เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 25: วันแรกในหอเกิดเรื่องขึ้นเสียแล้ว
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 25: วันแรกในหอเกิดเรื่องขึ้นเสียแล้ว
< < 23 > >
ผมยื่นมือไปหาเธอตรงหน้า ‘เบลลามี’ นางอวยของผม ….
….
….?
เงียบกริบ…อ๊ะ
หล่อนหันกลับไปอ่านหนังสือเล่มเล็กในมือต่อ
ไม่สนใจกันเลย?
“อะ เอ่อ คุณเบลลามีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
เบลลามีได้ยินเสียงทักของผมจึงหันมามองอีกครั้ง และยื่นมือให้ ..รู้สึกคุณค่าความเป็นคนของตัวเองลดลงพิลึก
“ขอโทษนะ”
หล่อนพึมพำเบาหวิว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ …”
จับมือเสร็จจู่ๆ หล่อนก็หยิบผ้าเช็ดมือขึ้น และนำสเปรย์ขวดเล็กมาฉีดใส่ผ้า—-ก่อนจะเช็ดมือตัวเอง
“…ขอโทษครับ”
อยากตาย—-ผมพึมพำกลับโดยไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แรงใจจะมีชีวิตหมดไปแล้ว เหตุผลในการมีชีวิตถูกทำลายแล้ว ..เพราะฉะนั้นจึงอยากตาย
เบลลามีเอะใจถึงท่าทางของผม เลยส่ายหัวให้
“ไม่เป็นไร”
—นี่ผมผิดจริงๆ สินะที่ขอเธอจับมือ?
“เราก็แค่เช็ดมือกันเชื้อโรคเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องขอโทษครับ”
“ว่าแล้วเชียว ขอโทษนั่นแหละดีแล้ว”
ตัวผมมันสกปรกขนาดนั้นเลยเรอะ? น้ำท่าก็อาบเช้าเย็นประจำ ที่สำคัญอาบนานด้วยนา ถูมันทุกมุมเลย ตรงไหนกันที่สกปรก
หล่อน—ทำหน้างงกลับมาซะนั้น?
“นายไม่ผิดนะ …ชื่ออะไรเหรอ?”
“เรเซอร์” ผมตอบด้วยสีหน้าที่จะร้องไห้
“อือ ..เรเซอร์ไม่ผิดหรอก”
เบลลามีพยักหน้าให้ ทำให้ผมพยักหน้ากลับ จากนั้นจึงเงียบกันยาว เพราะเธออ่านหนังสือต่อโดยไม่สนใจผมเลยสักนิด
…สนใจกันหน่อยดิ …
แม้ผมจะนึกภวนาในใจให้เธอสนใจผม แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทั้งนั้น หล่อนเข้าสู่โลกของหน้าหนังสือแล้วเรียบร้อย
สนุกขนาดนั้นเลยเรอะ?
“หนังสือเล่มนั้นสนุกมั้ยครับ? ขอทราบชื่อได้มั้ย?”
ว่าแล้วผมจึงพยายามหาเรื่องชวนคุยด้วยท่าทางสุภาพ
เบลลามีจดจ่อกับหนังสือต่อราว 3 วิก่อนจะตอบผม บ่งบอกถึงลำดับความสำคัญได้ดี
“แค่หนังสือทฤษฎีเวทมนตร์ของ ‘เอเธอร์’ น่ะ”
“ทฤษฎีเวทมนตร์สินะ…น่าอ่านดีนะครับ” ..ว่าแต่ชื่อ ‘เอเธอร์’ นั่นมันชื่อของสุดแกร่งในโลกสินะ
“อือ ไปหาอ่านได้นะ หนังสือของเอเธอร์ไม่ใช่ของแพง และหายากอะไรหรอก ถึงทฤษฎีของเค้าจะไม่ใช่ทฤษฎีโดยตรงของทวีปฟัฟนิร์ แต่ใช้ได้จริงอย่างน่าเหลือเชื่อเลย”
“-ค ครับ”
—บอกตามตรงว่าลาละ ผมไม่ถูกกับพวกทฤษฎีมากด้วยสิ แล้วกับหนังสือทฤษฎีที่ไม่ออกสอบยิ่งไม่อยากแตะเลย
โดยปกติเวลาจะพัฒนาเวทมนตร์อะไรผมก็มักใช้วิธีลงสนามจริงมากกว่าจดๆ จำๆ อยู่แล้วด้วย …ไม่สิ แต่ถ้าเบลลามีชอบ ผมก็ควรลองอ่านดูบ้างสินะ จะได้ตีสนิทกันได้ไม่ยาก
“ถ้าไม่ว่าอะไรคราวหน้าขอยืมหนังสือได้มั้ย?”
