เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 245
< < 157 > >
ซาตานก้าวเดินต่อไป ก้าวเดินต่อไป ก้าวต่อไปเรื่อยๆเพื่อทำลายทุกสิ่งจนกว่าสวรรค์จะเปิดออก เพื่อลากหัวทวยเทพที่หลอกใช้เธอ และลงโทษเธออย่างไร้เหตุผลลงมาบนพื้นดิน
นั่นคือความปารถนาของเธอ? ในส่วนลึกของจิตใจอาจจะใช่ ทว่าในฐานะมนุษย์ การที่ต้องทำทุกอย่างย่อมไม่ใช่ความปารถนาของเธออยู่แล้ว แต่พรที่ได้รับจากทวยเทพ ทำให้เธอไม่อาจควบคุมอะไรได้ทั้งสิ้น สุดท้ายนี่ก็ไม่ใช่การแก้แค้นอะไรทั้งสิ้น—หืม?
ซาตานยืนอยู่บนทุ่มหญ้าบ้านเกิดของตัวเอง ข้างขวามีไร่นา ข้างซ้ายมีป่าไม้แล้วก็บ้านที่ทำจากไม้หลังเล็ก เธอมองไปที่เส้นขอบฟ้าที่มีเปลวเพลิงสีขาวปะทุขึ้นมา
เปลวเพลิงสีขาวกลืนกินโลกในจิตใต้สำนึกของซาตาน และพาเธอกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
****
“ไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดเท่าไหร่ แต่จากที่ลิเวียธานเล่าให้ฟังทีหลัง ท่านจอมมารได้ใช้เปลวเพลิงสีขาวเป็นครั้งแรกเพื่อช่วยซาตาน แล้วก็ทำสำเร็จ แต่เพลิงสีขาวมีอาณุภาพที่รุนแรงจนเกินไปทำให้หอคอยพังทลายลงมา ทุกคนเลยต้องช่วยกันแบกซาตานหนีออกจากหอคอยอย่างยากลำบากน่ะค่ะ”
บิลเซบับเล่าเรื่องราวการต่อสู้ครั้งนั้นออกมาโดยสรุปย่อ เพราะเป็นคนนอกด้วยส่วนหนึ่ง
ภายในห้องขนาดเล็กของเบลลามี มีปีศาจมหาบาปสองตนนอนอยู่ข้างๆโดยที่คนหนึ่งหลับไปแล้ว แต่อีกคนยังนอนคุยกับเบลลามีท่ามกลางความมืดมิด
เนื้อหาที่พวกเขาคุยกันก็คือเรื่องในยุคโบราณ
“วันนั้นฉันร้องไห้เลยนะคะ กลัวว่าท่านดิลุคจะตายเอา เพราะตอนนั้นท่านดิลุคคือแบบว่า ..ใช้ชีวิตเหมือนว่าพร้อมตายในทุกๆวันน่ะค่ะ
เรียกว่าใช้ชีวิตคุ้มดีกว่านะ?
เบลลามีเมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็แอบอมยิ้มกับตัวเองเล็กน้อย เพราะความทรงจำเล็กๆน้อยๆมากมายมันไหลเข้ามาในหัวสมอง ทำให้เธอมีอารมณ์ร่วมกับหลายอย่างไปด้วย
“หลังจากนั้นก็รับซาตานมาดูแล อังเฟกอร์ ..คือท่านดิลุคตอนนั้นตั้งใจหลอกใช้เจ้าตัวแล้วก็ทิ้งกระมัง เจ้าตัวกลัวว่าพวกทูตสวรรค์จะตามมาฆ่าตัวเองเข้าสักวัน อังเฟกอร์เลยแกล้งความจำเสื่อมแล้วขอให้ท่านจอมมารรับตัวเองมาดูแลด้วยเหมือนกัน ..อังเฟกอร์เป็นคนที่มีสเน่ห์เรื่องรูปร่างมาก ถึงขนาดที่แอสโมเดียสหน้ามืดเปลี่ยนคนจีบเป็นอังเฟกอร์ไปหลายวันเลยค่ะ”
“เพราะจู่ๆก็ไปสนใจคนอื่นแบบออกหน้าออกตา ทำให้ลิเวียธานไม่มีวันรับรักสินะ”
“ใช่ค่ะ ส่วนสำคัญเลยละ ทั้งๆที่ตอนแรกเกือบจะเปิดใจลิเวียธานเขาได้แล้วแท้ๆ”
“เห่ยจังเลยนะ”
“เห่ย?”
