< < 155 > >
ห้วงลึกของโลกใบนี้ จุดที่ดำมืดที่สุดของโลกใบนี้นั้นกำลังอยู่เบื้องหน้าทั้งสองคน
‘ซาตาน’ สัตว์ประหลาดในตำนาน ตัวตนที่ทำให้โลกปั่นป่วนถึงขนาดที่ทวยเทพต้องสั่งกำจัดโดยเฉพาะ เมื่อพ่ายแพ้ให้แก่สวรรค์ ซาตานก็ถูกนำตัวมาขุมขังไว้ภายในหอคอยยักษ์ โดยที่ถูกยับยั้งพลังทั้งหมดในตัวเอาไว้
ดิลุครับรู้ทุกอย่างดี เพราะเรื่องราวของซาตานนั้นผ่านหูดิลุคมาตลอด ..และเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเธอที่หากหนีออกจากบ้านแล้วจะทำอะไรดี
ใช่ สิ่งที่จะทำก็คือการปลดปล่อยซาตาน
แม้ที่ทำมันจะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของทวยเทพก็ตาม
ดิลุคสัมผัสโซ่ที่คล้องร่างของซาตานเอาไว้ ก่อนพึมพำขึ้นมา
“โซ่สวรรค์ แล้วก็ดาบสวรรค์ คือพลังของทูตสวรรค์ที่ใช้จองจำคนบาป โดยปกติแล้ว ทั้งโซ่ทั้งดาบจะไม่มีวันถูกทำลาย ไม่ว่าจะใช้เวทมนตร์หรือว่าพลังกายทำลายมากแค่ไหนก็ตาม เว้นแต่ว่า-จะทำลายตั้งแต่ต้นกำเนิดอย่างมานา ซึ่งว่าตามตรง พลังเช่นนั้นเราไม่มีอยู่หรอก”
“..”
“แต่ว่าก็มีวิธีง่ายๆอยู่ สำหรับเราผู้ถูกสร้างมาให้พิเศษกว่าใครๆน่ะนะ”
ดิลุคยิ้มให้ซาตานอย่างอ่อนโยน
“เพราะอย่างนั้นสบายใจได้ ที่เหลือให้เราจัดการเอง”
โซ่ที่ถูกดิลุคสัมผัสเลืองแสงสีขาวขึ้นมา มันร้อนขึ้นอย่างฉับพลันจนล้วกมือของดิลุค รวมถึงเผาร่างของซาตานด้วย แต่ทั้งสองกลับไม่มีสีหน้าเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
“ตั้งใจจะทำอะไรบ้าๆอีกแล้วสินะคะ?”
“ไม่พอใจจะแยกกันก็ได้นะ”
“..ไม่หรอกค่ะ”
ลิเวียธานหรี่ตามองซาตาน พลางพึมพำคนเดียว “นี่น่ะเหรอ ..สัตว์ประหลาดในตำนานที่ว่า” ภาพลักษณ์ดูแตกต่างกับในจินตนาการคนละโลก ที่เห็นก็แค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กคนเดียวเองไม่ใช่หรือไงนะ? ว่าไปดูจากส่วนสูงแล้วก็พอๆกับแมมม่อนเลยนะ
ลิเวียธานสูง อันเดียอัสสูง เมลเบลธรรมดา ดิลุคค่อนไปทางเตี้ย แมมม่อนเตี้ย ซาตานเตี้ย
“แบบนี้ ..ประชากรคนตัวเล็กไม่เยอะไปหน่อยหรือไง?”
“จู่ๆมาทำตัวกลมเกลียวแบบนี้มันชวนหลอนนะ ลิเวียธาน”
“หา!?”
แน่นอนพอบ่นไปเช่นนั้น เสียงโวยวายก็ดังขึ้นฉอดๆอย่างน่ารำคาญ ดิลุคทำเมินไม่ตอบอะไรและใช้สมาธิทำบางสิ่งกับโซ่สวรรค์ตรงหน้า
“ทนร้อนหน่อยนะ”
ขณะที่พูดไป มือของดิลุคก็มีเลือดไหลออกมารวมถึงแผลไหม้ที่ค่อยๆใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ซาตานมองมือของดิลุคด้วยแววตาอันว่างเปล่าเหมือนเดิม ทว่าเธอกลับเริ่มพึมพำขึ้นมา
“ใคร..เหรอ?”