“…ทำไมเหรอ?”
—ทำไมถามอย่างนั้นละ!? หรือว่ารังเกียจผมจริงๆ น่ะ!!
เฮ้ยๆ เบลลามี ตัวผมต้นฉบับมันเลวระยำบัดซบจนคุณเธอยังรังเกียจก็จริง แต่ว่าตอนนี้ยังบริสุทธิ์ดีนะ รวมถึงเรื่องอย่างว่าด้วย! ไร้ซึ่งมลทินในช่วงสามสี่ปีมานี้เชียวนะ เพราะนั้นอย่ารังเกียจกันเลยนะ
ผมนึกขอพรในใจให้สุดที่รัก(นางอวย) ของตัวเองไม่รังเกียจ
“…ขอโทษ”
“นายไม่ได้ผิดนี่ …ชื่อ—”
“ชื่อเรเซอร์ครับ”
เบลลามีนิ่งราว 3 วิ ก่อนจะพยักหน้าตอบ
จำชื่อหน่อยดิเธอ
“เรเซอร์ไม่ได้ผิดหรอกนะ …เราแค่กลัวเชื้อโรคน่ะ”
“ขอโทษที่สกปรกครับ”
“ไม่หรอก เรเซอร์ไม่ผิดหรอก เชื้อโรคเป็นเรื่องไม่เข้าใครหรอกใคร แม้แต่เราก็ด้วย …ถ้านั้นเดี่ยวอ่านจบแล้วให้ยืมนะ แต่ไม่ต้องคืนกลับนะ”
—-บ้าเอ๊ย
“-ข ขอบใจนะ”
เบลลามีส่ายหัวให้โดยไร้ซึ่งรอยยิ้ม ใบหน้าของเธอยังเหมือนคนง่วงนอนเช่นเดิม
“ไม่หรอก”
….หนึ่งในนิสัยแปลกๆ ของเบลามีก็คือ—ความรักสะอาดขั้นสุด
เธอเกลียดเชื้อโรคมากถึงมากที่สุด สิ่งอันตรายต่อร่างกายทุกอย่างเธอไม่ชอบมันทั้งหมด เหตุนั้นทำให้ชุดนักเรียนของเธอหลังวันปฐมนิเทศจะต่างกับชาวบ้านเล็กน้อยเพราะชุดของเธอในส่วนที่มีเนื้อหนังจะถูกคลุมด้วยตาข่ายดำจนหมด ยกเว้นช่วงลำคอถึงหัว แต่นอกจากนั้นขา แขน และมือ ถูกปกคลุมด้วยตาข่ายดำ และถุงน่องกับถุงมืออย่างมิดชิด ..แม้ว่าอีกสามวันให้หลังจะถูกสั่งให้ใส่เสื้อตามกฏก็ตาม
โดยสรุปคือ ด้วยเหตุผลด้านการแต่งตัวแปลกๆ และนิสัยเงียบพิลึกของหล่อน กับนิสัยพูดตรงจนเกินไป ทำให้กว่าจะมีเพื่อนก็ปาไปปี 2 …ยูจิพึ่งรู้จักตัวตนของหล่อนช่วงนั้นน่ะ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
เอาเถอะ หล่อนไม่ได้รังเกียจผมดั่งการกระทำหรอก ทำหมดผมแค่ ‘คิดไปเอง’ ใช่ แค่ ‘คิดไปเองเท่านั้น’
ว่าแล้วผมจึงปั้นยิ้มคุยกับเบลามีต่อ
“เบลลามีเธอเป็นเด็กห้องทฤษฎีสินะ?”