“อือ เพื่อนเราที่ชื่อโซเฟียสอนพูดคำนี้มาน่ะว่าเวลาเจออะไรที่ดูไม่ค่อยดี ให้พูดว่า ‘เห่ย’ ”
“อ๊ะ ค่ะ แอสโมเดียสก็ดูเห่ยจริงๆนั่นแหละค่ะ แต่อย่าไปพูดให้เจ้าตัวฟังนะคะ กลัวว่าจะร้องไห้เอาน่ะค่ะ”
เบลลามีหัวเราะพึมพำในลำคอพร้อมกับบิลเซบับ
“เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจังเลยนะ”
“ใช่เลยค่ะ”
…..
……
บิลเซบับกลอกตาไปมาอย่างลำบากใจ เบลลามีพอจะเดาได้ว่าบิลเซบับคิดอะไรอยู่–เพราะอยู่ด้วยกันมานานแล้ว
“เล่าต่อได้เลยนะ ..เรื่องต่อจากนั้น”
พอจะจำได้ลางๆแล้ว จุดพลิกผันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตัวเธอเอง
“..แต่แล้ววันหนึ่ง เทพแห่งวัฐจักร ‘ออโรโบรอส’ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น เขามาพร้อมกับทูตสวรรค์ ‘อาซาเซล’ และ ‘ลูซิเฟอร์’ เขามีเรื่องจะคุยกับท่านดิลุค ทำให้พวกเราทุกคนได้รับสิทธิพิเศษขึ้นไปบนสวรรค์พร้อมกับท่านดิลุคตามคำเรียกร้องของท่าน”
เบลลามีหรี่ตาลงอย่างเศร้าใจราวกับว่าความทรงจำที่ขาดหายไปตอนนั้นได้กลับมาจนครบถ้วน และมันก็คือเรื่องที่น่าเศร้าด้วย
เรื่องราวในยุคโบราณทั้งหมด..พอจะเข้าใจแล้ว
“ต่อจากนั้น ..ก็หลายเรื่องเลย”
“ใช่ค่ะ”
“..ออโรโบรอสบอกว่าจะสังเวยมนุษย์ทุกคนเพื่อคืนชีพพระเจ้าสูงสุดขึ้นมา ..เราพยายามจะค้านด้วยเหตุผลมากมาย แต่มันก็ไร้ค่าต่อหน้าออโรโบรอสที่รักพระเจ้าสูงสุดกว่าใครๆ สุดท้ายก็ทะเลาะกันและต่อสู้กันในที่สุด”
เบลลามีเม้มปากเข้าหากันและหรี่ตาด้วยความเจ็บปวดในอก
“ ‘อาซาเซล’ คือคนแรกที่เราฆ่า เขาเข้ามาปกป้องออโรโบรอสจากเรา”
เพลิงสีขาวของเบลลามีนั้นมีพลังทำลายล้างที่มหาศาล ระดับที่หนึ่งในทูตสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดพลาดโดนเข้าไปครั้งเดียวก็ตายเลย ..