“ชื่อว่า ดิลุค อายุความลับ ปัจจุบันเป็นนักเดินทาง ส่วนคนขี้บ่นข้างหลังชื่อ ลิเวียธาน เป็นเพื่อนร่วมทางที่สักวันจะแตกคอกัน”
“..นักเดินทาง..?”
“ผู้ที่มีอิสระมากกว่าใครๆบนโลกที่เต็มไปด้วยกฏยังไงละ”
เหงื่อไหลออกจากหน้าผากและลำตัว ความเจ็บปวดอันมหาศาลที่แล่นเข้ามาในมือทำให้ดิลุคต้องกัดริมฝีปากข่มความเจ็บปวดเอาไว้ ในสภาพที่แค่พูดก็ลำบาก ดิลุคก็ยังเลือกที่จะคุยกับซาตานเพื่อสร้างความสบายใจให้เธอ
“นักเดินทางน่ะนะ จะไม่ถูกโซ่ใดๆคล้องตัวไว้ทั้งนั้น จะไม่มีดาบที่มีชื่อว่ากฏทิ่มทะลุอกในทุกๆวัน ถ้าตายก็จะตายเพราะตัวเอง ถ้าจะรอดก็จะรอดเพราะตัวเอง ..แน่นอนว่าโลกนั้นก็เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย ไม่มีทางที่ทุกอย่างมันจะง่ายเหมือนปลอกกล้วยก็จริง แต่ว่า–ในตอนสุดท้าย นักเดินทางจะได้เลือกตอนจบของตัวเอง ไม่ว่าจะตัดสินใจถูก หรือตัดสินใจพลาด เราก็จะได้เป็นผู้เลือก”
“..ไม่ต้องถูกโซ่คล้อง?”
“ใช่แล้ว”
โซ่ทั้งหมดล้วงหล่นลงจากร่างของซาตาน ..
“เหมือนอย่างตอนนี้”
สุดท้าย–ดิลุคยื่นมือไปจับปลายดาบที่ทะลุอกนั่น แสงสีขาวเลืองแสงขึ้นมาพร้อมกับไอร้อนที่แล่นผ่านนิ้วมือของดิลุคเหมือนก่อนหน้านี้
“นอกจากนี้นะ นักเดินทาง ถ้าเกิดเจอที่อยู่ที่อยากจะอยู่ไปตลอด เขาก็จะเลิกเป็นนักเดินทาง ไม่ได้ถูกบังคับให้เดินทาง แต่กำลังเลือกอยู่ว่าจะมอบชั่วชีวิตนี้ให้กับใคร”
“..วิเศษ”
“ใช่มั้ยล่ะ? วิเศษสุดๆไปเลย”
แสงจากดาบได้ดับลง ดิลุคเดินอ้อมไปข้างหลังและออกแรงดึงดาบออกจากร่าง
“ทั้งที่มันควรจะเป็นเรื่องปกติบนโลกแท้ๆ แต่มันกลับวิเศษที่สุด!”
ดิลุคล้มลงกับพื้นพร้อมกับดาบ ร่างของซาตานล้มลงกับพื้นเช่นเดียวกัน
“เล่นเอาหมดแรงเลย”
“ร่างกาย” ซาตานค่อยๆลุกขึ้นยืน “..เบาหวิว”
รอยยิ้มผุดขึ้นที่ใบหน้าของซาตาน เธอหันมายิ้มแย้มให้ดิลุคก่อนจะกระโดดดึ๋งๆ
“เบาหวิวเลย ไม่หนักแล้ว”
“โดนขังในสภาพนั้นมาเป็นร้อยปีแท้ๆ แต่ยังเริงร่าได้แบบนี้ พลังกายเหลือล้นสมคำเลื่องลือจริงๆ”
ดิลุคค่อยๆลุกขึ้นมานั่งชันเข่า และจ้องมองไปที่ซาตานซึ่งกำลังวิ่งไปมาแบบมีความสุข
“นอกจากร่างกายแข็งแรงแล้ว อารมณ์ยังดีผิดกับที่คิดซะอีก”
“ใช่สภาพของคนที่โดนขังมาเป็นร้อยปีแน่เหรอคะนั่น?”