“อือ ไปดูกระดานมาแล้วน่ะ”
ดีจังที่ไม่ทักมาว่า ‘รู้ได้ไงน่ะหะ? ยี๊ สตอกเกอร์’
“หวังว่าจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ”
เบลามีพยักหน้ารับโดยไม่ตอบอะไรกลับ …อนึ่งในโรงเรียนแห่งนี้จะแบ่งห้องออกเป็น สามสาย ได้แก่ ‘สายทฤษฎี สายปฏิบัติ สายอัศวิน’
‘สายทฤษฎี’ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกทฤษฎีจ๋าๆ อาทิเช่น ยูจิและเบลลามีทั้งสองเป็นนักเรียนทุนเหมือนกันทั้งคู่
ในการทดสอบชิงทุน ยูจิสอบได้ 100 คะแนนเต็ม แต่เบลลามีได้เพียง 99 คะแนนเท่านั้น ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ได้รับเลือกเพราะมีถึงสองทุนให้
และถึงผมจะโง่ แต่เรเซอร์ต้นฉบับก็อยู่สายทฤษฎีเหมือนกันนะเออ …โลกนี้จะได้รึเปล่าไม่รู้เหมือนกัน—-ต่อมาเป็นสาย ‘เวทมนตร์ภาคปฏิบัติ’ แปลแบบง่ายๆ คือสายต่อสู้ภาคสนาม หรืองานเกี่ยวกับเอาร่างกายเข้าปะทะ
โดยสายนี้จะเป็นสายที่เน้นการต่อสู้และการใช้เวทมนตร์อย่างมีประสิทธิภาพทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สื่อเวทมนตร์ หรือเวทมนตร์มือเปล่า เป็นสายในฝันของชายหลายๆ คน
สุดท้ายสาย ‘อัศวินเวทมนตร์’
อย่างที่ว่าไว้ว่าทวีปฟัฟนิร์อัศวินคือสิ่งที่มีอิทธิมากถึงมากที่สุด ทำให้การเรียนจึงมีแผนกอัศวินเพิ่มเข้ามาด้วย
แต่สายอัศวินเวทมนตร์นั้นจะต่างกับสายอื่นเล็กน้อยด้านจำนวนคน ทางสายนี้ทุกชั้นปีจะมีเพียงห้องเดียวต่างกับห้องอื่นที่มีสายละ สองห้อง ซ้ำร้ายสายอัศวินเวทมนตร์ถูกจำกัดจำนวนคนไว้เพียง 6 คนต่อชั้นปีเท่านั้น
โดยที่ทุกคนในสายนี้จะต้องไปถึงขีดสุดของทฤษฎี และการต่อสู้เท่านั้นถึงได้รับเลือก—กล่าวได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นปี ผู้ที่จบไปจะได้รับการบรรจุชื่อในฐานะอัศวินฝึกหัดทันที และทุกคนภายหลังจะได้เป็นอัศวินเต็มตัว
…เทียบกับโลกเก่าผม อัศวินก็เปรียบได้กับหมอนั่นแหละ ไม่ว่าใครก็อยากให้ลูกเป็นทั้งนั้น ..จำไม่ผิด ตัวชินเองก็จบการศึกษาจากสายอัศวินด้วย หมอนั่นมันทั้งต่อยตีเก่งทั้งฉลาดน่ะนะ
เอาเถอะ ดูทรงแล้วผมคงไม่ได้เข้าสายนั้นแน่นอน เพราะผลสอบทฤษฎีไอ้ผมมันเข้าขั้นวิกฤตนี่แหละ
“…”
“…”
บรรยากาศเงียบไปอีกแล้ว
ก็รู้อยู่หรอกว่าเบลลามีไม่ค่อยพูด สำคัญยังพูดไม่เก่งด้วย แต่ไม่คิดเลยว่าจะถึงขนาดนี้ …จะว่าไงดีละ ชวนอึดอัดเล็กน้อยมั้ง? เอาเถอะ
ต่อให้เบลลามีเป็นยังไงผมก็ไม่คิดตำหนิตัวตนของเธอหรอก ในฐานะแฟนคลับผู้อวยเธอละนะ
“นี่เบลลามี ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากเกินไปสนใจเดินทัวส์โรงเรียนกับฉันมั้ย?”
“…ได้สิ”
—เยี่ยม
“จริงรึ!? ดีใจจริง!”
“อือ แต่ว่าเราอยากอ่านหนังสือต่อน่ะ”
….ซะงั้น
เบลลามีตอบข้อสงสัยผมในสามวิให้หลัง
“ไว้หลังปฐมนิเทศเสร็จได้หรือเปล่า?”
“-อ อ่า ได้สิๆ”
“อือ”
“..อ่า”
เงียบไปอีกแล้ว …
“…ไม่ต้องรอก็ได้นะ เรเซอร์”
เย้ จำชื่อผมได้แล้วแหละ ดีใจชะมัด
“ถ้านั้นเจอกันต้นไม้ใหญ่ได้มั้ย?”
“อือ”
“โอเค?”