“จากนั้นมหาสงครามก็ได้เริ่มขึ้น”
เบลลามียกมือขึ้นฟ้า มองดูมือที่เล็กของตัวเองแต่มือที่เล็กๆนี่กับเคยคร่าชีวิตมามากมาย
“ฆ่าอาซาเซลเสร็จ เราก็ฆ่าพวกทหารในสวรรค์อีกมากมายเพื่อหลบหนีจากสวรรค์ จากนั้นก็โดนตามล่า ..เราฆ่าเทพมังกร คุณลุงที่เราสนิทด้วยกับมือตัวเอง โค่นลูซิเฟอร์และเอาเข้าพวก ฆ่าคนมากมาย รวมถึงทวยเทพหลายคนที่เราเคยรู้จักและสนิทกันมา ทำทุกอย่างก็เพื่อมวลมนุษย์ ทิ้งทุกอย่าง ทิ้งตัวตนก็เพื่อมวลมนุษย์”
แต่ถึงจะบอกว่าทำทุกอย่างเพื่อมนุษย์ สิ่งที่ตัวเองทำได้ก็มีแค่การทำลายเท่านั้น
“…หลอกใช้พี่ชายของตัวเอง เสร็จแล้วก็ช่วงชิงมานาของพี่ชายมาเป็นพลังให้ตัวเองจนหมด”
เหตุผลที่แอสทอเรียสหรือเอเธอร์มีมานาอยู่น้อยก็เป็นเพราะ–มานาทั้งหมดของเขา ถูกจอมมารช่วงชิงไปเมื่ออดีต
“จากนั้นก็ทิ้งพี่ชายที่ไร้พลังเอาไว้คนเดียวในห้วงลึกที่สุด เพราะเห็นว่าเป็นตัวปัญหาต่อแผนการณ์กวาดล้างทวยเทพ ทำโดยไม่ได้สนใจจิตใจของพี่ชายเลยแม้แต่น้อย และไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปคุยด้วยกันก่อน”
ทำลายกระทั่งพี่ชายของตัวเอง
“ทำสงคราม สังหารทวยเทพ ทำสงคราม สังหารทวยเทพ ทำสงคราม สังหารทวยเทพ ทำสงคราม สังหารทวยเทพ ทำสงคราม สังหารทวยเทพ ทำแค่นั้นวงไปจนกว่าเทพทุกคนจะตายจนหมด คิดว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้วโลกจะพ้นจากกฏของเทพ ..ถือครองปัญญาของพระเจ้าเอาไว้แท้ๆ แต่กลับคิดไม่ได้เลยว่าที่ตัวเองทำอยู่มันก็แค่การทำลายที่โหดร้าย”
เบลลามีกัดฟันกรามแน่น
“รู้ตัวอีกที ..ปีศาจแห่งโซโลม่อนที่ตามกันมาก็ตายกันเกือบจะหมด แต่ตรงหน้าคือเส้นชัย เทพตายกันจนเกือบจะหมด ถ้าไม่เสียสละชัยชนะก็จะไม่เกิด ใช่แล้ว เส้นชัยได้ปรากฏมาแล้ว ทว่า–สุดท้ายก็พลาด”
….
