละก็–
“เธอจะไม่ต้องเป็นหมากให้เนลยอนด้วย ใช้ชีวิตตามที่ใจปารถนา ไม่มีสิ่งใดผูกมัด ได้เข้าถึงสิ่งที่เรียกว่าชีวิตจริงๆ ..คนที่รั้งชีวิตเธอไว้ไม่ให้ไปไหน ไม่ใช่ใครเลย นอกจากน้องสาวที่เธอรัก”
น้องสาววินไม่ได้ผิด วินเองก็ไม่ได้ผิด ถ้าจะโทษว่าใครผิด ก็คงโทษได้แค่โชคชะตา เพียงแต่ ข้อเท็จจริงที่ว่าเพราะมีน้องสาว เพราะเป็นแฝด จึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ก็คือความจริง
“เธอควรจะได้มีชีวิตเป็นของตัวเองสิถึงจะถูก
“นายพล่ามอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้น่ะ เรเซอร์”
น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกทำให้ผมหยุดเคลื่อนไหวโดยทันที สายตาที่แสนเหยียดหยามส่งตรงมาถึงผม
“บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าไม่หยุดจะโกรธจริงๆ”
แต่แค่นี้ไม่ทำให้ผมหยุดหรอก เพราะตัดสินใจแล้วว่าเรื่องที่กำลังทำอยู่มันช่างไร้สาระ
“จะโกรธหรือเกลียดอะไรก็เชิญเลย แต่ฉันเบื่อจะเล่นละครเป็นแฟนกับเธอเต็มทนแล้ว”
“เกลียดฉันเหรอ?”
“แค่คิดว่าตัวเองกำลังทำไร้สาระอยู่จนทนไม่ไหวก็แค่นั้น การเป็นแฟนกับเธอ สุดท้ายแล้วมันเพื่ออะไรกันแน่ คิดว่าฉันโง่ถึงขนาดจะไม่รู้เลยรึไงว่าเธอคาดหวังบางอย่างจากฉัน ถ้าจะแสร้งทำก็ช่วยให้มันเนียนกว่านี้หน่อยเถอะ” ผมหัวเราะขึ้นจมูก “ว่าไป ถ้าให้พูดถึงสิ่งที่เกลียดก็คงเป็นรอยยิ้มปลอมๆอย่างเดียวแหละมั้ง เอาแต่ยิ้มปลอบใจตัวเองไปเรื่อย ถ้าไม่ยิ้มก็คงจะสติแตกตายไปแล้วสินะ น่าสมเพซสิ้นดี”
…
…
…
…เอาแล้วไง
“ช่วยไม่ได้สักหน่อย พวกเราเกิดมาไม่สมประกอบนี่นา”
น้ำตาหยุดลงพื้นไม่รู้กี่เม็ด ผมอึ้งไปชั่วขณะเมื่อพบว่า-วินได้หลั่งน้ำตาออกมา
“..นายโชคดีนี่ ..เกิดมาพร้อมกับครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์ครบถ้วนตามที่มนุษย์ทุกคนควรจะได้ ..สำหรับพวกสมประกอบอย่างนายคงจะไม่เข้าใจหรอก ไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าฉันต้องรู้สึกยังไงบ้าง” วินกัดริมฝีปาก “คิดว่าฉันอยากตายมากนักรึไง ให้ทิ้งน้องสาวเหรอถ้าไม่อยากตาย? พูดเหมือนง่ายนะ เธอเป็นโลกทั้งใบของฉันนะ ที่ฉันมีชีวิตอยู่ถึงตรงนี้ ผ่านการทดลองแสนเจ็บปวด ผ่านสงครามอันเลวร้าย ที่ผ่านมันมาได้เป็นเพราะฉันยังมีน้องสาวอยู่นะ”
ที่พูดออกไปมันล้ำเส้นเกินไป ผมรู้ดี แต่ก็ตัดสินใจพูดออกไปทั้งหมด
วินปาดน้ำตาออกทั้งหมด และเขม็งใส่ผม
“ลองบอกให้น้องสาวฉันตายดูอีกครั้งสิ ฉันจะฆ่านายทิ้งมันซะตอนนี้เลย”
“..แบบนี้นี่เอง นี่คือใจจริงของเธอสินะ”
“..หา?”
บอกตามตรง ตะกี้ตึงสุดๆ แอบนึกว่าจะโดนวินซัดเต็มแรงสักหมัดสองหมัดแล้ว โชคดีที่เธอยั้งอารมณ์ตัวเองไว้ได้
ผมปัดเหงื่อออก ก่อนจะเกาแก้มด้วยสีหน้าลำบากใจ
“โทษทีที่พูดด้วยแรงไปไม่หน่อย แต่เจตนาของฉันไม่ใช่อย่างที่พูดไปจริงๆหรอกนะ ฉันไม่ใช่พวกที่ไม่เคราพความเห็นคนอื่น แล้วเสนออะไรที่เห็นแก่ตัวไปหรอก”
“..นี่นาย..อย่าบอกนะว่า”
“พูดออกมาหมดเปลือกซะทีนะ”
ถ้าไม่ทำแบบนี้ วินไม่มีทางพูดออกมาแน่ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ ใจจริงที่ผมอยากจะรู้เองก็ด้วย
เป็นครั้งที่สองที่เห็นสีหน้าโกรธเป็นฝืนเป็นไฟของวิน
“โกรธจริงๆนะ จะบอกให้ว่าครั้งนี้โกรธจริงๆนะ! เกือบจะบอกเลิกแล้วด้วยนะ!”