“ใช่”
…อ่า ครับ
ผมโค้งตัวขอบคุณเบลลามีเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องไปทั้งอย่างนั้น—-เบลลามีคุยด้วยยากเอาการ
อา แต่ยังไงก็อยากคุยกับเบลามีมากกว่านี้จริงนา—-น่าเสียดายชะมัด
ยังไงซะผมก็ได้นัดแนะกับเธอแล้ว คงได้คุยกันอีกเร็วนี้แน่นอน
ผมตัดสินใจตรงไปที่บอร์ดกระดานชี้แจงเรื่องห้องเรียนทันที
นักเรียนปี 1 เช่นเดียวกับผมมากมายต่างรุมดูกระดานบอกห้องเรียนของตัวเองกัน ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่กำลังไล่สายตาดูรายชื่อของตัวเอง
แน่นอนว่าตื่นเต้นสุดๆ หัวใจแทบจะหลุดออกมาเลยละ อีแบบนี้ต่อให้อายุเท่าไหร่ก็ไม่ชินเสียที ..นึกถึงตอนประถมเลยแฮะ
…อ๊ะ เจอแล้วๆ
‘—เวทมนตร์ภาคปฏิบัติ’ —– ‘เรเซอร์ ดราแคล์’
…วืดซะแล้ว
ดูเหมือนว่าไอเรเซอร์คนนี้จะโง่เกินกว่าจะถูกบรรจุเข้าห้องสายทฤษฎีได้แฮะ ก็ใช่ว่าสายปฏิบัติมันไม่ดีหรอก แต่ผมไม่อยากเข้าสักหน่อย มันไม่ตรงกับที่ผมอยากเรียนรู้ เรื่องที่เค้าสอนกันผมก็เรียนมาจากคนอื่นหมดแล้วด้วย รู้เนื้อหาดีหมดแล้ว เพราะฉะนั้นไม่อยากเข้าเลย แต่—–แม่งเอ๊ย ตูจะตบเด็กห้องเดียวกันให้หัวคว่ำหมดให้ดู!
เป้าหมายของผมในโรงเรียนแห่งนี้ได้เพิ่มขึ้นแล้ว ‘ตอนสอบปฏิบัติจะกระทืบทุกคนให้ยับ’ นี่แหละเป้าหมายของผม แล้วก็หลังจากนี้จะตั้งใจอ่านหนังสือทฤษฎีมากขึ้นด้วย …
รู้ตัวอีกทีพิธีปฐมนิเทศก็มาถึง แน่นอนว่าผู้ที่มากล่าวคำปราศรัยก็คือเด็กเก่าอย่าง—- ‘หนิง’ เจ้าหญิงแห่งทวีปฟัฟนิร์ ในฐานะนักเรียนท็อปห้องอัศวิน แม้ว่าตัวตนจริงๆของหล่อนจะเป็นความลับก็ตาม
เธอก้าวเท้าขึ้นไปบนเวทีด้วยรูปลักษณ์ที่งดงามเหนือใคร และสวมใส่ชุดถูกกฎระเบียบทุกอย่าง หลังจากนั้นยูจิก็จะกล่าวในฐานะตัวแทนเด็กใหม่
…เธอเห็นยูจิแล้วแฮะ ท่าทางดูตื่นตระหนกเกินคาด แต่ก็เก็บอารมณ์ได้โดยเร็วและกล่าวคำปราสัยทั่วๆ ไปจนจบ
หลังจากนี้ตามเนื้อเรื่องคงไปชวนยูจิคุย และอึ้งแดกหลังจากที่ฝ่ายชายเขาจำไม่ได้ …ชักสงสารแล้วสิ ตอนของผมก็จำไม่ได้ไปแล้ว ตอนยูจิดันจำไม่ได้อีก
—เอาเถอะ สู้ๆละกันคุณนางเอก
เมื่อจบพิธีปฐมนิเทศผมจึงรีบตรงไปที่นัดกับเบลามีทันที
ที่โรงเรียนแห่งนี้จะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ ถือว่าเป็นของขึ้นชื่อของโรงเรียนเลย ด้วยความยาวของต้นไม้ตั้ง 20 เมตรน่ะ
ผมยืนรอเบลลามีอยู่ที่แห่งนั้น ….จนกระทั่งผ่านไปถึง 3 ชั่วโมงเธอก็ยังไม่มา
******
ในห้องเรียนมืดสนิท
….
…?
หญิงสาวผู้มีเลือนผมสีดำออกม่วงยาวได้ตื่นจากการหลับใหล ดวงตาสีแดงค่อยๆ หรี่มองไปพื้นที่โดยรอบ ..
“…”
เธอหันไปมองซ้ายขวาและพบกับความมืด ทำให้รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปนานแล้ว สำคัญกว่านั้น—
“—เรามีนัดนี่นา”
ดูเหมือนว่าเธอจะผิดนัดเสียแล้ว …เธอนิ่งอยู่อย่างนั้นราวสามวิ ก่อนจะฟุบหน้าลงกับพื้นโต๊ะห้องเรียนอีกคราว และแผดเสียงโหยหวน ..
“…อุตส่าห์มีคนมาชวนคุยแท้ๆ”
เธอรู้สึกเสียใจ แม้ว่าใบหน้านี้จะไร้ซึ่งความรู้สึกก็ตาม
************
อา…วันสิ้นโลกรึไง?