“ออโรโบรอสได้สร้างกลไกที่เทพจะไม่มีวันหายไปจากโลกได้สำเร็จ ..แน่นอนว่าแค่ใช้ดาบแห่งโซโลม่อน เทพก็ตายกันหมด แต่ว่า–โลกใบนี้จะพังทลายทันทีเมื่อเทพหายไปจนหมด” เบลลามียิ้มเหยาะตัวเอง “เลยตัดสินใจว่าจะฝากอนาคตให้กับมนุษย์รุ่นถัดไป โดยเราและปีศาจมหาบาปจะเป็นผู้แนะแนว เราจะตายพร้อมกับปีศาจมหาบาป แล้วก็จะไปเกิดใหม่ในอีกหลายร้อยปีให้หลัง และเริ่มต้นต่อสู้กับออโรโบรอสและเทพตนอื่นๆในทุกๆครั้งไป”
เบลลามียกมือขึ้นฟ้า ทำท่านับนิ้ว
“เราได้เขียนคัมภีร์เวทมนตร์ให้คนยุคหลัง เราได้เขียนวิชาการใช้อาวุธให้คนรุ่นหลัง เราได้เขียนธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและอื่นๆให้คนรุ่นหลัง เราได้เขียนตำนานหรือนิทานให้คนรุ่นหลัง เรามอบหลายสิ่งหลายอย่างให้คนรุ่นหลัง”
มากมาย มีหลายสิ่งที่เบลลามีในฐานะจอมมารได้มอบให้กับมนุษย์ที่เธอรัก ระดับที่ไม่อาจนับได้ด้วยมือทั้งสองข้าง
“เราได้สร้างระบบ [วิญญาณระดับเทพ] ขึ้นมา ..ผู้ที่เข้ามาในระบบไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นผู้ที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ข้อผิดพลาดของโลก’ ที่สุด เรารวบรวมคนเหล่านั้นไว้ในระบบวิญญาณ ต่อให้ร้อยปีข้างหน้าทำพลาด ผู้คนในช่วงเวลาที่ผ่านมาและตรงกับเงื่อนไขก็จะเข้าสู่ระบบวิญญาณ และไปเป็นพลังให้กับคนรุ่นถัดๆไป”
น้ำเสียงของเบลลามีเต็มไปด้วยความอ่อนล้า แววตาว่างเปล่าขณะที่พูด
“..แต่ก็พลาด พลาดเยอะเกินไป ..ระบบวิญญาณที่เราสร้างกลายเป็นพลังที่ใช้กำจัดเราแทน–ในทุกยุคสมัยที่เราถือกำเนิดขึ้นมา เราไม่ได้อยู่ในฐานะผู้ที่ช่วยเหลือมนุษย์ แต่เป็นผู้ที่เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นศัตรูให้แก่มนุษย์ ทุกคนหันดาบเข้าใส่เรา มองว่าเราเป็นตัวร้ายที่จะทำลายล้างโลกใบนี้ …แล้วก็–ถูกพี่ชายที่ตัวเองหักหลังมาตามล้างแค้น”
…
“แอสทอเรียสขึ้นเป็นผู้กล้า นำพามวลมนุษย์ที่เรารักเข้าต่อสู้กับเราแล้วก็โค่นเราได้ในทุกๆครั้ง เวลาผ่านไป เรากลายเป็นตัวตนที่ถูกเรียกว่า ‘จอมมาร’ และถูกฆ่าโดยมนุษย์ที่เราหลงรัก ถึงอย่างนั้นก็ยังเชื่อในมนุษย์ ยังคงพยายามต่อไปเพื่อมนุษย์ แต่–ในท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย”
เสียงของเบลลามีเริ่มสั่นด้วยความเจ็บปวด
“โลกใบนี้มันจบแล้ว ..คิดได้อย่างนั้นเลยตัดสินใจได้ว่า–ควรจะทำลายโลกทิ้ง แล้วก็สร้างโลกใบใหม่ที่ปราศจากกฏ แต่ทุกอย่างก็บานปลายเกินไป เราไม่สามารถเอาชนะแอสทอเรียสได้ มนุษย์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆตามยุคสมัย จากที่เป็นได้แค่ตัวถ่วงเวลาปีศาจมหาบาป พวกเขาสามารถโค่นปีศาจมหาบาปได้ ..จนแล้วจนรอด การจะทำลายล้างโลกมันก็เกินมือเราไปมาก มั่นใจว่าสามารถทำให้โลกเข้าสู่ภัยพิบัติได้ แต่ในท้ายที่สุดมนุษย์ก็จะก้าวผ่านเราไปได้เสมอๆ”
….
“นั่นคือภาพที่เราอยากเห็นนะ เรื่องราวของมนุษย์ที่พัฒนาตัวเองน่ะ แต่..ทำไมเรา..ทำไมเราที่ทำเพื่อพวกเขาถึงต้องกลายเป็นภัยพิบัติสำหรับพวกเขาด้วยล่ะ?”