“เพราะคุณสมบัติพิเศษในร่างกาย ทำให้อารมณ์ขึ้นๆลงๆด้วยนั่นแหละ”
ใช่แล้ว ซาตานคือผู้พิเศษที่ถูกสร้างขึ้นโดยโลกใบนี้ บางที อาจจะเป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับบุตรแห่งพระเจ้าอย่างดิลุคที่สุดแล้วในเวลานี้
“แต่น่าสงสัยนะ ทำไมถึงได้รู้เยอะขนาดนั้นกันนะ เธอน่ะ ..เรื่องของตำนานก็รู้ซะละเอียด รายละเอียดของเด็กคนนั้นเธอเองก็รู้มันซะทุกเรื่องเลยไม่ใช่เหรอ เดาจากที่พล่ามๆมาตลอดน่ะ”
“อือ เพราะเราเป็นผู้พิเศษยังไงละ”
“ผู้พิเศษ? หลงตัวเองให้มีขอบเขตุหน่อยก็ดีนะคะ อย่างดิฉันน่ะยังพอคุยได้”
ช่วยพูดแบบนี้หน้ากระจกทีเถอะ-ดิลุคอยากจะสวนเช่นนั้นแต่ยั้งตัวเองไว้ก่อน
“แล้วที่มาวงๆรอบหอคอยก็เพราะว่ามีเธอคนนี้อยู่ในนี้?”
“แค่ความเป็นไปได้”
แน่นอนถ้ารู้ว่าอยู่ ดิลุคจะบุกเข้ามาในหอคอยแน่นอน ต่อให้ต้องมีเธอแค่คนเดียว
“..ไอเมื่อกี้ที่จำโซ่จับดาบนั่นคือ?”
“แทรกแซงมานาน่ะ อย่างที่บอกว่าวิธีทำลายโซ่กับดาบสวรรค์มีวิธีเดียวคือเล่นงานที่ต้นกำเนิดอย่างมานาโดยตรง เราไม่มีสิ่งนั้นเลยเข้าแทรกแซงข้างในมานาของมัน และเปลี่ยนโครงสร้างแทน ประมาณนั้น แต่ก็ยากเอาเรื่องเพราะมันไม่สามารถเพิ่มหรือลดปริมาณมานาได้แบบโต้งๆ เลยต้องเอามานาส่วนที่เอาออกไปเสริมอย่างอื่นแทน นั่นก็คือความร้อนที่ละอุขึ้นมาที่เราต้องแบกรับเอาไว้ตอนเปลี่ยนแปลงมานาข้างใน”
“เทคนิคบ้าอะไรกัน ไม่เห็นจะรู้จัก”
อนึ่ง ภายหลังเทคนิคนี้ถูกเรียกว่า ‘การเล่นแร่แปรธาตุ’ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในยุคสงครามมหามังกร จึงกล่าวได้ว่าดิลุคมีความรู้นำหน้ามนุษย์ปกติไปนับหมื่นปีจากการคิดค้นวิธีแก้ปัญหาตรงหน้าเพียงไม่กี่วิเท่านั้น
“เอาเป็นว่าก็เคลียร์ได้แล้ว ถึงเวลาออกจากหอคอยกันแล้–”
ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงฝีเท้าดังขึ้นกันกระหึ่ม เสียงนั้นค่อยๆไล่ดังขึ้นมาเรื่อยๆ
“ซาตาน เตรียมตัวหนีกัน”
“..อือ”
“ลิเวียธานช่วยแบกเราแล้วก็วิ่งไปทางออกตรงนั้นที”
ลิเวียธานยิ้มตอบกลับอย่างอ่อนโยน
“ถ้าเป็นตอนนี้คงจะฆ่าเธอได้”
……
…..
ลิเวียธานอุ้มร่างของดิลุคขึ้นมาไว้บนหลัง จากนั้นก็ออกวิ่งโดยมีซาตานวิ่งตามมาด้วย
“แต่ไม่ทำดีกว่า”
แล้วจะพูดทำไม?
****
“แฮก แฮก แฮก–ทำไมตัวถึงหนักขนาดนี้เนี่ย!!?”
“ไม่ได้หนัก เธอแค่ปวกเปียกก็เท่านั้น”
ดิลุคเกาะหลังของลิเวียธานหนี ลำพังแค่คนเดียวตอนนี้ก็ลำบากอยู่แล้วแท้ๆ
ทั้งลิเวียธานทั้งดิลุคล้วนออกด้านพลังกายทั้งคู่ พูดได้เต็มปากเลยว่าทั้งสองคนนั้นปวกเปียกเอามากๆ จะเห็นความแตกต่างได้โดยง่ายเลยเมื่อหันไปมองทางซาตานที่วิ่งแบบสบายๆโดยที่คุมระดับความเร็วตัวเองไว้ไม่ให้เกินทั้งสองคนที่แสนทุลักทุเล
“ไม่ให้ยัยนี่อุ้มแทนล่ะ!?”