ผมเดินเตร่ยามราตรี ขณะที่คิดในหัวเช่นนั้นไปด้วย
ตัวผม ‘เรเซอร์’ พึ่งถูกรังเกียจเป็นครั้งแรก? ไม่หรอก ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก เพียงแต่ครั้งนี้มันชวนเจ็บอกกว่าครั้งก่อนๆ เพราะคนที่ไม่อยากให้เกลียดที่สุดดันมาเกลียดผมซะได้
เมื่อไม่นานมานี้ ผมโดนเบลลามีบิท..หมายถึงเบี้ยวนัด นางอวยที่ผมเฝ้าตารอมาโดยตลอด–เธอจงใจเมินผม แล้วปล่อยให้ผมรออย่างโดดเดี่ยว
อึก—-บ้าเอ๊ย
ผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ และเดินต่อท่ามกลางยามค่ำคืนที่โหดร้าย
เบลลามีใจร้ายไปแล้ว
“…ซวยชะมัด”
” ” เฮ้อ ” ”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกันสองตลบ ชวนให้ผมและอีกฝ่ายหันมาจ้องหน้ากันโดยไม่รู้ตัว
“…เรเซอร์?”
“…ฮาเก้น?”
ผมเจอเข้ากับฮาเก้น
ฮาเก้นในตอนนี้สวมใส่ชุดทักชิโด้ดูสุภาพต่าง กับหน้าตาดูชั่วเหมือนผม นอกจากนั้นเหมือนกำลังกวาดพื้นแถวๆ หน้าร้านบาร์อยู่
คงเป็นงานของฮาเก้นแก ..ว่าแต่ว่า แต่งตัวแบบนี้ก็เท่ไปอีกแบบแฮะ ดูฉลาดดี ถึงมันสมองจะดีกว่าผมตึงนึงก็เหอะ
“งานพิเศษรึ?”
“อ่า จะว่าอย่างนั้นก็ได้ …ว่าแต่มาทำอะไรแถวนี้? แล้วก็ชุดนักเรียนนั่นด้วย น่าจะสอบผ่านสินะ แหงอยู่ละ”
ท่าทางเขาดูใจเย็นกว่าก่อนหน้านี้มาก อาจจะเป็นเพราะอยู่ในเวลางานกระมังจึงต้องรักษามารยาทไว้
“ได้อยู่สายภาคปฏิบัติน่ะ”
“คงจะอย่างนั้นแหละ …478”
“หนวกหูจริง ไอ้ 469”
อันดับดีกว่าเท่าสิว ทำมาเป็นพูดไอ้หมอนี่ ว่ากันตามคะแนน คะแนนห่างกันไม่ถึง 4 ด้วยซ้ำ
“อะไร?”
“จะเอารึไงหะ? …ว่าไปนั่น”
ผมยิ้มเบาหวิวหยอกล้อ ทำให้ฮาเก้นผ่อนคลายลง
“…พอดีเจอเรื่องนิดหน่อยน่ะ เลยเผลอเดินเตร่มาไกลไปหน่อย”
โซนที่ผมอยู่คือที่ท่องเที่ยวของผู้ใหญ่ละนะ ไม่ใช่ที่สำหรับเด็ก(ทางร่างกาย) แบบผมหรอก
“จะกลับแล้วละ”
“ดูซึมๆ แฮะ”
“…อืม”
ฮาเก้นเกาหัวตัวเองงึกๆ ก่อนจะทักผม
“สนใจไปนั่งกินอะไรในร้านก่อนมั้ย?”
“…จะดีเหรอนั่น? ไม่ใช่ว่าเกลียดฉันหรือไง?”
“นี่เวลางานนะ” ฮาเก้นส่งยิ้มเรียกแขกให้ผม “เชิญเลยครับ”
..ดูฉลาดดีแฮะหมอนี่
ผมล้วงกระเป๋าตังค์ตัวเองเพื่อเช็กเงิน
“พกเงินมาน้อยนะ”
“เดี่ยวให้ยืมเอง”
หวังว่าจะไม่มีดอกเบี้ยนะ
“เข้าใจแล้ว ขอตามนั้นนะ”
ผมยิ้มให้ฮาเก้น
“อ่า เชิญเลย”
ฮาเก้นนำทางผมเข้ามาในบาร์ ซึ่งขนาดโดยรวมไม่ใหญ่มาก เป็นบาร์เล็กๆ ที่มีแค่บาร์เทนเดอร์เพียงคนเดียว และฮาเก้นซึ่งเป็นพนักงานบริการสารพัด
“รับอะไรดี?”
