เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 239
< < 153 > >
“ถ้าตายไม่รู้ด้วยแล้วนะ เจ้ามนุษย์ชั้นต่ำทั้งหลาย!!”
หญิงสาวเผ่ามังกรน้ำโพล่งขึ้น พร้อมกับการสั่นสะเทือนของสายน้ำ บนปากของหญิงสาวนั้นกำลังมีสายน้ำลอยขึ้นไป–ซึ่งมันคือน้ำสีและกลิ่นขี้ซึ่งเกิดจากดอกไม้ขี้
พร้อมกันนั้น เธอผู้นั้นก็ทำท่าจะอ้วก สายน้ำที่เรียกมาก็ผล็อยสลายไปด้วย
“อั้ก อั้ก เหม็น แหวะ โคตรเหม็น สกปรกชิบ อ้าก–อ้วกกก!!”
สุดท้ายก็อ้วกอีกครา
“ไอ้บ้าเอ้ย ดอกไม้บ้าอะไรวะ โหดร้ายที่สุด จะตาย ไม่ไหว เหม็น เหม็กมาก”
เธอที่เอาแต่บ่นโวยวายนั้นช่างอ่อนแอนัก ดูไปที่อันเดียอัสสิ เจ้าตัวนอนลอยอยู่ในน้ำที่ใกล้เคียงกับขี้โดยไม่บ่นสักคำเดียว (เพราะสลบอยู่)
ดิลุคมองอย่างพึงพอใจพร้อมรอยยิ้มเยาะเย้ย
“มังกรน้ำเป็นเผ่าที่อ่อนไหวเรื่องกลิ่นเป็นพิเศษ เพราะเป็นเผ่าที่รักสะอาด กับแม่น้ำที่เปื้อนไปด้วยความเหม็นจากดอกไม้สีขี้ คงจะทำใจดูดเข้าคอแล้วพ่นออกมาไม่ไหว ต่อให้ฝืนทำก็มีความเป็นไปได้จะอ้วกแตกตายอีก”
“ยะ เย้ ไม่ได้ทำอะไรก็จะชนะแล้ว”
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจอะไร แต่ตอนนี้กำลังได้เปรียบ-เมลเบลคิดเช่นนั้น หญิงสาวเผ่ามังกรน้ำเห็นก็เลือดขึ้นหน้า
“หนวกหูย่ะ! ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีพลังจากสายน้ำ ดิฉันก็แข็งแกร่งกว่าพวกมนุษย์ชั้นต่ำอย่างพวกเธออยู่ดีแหละน่า!”
“ก็จริง แต่ทางนี้มีเผ่าพันธ์ุสุดอันตราย ระดับที่พวกทวยเทพต้องสั่งคงมาล้างบางอยู่ด้วยเชียวนะ”
“..เอ๊ะ?”
ดิลุคหยิบดอกไม้สีขี้ออกมาจากกระเป๋าอีกครั้ง เพียงแค่ได้กลิ่นจางๆเมลเบลก็ปิดจมูกหนี หญิงสาวเผ่ามังกรก็น้ำตาซึม เธอยื่นสิ่งนี้ไปให้หนุ่มน้อยเผ่าอสูรข้างกาย
“ถือไอนี่ไปยัดปากยัยปากเสียนั่นซะ แมมม่อน”
“เข้าใจ”
แมมม่อนหยิบดอกไม้สีขี้ขึ้นมา ลองดมดู แหวะหนึ่งครึ่ง ก่อนจะหันไปมองที่เป้าหมายโดยใช้สมาธิเพ่งเร็ง
“..เอ่อ”
หญิงสาวเผ่ามังกรน้ำเริ่มสั่นเทาด้วยความกลัว เธอหันซ้ายหันขวาไปมาระหว่างดิลุคกับแมมม่อน
“ว่าไง?”
“ขะ ขอเวลานอกนะ ขอเวลานอกก่อน”
“ไม่”
“ช่วยยกเลิกคำสั่งบ้าๆนั่นทีได้มั้ยน่ะ ถือว่าดิฉันขอ เป็นการแลกเปลี่ยนจะไว้ชีวิ–”
“พูดมาซะสิว่า-ขอโทษที่รามลามปามน่ะ ขอโทษที่สร้างความเดือดร้อนให้ ขอโทษที่บังอาจมาเป็นศัตรูกับเรา”
“..นั่นมันก็”
“ทำไม่ได้?”
….
“คะ ใครมันจะไปพูดกัน!? ไม่ใช่พวกชั้นต่ำแบบพวกแกนะ!!!”