“นั่นสินะ เราลืมคิดเรื่องความสามารถพิเศษไปเลย ดูจากสรีระแล้ว ลิเวียธานน่าจะดูพึ่งพาได้กว่าเลยวางใจไป โทษทีนะ”
“ขอโทษได้น่าซัดมากจริงๆนะหล่อน! เอ้า รับไป”
ลิเวียธานโยนเหมือนโยนข้าวโยนของ ดิลุคแอบขมวดคิ้วนิดหน่อย ซาตานพุ่งมารับร่างของดิลุคไว้ในท่าเจ้าหญิง
“ไม่มีปัญหา”
“โอเคร นั้นรีบไปกันเลย”
โฮ่งๆๆๆๆๆๆ!!!!!!!!!!!!!!!!!
เสียงเห่าดังขึ้นพร้อมกับจังหวะวิ่งที่เร็วเยี่ยงสายลม
หมาป่ายักษ์ราวสี่ตัววิ่งไต่กำแพงพุ่งผ่านฝูงมอนสเตอร์ชั้นต่ำที่ตามมา และกระโดดเข้าใส่พวกดิลุค
ปากที่มีขนาดใหญ่เท่าครึ่งตัวของดิลุคนั่น–อยู่ห่างกับหลังของดิลุคเพียงเอื้อมมือเดียว
ดิลุคยื่นมือออกไป เตรียมร่ายเวทย์ทว่า–ดันมีเลือดพุ่งออกมาจากวงจรเวทย์แทนเวทมนตร์เสียอย่างนั้น
“อึก!!!! เพราะไอร้อนตอนนั้นมันทำลายวงจรเวทย์เข้า—”
เลือดพุ่งออกจากร่าง–ดิลุคข่มกลั้นความเจ็บปวดพยายามจะหลบหมาป่ายักษ์ข้างหลัง
จังหวะนั้นซาตานกระโดดหมุนตัว เปลี่ยนตำแหน่งของดิลุคไว้ข้างหน้า เอาหน้าตัวเองมาข้างหลัง แล้วก็เตะเข้าที่ลำตัวของหมาป่า
ร่างของหมาป่าขาดครึ่งในการเตะครั้งเดียว–แรงกระแทกนั่นพุ่งไปโดนหมาป่ายักษ์อีกสามตัวจนหัวหลุดออกจากร่าง ร่างทั้งหมดสลายกลายเป็นธุรี ซาตานหมุนตัวกลับมาวิ่งเหมือนเดิม
“ระวัง!!!!”
แต่ไม่ทันระวังว่าทางข้างหน้านั้น–มีชาลาแมนเดอร์ยักษ์ตัวสีดำอยู่
ชาลาแมนเดอร์อ้าปากค้าง ความมืดพุ่งออกมาจากปากประหนึ่งจรวด พุ่งเข้าใส่ทางซาตาน ซาตานโยนร่างของดิลุคคืนให้ลิเวียธาน–เธอถูกความมืดพุ่งอัดร่าง ดิลุคพยายามจะคว้าแขนของซาตานไว้ แต่ก็ไม่ถึง
กรรรรรร!!!!!
เสียงขู่ของหมาป่าดังขึ้นอีกครา หมาป่ายักษ์ตัวใหม่พุ่งมาจากฝั่งเดียวกับซาลาแมนเดอร์ มันกระโดดเข้าใส่ดิลุคอย่างเจาะจง
ร่ายเวทมนตร์ไม่ได้ ร่างกายพัง สภาพตอนนี้อ่อนแอยิ่งกว่าอะไร แม้จะพยายามขัดขืนมากมายเท่าไหร่ ร่างกายก็ไม่อาจตอบสนองได้ตามใจนึก
“บัดซบ!!”
ลิเวียธานเอาตัวไปรับปากของหมาป่ายักษ์แทน–
กรรร!!!!!!
