< < 22 > >
“นักเรียนใหม่เมื่อตะกี้ชื่อ ‘เรเซอร์’ รึเปล่านะ?”
“ถ้าจำไม่ผิดนะ เปลี่ยนไปเยอะเลย ..จะว่าไงดีละ ดูมีกึนดีแฮะ”
“ลูกชายดยุกที่มีทักษะเด่นคือการต่อสู้นั้นรึ?”
“แต่การใช้เวทมนตร์แบบนั้นไม่ขี้ขลาดไปหน่อยเรอะ?”
“นั่นสินะ เอาเป็นว่าน่าสนใจไปก่อน”
“คงต้องจับตาดูเป็นพิเศษ เด็กนั่นคงจะมีของเยอะกว่านี้แน่”
เสียงคุยซอกแซกของผู้มีอิทธิพลบนโครอสเซียมดังขึ้นเบาๆ เป็นเสียงพึมพำที่จงใจไม่ให้ใครนอกวงได้ยิน
ตรงที่นั่งโครอสเซียมใกล้ๆ เอง ชายผู้เสื้อเชิ้ตหลุดลุ่ยก็เผยยิ้มน่ากลัวขึ้น ไม่ไกลนักหญิงสาวที่แต่งตัวมิดชิดดูเยาว์วัยก็อึ้งกิมกี่ ตกตะลึงกับสิ่งที่เรเซอร์ผู้เป็นหัวข้อการพูดคุยได้ทำ
“น่าสนใจจริงๆ ด้วย”
“-น นั่นสินะคะเป็นนักเวทย์แท้ๆแต่มีร่างกายที่แข็งแรงพอดูเลย เล่นกระโดดหลบเวทย์น้ำหน้าตาเฉย แถมยัง..ยึดครองสูตรเวทย์คนอื่นได้ด้วย เทคนิคแบบนี้พึ่งเคยเห็นเลยค่ะ คงเป็นการใช้มานาของตัวเองในปริมาณเท่าๆ กันและลำดับสูตรเท่าๆ กันเข้าไปทดแทนและยึดเป็นของตัวเอง” หญิงสาวคิดมโนไปเรื่อยพลางบ่นอุบอิบไม่หยุด “.. -ร หรือว่าเด็กคนนั้นเป็นคนคิดค้นมันขึ้นมาเอง! ถ้าอย่างนั้นมันก็ระดับปรากฏการณ์เลยนะคะรุ่นพี่”
รุ่นน้องไม่สามารถข่มความตื่นเต้นไว้ได้ หล่อนถึงกับโค้งตัวประชิดหน้ากับรุ่นพี่ที่เคราพ นั่นทำให้ชายวัยกลางคนเอามือดันหน้ารุ่นน้องออกอย่างหน่ายใจ
“เสียใจด้วย เทคนิคนั่นไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นนัก .. ‘สำหรับทวีปแซร์อิซ’ ละนะ”
“—-แดนแห่งสายลมน่ะหรือคะ? ปกติพวกเขาใช้แต่อาวุธไม่ใช่หรือคะ?”
“พูดเป็นเล่น เวทมนตร์แสนสะดวกไม่ว่าจะทวีปไหนก็ไม่อาจละเลยได้หรอก แม้แต่แดนของไสยศาสตร์ หรือวิทยาการเอง เวทมนตร์ก็ยังคงมีส่วนสำคัญที่สุดอยู่ ทวีปแซร์อิซเช่นเดียวกัน เวทมนตร์คือสิ่งสำคัญของทวีปนั้นพอตัว เพราะมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งมีมากมาย เหมาะแก่การใช้เวทมนตร์ แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าทวีปแซร์อิซนั้นค่อนข้างป่าเถื่อน” รุ่นพี่หยักไหล่ “ไอ้ฉันช่วงเยาว์วัยก็โดนรับน้องเหมือนกัน”
การสู้กันเองของนักผจญภัยเกิดขึ้นบ่อยอย่างเลี่ยงไมได้ …แล้วเทคนิคที่เขามักใช้ทะเลาะกันก็เป็นเทคนิคเมื่อครู่นี้ของเรเซอร์
รุ่นน้องถอนหายใจโล่งแต่ก็เกิดตื่นตูมขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่า ‘มันเป็นเทคนิคที่ใช้กันโดยทั่วไป’
“-บ แบบนั้นวิทยาการเวทมนตร์ของแซร์อิซ ไม่นำเราไปไกลเลยหรือไงคะ!?”
“ไม่มีทางหรอก คิดว่าทวีปฟัฟนิร์โดนมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของเวทมนตร์ทั้งปวงเพราะอะไรละ?”
ชายวัยกลางคนยิ้ม และนั่งไขว้ขาไม่สุภาพ ก่อนจะอธิบายให้รุ่นน้องผู้ตื่นตระหนกฟัง
“การยึดครองสูตรเวทย์ใช้ได้เฉพาะกับเวทมนตร์ระดับต่ำเท่านั้นแหละ อย่างน้อยๆ ก็ไม่ถึงเวทย์ชั้นสูงที่มีลำดับการใช้งานซับซ้อน จึงหายห่วงได้ …แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ละนะว่ามันเป็นเทคนิคน่ากลัวอยู่ดี หากว่ากันตามตรงในการต่อสู้จริง เขาไม่เวทมนตร์เวทย์ยาวเป็นหางว่าวเพื่อเวทย์ถล่มเมืองในระยะเผาขนหรอก เพราะมันจะโดนตัวเองไปด้วย จึงเหมือนโลกบังคับให้พวกเราใช้แต่เวทย์ระดับต่ำไปถึง-สูงปลายแถว ทำให้การยึดครองสูตรเวทย์มันน่ากลัว เพราะเวทมนตร์ที่ร่ายออกไปเหมือนตอนสู้ปกติทุกครั้ง—อาจจะฆ่าสหายได้ง่ายๆ โดยไม่รู้ตัวเอง”
อย่างที่ว่า มันคือเทคนิคสำหรับฆ่าคน
“ฉันเองสมัยวัยรุ่นที่ถูกเรียกว่า ‘อัจฉริยะในรอบ 10 ปี’ ก็เกิดเหลิงจนวันหนึ่งไปมีเรื่องกับพวกนักผจญภัยปลายแถวของทวีปแซร์อิซ พวกเราจึงเกิดการดวลกัน”
“อย่าบอกนะคะว่ารุ่นพี่แพ้?”
