เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 234
< < 150 Sec1 > >
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ความว่างเปล่า เรื่องราวไม่ได้เริ่มต้นขึ้นที่โลกแต่เริ่มมาจากความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตเดียวคือความว่างเปล่า ไม่สิ จะเรียกว่าสิ่งมีชีวิตก็คงจะไม่ได้ ต้องเรียกว่าอะไรกันนะ? เพราะไร้ตัวตน จึงเรียกว่าความว่างเปล่า
ความว่างเปล่านั้นได้สร้างโลกขึ้นมา และสร้างผู้ปกครองโลกทั้งสิบขึ้นมาอย่าง ‘ทวยเทพ’ และได้สร้างตัวตนใหม่ของตัวเองขึ้นมาในฐานะ ‘พระเจ้าสูงสุด’
พระเจ้าสูงสุดหรือความว่างเปล่าได้เฝ้ามองโลกที่ถูกรังสรรค์โดยผู้สร้างโลกทั้งสิบ ได้พบเห็นสิ่งใหม่ๆมากมาย ได้เรียนรู้สิ่งที่นอกเหนือความว่างเปล่า สุดท้ายแล้วพระเจ้าสูงสุดก็มิใช่ความว่างเปล่าอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นมารดาผู้สร้างชีวิต
สองชีวิตถือกำเนิดมาจากพระเจ้าสูงสุดโดยตรง
ตนแรกคือบุตรชาย นามว่า ‘แอสทอเรียส’ เขาได้รับสืบทอดพละกำลังมาจากพระเจ้าสูงสุด
ตนสองคือบุตรสาว นามว่า ‘โซโลม่อน’ เธอได้รับปัญญามาจากพระเจ้าสูงสุด
แอสทอเรียสจะแข็งแกร่งที่สุดเสมอ นี่คือกฏของโลก คือพละกำลังแห่งพระเจ้าสูงสุด เขาเปรียบได้ดั่งทวยเทพทั้งสิบที่ล้วนก็ต่างมีกฏแห่งโลกของตัวเองอยู่ และแน่นอนว่าเขาแข็งแกร่งที่สุด แกร่งยิ่งกว่าเทพแห่งจุดเริ่มต้นผู้มีพลังทำลายล้างทัดเทียมกับพระเจ้าสูงสุด
ต่อมา โซโลม่อน เช่นเดียวกับแอสทอเรียส ปัญญาที่เธอได้รับมาก็เปรียบได้กับกฏแห่งโลก ปัญญาของเธอนั้นมากมาย ล้นเหลือยิ่งกว่าทวยเทพทั้งสิบอย่างทาบไม่ติด เธอคือผู้ที่ทรงสติปัญญาที่สุดบนโลก และปัญญาที่เธอมีนั้น..ก็มากพอจะทำให้เธอกลายเป็น ‘ข้อผิดพลาดของโลก’ ได้ ปัญญาที่ฝ่าฝืนกฏแห่งโลก ปัญญาที่ทลายทุกสรรพสิ่งได้ นั่นก็คือปัญญาแห่งมนุษย์ที่แท้จริง
นี่คือเรื่องราววันสิ้นโลก—-เรื่องราวของ ‘จอมมารแห่งจุดเริ่มต้น’ แล้วก็เป็นปฐมบทของ– ‘จอมมารแห่งจุดสิ้นสุด’ อีกด้วย
****
“โลกเริ่มด้วยการสร้างของพระเจ้าสูงสุด ต่อมาพระเจ้าสูงสุดก็ได้สร้างทวยเทพขึ้นมาสิบตน ทวยเทพทั้งสิบต่างช่วยกันสร้างกฏแห่งโลกขึ้นมา จากนั้นพระเจ้าสูงสุดก็ให้กำเนิดบุตรที่แท้จริงออกมาสองตน ทันทีที่บุตรทั้งสองได้ถือกำเนิด พระเจ้าสูงสุดก็ได้ตายจากไป บุตรทั้งสองคนผู้ลืมตาตื่นก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ในหอคอยของราชาที่ทวยเทพสร้างขึ้นมา และมีเหล่ามนุษย์ของเทพแห่งวัฐจักรคอยรับใช้”