แขนหลุดออกจากร่างราวกับผ้าที่ถูกฉีกจนขาด อะไรต่อมิอะไรหลุดออกมาอย่างไม่น่าดู ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดร้องที่แสนเจ็บปวด
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
ร่างของลิเวียธานล้มทับร่างของดิลุค–ทั้งสองล้มลงไปกองกับพื้นแล้วก็ชนเข้ากับวงเวทย์
แสงจากวงเวทย์ส่องสว่างขึ้นมา มันคือวงเวทย์เดียวกับที่เจอเมื่อเช้า
“ทางรอด–ไม่สิ”
ดิลุคมองไปที่ซาตานซึ่งกำลังจะถูกมอนสเตอร์นับร้อยพุ่งเข้าใส่
ภาพสุดท้ายก่อนที่ทั้งสองจะหายไปคือซาตานที่พยายามยื่นมือมาให้ดิลุค
แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน
****
ที่ในสักแห่ง ในห้วงลึกของหอคอยอันมืดมิด ..ดิลุคผลักร่างของลิเวียธานที่ทับเธอไว้ออก จากนั้นก็เขยิบตัวเอาหลังไปพิงกับกำแพงแถวๆนั้น
ห้องแห่งนี้นั้นมืดมาก ไม่อาจรู้ได้เลยว่ามีอะไรอยู่บ้าง ..ในห้องที่มืดมิดถึงขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่ดีกับใครบางคน
“..อึก..อึก”
เสียงร้องพร้อมกับตัวที่สั่นเทิ้มบนขาของดิลุคก็คือความกลัวที่ลิเวียธานมีให้แก่ความมืดมิด ดิลุคถอนหายใจก่อนจะเคลื่อนตักตัวเองไปรองรับหัวของลิเวียธาน
“..อะไรเล่า”
เมื่อทำเสร็จ ดิลุคก็ลูบหน้าผากของลิเวียธานไปมาอย่างอ่อนโยน ทำให้ลิเวียธานอดที่จะร้องบ่นขึ้นมาไม่ได้
แต่ที่ทำก็ช่วยให้ลิเวียธานผ่อนคล้ายขึ้นมานิดหน่อย
“กลัวไม่ใช่รึไง ที่มืด”
“…ดิลุค”
…แขนของลิเวียธานหายไปข้างหนึ่ง ไม่รู้ว่าโชคชะตาเล่นตลกอะไร แต่แขนที่หายไปดันเป็นข้างเดียวกับแขนที่ใช้งานไม่ได้ของดิลุค
“พวกเรากำลังจะตายใช่มั้ย?”
“มีความเป็นไปได้สูง”
…
“จะโทษกันก็ได้นะ ยังไงซะ เราก็เป็นคนที่มีส่วนทำให้มอนสเตอร์มันอาละวาด”
“ต่อให้มอนสเตอร์มารุม หรือไม่ ยังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว ..หมาป่านั่น ซาลาแมนเดอร์ด้วย แค่ตัวเดียว พวกเราก็ตายกันหมดแล้ว ไม่สิ มอนสเตอร์ทั่วๆไป ต่อให้สู้ได้แต่ยังไงมานาก็ต้องหมด ยังไงๆในท้ายที่สุดก็ไม่ไหวอยู่ดี”
ในระยะที่ประชิด ทั้งสองต่างได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน แม้จะไม่มองเห็นอะไรเลย แต่ว่าความรู้สึกหวาดกลัวหรือกังวลใจจากเสียงหายใจ ทั้งคู่ล้วนสัมผัสถึง
แค่เสียงลิเวียธานจะดูวุ่นวายกว่า ของดิลุคจะดูสงบกว่า ..แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนๆกัน
ย่อมหวาดกลัวอยู่แล้ว ในสถานการณ์อย่างนี้ ไม่ว่าใคร ไม่ว่าจะบุตรแห่งพระเจ้า หรือว่าเผ่ามังกรน้ำ
“บางทีดิฉันอาจจะตายก่อนด้วย ..แขน..เลือดมันไหลไม่หยุดเลย ตาเริ่มพล่าเมือแล้วด้วยสิ ถ้าเผลอหลับตาตอนนี้ ได้ตายจริงๆแน่”
ต่อให้หลับหรือไม่หลับค่าตอนนี้ก็เท่ากันอยู่ดี ในที่มืดแห่งนี้น่ะ ..