“ตลกน่า ฉันไม่แพ้หรอก—แค่เกือบตาย”
“-ก เกือบตาย!?”
ชายวัยกลางคนก่ายหน้าผากตัวเองท่าทางดูซึมๆ และปวดหัว เขาอับอายกับเหตุการณ์ที่ว่ามาก
“อีกฝ่ายเป็นแค่ผู้ใช้เวทย์ครึ่งกลางๆ มือถือดาบอีกมือร่ายเวทย์ ก็แค่นั้นแท้ๆ แต่ฉันเกือบตายในชั่ววิเดียว เพราะการยึดครองสูตรเวทย์ที่ว่านั่นแหละ ฉันไม่รู้ถึงตัวตนของมันตลอดการดวล เมื่อไล่ต้อนได้แล้วจู่ๆ ก็โดนสูตรเวทย์นั่นสะท้อนเวทมนตร์กลับมาจนเกือบตาย ..ถึงสุดท้ายจะรอดได้ฉิวเฉียดก็ตามเลยชนะมาได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าที่ชนะได้เพราะระดับมันต่างกันเกินไป อีกฝ่ายเป็นเพียงนักผจญภัยปลายแถวเท่านั้น แม้แต่ตอนนี้ฉันยังอดคิดไม่ได้เลยว่าเกิดอีกฝ่ายเป็นคนที่มีศักดิ์ระดับอัจฉริยะในรอบ 10 ปีเหมือนฉัน …ฉันอาจจะตายไปแล้วก็ได้น่ะนะ”
“…การมีอยู่ของเทคนิคนั้นมันไม่น่ากลัวไปหน่อยหรือคะ? ทำไมทวีปเราถึงไม่เอามาเผยแพร่บ้างละคะ ทั้งๆ ที่เป็นสุดยอดเทคนิคแท้ๆ”
“พวกหัวโบราณทวีปเราก็แบบนี้แหละ” รุ่นพี่พลันเปลี่ยนสีหน้าไปจากเดิม “มัวแต่ยกตัวเองเหนือชาวบ้าน เชิดชูตัวเองว่าเป็นผู้ใช้เวทย์ชั้นสูงบริสุทธิ์ไร้มลทิน เทคนิคพวกนั้นมันก็แค่เทคนิคสำหรับพวกไร้พรสวรรค์ เทคนิคชั้นต่ำ…น่าตลกเป็นบ้า ที่ทหารบ้านเราไปแพ้เขาแล้วตายกลับมาน่ะ ไม่ใช่เพราะเทคนิคชั้นต่ำที่ว่านั่นกว่าขึ้นหรือไง? เพราะแบบนี้ไงละ ฉันถึงอยากล้มโต๊ะพวกคณะกรรมการเวทมนตร์เหลือเกิน—กว่าจะทำได้อายุคงปาไป 70 ปีกระมัง เวรตะไล”
เขาตัดพ้ออย่างเศร้าใจ—-อนึ่ง ‘คณะกรรมการเวทมนตร์’ คือองค์กรสำคัญอย่างหนึ่งของโลกที่มีหน้าที่ในการพัฒนาเวทมนตร์ และเสาะหาความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ เป็นคณะขึ้นชื่อของทวีปฟัฟนิร์ แต่บ่อยครั้งก็ทำอะไรหัวโบราณเกินไปจนหลายคนเหม็นขี้หน้า
กล่าวได้ว่า ‘คณะกรรมการเวทมนตร์’ เป็นองค์กรขึ้นชื่อของโลก
“ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้ก็ได้เจอของดีแล้วละ ..ไอฉันดันคิดว่าขุนนางเด็กสมัยนี้มีแต่พวกเย่อหยิ่งในเวทมนตร์ของตัวเอง และยกหางตัวเองสูงเหมือนพวกคณะกรรมการเวทมนตร์ แต่เรเซอร์ เจ้าหนุ่มนั่นใช้เทคนิคที่พวกคนใหญ่คนโตหลายคนตีตราว่าชั้นต่ำ แต่เขากลับใช้มันได้อย่างหน้าตาเฉย ..ที่สำคัญไปเอาเทคนิคนี้มาจากไหน” เขาแสยะยิ้มเล็กน้อย “เป็นเด็กที่อยากชวนมาเข้าชมรมวิจัยเวทมนตร์จริงๆ”
ชายผู้นี้เป็นหนึ่งในคณะอาจารย์โรงเรียนเวทมนตร์ เป็นเจ้าของ ‘ชมรมวิจัยเวทมนตร์’ อันโด่งดังประจำโรงเรียน มีนามว่า ‘บลาซ’
“นั่นสิคะ เริ่มเข้าใจแล้วค่ะว่าทำไมรุ่นพี่ถึงสนใจหนักหนา ไว้ว่างๆ ก็ลองชวนเขาไปกินน้ำชาหรือขนมดูสิ”
“อ่า ไม่พลาดแน่นอน ..จะว่าไป ‘ริเลีย’ ใช่ว่าเธอมีธุระกับกองอัศวินตอนเย็นหรือไง?”
หญิงสาวที่เรียกอีกฝ่ายว่ารุ่นพี่—เธอมีชื่อว่า ‘ริเลีย’ เป็นหนึ่งในนักเวทย์สังกัดคณะกรรมการเวทมนต์ผู้มีชื่อเสียง และเป็นตัวการสำคัญในการพูดคุยกับกองอัศวินแห่งทวีปฟัฟนิร์
แต่หลายครั้งที่คนจะเข้าใจผิดว่าเธอเป็นอัศวินฝึกหัด เพราะใบหน้าที่สวยเยาว์วัยเกินวัยของตัวเอง ในส่วนนี้อย่าได้พูดถึงเลย …
เมื่อได้ยินบลาซพูดริเลียถึงกับหน้าเปลียนสีเลย
“-จ จะรีบไปเลยค่ะ!”
“อ้อ เรอะ ฝากสวัสดีพวกกองอัศวินด้วยละกัน”
“ค่ะ!”