“ท่านดิลุค ..”
“ที่เป็นภัยพิบัติไม่ใช่เราเสียหน่อย คนที่จะทำลายพวกเธอน่ะคือออโรโบรอสนะ ..ทำไมถึงไม่มีใครเข้าใจเลย-แต่ว่านะ เราเองก็รู้ดีอยู่แล้วละว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น” ดิลุคถอนหายใจเฮือกโต “ก็เราน่ะ เอาแต่ทำลายชีวิตนี่นา จะมีใครมาเชื่อคนที่ทำเป็นแค่การทำลายอย่างเรากันล่ะ? บางที ถ้าเกิดเราเลือกที่จะคุยกับแอสทอเรียสดีๆ เจรจากับเทพตนอื่นให้ดีกว่านี้มันอาจจะดีกว่า”
…
“ผู้ถือครองปัญญาพระเจ้า? ผู้พิเศษกว่าใครๆ? ..ทั้งพลังของเรา ทั้งสิ่งที่ตัวเองได้ก่อเอาไว้จากปัญญาของตัวเอง ทั้งหมดมันไม่ต่างกับคำสาปในจิตใจเลย”
ก่อนที่เบลลามีจะได้พูดไปมากกว่านี้ บิลเซบับได้นำมือของตัวเองไปจับมือของเบลลามี
“ต่อให้ทั้งโลกเกลียดท่านเบลลามี แต่ฉันจะไม่มีทางเกลียดท่านค่ะ”
เธอส่งสายตาที่อ่อนโยนมาให้พร้อมกับคำพูดที่แสนอบอุ่น
“..จำเรื่องบนเกาะวาเรอร์ได้รึเปล่า?”
“ค่ะ จำได้ดีเลย”
“เราฆ่าเพื่อนของตัวเองไปหนึ่งคน ..ชื่อ ‘โซล่า’ ตัวเราเวลานั้นได้สังหารเธอไป ไม่ใช่แค่นั้น ผู้คนในตัวเมืองหลายคนก็ตายเพราะเราด้วยส่วนหนึ่ง แล้วเรายังคิดจะฆ่าทุกคนบนเกาะทิ้งเพื่อเป้าหมายของตัวเอง”
…..
“เด็กในเมืองสูญเสียพ่อแม่ไป หลายคนสูญเสียคนรักคนสำคัญไป …คนที่ให้ความสำคัญกับเรเซอร์มากกว่าใครๆก็ต้องตายจากไปเพราะเรา ทั้งๆที่เธอรักเรเซอร์มาก กลับถูกปฏิเสธ แต่เราที่เลือกจะทำลายทุกสิ่งตอนนั้นกลับได้รับความรัก ..ไม่ยุติธรรมเลย ตัวเราที่ทำลายทุกอย่าง กลับได้รับความรักเหมือนเดิม แบบนั้นมันเลวร้ายที่สุด”
บิลเซบับกุมมือของเบลามีไว้ให้แน่นยิ่งขึ้น
“ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่มันไม่ต่างกับที่ออโรโบรอสจะทำกับทุกคนเลยหรือไง ..”
“พอท่านเบลลามีได้ฟังทุกอย่างแล้ว คิดจะทำยังไงต่อเหรอคะ?”
“ทำ..ยังไงต่อ?”
บิลเซบับพยักหน้าให้
“ใช่ค่ะ จะยอมแพ้แล้วใช้ชีวิตสบายๆเหมือนอย่างที่ลูซิเฟอร์และแมมม่อนอยากให้ทำ หรือว่าจะทำลายล้างโลกต่อเหมือนเดิม”
อนาคตของตัวเองต่อจากนี้?