ชายชราพึมพำขึ้นมาในตรอกเล็กๆที่มีบ้านที่สร้างจากไม้เสมือนกับรังที่เอาไว้ให้หมาจรจัดอยู่กัน ทั้งไร้ความปราณีตในการสร้าง ทั้งเต็มไปด้วยแมลงวันเกาะเต็มไปหมด
“ผู้เป็นพี่ชายอาศัยอยู่ที่ทิศเหนือของโลก พื้นที่ที่เหน็บหนาวที่สุดบนโลก ว่ากันว่ามนุษย์ที่คอยรับใช้อยู่นั้นเป็นมนุษย์เยติกับมนุษย์สัตว์ที่ทนความหนาวได้ดี ส่วนผู้เห็นน้องสาวอาศัยอยู่พื้นที่ที่ร้อนละอุที่สุดบนโลกอย่างทิศใต้ นั่นก็คือ ‘พีระมิด’ ที่อยู่ในส่วนกลางของอาณาจักรของเทพแห่งจิตวิญญาณ สองพี่น้องทั้งคู่มักจะนัดเจอกันสิบปีครั้ง หรือไม่ก็ห้าสิบปีครั้งเสมอๆ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในอาณาเขตุของตัวเอง โดยมีมนุษย์ชั้นต่ำคอยรับใช้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้วชายชราก็หัวเราะขึ้นมา
“ไม่คิดว่าสองพี่น้องผู้นั้นช่างน่าอิจฉาบ้างเหรอ? เมลเบลเอ๋ย”
“น่าอิจฉา? ถ้าไปอิจฉาท่านมนุษย์ผู้สูงส่งจะโดนทำโทษให้ตกนรกร้อยชาติเอานะคะ คุณลุง”
“จะไปกลัวอะไรกัน ยังไงพวกเราก็ต้องตกนรกกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง เมลเบล มนุษย์ชั้นต่ำอย่างพวกเราทุกคนเมื่อตายไปก็ต้องตกนรก มันคือกฏของเทพแห่งวัฐจักรไม่ใช่หรือ?”
“ที่โรงเรียนบอกว่าถ้าทำความดีให้ท่านเทพเยอะๆ พวกเราจะได้กลายเป็นข้ารับใช้บนสวรรค์นะคะ”
ก่อนที่คุณลุงจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ เมลเบลก็วางถาดอาหารที่ดูไม่น่ากินเอาไว้ให้
“อาหารส่วนของวันนี้ วันนี้เองก็อย่าลืมไปทำงานด้วยนะคะ ..”
คุณลุงมองถาดอาหารที่สภาพไร้ซึ่งความน่ากินใดๆด้วยใบหน้าที่อิดโรย
“ในเมื่อฉันส่งอาหารเสร็จแล้ว ก็ขอตัวก่อนนะคะ แล้วเตือนอีกอย่าง–ถ้าไปพูดให้พวกข้ารับใช้บนสวรรค์ได้ยินเข้า คุณลุงไม่ได้ตายดีแน่ค่ะ อย่างน้อยฉันก็เห็นว่าคุณลุงเคยช่วยฉันได้อย่าง เลยจะช่วยเก็บเงียบไว้”
กล่าวจบ เมลเบลก็โบกมือลา และวิ่งออกจากตรอกซอยที่ไม่น่าอยู่แห่งนั้น–เมื่อออกมาจากตรอกแล้ว แสงอาทิตย์ก็ส่องลงมาบนพื้น เมลเบลมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและนึกในใจว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ใน ‘อาณาจักรทะเลทราย’ ที่ถูกสร้างโดยเทพแห่งจิตวิญญาณ และยังเป็นสถานที่ที่บุตรที่แท้จริงแห่งพระเจ้าอาศัยอยู่ด้วย