ว่าแล้วริเลียก็ออกวิ่งอย่างสุดชีวิต
******
เมื่อสิ้นสุดการประลองแล้ว ‘ฮาเก้น’ คู่กรณีของผมจึงลงไปคลุกกับพื้นในท่าอ่อนล้า พลางส่งสายตาคล้ายคนจะร้องไห้มาทางผม
ให้เดาตอนนี้เขาคนมีอารมณ์หลายอย่างในตัวปะปนกัน ความกลัว ความเศร้า ความอาย สำคัญที่สุดตอนนี้คือความว่างเปล่า เพราะจากคะแนนสอบของตัวเองที่เข้าขั้นห่วยไม่ต่างกับผมยังมาแพ้ผมง่ายๆ อีก—-ย่อมทำให้โดนประเมินไว้ต่ำติดดิน ..เอาเป็นว่าไม่ขอโทษละกัน
ไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรทั้งนั้น เพราะฮาเก้นกะให้ผมเอาจริงอยู่แล้ว ทางผมจึงต้องตอบรับความคาดหวังนั่น ถึงจะชนะได้ไม่ยากแต่ยังไงก็เป็นการดวลที่มีค่าอย่างปฏิเสธไม่ได้—พูดให้ถูก ทุกการดวลไม่ว่ากับใครมันย่อมมีคุณค่าในตัวเองอยู่แล้ว ผมไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด ผมคือมนุษย์เท่านั้น และมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เอาหลายสิ่งหลายอย่างที่เจอ ไม่ว่ายากหรือง่ายมาต่อกันประหนึ่งเกมตัวต่อ เพื่อพัฒนาตัวเองจนกว่าชีวิตจะหาไม่ หรือดวงใจนี้จะสมปารถนาแล้ว
ในอนาคตข้างหน้า หากมีคนมาบอกว่าฮาเก้นจะฆ่าผมได้ด้วยเวทมนตร์ผมก็ไม่แปลกใจเลย เพราะสุดท้ายยังไงทุกคนก็สามารถเติบโตและพัฒนาระดับของตัวเองได้ เปรียบกับวงการมวยยังได้—-ที่รุ่นใหญ่ถูกคลื่นลูกใหม่ซัดจนไม่สามารถกลับมายืนหยัดได้อีก
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเพราะโลกเรามันพัฒนาตลอดละนะ ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เลี่ยงจะขอบคุณคู่ต่อสู้ตรงหน้าไม่ได้
ผมเดินไปหาฮาเก้นที่นอนเงยหน้าเหม่ออยู่และก้มคำนับเล็กน้อย
“ขอบคุณ”
“…บ้าจริง”
กล่าวจบผมก็ลงสนามประลองไป และเข้าอุโมงค์ที่ทางข้างหน้ามีแสงส่อง
การทดสอบระดับฝีมือ และการสอบทั้งหมดในการเข้าโรงเรียนคงจบเพียงเท่านี้
ส่วนเรื่องของฮาเก้นผมคงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านี้แล้ว เพราะเรื่องของพวกเรามันจบไปแล้ว ต่อไปเป็นการเริ่มต้นชีวิตของเขาอีกครั้งเท่านั้น เริ่มต้นใหม่โดยไม่จำเป็นต้องมาพะวงถึงตัวผมอีก
‘มาสเตอร์ไม่ดูถูกตัวเองไปหน่อยหรือคะ?’
จู่ๆยูนาก็เอ่ยอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ฉันไม่เคยคิดจะดูถูกตัวเองหรอก แค่คิดตามหลักความเป็นจริงเท่านั้น
‘ตั้งแต่ที่ร่วมเดินทางกับมาสเตอร์มา ฉันเจอคนที่มีคุณสมบัติพอชนะมาสเตอร์ในตอนนี้ได้ไม่ถึงสิบคนเลยค่ะ ขนาดคิดคำนวณโดยไม่ให้ฉันไปเกี่ยวข้องนะคะ’
หมายถึงไม่นับการตัดมิติแสนขี้โกง
ไม่ถึงสิบคนก็เยอะแล้วละ คิดดูสิว่าโลกใบนี้มันกว้างใหญ่ขนาดไหน
‘ไม่ถึงสิบคนที่ว่ามันพวกตัวบิ๊กทั้งนั้นค่ะ’
—ในช่วงออกเดินทางนั้นผมและยูนาเจอหลายอย่างทีเดียว ถึงทุกเหตุการณ์จะไม่ถึงขั้นปางตาย แต่เจอพวกที่แข็งแกร่งแบบสุดๆ ระดับที่หากผมไม่มียูนาคงต้องฝึกอีกเป็นสิบปีถึงจะทัดเทียมได้ด้วยสองสามคน และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อผมเจอไอนั่นด้วยล่ะไอนั่นน่ะ—–เทพเพียงตนเดียวบนโลกใบนี้ เทพผู้มีชีวิตเหลือรอดจากยุคโบราณเพียงผู้เดียว ‘เทพแห่งธรรมชาติ’
แม้จะช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามทีแต่ผมไม่มีวันลืมวันนั้นเลย ..วันแรกที่ผมเกือบตาย
‘นั่นแหละค่ะที่เขาเรียกดูถูกตัวเอง ..ไม่สิ ฉันขอเรียกว่าประเมินคนอื่นสูงไปละกันคะ’
นั้นเองรึ
‘มาสเตอร์คือเจ้าของฉัน พลังของฉันทั้งหมดจึงเป็นของมาสเตอร์ โปรดเข้าใจไว้ด้วย’
ยูนาเริ่มมีน้ำโหเล็กน้อย ..พวกเรามีความสัมพันธ์ที่เคราพกันและกัน พลังของพวกเราสองคนคือพลังกลางไม่ใช่ของใครเพียงคนเดียว จะโกรธก็ไม่แปลก—
“—เข้าใจแล้วน่า ขอโทษนะ”
หยุดคุยเรื่องชวนปวดหัวนี่จะดีกว่า—-ว่าแล้วผมจึงมุ่งหน้าออกจากโครอสเซียม และตรงไปหน้าโรงเรียนเพื่อขึ้นรถม้ากลับ เรเซลน่าจะกำลังรออยู่
ทว่าดันมีหญิงสาวผู้หนึ่งเดินมาขวางทาง
แวบแรกที่พบเจอคือเส้นผมสีขาวออกเหลืองซึ่งล่องลอย—อาจเป็นเพราะมันยาวมากทำให้เป็นเช่นนั้น ต่อมาจึงเป็นดวงตาสีเหลือง และสีผิวสีขาวเป็นประกาย ใบหน้าฉะสวยได้รูป ร่างกายสมส่วนจนไปถึงขั้นดีเยี่ยม หน้าอกพอดีมือ เสน่ห์ภายนอกออกแนวหญิงสาวลูกคุณหนูผู้มากด้วยความฉลาด และใจเย็น
เธอสวมชุดเครื่องแบบนักเรียนซึ่งมีเสื้อนอกสีขาวลายทองคลุมไหล่ยาวถึงเอว และเสื้อเชิ้ตสีขาวและกระโปรงยาวถึงเข่า สวมถุงน่องสีขาว
—-อะ เอาจริงเรอะเนี่ย? ผมคิดขึ้นมาเช่นนั้น ก่อนจะผุดยิ้มบางๆ ให้สาวสวยตรงหน้า
“นาย..คนเมื่อตอนนั้นใช่มั้ย?”