“นี่ ทำไมถึงอยากช่วยเด็กคนนั้นขนาดนั้นกันล่ะ?” ลิเวียธานพยายามพูดอย่างสุดความสามารถ “ไม่ใช่คนใจดีโดยนิสัยแท้ๆ ไม่ใช่พวกพ่อพระในนิทานก่อนนอนแท้ๆ แล้วทำไมถึงไปช่วยเด็กคนนั้นกัน รู้อยู่แล้วด้วยว่าผลลัพธ์คือจะได้ตายเร็วขึ้นกว่าเดิม แค่นั้นไม่พอ อาจจะตายทรมานกว่าที่คิดด้วย”
ดิลุคหรี่ตามองลิเวียธานท่ามกลางความมืดมิด
“แค่อยากจะชดใช้บาป ..คนของเรา คนที่เปรียบได้ดั่งญาติๆของเรา พวกเขาทำให้ชีวิตของเธอคนนั้นต้องลงเอยที่หอคอยแห่งนี้ คิดดูสิ ในหอคอยที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์ ไร้ซึ่งแสงสว่าง มีแต่ความมืดมิด แค่นั้นไม่พอ ยังต้องอยู่ในสภาพที่โดนทั้งโซ่คล้องโดนทั้งดาบปักอยู่หน้าอกแบบนั้น ..โดนกระทำอย่างนี้ ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของเธอด้วยซ้ำ”
“..จริงๆแล้วดิลุคเป็นพวกพ่อพระแม่พระ?”
“เรื่องนั้นน่ะขึ้นอยู่กับศีลธรรมในจิตใจของแต่ละคน”
…..
…..
ลิเวียธานหัวเราะออกมา พอเห็นเธอหัวเราะ ดิลุคก็หัวเราะตามแบบพึมพำในลำคอ
“ถ้านั้นเธอก็ช่วยดิฉันเหมือนที่ช่วยเด็กคนนั้นด้วยทีสิ”
“ช่วย? ให้ช่วยอะไรล่ะในสถานการณ์อย่างนี้”
….
“แค่ฟังเรื่องที่ดิฉันอยากระบายก็พอแล้ว ยังไงอีกไม่นานก็จะตายอยู่แล้วด้วย ไม่มีอะไรต้องคิดมากแล้ว”
“วิธีพูด ดูน่าเข้าหาขึ้นนะ”
“..บางทีถ้ากลับมาแข็งแรงได้ ดิฉันจะพูดแขวะพูดไม่ดีเหมือนเดิม บางที–ไม่สิ แน่นอนเลย”
เป็นคราวแรกที่ดิลุคอยากจะโดนลิเวียธานด่าหลายๆรอบ
“จำเรื่องที่เคยเล่าให้ฟังตอนเจอกันครั้งแรกได้รึเปล่า?”
“อือ จำได้สิ”
“ที่เล่าตอนนั้นไม่ได้โกหกทั้งหมดหรอกนะ”
แปลว่าโกหกแค่บางส่วนสินะ เก่งอย่างน่าเหลือเชื่อที่พูดซะเหมือนว่าโกหกมันทั้งหมดได้
“ว่าไงบ้างล่ะ?”
“ตอนเด็กถูกรังแก ทั้งเด็กด้วยกัน ทั้งผู้ใหญ่ พ่อแม่ก็ไม่ค่อยชอบ ไม่มีใครที่อยากจะช่วยกันเลย สุดท้ายก็ได้แต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องตั้งแต่เด็กๆ”
“โตมาเลยเป็นแบบนี้นี่เอง”
“ใช่ เลยเป็นแบบนี้ พอโตขึ้นมาหน่อยก็เลยรู้ว่าเพราะสวยเกินไปนี่เอง เผ่าในมหาสมุทรน่ะนะให้ค่ากับความสวยงามมาก ผู้ที่สวยเกินมาตรฐานมาหน่อยจะเปรียบได้ดั่งดวงดาว ผู้ที่ขี้เล่ห์จะเปรียบได้ดั่งไรน้ำ ..ไม่รู้ทำไม ดิฉันออกจะสวยกว่าใครๆแท้ๆ แต่กลับโดนปฏิบัติเยี่ยงไรน้ำ”