“ฉันน่ะรักท่านเบลลามี ไม่ว่าจะในตอนที่เป็นท่านดิลุค หรือตอนที่เป็นท่านเบลลามีก็เหมือนๆกัน ..ฉันอยากจะเห็นท่านเบลลามีที่ปารถนาในอิสระกว่าใครๆ ท่านเบลลามีที่เต็มไปด้วยสีสันต์อย่างที่ท่านควรจะเป็น ฉันหลงใหลตัวท่านที่เป็นอย่างนั้น เพราะอย่างนั้นฉันจะตามท่านไปค่ะ ไม่ว่านั่นจะเป็นปลายทางไปสู่นรกหรือว่าอะไรก็ตาม”
โลกที่มีสีสันต์?
หน้าของเรเซอร์ลอยเข้ามาในหัวของเบลลามี
วันนั้นคือวันที่ทั้งคู่ได้ออกไปทำงานจิตอาสาด้วยกัน ทั้งคู่ไปดูแลคุณยายที่ป่วยเป็นโรคมานาย้อนกลับ ความทรงจำของเธอย้อนกลับไปเป็นเด็ก วันนั้นเบลลามีกังวลกับโลกที่ตัวเองอยู่ กลัวเรื่องที่ตัวเองอยู่โลกคนละสีกับทุกคน แต่วันนั้นเรเซอร์ทำให้เธอได้รู้ว่าทุกคนอยู่ในโลกๆเดียวกัน แค่โลกนี้นั้นมีหลากสีสันต์
ใช่ นี่คือโลกที่ดิลุคหรือเบลลามีอยากจะเห็น โลกที่เต็มไปด้วยสีสันต์ มันถูกสร้างขึ้นมาสำเร็จแล้ว ..
เรเซอร์เกาหัวตัวเอง ท่าทางดูเขินอาย เขาพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาในตอนนั้น
‘อยู่โลกนี้ต่อไปอีกนานๆ นา’
คนที่เธอรักพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ ณ เวลานั้น เธอได้ยินทุกอย่างชัดเจนในทุกรายละเอียด ราวกับว่าโลกหยุดหมุน …คำตอบทุกอย่างได้ผุดขึ้นมา ไร้ซึ่งข้อสงสัยใดๆ ความปารถนาเดียวที่มนุษย์ทุกคนย่อมมีนั่นก็คือ ‘ความสุข’
“เรา..อยากจะคว้าความสุขมาให้มากกว่านี้ ไม่อยากจะทำลายอีกต่อไปแล้ว จะเชื่อในเรเซอร์และทุกคนที่จะช่วยกันสร้างบทสรุปใหม่ขึ้นมา เราไม่อยากเป็นจอมมารอีกต่อไปแล้ว”
“ไม่คิดจะปล่อยวาง ไม่คิดจะทำลาย แต่คิดจะเปลี่ยนแปลงสินะคะ”
“อือ นี่แหละคำตอบของเรา”
เมื่อได้ฟังคำตอบของเบลลามีแล้ว บิลเซบับก็อมยิ้มอย่างพึงพอใจ ดูจะดีใจยิ่งกว่าตัวเบลลามีที่พบคำตอบเสียอีก
“เข้าใจแล้วค่ะ! ฉันจะพยายามลากไอ้บ้าสองคน(แมมม่อน,ลูซิเฟอร์)ที่ออกนอกลู่นอกทางกลับมาให้ได้ค่ะ ถ้าพวกเราทุกคนอยู่ด้วยกัน ท่านเบลลามีจะมีความสุขกว่าใช่รึเปล่าคะ?”
“อือ”
“จะพยายามค่ะ!”