เธอเอ่ยถาม—ผมรู้ดีถึงชื่อของเธอ เพราะใบหน้าของเธอในช่วงวัยนี้เห็นมานับไม่ถ้วนแล้วละ
ชื่อของเธอคือ ‘หนิง’ นางเอกหลักของโลกใบนี้ คนที่ผมสัญญาไว้ว่าจะเจอกันอีกครั้ง
ไม่รีรอหนิงพุ่งตัวเข้ามาใกล้ผม และกระซากคอเสื้อจนตัวแทบลอย
“นี่ทำไมตอนนั้นถึงไม่ช่วยฉันกันหะ!? แล้วยูจิด้วยไหงบอกว่าจะได้เจอกันอีกไง ทำไมถึงตอนนี้ฉันยังไม่เจอยูจิเลย! แล้วนายก็ด้วย จู่ๆ ก็พูดอะไรในตอนนั้นน่ะ!” หนิงสะบัดคอเสื้อผมไปมาจนอากาศหายใจมันขาดๆหายๆ “อธิบายมาให้หมดเลยนะ! ตอนนั้นฉันกลัวมากเลยนะ!”
เธอโพ่งออกมารัวๆ ไม่หยุด คงจะค้างคาใจมาแรมปีและครุ่นคิดกับตัวเองตลอด ถึงเรื่องนี้
น่าสงสารจริง
“…”
“ตอบมาสิ”
ผมกัดปากตัวเองแน่น และ–
“…คนเมื่อตอนนั้น? พูดถึงอะไรรึ?”
“—-เอ๊ะ?”
โทษทีนะหนิง ฉันผิดเอง ช่วยยกโทษให้ด้วย
ผมยักไหล่ให้และเริ่มแนะนำตัวเอง
“ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าเธอคือใคร แต่ตามมารยาทฉันควรแนะนำตัวสินะ? —ฉัน ‘เรเซอร์’ เป็นนักเรียนใหม่ ก็อย่างที่เห็นฉันพึ่งเหนื่อยจากการต่อสู้มาเ พราะฉะนั้นจึงไม่ว่างอะไรมากหรอกนะ”
หนิงเธอแปลกใจกับท่าทีของผม ไม่นานจึงตั้งสติตัวเองได้และพูดคุยตามปกติ ..หมายถึงตามที่ควรทำ
“นั้นหรือ ขอโทษด้วยนะที่เข้ามาทักตอนไม่สะดวก”
“อืม ไม่ว่าอะไรหรอก ยังไงก็เพื่อนๆ กันอยู่แล้วนี่?”
“…อื้อ”
เธอพยักหน้ารับก่อนจะนำมือมาสัมผัสหน้าอกตัวเอง แนะนำตัว
“ยินดีที่ได้รู้จักเรเซอร์ ฉันชื่อ ‘หนิง’ ”
“เช่นกัน หลังจากนี้สามปีฝากด้วยล่ะหนิง”
ผมกับเธอจับมือกัน
“เสียใจด้วยนะ ฉันปี2แล้วน่ะ” หนิงยิ้มให้ “ขอตัวละ”
“…งั้นหรอกเหรอ”
สุดท้ายก็จากกันโดยทำเหมือนเรื่องเมื่อตอนนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
ตอนนี้ผมไม่อยากผูกพันกับเธอ เพราะมันจะมีผลเสียตามมา อย่างน้อยๆ ก็อยากให้เธอทำความรู้จักกับโรงเรียนนี้ก่อน และสักพักผมจะเข้าไปชวนคุยด้วยเอง
“ขอโทษด้วยนะ”
ผมนึกขอโทษเธอในใจและขึ้นไปบนรถม้ากับเรเซล
***
“เป็นอย่างไรบ้างคะท่านเรเซอร์?”
เรเซลเอ่ยถามขณะที่นั่งบนรถม้าหลังสอบเสร็จ
“…อืม สมกับเป็นโรงเรียนเวทมนตร์เลยละ ระดับเด็กที่มาโรงเรียนสูงทีเดียว ข้อสอบที่ออกก็จัดว่ายากระดับนักวิจัยเลยละ”
“ลำบากแย่เลยละค่ะ แต่ระดับท่านเรเซอร์การปฏิบัติคงสอบผ่านฉลุยสินะคะ”
“อ่า อีกฝ่ายจัดว่ามีแววพอดู แต่ฝีมือยังไม่ขัดเกลามากเท่าไหร่ทำให้ชนะมาได้น่ะ”
“ยินดีด้วยนะคะ ด้านทฤษฎีอาจจะแย่หน่อยแต่คงได้ระดับกลางๆไม่ยาก ก็ท่านเรเซอร์ใช้เวทมนตร์เก่งจะตาย”
ผมยิ้มเจื่อนก่อนเท้าคางตัวเอง
“เรื่องข้อสอบเขียนค่อนข้างยาก ..ใช่ ยากระดับที่ฉันยังตึงมือเลยละ”
“-อ เอ๊ะ จริงหรือคะ!?”
“อืม คนที่ทำได้มันระดับนักวิจัยเวทมนตร์โดยเฉพาะแล้วละ เพราะอย่างนั้น…ฉันถึงได้ที่ 478 ไงละ”
—–เกลียดชะมัดสอบข้อเขียน เกลียดชะมัดวัฒนธรรมการสอบ
เรเซลครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะนำมือมาปิดปากตัวเอง
“จาก 500 คน!” หล่อนพึ่งรู้สึกตัวว่าพูดอะไรไป “ขะ ขอโทษนะคะ!”