ผมเปิดเมนูในร้านดู
“เด็กคงสั่งเบียร์ไม่ได้สินะ?”
“ถ้าให้ราคาคูณสองคุณบาร์เทนเดอรเค้ายอมให้ง่ายๆ เลยละ” ฮาเก้นขยิบตาให้ “ถ้าให้ติปฉันอีกสักครึ่งนึงก็จะไม่เอาเรื่องไปแจ้งทางโรงเรียนด้วย”
อะไรละนั่น ใต้โต๊ะกับรีดไถเงินเรอะ?
“ไม่เอาดีกว่า เงินก็ไม่มี …ขอเป็นน่องไก่สามชิ้นละกัน”
“รับทราบ”
ฮาเก้นเข้าไปในห้องครัวของร้านและไม่นานก็กลับมาพร้อมกับออเดอร์ที่ผมสั่งไป เขานำมาเสิร์ฟให้เรียบร้อย ด้วยท่าทางราวกับโปรด้านบริการโดยเฉพาะ
ผมจับน่องไก่เข้าปากด้วยท่าทางห่อเหี่ยว ..เดี่ยวนะ ไหงมีน้ำผลไม้มาด้วยล่ะ”
“แถม”
“…เกิดคาดเลยนะ” ผมจับไก่ทอดเข้าปาก และจิบน้ำผลไม้อย่างตะกละตะกลาม กินไปได้ไม่กี่คำผมก็นิ่งลง
“ไม่ถูกปากรึ?”
“อร่อยมากๆ เลยละ แต่…ไม่มีอารมณ์เลย”
“เจออะไรมาละนี่?”
ฮาเก้นคงพยายามชวนคุยด้วย ภาษาคนบริการกระมัง สมแล้วละที่เป็นโปร เกลียดผมอยู่แท้ๆ
“อืม คือว่า…นัดผู้หญิงไว้ แต่เธอดันไม่มาตามนัดน่ะ”
“…แค่นี้?”
หะ?
“ฉันรอตั้งสามสี่ชั่วโมงเลยนา”
“ลำบากแย่เลยนะ”
ผมฟุบลงกับโต๊ะทันที
“ใช่เลย ถ้าไม่อยากไปด้วยขนาดนั้นบอกกันดีๆ ก็ได้แท้ๆ”
“นั่นสินะ ผู้หญิงแบบนี้ค่อนข้างใจร้ายเลย”
“ไม่ๆ เธอเป็นคนดีมากสุดๆ เลยนะ”
ฮาเก้นถอนหายใจ
“คงจะอย่างนั้นแหละ”
ราวกับตามน้ำผม? คงจะอย่างนั้นแหละ ตอนนี้ผมเป็นลูกค้านี่นะ
“ก็ฉันรู้จักเธอก่อนจะมาโรงเรียน ทำให้รู้ดีว่าเธอนิสัยยังไง”
“ใครจะไปรู้ละ คนเราเปลี่ยนไปได้ตลอด”
ฮาเก้นดูเศร้าเล็กน้อยหลังพูดจบ
นั่นสินะ ถึงอย่างนั้นผมยังคงเชื่อในความรู้ตัวเองกว่าครึ่ง เพราะผมรู้จักเบลลามีดีจากตัวนิยายที่อ่าน แต่ก็จริงของฮาเก้น ผมควรเชื่ออย่างมีเหตุผลประกอบ …ขนาดยูจิสีผมยังเปลี่ยนได้เลย
“…เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ลองไปคุยอีกรอบก็ได้นี่”
ฮาเก้นให้คำแนะนำผมเล็กน้อย
“อ่า เอาตามนั้นเลย”
“…แต่แกนี่คิดจีบสาวเร็วใช่ย่อยนะ”
จีบ?
“ไม่ๆ ฉันไม่คิดจะจีบเธอคนนั้นหรอก”
“แบบนั้นไม่เรียกว่าจีบแล้วจะให้เรียกว่าอะไรละ? วิธีนี้เคยทำให้ฉันได้เสียกับผู้หญิงมาแล้วนะ”
“…ในวันเดียวนี่นะ?”
“ใช่”
จะว่าไงดีละ—สุดยอดเลยแฮะเจ้าฮาเก้น
ผมจับน่องไก่เข้าปากพลางดื่มน้ำส้มไปด้วย
“ฮาเก้นนายสละซิงครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่หรอ?”