…เผ่ามังกรน้ำเป็นเผ่าที่นิยมความสวยงามแทบจะที่สุดในหมู่สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรด้วยกัน เพราะความงดงามของเผ่าๆนี้นั้นแค่มาตรฐานก็งดงามราวกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนสวรรค์แล้ว เป็นจุดที่เด่นที่สุด เพราะอย่างนั้นคนที่ขี้เล่ห์สำหรับเผ่าพันธ์ุจะถูกรังแกและดูถูก แม้แต่ครอบครัวตัวเองก็ไม่คิดจะยุ่งด้วย
ความจริงก็คือ หากเทียบกับเผ่ามังกรน้ำโดยกัน ลิเวียธานไม่ได้งดงามเลย
“..ทุกๆวันได้แต่มองออกไปนอกกระจก ได้แต่จ้องไปที่เพื่อนร่วมเผ่า บ้างก็เดินไปมาโชว์ความงามของตัวเอง บ้างก็เดินกับคู่รักของตัวเอง ทุกคนล้วนเปร่งประกาย เพราะงดงาม ทุกคนเลยเลืองแสงอยู่ท่ามกลางใต้น้ำที่แสนมืดมิด ..อิจฉา กลัว เพราะกลัว เลยอิจฉา เพราะไม่มีเลยอิจฉา ไม่มีเลยกลัว มันเป็นอย่างนี้แหละ” ลิเวียธานกัดริมฝีปากของตัวเอง ปล่อยให้น้ำตาหยดลงมา “รู้ตัวอีกทีก็กลัวที่มืด แม้อยู่ในห้องก็ต้องสร้างแสงสว่างขึ้นมา แล้วก็เสพติดการอิจฉาคนอื่นด้วย ได้แต่คิดว่าทำไมตัวเองถึงไม่ได้รับสิทธิ์เหมือนกับทุกคน ทำไมถึงถูกกีดกันเพียงเพราะ ..สวยเกินไป”
ยังคงพลั่มบอกว่าตัวเองนั้นงดงาม ยังคงหลอกตัวเองต่อไป
“วันดีคืนดี เลยเริ่มเรียนแต่งหน้าน่ะ”
เรียนแต่งหน้าที่แปลว่าเวทมนตร์สเน่ห์
“เหมือนว่าไปได้สวยเลยลองใช้ดู … ได้แย่งสิ่งที่ตัวเองควรจะมีมาทั้งหมด ได้เย้ยหยัน ได้ดูถูก ได้กระทำสิ่งที่ตัวเองโดนกระทำ แก้แค้น ใช่ พอได้แก้แค้นแล้ว มันฟินสุดๆเลย ทำเอาควบคุมตัวเองไม่อยู่ สะใจเกินไปแล้ว ไอแบบนี้น่ะมันจะรู้สึกดีเกินไปแล้ว”
ลิเวียธานหัวเราะแห้งๆบนตักของดิลุค รู้ตัวอีกทีมือของเธอก็กำลังกุมมือของดิลุคไว้อยู่
“พอทำเกินไปก็เลยโดนขับไล่น่ะ ดิฉันหนีออกมาในที่ที่ไกลแสนไกล เพื่อหนีจากทุกคนที่อาจจะตามมาล้างแค้น หลายครั้งที่ต้องใช้ความงดงามของตัวเองเพื่อเอาตัวรอด ..รู้ตัวอีกทีก็ได้เจอกับพวกเธอ–เลวร้ายมากเลยรู้รึเปล่า เป็นครั้งแรกเลยละที่รู้สึกเหมือนจะตายเพราะไอดอกไม้บ้าๆนั่น แต่ว่า..รู้ตัวอีกที ก็คิดขึ้นมาน่ะ ว่าดีแล้วที่ได้พบกัน” ลิเวียธานฝืนเอาตัวโน้มไปกอดร่างของดิลุค “เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องงดงามก็ได้”
ดิลุคโอบแผ่นหลังของลิเวียธานเอาไว้
“ที่แห่งนี้ ดิฉันผู้ไม่ได้งดงาม กลับมีทุกอย่างที่ต้องการ ..ทำไมกัน?”
“เราเองก็ไม่รู้”
ไม่รู้ ดิลุคเองก็ไม่รู้ แต่ในอนาคต คิดว่าน่าจะรู้
“แต่ว่า—แบบนั้น ฟังดูวิเศษจังเลยนะ”
“ใช่ ..วิเศษที่สุดเลย ..ขอโทษนะที่ทำกับพูดไม่ดีหลายๆอย่าง”
“อือ”
“แค่นี้ก็..รู้สึกว่าจะหลับได้แบบสงบแล้ว”
……
“ขอบคุณ”
“อือ”
MANGA DISCUSSION