“—แล้วจะขอโทษทำไมเล่า!? พูดแบบนั้นเหมือนฉันทำได้ห่วยสุดๆ เลยนี่”
ข้อสอบมันยากจริงๆ นะบอกไว้ก่อน! ยากโคตรๆ เลยละ! จะตกก็ไม่แปลกเลยแหละ! อุตส่าห์ขอให้ยูนาช่วยหลอกให้แล้ว แต่หล่อนก็ไม่ทำให้! โคตรใจร้าย!
“ปะ เปล่านะค่ะ ท่านเรเซอร์ทำได้เยี่ยมแล้วค่ะ ข้อสอบมันยากมากๆ ฉันเข้าใจดี…คือท่านแองเจลิน่าบอกว่าจะส่งเงินมาให้ท่านเรเซอร์ตามคะแนนสอบรวมๆ ที่ได้น่ะคะ เกรงว่าถ้าหากคำนวณคะแนนสอบรวมๆ แล้ว..เกรงว่า..เอ่อ คือ…ขอโทษค่ะ”
“นี่พวกหล่อนไปตกลงอะไรไม่ถามก่อนเลยเรอะ!?”
เรเซลปัดมือไปมาราวกับปัดความผิดของตัวเอง—ไม่สิ เธอไม่ผิดหรอกๆ
ผมก่ายหน้าผากตัวเองพลางถอนหายใจเล็กน้อย
“ฝากขอโทษท่านพี่แอเจลิน่าให้ด้วยละกัน …เรื่องเงินไม่ต้องซีเรียสหรอกนะ เดี่ยวฉันทำงานพิเศษเอา”
จริงๆก็กะจะทำงานพิเศษอยู่แล้วละ มีหลายตัวละครที่ควรไปทำความรู้จักด้วย
“-ม ไม่ได้ค่ะแบบนั้น! -ด -ด เดี่ยวฉันจะแบ่งเงินเดือนให้ท่านเรเซอร์ครึ่งหนึ่งเองค่ะ! พักนี้เงินเดือนเพิ่มขึ้นมากอย่างไม่น่าเชื่อเลยละค่ะ! ให้ฉันจัดการเอง”
“เห้ยๆ ไม่ได้สิแบบนั้น! ทำแบบนั้นฉันรู้สึกผิดไปยันหงอกขึ้นแหงๆ ทุเรศเป็นบ้าแบบนั้น!”
“แต่ว่า!”
เรเซลน้ำตาซึมเล็กน้อย เธอพยายามช่วยผมเอาเป็นเอาตาย
“ฉัน…จะปล่อยให้ท่านเรเซอร์ลำบากไม่ได้เด็ดขาดค่ะ”
“ฉันเองก็จะพึ่งพาเรเซลมากเกินไปไม่ได้เหมือนกัน จริงอยู่ที่พวกเราต้องพึ่งพาอาศัยกันแต่เล่นเอาเงินเดือนเธอมาใช้ครึ่งหนึ่งเนี่ย—ดูไม่ได้เลย”
“ถ้าทำงานพิเศษมันจะเจอแต่เรื่องโหดร้ายนะคะ”
งานพิเศษในสายตาหล่อนเป็นยังไงละนั่น?
“…ถ้าหมายถึงฉันอาจจะโดนทำร้ายละก็หายห่วง แค่ขยี้พวกนั้นให้แหลกเป็นพอ” ผมแสยะยิ้ม “คิดว่าฉันไม่มีปัญญาหรือไง?”
เรเซลเอากำปั้นทุบฝ่ามือ และโพ่งเหมือนเรื่องปกติ
“มีวิธีนั้นด้วยสินะคะ”
“—ไม่ได้สิแบบนั้น! ถึงฉันจะพูดเองเออเองก็เถอะ แต่ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด! ถ้าโดนโรงเรียนเด้งออกจะทำยังไงละ?”
“…นั้นหรือคะ?” เรเซลดูซึมๆ
ระ เรเซลแสนใสซื่อคนนั้นหายไปแล้ว เห็นว่าไปทำงานกับแองเจลิน่ามาแรมปี คงไม่แปลกที่สไตล์ชีวิตของหล่อนมันจะเปลี่ยนไปในทางที่ดูโหดร้าย ว่าแต่ยัยแองเจลิน่าสอนอะไรให้เด็กคนนี้บ้างเนี่ย? อันนาด้วยอีกคน
เอาเป็นว่า!
ผมจับไหล่เรเซลแน่น
“เอ๊ะ—อ๊ะ คือ ท่านเรเซอร์!?”
หล่อนหน้าแดงแจ๋ทันทีที่ถูกจับเนื้อต้องตัว ขอโทษด้วยที่ล่วงละเมิด!
“ฟังไว้นะเรเซล!”
“…ค่ะ”
“เธอคิดว่าฉันเท่มั้ย?”
“ที่สุดค่ะ”
ตอบมาอย่างทันควันซะอย่างนั้น—เล่นเอาผมเขินไปด้วยเลย
ผมกระแอมเบาๆแก้เขิน
“ถ้าอย่างนั้นก็รู้ไว้ด้วย ว่าคนเท่ๆ อย่างฉันเรื่องเงินไม่ใช่อุปสรรคใหญ่อยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีมาสักสตางค์ฉันก็เอาตัวรอดได้ ไม่อยากลำบากเมดผู้น่ารักอย่าเธอมากเกินไปด้วย”
“เมดผู้น่ารัก…อือ” เรเซลพึงกับเขินตัวม้วน เธอเอามือมาทาบแก้มทั้งสองข้าง
…น่าอายชะมัด
“ใช่แล้ว! เธอน่ารักมากๆ จนฉันไม่อยากทำให้เธอลำบากแม้แต่นิดเดียว จริงอยู่ที่หากจำเป็นก็ต้องพึ่งเธอ จนถึงตอนนี้ก็พึ่งเธอในหลายอย่าง แต่ขอแค่เรื่องเงินนะที่ฉันขอพึ่งพาตัวเองอย่างสุดความสามารถ ทั้งหมดมันเป็นเพราะฉันโง่เอง”
“-ท ท่านเรเซอร์ไม่ได้โง่นะคะ!”