“ถ้านั้นก็จมกองขี้ตายไปปซะเถอะ ยัยมังกรเส็งเคร็งนี่! เอาเลย แมมม่อน!”
แมมม่อนพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วสูง พร้อมกับในมือที่กำดอกไม้ขี้ไว้กว่าสิบดอก
“บะ บัดซบที่สุด บัดซบที่สุ—”
แมมม่อนกระโดดไปหยุดอยู่ตรงหน้า และเหวี่ยงดอกไม้สีขี้ทั้งหมดเข้าที่—
‘ปาก’
แหวะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
เสียงกรี๊ดร้องโหยหวนประหนึ่งโดนฆาตกรรมได้ดังลั่นทั่วทั้งป่า เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงโดยไม่แผ่วเลยแม้แต่วิเดียว
****
ภาพตัดมาอีกทีก็ตอนที่อันเดียอัสลืมตาตื่นขึ้น เขาอยู่ในสภาพโชว์เลือนร่างทั้งหมด และตัวก็เปียกไปด้วยน้ำสะอาด เขาหยิบใบไม้แถวนั้นมาปิดน้องชายเอาไว้ ก่อนจะมองหาคนอื่น—
“ยอมแพ้แล้วค่ะ..ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ ..”
สาวงาม หญิงงามเผ่ามังกรน้ำคนนั้นกำลังนั่งคุกเข่าในสภาพก้มหน้าอยู่ แววตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
“…”
เมื่อเงยหน้ามองให้ดีก็พบเพื่อนร่วมทางของตัวเองกำลังยืนล้อมหญิงงามผู้นั้นอยู่
“แล้ว รสชาติเป็นไงบ้างล่ะ?”
“…”
“จดจำไว้ซะ นั่นคือรสชาติของการเป็นศัตรูกับเรา จากนี้เราเองก็จะเก็บดอกไม้พวกนี้ไว้ติดตัวตลอด ในฐานะอาวุธป้องกันตัวเองกรณีฉุกเฉิน หากจะหาเรื่องกัน รอบหน้าพวกเราจะยัดเข้าไปให้ถึงกระเพาะเลยคอยดู”
“…ค่ะ จะไม่มีครั้งที่สองอีกแล้ว” แววตากลับมาเหมือนดั่งเดิมราวกับพึ่งได้สติ หญิงสาวเผ่ามังกรจ้องหน้าดิลุคก่อนจะเบือนหน้าหนี “..บัดซบ อย่าเผลอเชียวนะ ..ตามนั้นค่ะ”
“ดูจะไม่สำนึกเลยนะ”
“ก็บอกว่าสำนึกแล้วนี่ไง!”
ดิลุคดีดนิ้ว แมมม่อนเดินออกมาพร้อมกับดอกไม้สีขี้ในมือ เมลเบลปิดหน้าตัวเองเพื่อหลีกหนีการทารุณตรงหน้า
“อะ อี๋ เหม็นจริงๆ ทั้งดอกไม้บ้านี่ ทั้งพวกแกมันเหม็นกลิ่นสาบที่สุดเลย บัดซบ!” หญิงสาวหันหน้าหนีสุดชีวิต “แล้วมันอะไรกันท่าทางอย่างนั้น ทำไมทำเหมือนกับว่าดิฉันผิดล่ะ!? จู่ๆก็ตั้งตนเป็นผู้ถูกกระทำเฉยเลย ทางนั้นเองก็ตั้งใจมาหาผลประโยชน์จากดิฉันไม่ต่างกันแท้ๆ”
“ต่างกันแค่ทางนี้คิดจะมาถามดีๆโดยสันติวิธี แต่ทางนั้นเล่นโปรยสเน่ห์กะปล้นตังค์น่ะนะ”
..โกหก คนๆนี้ก่อนหน้านี้พึ่งพูดว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ฟังจะซัดให้ทำตามเองแท้ๆ แน่นอนว่าหญิงสาวเผ่ามังกรนั้นไม่มีหลักฐานที่จะแย้ง ไม่มีเหตุผลที่จะมาบอกว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจดักปล้นดิลุคอยู่แล้ว
จึงอาจกล่าวได้ว่า–เลวกันทั้งคู่นั่นแหละ
เมลเบล คนดีคนเดียวในที่แห่งนี้อยากจะมุดดินหนีความรู้สึกผิดในจิตใจ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากเอาคืนหญิงสาวเผ่ามังกรนี่ที่บังอาจทำตัวเองได้ ..