“ขอบคุณนะ ..เธอช่วยเรามาตลอดเลย”
ตั้งแต่บนเกาะวาเรอร์ที่ช่วยเรเซอร์ในการเอาดาบตัดมิติมาฟันใส่แล้ว ถ้าไม่ได้บิลเซบับเธอคงจะแย่ในหลายๆครั้ง แม้ว่าบิลเซบับจะดูมีมุมที่พึ่งพาไม่ได้มากมาย แต่สำหรับเบลลามีหรือสำหรับดิลุค บิลเซบับคือคนที่เธออยากจะพึ่งพาที่สุด
เบลลามีในตอนเป็นดิลุคอาจจะเป็นฝ่ายดูแลบิลเซบับมากกว่า แต่เบลลามีตอนปกติเหมือนกับน้องสาวที่ต้องให้บิลเซบับคอยดูแล—บิลเซบับแอบคิดอกุศลในใจว่าแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ
“ว่าแต่ถ้าเกิด โซล่า เลนน่อน คนนั้นสามารถคืนชีพขึ้นมาได้ ท่านเบลลามีจะทำยังไงหรือคะ?”
“..เราอยากจะให้เรเซอร์ยอมรับเธอน่ะ รู้สึกว่า..เธอคู่ควรกับเรเซอร์มากกว่าเราอีก”
ในส่วนลึกของเบลลามี เธอรู้ดีว่าตัวเองนั้นเอาแต่พึ่งเรเซอร์ ต่างกับโซล่าที่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับเรเซอร์ได้ ..
“ไม่จริงเลยค่ะ ท่านเบลลามีสมบูรณ์แบบที่สุด ฉันจะบอกเรื่องน่ายินดีให้ฟัง แต่ท่านเบลลามีห้ามบอกว่าตัวเองด้อยกว่าใครทั้งนั้นนะคะ!”
“อือ เข้าใจแล้ว สัญญาเลย”
แน่นอนว่าคงคิดปุ้บปรับปั้บไม่ได้ แต่ก็รับปากไว้ก่อน
บิลเซบับทำท่าล้วงกระเป๋าด้วยรอยยิ้มม้วนแบบแมว ซึ่งน่าสงสัยเอามากๆ
“ในกรณีที่วิญญาณของ โซล่า เลนน่อน ยังอยู่บนโลก เราสามารถใช้ดาบแห่งโซโลม่อนส่งวิญญาณเธอเข้าสู่ร่างกายคืนได้นะคะ”
“..เอ๊ะ? จริงเหรอ? แต่ว่าจะหาวิญญาณมาจากไหน?”
โลกใบนี้ออกจะใหญ่โต การจะหาวิญญาณจากทั่วทั้งโลกให้ได้นั้นมัน–
“แต๊นๆ”
บิลเซบับทำเสียงแปลกๆแล้วยกถ้วยสีน้ำตาลที่ดูหลอนๆขึ้นมาจากไหนไม่รู้
“สิ่งนี้บรรจุวิญญาณของเธอคนนั้นเอาไว้ค่ะ”
“…เอ๋?”
“ลำบากแทบแย่เลยนะคะ ดีที่ฉันกับแอสโมเดียสมีประสบการณ์สะกดรอยวิญญาณจากเมื่ออดีต แต่กว่าจะหาจนพบนี่เล่นเอาเลือดตาแทบกระเด็นเลยค่ะ โดนพวกมังกรป่าไล่บ้าง โดนมอนสเตอร์ไล่บ้าง เหนื่อยแทบแย่–แน่นอนที่ทำน่ะมีเหตุผลค่ะ ถ้าจู่ๆพวกเรามาขอเข้าพวกโดยไม่มีอะไรแลกเปลี่ยนเลย ได้โดนคนรักของท่านเบลลามีกับเพื่อนๆจับเสียบไม้เผาแน่ๆค่ะ ฮาๆๆๆ ว่าไปนั่นค่ะ”
ที่บิลเซบับพล่ามมาเบลลามีไม่ได้ฟังเลย เธออึ้งตั้งแต่ประโยคที่บอกว่าในนั้นบรรจุวิญญาณของโซล่าเอาไว้ …
หมายความว่า …
“เพียงแค่ไปพบกับ โซล่า เลนน่อน และใช้ดาบแห่งโซโลม่อนส่งวิญญาณเธอกลับเข้าร่างก็พอแล้วค่ะ”
…นี่มัน..ข่าวใหญ่เลยไม่ใช่หรือไง?