“ไม่หรอกเรเซล …ถ้าเกิดฉันตั้งใจเรียนแต่แรกคงไม่มีปัญหาเรื่องเงินตามมา สมควรแล้วละ ที่ฉันไม่ขอความช่วยเหลือจากเธอก็เพราะว่ามันเป็นความรับผิดชอบของฉันยังไงละ”
“…”
เรเซลถอนหายใจเบาหวิว ก่อนจะผุดยิ้มราวกับดอกทานตะวันให้ผม
“เข้าใจแล้วค่ะท่านเรเซอร์”
“ในที่สุดก็เข้าใจกัน …ขอบใจนะเรเซล”
“ค่ะ …เอ่อ คือ ถ้าหากไม่รบกวนอะไรท่านเรเซอร์คือ..มือน่ะคะ”
ผมจับไหล่เรเซลอยู่—-ว่าแล้วจึงปล่อยทันที
“โทษทีนะ”
“มะ ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่ว่าอะไรหรอกถ้าเกิดต้องการจับเนื้อต้องตัวกัน” เรเซลผงกหัวลง “…จะจับแค่ไหนฉันก็ไม่ถือสาหรอก ถ้าเป็นท่านละก็..”
“พูดแบบนั้นไม่ได้นาเรเซล …มันล่อตะเข้”
“ล่อตะเข้!?”
ผมรีบยิ้มแบบหยอกล้อเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
“ดูเหมือนว่าจะถึงโรงแรมแล้วนะ”
“อ๊ะ ค่ะ!”
เรเซลเก็บงำความอายไว้ และลงไปจัดเตรียมของให้ผม
*****
หากพูดถึงที่อยู่ของผมในเมืองนี้ไม่ว่ายังไงก็คงไม่พ้นหอของโรงเรียน
อนึ่งในโรงเรียนเวทมนตร์ซึ่งผมจะเข้าเรียนในเร็ววันนี้มันมีระบบหออยู่ข้างในตัวโรงเรียนด้วย พื้นที่ใหญ่ถึงระดับที่สร้างหอได้เลยละ
โดยที่หอจะแบ่งเป็นชายหญิงแน่นอน ภายในหอก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายไม่ต่างกับโรงแรมระดับสูงๆ เลย ที่สำคัญมีระบบรูมเมทด้วย ตามเนื้อเรื่องยูจิเองก็มีรูมเมทเป็นเพื่อนชี้อย่างเรย์—ใช่ ‘เรย์’ ที่เป็นน้องชายของชินนั่นแหละ
…นับตั้งแต่เริ่มออกเดินทางผมยังไม่เคยพบกับชินเลย บางทีเขาอาจจะจากไปแล้วจริงๆ ก็ได้
ยังไงซะเรื่องมันก็ผ่านมาแรมปีแล้ว ผมทำใจได้แล้วละต่อให้เป็นยังไง
เมื่อจัดเตรียมอะไรต่างเสร็จเรียบร้อย ผมจึงมานอนอยู่บนเตียงอันหรูหราของโรงแรมห้าดาว ระหว่างนั้นก็พลางคิดถึงแนวทางชีวิตตัวเอง ..ตอนนี้ยังไม่ได้เข้าไปอยู่หอหรอก
“หอโรงเรียนนั้นเรอะ…ชีวิตก่อนก็ยังไม่เคยอยู่หอเลยแฮะ”
น่าสนุกชะมัด
ชีวิตของยูจิในหอเองก็น่าสนุกใช้ได้เลย ตามเนื้อเรื่องต้นฉบับบอกว่าเขาอยู่กับเรย์ ไอเพื่อนพระเอกตัวป่วนลามกจกกระเปรต ที่มักสร้างเรื่องให้เขาประจำ แต่นั่นทำให้ชีวิตดูน่าสนุกสนานเอาเรื่อง ผมเองถ้าได้เป็นเพื่อนกับพวกนั้น—คงจะมีชีวิตที่สนุกเหมือนกันกระมัง
“เอาเป็นว่าทักทายหน่อยดีกว่าถ้าได้เจอกัน” ผมถอนหายใจ “คงไม่โดนเรย์มันโกรธเอาหรอกมั้ง?”
ในเนื้อเรื่องต้นฉบับเรย์เหม็นขี้หน้าผมพอตัวเลย เป็นเพราะเนื้อเรื่องต้นฉบับชินก็มาดูแลเรเซอร์เหมือนกัน เมื่อผนวกไปกับชื่อเสียของผมซึ่งต้นฉบับยังคงก่อเรื่องไม่เว้นวันอยู่ ทำให้เรย์คิดเองเออเองว่าเรเซอร์ทำให้ชินตาย …อา ซวยชิบหาย แทนที่จะคิดว่า ‘เป็นเพื่อนกับพวกนั้นจะสนุกมั้ยนะ’ เปลี่ยนมาคิดวิธีซื้อใจเรย์จะดีกว่า
“ถ้ามีเรื่องกันจริงๆ ..คงวุ่นวายไม่น้อย”
ถ้าต้องสู้กับชิน หากตัดเวทมนต์และยูนาไป ให้ใช้ได้เพียงดาบ 1-1 ผมจะแพ้เขาใน10จังหวะดาบ อย่างน้อยถ้าหยวนให้ใช้เวทมนต์ผมอาจจะชนะเขาใน 2 จังหวะปะทะ แต่ก็เอาเถอะ…ชีวิตในหอผมอาจไม่ได้สนุกอย่างที่คิดก็ได้มั้ง? ได้ตีกับเรย์แหงๆ ไม่สิ อย่าพึ่งไม่คิดด้านร้ายนักดีกว่า
ในขณะที่คิดเพลินๆ ในหัว เรเซลก็เดินมาหา เธอมองผมที่นอนติดเตียงประหนึ่งตัวขี้เกียจ
“…เรเซลถ้าเธอลำบากใจไม่จำเป็นต้องค้างคืนกับฉันก็ได้นา”
คืนนี้เรเซลกับผมได้นอนห้องเดียวกัน เธอบอกว่าต้องการประหยัดเงินให้ผม
เธอส่ายหัวให้
“ไม่หรอกค่ะ”
“นั้นรึ เธอเองก็โตเป็นสาวแล้วนะ”
“…นั่นสินะคะ”
เรเซลแก้มแดงเล็กน้อย แล้วขยี้ปลายผมเล่น
“คือว่ามีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะคะ”
“ว่าไง”
“พรุ่งนี้จะมีพิธีปฐมนิเทศและทางโรงเรียนจะเปิดหอ ซึ่งคนนอกอย่างฉันไม่สามารถเข้าได้ หมายความว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ฉันก็ต้องกลับไปทำงานกับท่านแองเจลิน่าเหมือนเดิม”
“หรือว่าเธอไม่อยากทำงานรึ?”