‘ราชาแห่งสติปัญญา โซโลม่อน’ เธอคงอาศัยอยู่ชั้นบนสุดของพีระมิด กินอาหารที่ดี ใช้ชีวิตที่ดีกว่าใครๆอยู่บนนั้นในฐานะผู้ถูกเลือก
เมลเบลกลืนน้ำลายดังอึกเมื่อนึกถึงคุณภาพชีวิตของราชา ก่อนจะตบหน้าปรับอารมณ์ของตัวเอง
“ทำงาน ทำงาน ต้องทำงานเยอะๆจะได้ขึ้นสวรรค์”
กล่าวจบเมลเบลก็ออกวิ่งส่งอาหารที่ตัวเองสะพายไว้อยู่ มันทั้งหนักและมากเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กอย่างเธอจะแบกไว้ได้ไหว แต่ก็ไม่มีทางเลือก
มนุษย์ชั้นต่ำอย่างเธอ มีหน้าที่รับใช้ราชาและทำตามที่ทวยเทพต้องการอย่างไร้ทางเลือก อย่างไรซะ ชีวิตที่พวกเธอทุกคนได้รับทั้งหมดก็มาจากเทพแห่งวัฐจักรทั้งนั้น
เมลเบลออกวิ่งไปทั่วทั้งอาณาจักรเพื่อส่งอาหาร เมื่อทำเสร็จแล้วเธอก็รีบตรงดิ่งมาที่หน้าป้อมยามหน้าพีระมิดอันเป็นที่อยู่อาศัยของบุตรแห่งพระเจ้า และพบเข้ากับชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ที่ดูมีความเจ้าเล่ห์แต่เนื้อแท้แล้วเป็นคนใสซื่อจนน่าเป็นห่วง
“เฝ้ายามช่วงเช้าเป็นยังไงบ้างเหรอ ‘อันเดียอัส’ ”
ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนี้มีชื่อว่า ‘อันเดียอัส’”
“อ๊ะ พี่สาว มาสักทีนะครับ”
ทั้งสองคนคือญาติกัน และเมลเบลอายุมากกว่า อันเดียอัสเลยเรียกเธอว่าพี่สาว
“อย่าพูดเหมือนฉันอู้งานสิ”
“เหมือนสิครับ เล่นควบงานส่งอาหารด้วยแบบนี้ พี่นี่ทุ่มเทให้กับท่านเทพเหลือเกินนะครับ”
นอกจากงานส่งอาหารแล้ว เมลเบลก็ทำงานเฝ้าหน้าประตูทางเข้าของพีระมิดด้วย
“ใช่สิ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ไม่มีทางได้ขึ้นสวรรค์หรอกนะ”
อันเดียอัสได้ยินคนสนิทพูดถึงการขึ้นสวรรค์ก็หัวเราะพึมพำขึ้นมา ทำให้เมลเบลเคืองนิดหน่อย
“หมายความว่ายังไงน่ะท่าทางแบบนั้น”
“แต้มบุญในการใช้ขึ้นสวรรค์มันมากมายระดับที่พวกเราต้องทำงานเป็นสิบชาติเลยนะครับ ..ไม่มีทางเก็บได้ครบหรอกครับ ขยันไป คนที่จะได้ขึ้นสวรรค์ก็ไม่ใช่พี่สาว แต่เป็นลูกหลานในอีกสิบอายุคนนะครับ แทนที่จะกังวลเรื่องขึ้นสวรรค์ เอาเวลาไปใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่านะ”
“โดยการจีบผู้หญิงไปทั่ว แล้วก็นกไม่เว้นวันแบบนายสินะ”
โดนสวนเช่นนี้อันเดียอัสก็น้ำตาซึมขึ้นมาทันที ตามฉบับหนุ่มหล่อเขาเป็นหนุ่มนักรัก แต่ก็ห่วยในเรื่องทางนี้สุดๆ ระดับที่ต่อให้ผู้หญิงมาชอบเขาได้แล้ว เขาก็จะทำให้ผู้หญิงหมดความประทับใจได้ในเวลาไม่นาน และโดนปฏิเสธในที่สุด