แม้จะวิกฤตขนาดไหน หญิงสาวเผ่ามังกรก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้โดยดี
“หนวกหู! คิดจะทำให้ดิฉันแปดเปื้อนไปถึงไหนกัน ทั้งการกระทำ และการป้ายสีกัน ทั้งหมดที่ทำมันเลวที่สุดเลย ดิฉันในฐานะนางฟ้า ..ไม่สิ ในฐานะมนุษย์ชั้นเลิศที่หาพบได้ยากก็ได้ มาทำกันแบบนี้น่ะไม่ใช่มนุษย์แล้วนะพวกแกน่ะ!”
ดูเหมือนจะเถียงไม่ได้
“เขาว่ากันว่าสิ่งที่ดีงามที่สุดก็คือมนุษย์ แต่สิ่งที่ดำมืดที่สุดก็คือมนุษย์เช่นกัน–ตามนั้น เอาเลย แมมม่อน”
“เข้าใจ”
“อี๋!!!!! ไปไกลๆเลยนะ ไอ้เด็กเปรตตัวเหม็นสาบ!”
“แมมม่อนไม่ได้ตัวเหม็นสาบ ที่เหม็นสาบน่ะมันเธอต่างหาก ยัยผู้หญิงกินขี้”
“ยังไม่ได้กิน!”
“อีกนิดก็จะได้กินแล้ว”
“หะ หา!?–เวรละ อย่าเข้ามานะไอ้บ้า ออกไปซะ ชิ่วๆ อย่าๆ อย่าทำแบบนี้สิ บัดซบที่สุด ดิฉันผู้แสนงดงามจะมีจุดจบที่เลวร้ายที่สุดแบบนี้ไม่ได้นะ!!”
จังหวะนั้นเอง–อันเดียอัสก็เข้ามาขวางไว้
“..นี่เธอ”
“ท่านดิลุค ผมไม่อาจปล่อยให้สาวงามโดนรังแกได้หรอกนะครั-แอ๊ะ!”
แมมม่อนจับดอกไม้สีขี้ยัดปากอันเดียอัสโดยไม่ถามความเห็นใดๆ อันเดียอัสแหวะออกมา ก่อนจะลุกขึ้นมาตั้งหลักใหม่อย่างรวดเร็ว
“มะ ..ไม่ยอมหรอกครับ!”
“คิดจะทำอะไรกันแน่?”
“ผมทนเห็นเธอโดนทำร้ายไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วครับ ต่อให้นิสัยจะไม่ค่อยดีแต่เธอก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน คิดว่าไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ครับ ที่สำคัญเธอตรงสเป็คผมสุดๆเลย”
….
….
หญิงสาวเผ่ามังกรมองแผ่นหลังของอันเดียอัสอยู่พักหนึ่งก่อนหัวเราะขึ้นจมูก
“เห่ยๆแบบแก ดิฉันไม่สนหรอก”
“น่าเสียดาย แต่ผมจะไม่ยอมแพ้หรอกครับ
“เอางี้นะ ถ้าเกิดช่วยเป็นมนุษย์โล่ให้ดิฉัน ค่าความชอบจะเพิ่มมาหนึ่งหน่วย จากที่ติดลบเก้าเก้าเก้าเก้า คิดว่าไงบ้างคะ?”
“แค่ช่วยเก้าเก้าเก้าเก้าครั้ง และพยายามอีกสัก ร้อย ก็พอสินะครับ!”
อันเดียอัสยกนิ้วโป้งให้
“หวานหมูครับ”
ช่างเป็นคำพูดที่แสนทรงพลัง การที่ยึดมั่นในผู้หญิงคนหนึ่งได้ขนาดนี้นั้นน่าชื่นชมเอามากๆ ..แต่ที่พูดดูจะทำให้แต้มความนิยมฝั่งเพื่อนพ้องลดลงฮวบๆเลยละ
“ตั้งใจทรยศกันสินะ สมกับเป็นคนที่ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ยกเพศแม่เป็นที่หนึ่งเสมอ”
ง่ายๆคือ ติด ‘-ี’
“ใช่แล้ว นั่นแหละผมเอง ยอดนักรักในตำนาน!”