ฮาเก้นเงียบไปราวเชี่ยววิเดียวก่อนตอบ
“อายุ 12”
“แพ้ราบคาบเลย” รสชาติไก่ยิ่งจืดขึ้นไปอีก— “นายมันสุดยอดจริงๆ ด้วย เทียบกับฉันแล้วคนละระดับเลย”
“ไม่หรอก ไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจอะไรเลย”
ผมยิ้มให้
“ไว้วันหลังฉันมาร้านนี้บ่อยๆ ดีกว่า …มาปรึกษามือโปรน่ะ เรื่องเพื่อนนะ เรื่องเพื่อน”
ฮาเก้นยิ้มตอบ
“เข้าใจแล้ว เชิญมาได้ตลอดเลยครับ คุณลูกค้า”
“อ่า”
หลังจากนั้นผมก็นั่งกินและคุยกับฮาเก้นไปราว 10 นาที ก่อนจะออกจากร้าน
ในขณะที่กำลังก้าวเท้าออกจากร้านนั้นเอง——–ดันมีมนุษย์ผ้าคลุมดำวิ่งผ่านผมไปซะอย่างงั้น
“—-ดูรีบๆ แ–”
ไม่ทันที่ผมจะพูดจบเสียงก็ดังขึ้น
“โจร ใครก็ได้จับโจรให้ที!!!”
—–เอ้า ฮึบ!
ไม่รีรอผมคว้าแขนของโจร และใช้แรงเหวี่ยงจากการวิ่งของเจ้ามนุษย์ผ้าคลุมดำ—ฟาดมันลงกับพื้น
โชคดีที่จังหวะพอดีเอามากๆ
ร่างผ้าคลุมดำกระเด็นขึ้นฟ้าด้วยแรงเหวี่ยง พลางทำให้ของที่ขโมยมาหลุดออกจากมือ และกระจัดกระจายไปทั่ว
ผมรีบคว้ามืออีกครั้งเพื่อทำท่าจับล็อก ทว่าเจ้าตัวสามารถพุ่งตัวหลบได้ คงจะมีฝีมือพอดู
น่าสนใจ
ผมถีบเข้าใส่ลำตัวที่ลอยขึ้นของเจ้าผ้าคลุมดำ จนร่างกระอักเลือดออกมา—–พร้อมกับเสียงของชายหนุ่มที่เล็ดออก
“อึก!”
เพศชาย—เอาเถอะ ไม่ว่าจะเพศไหนก็ไม่สมควรเป็นขโมยทั้งนั้น
ผมก้าวเท้าเป็นสเต็ปเข้าไปชิดระยะกับเจ้าผ้าคลุมดำ และปล่อยหมัดขวาตรงเข้าไปบนทางเข้าฮู้ด แต่อีกฝ่ายสามารถหลบได้อย่างสมบูรณ์แบบ
พร้อมกันนั้นก็เกิดคลื่นลมขึ้นมา—–เวทย์ลมเรอะ?
ถ้าอีกฝ่ายใช้เวทย์ลมอัดร่างในระยะแบบนี้ ตัวผมปลิวแหง ——-ขาขวาของเจ้าหมอนั่นพุ่งเข้าเป้าหน้าผมอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่เป็นการต่อยส่งๆ ทำให้หลบได้ไม่ยาก จากนั้นผมก็ใช้หัวเข่ากระแทกใส่ลำตัวช่องว่าง
“อั้ก!!!!”
เจ้าตัวร้องเสียงดังและกระเด็นกับพื้นราว 2 เมตร ผมใช้จังหวะนั่นเสริมพลังกายตัวเอง—ด้วยเวทย์ลม เพราะรองเท้าดีทำให้ไม่เกิดความเสียหายบนฝ่าเท้า แต่ว่าก็ว่าเหอะ ร่างกายระดับผมต่อให้ใช้ลมอัดตรงๆก็ไม่มีความเสียหายอะไร
โดยรอบเกิดออร่าแ ละลมพัดเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายและกดลงกับพื้นอย่างจัง
“…แต่อย่าขยับเชียว”
ผมกระซิบใส่หูเจ้ามนุษย์ผ้าคลุมดำ และในขณะที่ผมกำลังจะนำมือไปถอดฮู้ดมัน
…ร่างของเจ้ามนุษย์ผ้าคลุมดำจู่ๆ ก็ค่อยๆจาง
“—-ซวยแล้ว”
รู้ตัวอีกทีร่างนั้นก็หายไป …เหลือแต่เพียงผ้าคลุมสีดำเท่านั้น
ผมมองที่ผ้าคลุมดำและถอนหายใจ
“ไสยศาสตร์สินะ”
เมื่อตะกี้ผมน่าจะรีบใช้งานยูนาตัดมิติซะก่อนที่หล่อนจะหนีได้ ผมพลาดเอง
แม้จะไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก แต่ผมก็จำแนกรูปแบบของเวทมนตร์ได้อยู่ อีกฝ่ายคือผู้ใช้วิชาไสยศาสตร์ไม่ผิดแน่ …โจรที่ขโมยของในเมืองหลวงได้นี่ใจกล้าจริงๆ ฝีมือเองก็ไม่ธรรมดาด้วย
ไม่นานเจ้าของร้านที่ถูกขโมยของก็วิ่งมาหาผม
“ขอโทษนะครับที่ช่วยจับโจรให้ไม่ได้”
“ไม่หรอกครับๆ ช่วยได้มากเลยครับ!”