อันเดียอัสนับว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้พอสมควร เป็นเหยื่อง่ายๆของผู้หญิงที่อยากหาผู้ชายหน้าตาดีเล่นสนุกแบบไม่กี่วันแล้วจบกัน
“..อันนั้นก็ ไม่สิ ถึงอย่างไรก็เถอะ เงินหรือแต้มบุญที่เก็บมา ไม่ใช่ว่าบ้านพี่สาวก็จะเอาไปใช้จนหมดเหมือนทุกทีรึไงครับ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เมลเบลก็หน้าซีดขึ้นมาหน่อยๆ เพราะมันทำให้เธอนึกถึงเรื่องเมื่อวานออก เงินเก็บของเธอถูกพ่อกับแม่แอบเอาไปใช้จนหมดอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว แต่ทุกความยากลำบากของเธอมักจะสูญเปล่าตลอด เพราะสองคนนั้น
“คราวนี้ฉันจะแอบเก็บเงินเอง”
“เฮ้อ ก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับพี่แล้วน่ะนะ เอาเป็นว่าสักวันหาผู้ชายดีๆแต่งงานแล้วใช้ชีวิตกับเขาให้มีความสุขไม่ดีกว่าเหรอครับ ใครๆก็ทำอย่างนั้นกันนะครับ”
“ทำไมฉันต้องหาคู่ด้วยล่ะ? ไม่ได้อยากจะมีคู่สักหน่อย ไม่ใช่นายหรอกนะที่จะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่ออยู่กับเพศตรงข้าม”
“แค่แนะนำเองครับ พี่เองก็หน้าตาดีด้วย พวกผู้ชายดีๆก็มีเยอะนา อย่าง อัลเบียน ที่นิยมในหมู่สาวๆ เป็นคนดี แถมรวยอีก”
“บอกว่าไม่สนเรื่องพวกนี้ไง พูดด้วยไม่เคยรู้เรื่องเลยนะ”
“ขอโทษด้วยละกันครับ”
เมลเบลถอนหายใจเฮือกโต จากนั้นก็ชำเลืองมองไปทางขวา …
“..เอ๋..”
เลือนผมสีขาวเป็นประกายนั้นสะดุดตาเมลเบลเป็นอย่างมาก เธอเห็นเพียงแผ่นหลังของหญิงสาวคนนี้
เมลเบลตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร หญิงสาวก็เดินหายไปกับฝูงชนเสียก่อน
เมลเบลยังคงตะลึงกับรูปโฉมนั่นจนได้แต่ยืนค้าง อันเดียอัสเห็นจึงสงสัย
“มีอะไรเหรอครับ?”
“เปล่า ..ไม่มีอะไร”
****
เมื่อพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน เมลเบลก็เดินทางกลับที่บ้านของตัวเอง เป็นบ้านของชนชั้นกลางในหมู่มนุษย์ชั้นต่ำ ไม่ได้ดูดี แต่ก็ไม่ได้ดูไม่ดีอะไรมาก เหมาะแก่การอยู่อาศัยราวๆสองสามคนพอดี
เมื่อเข้ามา เมลเบลก็พบกับพ่อของตัวเองที่นั่งสูบสมุนไพรพิเศษที่มีคุณสมบัติทำให้อารมณ์ดีขึ้น
ควันลอยออกจากจมูกของผู้เป็นพ่อ เมื่อควันนั้นลอยจะมาถึงเมลเบลเธอก็หันหน้าหนีไปทางอื่นทันที
“กลับมาแล้วเหรอ”
“ค่ะ ..วันนี้ก็ทำงานได้เยอะเหมือนเดิม”
“จริงเหรอ!?”