****
ระเบียงทางเดินของหอพักหญิงนั้น–เอเธอร์ยืนพิงกำแพงห้องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ซึ่งนั่นก็คือห้องของเบลลามี
“เรื่องมันเป็นแบบนี้เองสินะครับ”
แน่นอนว่าเอเธอร์สัมผัสได้ถึงตัวตนของแอสโมเดียสและบิลเซบับที่บุกเข้ามาในห้องตั้งแต่ต้น เลยมาเพื่อที่จะดูท่าทีของสองคนนั้นก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะจัดการยังไง เพราะหน้าที่ของเอเธอร์คือการดูแลเบลลามี แต่ก็ไม่ยักจะคิดว่าจะได้รับข้อมูลที่มากมายและจำเป็นกับตัวเองถึงเพียงนี้
“ที่มานามีอยู่น้อยเป็นเพราะถูกน้องสาวของตัวเองชิงไป ที่คิดว่าตัวเองจำเป็นต้องฆ่าจอมมารก็เป็นเพราะจิตใต้สำนึกที่บอกให้แก้แค้น แล้วสัญชาตญาณประหลาดที่อยากจะเป็นพี่ชายที่ดีนั่นก็ด้วย ..หึๆ ช่างเป็นตัวตนที่ย้อนแย้งจริงๆนะตัวผมเนี่ย”
เอเธอร์แหงนหน้ามองเพดานด้วยรอยยิ้มที่ดูปลอมดั่งทุกที
“บุตรแห่งพระเจ้า พี่ชายของจอมมาร แล้วก็ผู้กล้า ..ตัวตนของผมคืออะไรกันแน่นะ” เอเธอร์หลับตาครุ่นคิด “ถ้าเป็นบุตรแห่งพระเจ้าผมจะทำอะไรต่อ? แล้วถ้าเป็นพี่ชาย? แต่ที่แน่ใจก็คือในฐานะผู้กล้า ผมควรจะฆ่าเบลลามีทิ้งตอนนี้?”
เอเธอร์สัมผัสกลองประตู เพียงแค่ดึงมันออกมาพร้อมกับประตูและเอาจริงนิดหน่อย ทุกคนในที่แห่งนั้นก็จะตายตามเป้าหมายเดิม จอมมารจะถูกกำจัดอีกครั้ง–ทว่า เอเธอร์กลับผละร่างออกจากหลังประตูห้อง ก่อนจะออกเดินโดยที่ไม่คิดจะฆ่าเบลลามีในตอนนี้ตามเป้าหมายเดิมของตัวเอง
ทำไมกัน?
“..พี่ชายที่ดี ความสัมพันธ์พี่น้อง ..เพราะโดนแองเจลิน่าพูดอะไรแปลกๆเข้าหัว ทำให้ตัวผมเริ่มเพี้ยนไปแล้วสิ” เอเธอร์ยิ้มมุมปาก “แบบนี้นี่เอง เบลลามีได้พบกับคำตอบของตัวเองไปแล้ว ต่อไปก็คือผมสินะ”
ว่าจะเลือกใช้ชีวิตต่อไปในฐานะอะไร ยังไงซะ ตัวตนของเอเธอร์ตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่อดีตผู้กล้าที่ทวยเทพเลิกใช้งานไปแล้ว ไม่ว่าจะเลือกอะไรก็คงไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้ว
เอเธอร์ปารถนาในส่วนลึกของจิตใจว่าจะเป็นตามที่ตัวเองคาดหวังไว้ ไม่เช่นนั้น–เขาจะต้องเป็นคนสังหารเบลลามี น้องสาวของตัวเองอีกครั้งแน่นอน
ป.ล.รอดตายเพราะพี่ผัวแท้ๆนะเบลลามี ถถถ