แกขอบคุณผมใหญ่เลยละ ก็นะ ยังไงก็ได้ของคืนนี่นา
“ขอตัวนะครับ”
“ยังไงก็ขอบคุณมากจริงๆ ครับ”
ผมยิ้มตอบกลับไป และตรงดิ่งไปที่หอโรงเรียนทันที——ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่หอของโรงเรียนแล้ว
********
หอของโรงเรียนแห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ ที่น่าอยู่ยิ่งกว่าโรงแรมเสียอีก
เป็นที่อยู่อาศัยชั้นยอดเลยละ มีทั้งฟิตเนส สระว่ายน้ำ บ่อน้ำร้อน ที่ตีปิงปอง ระบบรักษาความปลอดภัยเองก็เข้าขั้นดีเยี่ยม หรืออะไรต่างๆ นานาเท่าที่จะหามาบริการเด็ก ขาดเพียงบ่อนเท่านั้น ..เชี่ย! จะว่ามีก็มีนี่หว่า! แต่เป็นด้านมืดน่ะนะ
ด้วยเหตุผลข้างต้นเองทำให้ผมผู้เป็นถึงบุตรของดยุคชื่อดังสามารถเข้าอยู่อาศัยได้โดยหายห่วง
ผมยืนอยู่หน้าหอซึ่งใหญ่โตมโหฬาร ใหญ่กว่าคฤหาสน์ที่ราวกับปราสาทของผมได้ประมาณ 7เท่า
ผมเดินเข้าไปข้างในไปขอที่อยู่ห้องตัวเอง และเดินตามทางเดินไประหว่างนั้นเอง…ดันไปเจอกับผ้าแปลกๆ เข้า
ผ้าทรงสามเหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มาก …สามเหลี่ยมสีชมพู กลีบดอกไม้? …ไม่ใช่สามเหลี่ยม ไม่สิ ก็สามเหลี่ยมแหละ เพียงแต่—-มันคือรูปทรงของกางเกงใน
พลันใดนั้นหน้าผมก็เปลี่ยนสี พลางหันซ้ายหันขวา ก่อนจะก้มลงไปใกล้เจ้าสามเหลี่ยมพิลึกนั่น …ไม่น่ามาอยู่ที่นี่ได้ ที่นี่คือหอชาย
ผมรู้ดีแก่ใจแต่ถึงอย่างนั้น …มันเย้ายวน? ไม่ๆ ผมไม่ใช่คนแบบนั้นเสียหน่อย
ว่าแล้วผมจึงถอนหายใจ—และกำลังยื่นมือไปหาเจ้าสิ่งนั้น
“—-ฝากทีนะ”
อ๊ะ?
ชายผู้มีผมสีน้ำเงินเข้มมัดจุกปลายสีแดง ดวงตาสีเหลืองทับทิม ร่างกายดูสมชาย สูงราว 180 ซ.ม. …เจ้าตัวยืนเกาะกำแพงอยู่ด้านขวามือผม ..ส่งยิ้มดูน่าขยะแขยงให้ด้วย—–อา หน้าตาแบบนั้นมัน …. ‘เรย์’ เพื่อนสนิทของยูจิ และน้องชายของชิน—–ไม่ทันที่จะได้พูดได้จา เรย์ยิ้มให้ผม และออกวิ่งไปไหนไม่รู้
ท่าทางดูเร่งรีบมาก …อ๊ะ
เสียงฝีเท้านับสิบดังขึ้นจากข้างหลังของผม
“—–ไอโจรขโมยกางเกงใน!”
“เอากางเกงในคืนมานะ!”
“ไอ้ผู้ชายสารเลว!”
—–ทั้งหมดล้วนเป็นผู้หญิง ทำให้ผมอนุมานทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ไม่รีรอผมรีบลุกขึ้นกำกางเกงในไว้ พร้อมกับออกวิ่ง———-‘ตามไอสารเลว เรย์’
“อย่ามาล้อเล่นนะโว้ย!!!!!”
—-วันแรกในหอก็เกิดเรื่องเสียแล้ว