ผมรีบเฉลยไปหน่อยสินะ น่าจะรอให้อีกฝ่ายบอกเลิกก่อน
ว่าไปนั่น
“เอาเป็นว่าอย่าพึ่งบอกเลิกละกัน”
“นี่! อย่าทำเหมือนผ่านมาผ่านไปสิ นี่โกรธอยู่นะ แง้ว!!!!”
วินทำท่าขู่เหมือนแมว เห็นแล้วตลกดีเลยปล่อยไป
“ก่อนหน้านี้เล่นปั่นหันฉันซะเละเลย คิดว่าจะยอมให้ปั่นหัวอยู่คนเดียวไปตลอดรึ? เฮอะ น่าขำชะมัด”
ผมเกาะรั้วติดริมแม่น้ำแถวๆนั้น มองดูร้านอาหารบนเรือที่ผ่านไปผ่านมาหลายสิบรำ ก่อนหันไปพูดกับวิน
“การต่อสู้ครั้งต่อไป คือความตายของเธอ เพื่อจุดเริ่มต้นชีวิตของน้องสาวเธอ ..สินะ?”
“…ใช่”
“อยากให้ฉันช่วยอะไรล่ะ?”
วินเดินมาเกาะรั้วข้างๆผม
“ช่วยคุ้มครองน้องสาวของฉันที ..อาณาจักรเนลยอนไม่มีทางปล่อยน้องสาวฉันไปแน่”
“รู้ดีแท้ๆ แต่ยังยอมอยู่ฝั่งนั้นนะ”
“ร่างกายของฉันฝังสิ่งแปลกปลอมเอาไว้น่ะ น้องสาวและฉันจะตายทันทีถ้าเกิดไม่ทำตามคำสั่ง แต่ถ้าฉันตายโดยธรรมชาติก่อน คำสั่งแปลกๆนี่จะหายไป น้องสาวฉันจะเป็นอิสระชั่วเวลาหนึ่ง และนั่นแหละคือเวลาอิสระก่อนที่คนของอาณาจักรเนลยอนจะเอาตัวน้องสาวฉันไปทำอย่างอื่นต่อ”
“ในช่องว่างเล็กๆนั้น ให้ฉันชิงตัวน้องสาวเธอมา ..”
“ประมาณนั้นแหละ”
ผมถอนหายใจเฮือกโต ทำท่าไหล่ตกเล็กน้อย
“แล้วจะเป็นแฟนกันเพื่อ?”
“ความทรงจำของฉันและน้องสาวจะแชร์กันทันทีที่เธอลืมตาตื่น เพราะจิตวิญญาณของเธอครึ่งหนึ่งคือจิตวิญญาณของฉัน”
“…”
“นอกจากช่วยเธอแล้ว ช่วยรับเธอเข้าไปหนึ่งในภรรยาด้วยสิ เธอจำเป็นต้องมีนายเป็นโลกกันบังจากโลกภายนอกที่แสนโหดร้าย”
วินโพ่งออกมาเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ทั้งๆที่ไม่ใช่ แต่ผู้คนบนโลกใบนี้กลับทำให้เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติเสียอย่างนั้น
ช่างโหดร้าย
“เธอจะไม่มีทางได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแน่ ถ้าเกิดไม่มีคนคุ้มครอง”
“เอาอะไรมารับประกันว่าน้องสาวเธอจะยอมเป็นภรรยาฉัน”
นอกจากนั้น ว่าที่ภรรยาที่อยู่ทางนั้นจะยอมรึเปล่าเถอะ
อนึ่ง แน่นอนว่าทุกคนคงจำยอม เพราะผมเป็นขุนนาง ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากให้เกิดขึ้นเท่าไหร่ ไอการยินยอม เพราะไม่มีทางเลือกเนี่ย
“โดยพื้นฐานแล้ว ฉันกับน้องสาว ใกล้เคียงกับคำว่า ‘คนๆเดียว’ กันอยู่ พวกเรามีจิตวิญญาณอยู่หนึ่งเดียว แต่ทวีคูณ ไม่ว่ามันจะมากแค่ไหน แต่มันก็มีแค่ก้อนเดียว แม้บุคลิก ความรู้สึก จะต่างกัน แต่แก้นแท้ก็เหมือนๆกัน ..น้องสาวฉันจะยอมรับนายได้แน่นอน เธอจะรักนายแน่นอน เพราะจิตวิญญาณของพวกเรานั้นเป็นก้อนเดียวกัน”
…
“พูดบ้าอะไรฟร้ะ”
ผมแก้มแดงขึ้นมาหน่อยๆ วินเห็นก็ยิ้มแบบได้ใจ
“ที่บอกว่าครึ่งหนึ่งไม่ได้โกหก พูดจริงนะ”
….
“ฉันชอบนายนะ” วินเบือนหน้าหนี และพูดต่ออย่างเป็นธรรมชาติ “นอกจากอยากจะปูทางให้นายยอมรับน้องสาวฉัน ฉันยังแอบฉวยโอกาสช่วงเวลาสั้นๆที่เหลืออยู่อันน้อยนิด เป็นรางวัลชีวิตให้ตัวเองด้วย”
ผมและวินจ้องหน้ากันอีกครั้ง แต่ผมอ่อนหัดเกินไป อย่างกับว่ามีแค่ผมที่เขินไปคนเดียว
“สรุปแล้วเกลียดฉันรึเปล่า?”
“..จะไปเกลียดลงได้ไงฟร้ะ”
พับผ่าสิ