เมลเบลเขยิบมาข้างๆดิลุคและเขม็งใส่อันเดียอัส
“อย่างที่เห็นนั่นแหละค่ะท่านดิลุค เด็กคนนี้นั้นมีพฤติกรรม ติด -ี อย่างหนัก ทุกๆครั้งที่เจอผู้หญิงที่ถูกใจก็จะทำทุกอย่างเพื่อเธอคนนั้นแบบหน้ามืด กับผู้หญิงที่สวยขนาดนั้น ต่อให้นิสัยไม่เอาถ่านยังไงแต่ขอแค่หน้าตาดีก็พอ จุดนั้นน่าจะมากพอตกอันเดียอัสได้ ..เฮ้อ”
“อาการดูจะหนักเอามาก” ดิลุคกุมขมับ
“ชีวิตนี้คงจะขาดความอบอุ่บกระมังค่ะ” หญิงงามเผ่ามังกรน้ำเสริมอย่างโหดร้าย
แมมม่อนหรี่ตามองอันเดียอัสอย่างเวทนา
“คนที่ไม่ฟังดิลุค ..ไม่ต้องการหรอก”
“อึก ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลยนี่ พวกเราเป็นสหายร่วมกันนะ”
แมมม่อนตั้งท่า เตรียมตัวจะบดขยี้อันเดียอัสที่คิดขวางเป้าหมายของตัวเอง
มนุษย์ผู้อ่อนแอ กับเผ่าอสูรที่แข็งแกร่ง–
“ไม่ต้องกา–”
“เดี่ยวก่อน แมมม่อน”
เมลเบลโพล่งขึ้น เมื่อแมมม่อนหยุดเคลื่อนไหวแล้ว เธอจึงยื่นข้อเสนอ
“ชะ ใช้สันติวิธีกันเถอะค่ะ”
“…”
“…”
หญิงสาวเผ่ามังกรน้ำเมื่อได้ยินก็หัวเราะลั่นขึ้นมา
“สันติวิธี? กล้าพูดเนอะ! ตอแหลได้โล่จริงๆ สุดท้ายก็ตั้งใจจะหลอกดิฉันอยู่ดีนั่นแหละน่า! ไปตายให้หมดได้ก็ดี ไอ้พวกบัดซบเอ้ย!”
“อย่างที่เห็น ยัยนี่มันเกินเยียวยาแล้วละ ถึงเธอจะพยายามพูดด้วยดียังไง ยัยนี่ก็จะตอบกลับโดยใช้ปัญญาอันน้อยนิดของตัวเองตอบโต้เป็นคำต่ำๆ”
เมลเบลเห็นการตอบสนองนั้นก็หัวเราะแห้งๆ แต่ก็ยังไม่ยอมละเลิก
“ทันสิค่ะ ..คือฉันเองก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่พูดอาจดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ แต่ เพราะเป็นมนุษย์ธรรมดานี่แหละ ไม่ใช่บุตรแห่งเทพ ไม่ใช่มังกรน้ำหรือว่าเผ่าอสูร ถึงเข้าใจความอ่อนแอดีที่สุด เข้าใจด้วยว่าอ่อนแอแล้วต้องทำยังไง”
บ้างก็ต้องยืมภูมิจากดิลุค บ้างก็ต้องยืมกำลังจากแมมม่อน บ้างก็ต้องยืมหูยืมตาจากคนต่างแดน ทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะ–
“เจรจากันเถอะค่ะ การพูดคุยนี่แหละคืออาวุธที่ดีที่สุด สร้างข้อตกลงที่จะแฟร์ๆกันในทุกวินาทีกันเถอะ” เมลเบลส่งสายตาจิกกัดใส่อันเดียอัส “อีกอย่าง ท่านดิลุคเองก็น่าจะไม่อยากทำร้ายอันเดียอัสอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ?”