เรเซลส่ายหัวให้
“ฉันยินดีค่ะ ทว่า…พอคิดว่าต้องแยกจากกับท่านเรเซอร์อีก มันก็อดไม่ได้เลย ฉันกังวลใจน่ะคะ” เรเซลกุมอกตัวเอง “…อุตส่าห์ได้เจอกันอีกแล้วแท้ๆ แต่ต้องจากกันแล้ว พวกเรายังไม่ได้เจอกันพร้อมหน้าเลยแท้ๆ”
“โทษทีนะ”
“ไม่ใช่ความผิดของท่านเรเซอร์หรอกค่ะ”
พวกเราสองคนเงียบกัน จนได้ยินกระทั่งเสียงของสายลมข้างนอก
ให้ตายสิ ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยสักนิด
“ก็จริงอยู่ที่ทั้งอันนากับท่านแองเจลิน่าเป็นคนดี ฉันพร้อมใจอยู่กับท่านคู่ค่ะ แต่อีกใจหนึ่งฉันอยากอยู่คอยดูแลท่านเรเซอร์ต่อไปเรื่อยๆ คะ”
“…รอฉันได้มั้ย?”
…
“อีกสามปีให้หลังถ้าเกิดฉันไม่ใจแตกไปก่อน ยังไงก็ได้จบการศึกษาแน่นอน”
หลังจากนั้นผมก็จะให้เรเซลมาเป็นเมดประจำตัวเหมือนแต่ก่อน อันนาก็ด้วย
“คงไม่เป็นการรั้งตัวเธอไว้สินะ?”
“ไม่มีทางค่ะๆ เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะรอท่านค่ะ” เธอยิ้มให้ “พร้อมกับอันนา”
….ดีจังเลยนะ พักนี้รอยยิ้มของเรเซลมันดูจริงใจชอบกล ไม่ใช่รอยยิ้มปลอมๆ ที่ไว้ใช้เอาตัวรอดจากผมและอันนาอีกแล้ว ตอนนี้ได้พลันเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มที่มอบให้เพื่อนหรือผู้เป็นนายที่เคราพรัก
รอยยิ้มที่มาจากใจจริงของเธอน่ะ เป็นรอยยิ้มที่งดงาม เป็นไปได้ผมอยากเห็นรอยยิ้มนี้ทุกเช้าเลย ไม่ใช่แค่รอยยิ้มของเรเซลด้วย ผมอยากโดนอันนาด่าเยอะๆอีก …อยากอยู่กับทั้งสองพร้อมกัน
“ขอบใจนะ”
“ค่ะ”
“…อว่างพอดีเลย”
ผมลุกออกจากเตียงและก้มไปหยิบของจากใต้เตียงขึ้นมาวาง
ผมส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เธอ
“มาเล่นบอร์ดเกมกันมั้ย?’
“—ค่ะ!”
ค่ำคืนของผมกับเรเซลยังอีกยาวนาน—-หมายถึงการเล่นบอร์ดเกมของสองเราละนะ มิได้มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้น เพราะตัวผมถือคติ อายุ18ค่อยสละเรือ(ซิง)
ผมผ่านคืนนั้นได้อย่างฉลุย ไม่มีเรื่องลามกเข้ามาในยามราตรีของพวกเรา ดีแล้วละ
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นผมจึงพบว่าเรเซลกำลังยืนรออยู่ด้วยชุดเมดเหมือนทุกที
“อรุณสวัส”
“อรุณสวัสค่ะ ท่านเรเซอร์”
ผมลุกขึ้นจากเตียง และมุ่งหน้าไปอาบน้ำแต่งตัว—ในชุดเครื่องแบบนักเรียน
ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ เรเซลซึ่งพบเห็นเกิดหน้าแดงขึ้นและยิ้มชมเชย
“ดูเหมาะมากเลยค่ะ”
เสื้อนอกคลุมไหล่สีน้ำเงินลายทอง ยาวถึงบริเวณเอว เสื้อข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวติดกระดุม ซึ่งผมปลดกระดุมออกสองเม็ด กางเกงเป็นขายาวถึงข้อเท้าและรองเท้าฉบับพิเศษซึ่งทนทานเวทมนตร์ได้ดี เหมาะแก่การร่ายเวทย์ใส่เท้าเพื่อทำอะไรพิสดาร
และหากพูดถึงคีย์แมนของชุดนักเรียนนี้ก็หนีไม่พ้นสายผ้าสองเส้นที่ติดกับเสื้อคลุมไหล่ เจ้าสิ่งนั้นไว้ใช้ติดกับอุปกรณ์นำพาเวทมนตร์ …ถึงปกติผมจะใช้มือเปล่าในการร่ายเวทมนตร์ แต่ว่าตามกฎผมต้องมีอุปกรณ์เวทมนตร์เหมือนทุกคน …ปัจจุบันนี้ผมยังไม่มีเลย แต่ก็ช่างมันปะไร ผมค่อยไปหาเอาทีหลังก็ได้ละนะ อุปกรณ์เวทมนตร์ที่เข้ากับตัวผม
ผมยิ้มให้เรเซล
“ขอตัวก่อนนะ ฝากสวัสดีท่านพี่ แองเจลิน่า กับอันนา แล้วก็เซบาสเตียน …ท่านพ่อกับท่านแม่ด้วย”
“รับทราบค่ะ ท่านเรเซอร์เองก็รักษาตัวด้วยนะคะ”
“อือ”
เรเซลยิ้มตอบ
*****
ผมเดินตรงไป พลางชมบรรยากาศโดยรอบ
สายลมพัดผ่านไปทั่วทั้งเมือง บ่งบอกว่าถึงฤดูกาลอย่างชัดเจน อย่าง ‘ฤดูร้อนในทวีปฟัฟนิร์’ แต่ถึงจะว่าฤดูร้อนแต่อากาศก็ดีราวกับฤดูหนาวของไทย ..ไม่สิ ให้ดีกว่านั้นสิบเท่าเลย
“เปิดเรียนทั้งทีก็ต้องเริ่มต้นด้วยฤดูนี้ละนะ ช่างใส่ใจดีจริง”
นี่แหละอากาศแห่งการเริ่มต้น