ได้ยินอย่างนั้นเขาก็เดินมาหาเมลเบลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“นี่ค่ะ ..แต่คิดว่าอาจยากหน่อย กว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ ..คิดว่าพ่อเองก็ต้องช่วยทำงานด้วย”
“เหรอ แต่ว่าพ่อยังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่เลย ..เมลเบลช่วยพยายามต่ออีกหน่อยนะ เพื่อให้ได้ขึ้นสวรรค์ในส่วนของพวกเราทั้งคู่เลยนะ นะ”
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ เรื่องเงินก็”
“เอ่อ วันนี้พ่อขอเงินส่วนนี้ก่อนนะ ว่าจะเอาไปใช้หนี้นิดหน่อย”
….ที่บอกว่าจะขึ้นสวรรค์มันหมายความว่าอะไรกันนะ?-แม้จะสงสัยอย่างนี้ แต่เมลเบกล็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากยื่นเงินที่หามาอย่างยากลำบากให้
“เข้าใจแล้วค่ะ”
เหมือนกับทุกๆวัน
****
วันต่อมามีข่าวลือที่ว่า ‘โซโลม่อน’ ได้หายตัวไปจากชั้นบนสุดของพีระมิด ผู้คนต่างพากันแตกตื่นให้ว่อน มีการจัดตั้งหน่วยตามหานับร้อยๆคนออกตามหาโซโลม่อนกัน ชนิดที่ว่าการสร้างต่างๆที่เทพแห่งวัฐจักรวางแผนไว้ต้องยกเลิกไปแล้วยกกำลังพลไปตามหาเธอเสียก่อน
แต่ก็เผื่อในกรณีที่เธอยังอยู่ในพีระมิดด้วย หน่วยเฝ้าหน้าประตูอย่างเมลเบลกับอันเดียอัสจึงต้องทำหน้าที่เดิมต่อไป
“บ้าจังเลยนะครับ ตัวเองก็ใช้ชีวิตสุขสบายอยู่แล้วแท้ๆ ดันหนีออกจากบ้านซะได้”
“ไม่แน่นอนสักหน่อยว่าท่านมนุษย์เขาจะหนีออกมาด้วยตัวเอง แล้วก็-หยุดพูดไม่ดีถึงท่านมนุษย์ได้แล้ว จะตกนรกเอานะ”
“เป็นมนุษย์เหมือนกันแต่ต้องเรียกว่าท่าน ถ้าไม่เรียกอย่างนั้นพวกเราจะตกนรก หรือไม่ก็ถ้ามีคนรับรู้เรื่องที่นินทาเข้า พวกเราจะโดนทำโทษอย่างหนัก ชนิดที่ว่าชิงตายไปยังจะดีซะกว่า”
อันเดียอัสหัวเราะขึ้นจมูก
“มนุษย์ชั้นต่ำ กับมนุษย์ชั้นสูง มันต่างกันแค่เกิดจากท้องใครแค่นั้นเองไม่ใช่เหรอครับ”
“..บอกว่าพอได้แล้วไง”
“ช่วงนี้มีกลุ่มนุษย์ที่ต่อต้านพระเจ้าอยู่ด้วยนะครับ ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นที่รวมตัวกัน”
“โดนโละทิ้งหมดแล้วนี่” เมลเบลถอนหายใจ “ตอนนี้น่าจะอยู่ในนรกกันแล้วละ”
“นั่นสินะครับ”
……..
……
“ได้เวลาเปลี่ยนเวรแล้ว เอ้านี่ ค่าตอบแทน”
เมลเบลกับอันเดียอัสรับค่าตอบแทนจากมนุษย์หน้าดุคนหนึ่ง เมื่อทั้งสองรับเงินแล้วก็โค้งศรีษะให้คนๆนี้ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
เมลเบลเดินไปพลางมองผู้คนที่วิ่งหาท่านโซโลม่อนด้วย นอกจากกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นแล้ว คนที่พาท่านโซโลม่อนมาได้จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวนมหาศาล บางทีถ้าได้เงินก้อนนั้นมาแล้วพยายามอีกหน่อยก็อาจจะทำให้ขึ้นสวรรค์ได้
แต่ก็แค่ส่วนของคนเดียว ..ส่วนของคนเดียว ไม่พอสำหรับเมลเบลและพ่อสองคน
พอคิดอย่างนั้นแล้วก็กลุ้มใจ เมลเบลถอนหายใจออกมาอีกครั้งแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้ายามเย็น และ..
“นี่เธอตรงนั้น”
….?