เมื่อถูกจ้องตาตรงๆ ดิลุคก็หันหน้าหนีไปทางอื่น
“แน่นอนอยู่แล้วสิ”
“ถ้านั้นก็ ..เหลือแค่คุณแล้ว”
หญิงสาวเผ่ามังกรน้ำตอบรับสายตาของเมลเบลด้วยเสียง “ชิ” แต่หากพิจารณาโดยดีแล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุดก็มีอยู่ทางเดียว
“เข้าใจแล้ว ..ทางนี้ขอแค่รอดชีวิตไปได้ก็พอ ถึงตอนแรกจะตั้งใจดักปล้นจริงๆก็เถอะ”
เรียกว่ามีได้มีเสียคงได้
“ทางนี้อยากให้ช่วยรักษาแขน แล้วก็ช่วยสอนเวทมนตร์ให้นิดหน่อย แน่นอนว่าบริสุทธิ์ใจ ตั้งใจคุยแบบสันติสุดๆเลยละ”
“แหม่ น่าเชื่อถือซะจริงๆ(ประชด)”
ทั้งสองจ้องหน้ากันพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจให้กันและกัน
“ “เจรจากันเถอะ” ”
ในท้ายที่สุด ทั้งสองก็ได้ข้อสรุปว่า–หญิงสาวเผ่ามังกรน้ำจะช่วยสอนเวทมนตร์ให้ เรื่องรักษาแขนเกินขอบเขตุที่เธอทำได้ แต่ก็มีสถานที่ที่สามารถรักษาแขนให้ดิลุคได้อยู่ และเธอก็จะพาไปเอง กลับกัน ฝั่งดิลุคจะช่วยเธอในการตามหาแหล่งกบดานใหม่ รวมถึงให้เงินจำนวนหนึ่งด้วย
จากนี้ ทั้งสามกับผู้มาใหม่หนึ่งคนจะได้ร่วมเดินทางด้วยกัน ไม่ใช่แค่ชั่วคราว หากแต่เป็นการเดินทางนับหมื่นปี
อนึ่ง เธอคนนี้มีชื่อว่า ‘ลิเวียธาน’ หรือที่รู้จักกันในฐานะ ‘บาปแห่งความริษยา’ มังกรน้ำผู้สวยแต่รูป จูบไม่หอม
****
ภายในห้องนอนของเบลลามี เธอฟังเรื่องเล่าของบิลเซบับอย่างอารมณ์ดี ขณะเดียวกัน อันเดียอัสก็หลับไปแล้วหลังจากที่นอนฟังเรื่องเล่าสมัยอดีตไปด้วย ..พอถึงช่วงตัวเองทำตัวงี่เง่าเข้าก็รีบหลับทันทีเลย
“ชาติชั่ว ลิเวียธาน ..รู้สึกคิดถึงจริงๆนะ”
ความรู้สึกที่ทั้งชอบและไม่ชอบนั้นยังคงไหลเวียนอยู่ในใจของเบลลามี
“พอได้ฟังแล้ว เราก็พอจะนึกบางอย่างออกแล้วละ”
“เรื่องอะไรหรือคะ?”
เบลลามีหรี่ตามองบิลเซบับพร้อมรอยยิ้ม
“..เหตุผลที่ตัวเราในตอนนั้นเลือกจะทำลายล้างสวรรค์–ทั้งหมดก็เป็นเพราะเธอด้วยเลยละ แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมดหรอก”
“เล่นพูดแบบนี้ ฉันดูเป็นคนเลวขึ้นมาเลยค่ะ”
“ไม่หรอก ..จะว่าไปเธอทำได้ดีเลยนะ เพราะเธอเลยไม่เกิดการทะเลาะที่รุนแรงกว่าเอาดอกไม้สีขี้นั่นไปยัดใส่ปากลิเวียธาน”
ไม่ได้แปลกอะไร เป็นวิธีที่ปกติเสียด้วยซ้ำ แต่พวกเธอผู้แข็งแกร่งมาแต่กำเนิดกลับไม่ได้คิดเรื่องนี้กันเลยแม้แต่คนเดียว
‘คนธรรมดาที่แสนวิเศษ’ เบลลามี-หรือว่าดิลุคต่างก็นิยามบิลเซบับไว้ว่าเป็นเช่นนี้ และเผอิญว่าคนที่ดูจะใกล้เคียงกับบิลเซบับก็เป็นคนๆนั้นของเบลลามีด้วย ..ภาพของเรเซอร์ลอยเข้ามาในหัว หน้าของเบลลามีร้อนขึ้นอย่างฉับพลัน เบลลามีใช้หมอนมาปิดแก้มของตัวเองเอาไว้
“แบบนี้นี่เอง สิ่งที่เรียกว่าสเป็คของเรามันได้อิทธิพลมาจากบิลเซบับนี่เอง”
“ท่านดิลุค ..พูดแบบนี้ฉันเสียวหลังนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เรากับบิลเซบับคือเพื่อน-เพื่อนที่ดีที่สุด”
เพื่อนที่มีค่ามากพอจะให้หักหลังมารดาของตัวเอง
ความทรงจำมากมายค่อยๆไหลย้อนเข้ามาในหัวทีละนิด และหากได้ฟังมากกว่า–จิกซอว์ก็คงจะครบ
จะทำล้ายล้าง เหมือนดั่งตัวเองบนเกาะวาเรอร์ หรือจะลามือจากการทำลายล้าง และคว้ามือของชายที่ตัวเองรักเอาไว้ ..ทางเลือกจะปรากฏขึ้น อีกไม่นานต่อจากนี้