ผมตรงไป เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาบ้าง จนสุดท้ายก็มาถึงหน้าทางเข้าโรงเรียนซึ่งยาวถึง 15 เมตร เป็นรั้วเหล็กสีดำที่ดูน่าตื่นเต้นต่างจากวันก่อน ทั้งๆ ที่เข้ามาไม่ต่างจากเมื่อวานแต่อารมณ์มันต่างออกไป
ผู้คนมากมายซึ่งสวมใส่ชุดรูปแบบเดียวกันต่างเดินเข้าไปข้างในโรงเรียนกันกระหึ่ม บ้างก็เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน บ้างก็เป็นรุ่นพี่ปี 2 หรือปี 3 ทั้งหมดประปรายกันไป ชวนให้ตื่นเต้นเล็กน้อยเกิดมีคนเข้ามาชวนคุยเข้า ผมอาจทำตัวไม่ถูกเลยก็ได้เพราะใจเต้นไม่หยุดเลยตอนนี้
ผมสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน ตรงไปเรื่อยๆ—จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า
ชายผู้มีเส้นผมสีดำปลายน้ำเงิน ดวงตาสีน้ำเงินราวกับลูกแก้ว ร่างเล็กสูงราว 165 ซ.ม. ดูบอบบางแต่ก็รู้สึกได้ถึงความเป็นผู้ชาย เขาคนนั้นคือ—- ‘ยูจิ พระเอกต้นฉบับ’
พอสังเกตดีๆ ก็จะพบว่ามีชายร่างยักษ์ซึ่งสูงกว่าผม เขากำลังหาเรื่องยูจิอยู่ …อะไรละนั่น
ว่าแล้วผมก็หัวเราะเบาหวิว
ไม่ว่าจะโลกไหน ต่อให้ผมไม่ใช่ตัวร้าย เจ้ายูจิคนนั้นก็ยังคงโดนรังควานจากเด็กเกเรไม่เลิก จะเรียกว่าดวงซวยหรืออะไรดีละ ยูจิเองก็ไม่ได้ทำตัววอนตีนเสียหน่อย เขาเป็นเด็กดีมากแท้ๆ
ผมพลันถอนหายใจทันทีเมื่อคิดได้ว่า—-‘พระเอกนี่เนอะ’
ผมตรงไปหาชายร่างใหญ่ พูดให้ถูกคือเป้าหมายคือยูจิ
และ—-ผมช่วยเค้าเล็กน้อย ‘น่าตลกที่ตัวร้ายอย่างผมไปช่วยยูจิ’
หลังจากช่วยยูจิเสร็จผมจึงตรงต่อไป หลายคนมักจะไปรวมตัวกันที่ศูนย์รวมแต่ผมไม่ใช่
เป้าหมายดั้งเดิมของผม เป้าหมายแรกของผมคือ ‘เบลลามี’
เพราะฉะนั้นตอนนี้เองผมก็กำลังจะไปหาเธอคนนั้น เธอคนที่ผมต้องการจะช่วย
เบลลามี—–ผมเดินขึ้นไปบนตึกนับหกชั้น เดินหลงอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็มาถึงห้องของเบลลามี
เธออยู่ในห้องไม่ผิดแน่ จากความรู้ในเนื้อเรื่องต้นฉบับ—ว่าแล้วผมจึงเปิดประตูเลื่อนเข้าไป ข้างในห้องไม้ซึ่งหรูหราเกินกว่าห้องเรียนปกติ
ตรงโต๊ะซึ่งเรียงรายกันชั้นที่ห้า ฝั่งซ้ายมือของเธอ ตรงริมหน้าต่าง—เธอคนนั้น ‘เบลลามี’ ในมือถือหนังสือ แต่ดวงตานั้นเหม่อลอยไปนอกหน้าต่าง
เธอมีรูปร่างที่เล็กราวกับเด็กมัธยมต้น สูงเพียง 154 ซ.ม. มีเส้นผมสีดำออกม่วงยาวตรงหลังถึงสะโพก มีดวงตาสีแดงสง่างามราวกับพระจันทร์สีแดงฉาน และผิวกายสีขาวนั่นที่ราวกับจะหายไปได้อย่างไรอย่างนั้น ถ้าเกิดผมแตะต้องเธอแม้แต่นิดเดียว เกิดเธอหายไปคงไม่แปลกเลย
สวมชุดเหมือนกับผมเพียงแค่สวมกระโปรง ไม่ใช่กางเกง…แม้จะได้ยินเสียงเปิดประตู และรู้สึกได้ถึงการมาของผม เธอยังคงนิ่งเงียบและมองออกไป
ผมยิ้มเจื่อนและขึ้นบันไดทีละขั้น ตรงไปหาเธอผู้ที่เฝ้ารอมานาน
เธอสังเกตเห็นผมว่าอยู่ข้างตัวแล้ว จึงหันหน้ากลับมาและจ้องตาผมหน้าฉงน
ปฏิกิริยาคล้ายกับคนง่วงนอน แต่ไม่ใช่ เธอแค่มีดวงตาเหมือนคนจะหลับแร่ไม่หลับแร่เท่านั้น ซ้ำร้ายใบหน้าที่ตึงๆ ไร้ซึ่งรอยยิ้มนั่นยังทำให้เธอเหมือนคนง่วงนอนเข้าไปอีก สำคัญกว่านั้น
…ในที่สุดก็เจอ—ผมแนะนำตัว
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉัน ‘เรเซอร์’ ”
…ตื่นเต้น ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อนเลย
ผมรวบรวมความกล้าของตัวเอง กดความกลัวเข้าไปในอก พร้อมกับเปล่งรอยยิ้มให้เธอ
“ถ้าไม่รังเกียจขอทราบชื่อได้มั้ย?”
เธอกะพริบตาราวสองถึงสามที ก่อนเอ่ยปากขึ้น—เสียงของเธอมันเบาหวิว หากไม่ตั้งใจฟังคงไม่ได้ยิน เสียงที่อย่างกับจะหายไปได้ตลอด
“—’เบลลามี’ ”
นั่นคือชื่อเธอ แหงอยู่แล้วละ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ‘เบลลามี’ ”
MANGA DISCUSSION