มีคนเรียก? เมลเบลหันไปมอง และต้องตาค้างอีกครา เพราะเธอได้พบกับหญิงสาวภาพหลอนที่พึ่งเจอไปเมื่อวาน
เลือนผมสีขาวยาวแตะพื้นเปล่งประกาย ดวงตาสีแดงประหนึ่งดวงจันทร์ยามค่ำคืน ผิวสีขาวราวหิมะ แม้ชุดที่ใส่จะเป็นเสื้อคลุมสีน้ำตาลดูสกปรก แต่ภาพลักษณ์นี้ก็ดูสูงส่งเหนือกว่าสิ่งใดอยู่ดี
เมื่อเห็นว่าเมลเบลหันมามองแล้ว หญิงสาวก็ยิ้มร่า
“ใช่ๆ เธอนั่นแหละ”
“เอ่อ ..มีอะไรเหรอคะ..นายท่าน”
ออร่าความสูงส่งของเธอคนนี้ ทำให้เมลเบลติดพูดแบบยกย่องไปด้วย
“นายท่าน? อือ ไม่ชอบเลยนะวิธีเรียกอย่างนั้น”
“คะ ค่ะ?”
หญิงสาวเดินมาชิดหน้าเมลเบล
“หลงทางน่ะ”
หลงทาง?
“เช่นนั้นก็–”
“ช่วยนำทางเราทีสิ”
“แต่…”
ดวงตาสีแดงนั่นสะกดให้เมลเบลไม่สามารถตอบอย่างอื่นได้เลย นอกจาก–
“ทะ ที่ไหนหรือคะ?”
คล้ายกับพ่อของตัวเอง ดวงตาที่คาดหวังบางอย่าง ดวงตาเช่นนั้น เมลเบลไม่อาจตอบปฏิเสธได้
“ไม่เต็มใจสินะ ไม่เต็มใจก็ไม่เป็นอะไร”
“เอ๊ะ?”
“หลงทางอีกสักหน่อยเดี่ยวก็พบทางที่ถูกต้องเอง”
ว่าแล้วหญิงสาวก็หันตัวไปทางอื่น และออกเดินตามหาสถานที่ที่ปารถนาจะไปทันที เมลเบลได้แต่ยืนงง ..ไม่เต็มใจ เต็มใจ เรื่องพวกนี้มนุษย์ชั้นต่ำอย่างเธอมีสิทธิ์จะคิดด้วยเหรอ?
บางอย่างดลใจเมลเบลให้วิ่งไปดักหน้าหญิงสาว
“คือว่าให้ช่วยเถอะค่ะ อยากช่วยมากๆเลย จริงๆนะคะ”
“โอ้ สีหน้าดูเต็มใจขึ้นมาแล้วจริงๆด้วย ถ้านั้นก็ไม่เกรงใจแล้วนะ ช่วยเราดูนี่ทีสิ”
หญิงสาวยื่นสมุดภาพเล่มหนึ่งมาให้ และเปิดหน้ากระดาษหนึ่งที่เป็นรูปของน้ำตกขนาดยักษ์
ทันทีที่เห็นเมลเบลก็ “อ๋อ” ทันที
“สถานที่ขึ้นชื่อเลยนะคะ ไม่รู้จักจริงๆเหรอ เป็นคนจากต่างเมืองหรือคะ?”
“ไม่หรอก เราเป็นคนในอาณาจักรนี้นั่นแหละนะ แต่อยู่อาศัยแปลกกว่าคนอื่นเขา อือ ช่างเรื่องหยุมหยิมเถอะ ถ้าไม่รังเกียจอะไร ช่วยพาเราไปที่นั่นหน่อยสิ หรือว่าจะไกลไปก็ไว้พรุ่งนี้ก็ได้นะ”
นี่ก็เย็นมากแล้วด้วยแต่..ถึงกับบ้านไปก็เจอแต่ภาพเดิมๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี่ยวพาไปเอง”
“ขอบใจมาก ว่าแต่ชื่ออะไรรึ?”
“ ‘เมลเบล’ ค่ะ”
“เหรอ เมลเบลสินะ ทางนี้ โซ—โซไรดีนะ อือ เท่าที่คิดๆไว้หลายชื่อดูน่าเบื่อไปหน่อย เอาเป็น ‘ดิลุค’ ละกัน ดูเท่และดุดันดี”
เมลเบลพยักหน้ารับ แต่ก็แอบนึกสงสัยนิดหน่อย เพราะชื่ออย่างกับผู้ชาย
“ถ้านั้นก็ฝากนำทางทีนะ เมลเบล”
“ค่ะ …”
เมลเบลยิ้มตอบกลับเจื่อนๆ
“ท่านดิลุค”