เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 233
< < 149 > >
อีกฝั่งหนึ่งของโลก วันทั่วๆไปยามค่ำคืนของอาณาจักรฟัฟนิร์
‘เบลลามี’ จอมมารผู้กลับมาเกิดใหม่ ขณะนี้กำลังยืนมองท้องฟ้าจากระเบียงห้องนอน เธอส่งสายตามองดวงดาวที่ส่องเป็นประกายระยิบระยับบนท้องฟ้า และหวนนึกถึงเรื่องเมื่อสมัยก่อนของตัวเอง ..ไม่ใช่ห้าปี หรือสิบปี หรือตอนที่พึ่งลืมตาตื่น EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq
แม้จะไม่อาจหวนนึกถึงวันวานได้ทั้งหมด แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกในจิตใจของตัวเอง
ราวกับเคยมองดวงดาวเหล่านี้มาก่อน ..ดวงดาวทั้ง 71 บนโลกใบนี้ มันคือ–ชีวิตที่ส่องประกาย แม้ว่าจะตายจากกันไปแล้วก็ตาม
บนโลกนี้ มีดวงดาวส่องอยู่บนท้องฟ้าทั้งหมด 71 ดวงเท่านั้น แต่ละดวงก็มีชื่อเฉพาะของตัวเองไปแล้วแต่ในแต่ละทวีป แต่หากเอาตามหลักสากล ดาวทั้ง 71 จะถูกเรียกขานว่า ‘หมู่ดาวโซโลม่อน’ ..ว่ากันว่าเมื่ออดีต มีปีศาจผู้ยิ่งใหญ่อยู่ทั้งหมด 72 ตน ปีศาจเหล่านั้นต่อมาก็ได้ตายจากไปและถือกำเนิดเป็นหมู่ดาวขึ้นมา
แต่ก็น่าแปลก เพราะ 72 ปีศาจโซโลม่อน ตามชื่อนั้นมีอยู่ 72 ตน แต่หมู่ดาวมีเพียง 1 เท่านั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่ว่าจะมีปีศาจตนหนึ่งเหลือรอดมาได้ และปีศาจตนนั้นกำลังทำอะไรอยู่กันนะ?
เบลลามีรู้สึกสนใจเรื่องเกี่ยวกับปีศาจที่เหลือรอด และทำการค้นคว้าอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมานี้ จนได้ข้อสรุปมาว่า—เป็นปีศาจมหาบาป
ถ้าหากว่าปีศาจมหาบาปมีใครสักคนตายขึ้นมาจริงๆโดยไม่สามารถกลับไปเกิดใหม่ได้อีก คนๆนั้นก็จะได้กลายเป็นคนที่ 72 ของปีศาจโซโลม่อน และขึ้นไปเปล่งประกายบนท้องฟ้าอย่างแน่นอน
แม้จะได้ข้อสรุปเช่นนี้ แต่ทั้งหมดก็สันนิฐานจากข้อมูลที่ได้ในบันทึกแล้วก็ทฤษฎีต่างๆ กับความทรงจำของจอมมารที่ได้มาเล็กน้อย
“..1 คน จาก 7 คน ..ไม่สิ ต้องบอกว่าจาก 78 คน เหลือแค่ 7 คนมากกว่า”
เบลลามีจับหน้าอกของตัวเอง และพบว่าตัวเธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน
“สหายร่วมรบ ..ข้ารับใช้ ..เพื่อนพ้อง สำหรับจอมมาร สำหรับเราแล้ว เหล่าปีศาจแห่งโซโลม่อน และปีศาจมหาบาป เป็นตัวตนประมาณนี้สินะ ..ลูซี่–ลูซิเฟอร์(เย่อหยิ่ง) บิลเซบับ(กระหาย) แอสโมเดียส(ตัณหา) แมมม่อน(โลภ) ลิเวียธาน(ริษยา) เบลเฟกอร์(เกียจคร้าน) ซาตาน (โมโห)..ซานต้า? รู้สึกถนัดเรียกอย่างนี้มากกว่านะ ..”
พอนึกๆดูแล้ว เบลลามีก็รู้สึกมีเยื่อใยบางอย่างกับชื่อทั้งเจ็ดนี้ คงเป็นผลกระทบจากการที่เธอคือจอมมารที่กลับชาติมาเกิดใหม่
ระหว่างที่เธอกำลังชมดวงดาว และแยกว่าดาวดวงไหนเป็นใครอยู่นั้นเอง
“..เอ๊ะ”
เบลลามีเบิกตาโพงกว้าง
คนสองคนลอยลงมาเหยียบที่ระเบียงห้องของเบลลามี และก็เป็นคนสองคนที่เธอแสนคุ้นหน้าคุ้นตา
“..บิลเซบับ..แอสโมเดียส”
ปีศาจมหาบาป สองในเจ็ดบริวารของเธอนั่นเอง
“ไม่ได้พบกันนานนะคะ ท่านเบลลามี”
บิลเซบับกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัย
****
“กราบขออภัยครับ/ค่ะ!!”
ไม่นานหลังจากรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเลศนัยนั้นก็คือภาพของบิลเซบับ กับแอสโมเดียสที่หมอบกราบลงกับพื้น EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq รวมถึงปลายขอบเสื้อผ้าของทั้งสองปีศาจเองก็มีเปลวเพลิงเผาไหม้อยู่ด้วย
ไม่จำเป็นต้องเดาก็คงรู้ว่าเกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่ และได้จบลงแล้ว
“เราต่างหากต้องขอโทษ คิดว่าเป็นศัตรูน่ะ เลยใส่เต็ม”
อาจจะไม่มาก แต่เบลลามีก็สามารถเข้าถึงพลังของจอมมารได้แล้วบ้าง บิลเซบับกับแอสโมเดียสที่อ่อนแอสุดในหมู่ปีศาจมหาบาปจึงไม่ใช่คู่มือ ต้องบอกว่าแค่ปล่อยเพลิงออกมาแบบไม่คิดอะไร เบลลามีก็ชนะแล้วดังภาพที่ปรากฏ
แม้แต่เบลลามีที่ไร้ศิลปะการต่อสู้ในหลายๆด้าน ยังแอบคิดเลยว่าสองคนนี้นั้นอ่อนแอเกินไป
“บอกก่อน ว่าพวกเราไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะคะ ท่านเบลลามี”
“ใช่แล้วครับท่านจอมมาร พวกเราแค่อยากจะมาเจรจาครับ”
“เจรจา?”
เบลลามีก้มมองทั้งสองคนที่ทำตาใสเป็นประกาย พอเห็นลูกน้องของตัวเองทำสายตาแบบนี้ เบลลามีก็รู้สึกใจอ่อนขึ้นมา
“จะเจรจาเรื่องอะไรเหรอ? บอกไว้ก่อนนะ ถ้าจะให้เราไปร่วมกับเรนด้วย เราไม่เอา ..ถ้าทำอย่างนั้นเรเซอร์จะเสียใจเอาได้”
“ชอบคนๆนั้นจริงๆนะครับ”
“ถ้าแมมม่อนได้ยินเข้า น้ำตาล่วงแน่ๆค่ะ”
“แมมม่อนมีอะไรกับเราเหรอ?”
“ฮะ ฮะ ฮะ” บิลเซบับหัวเราะอย่างน่าหมันไส้ “รักข้างเดียวน่ะค่ะ รักข้างเดียว”
“อย่าหัวเราะเขาสิครับ น่าสงสารจะตาย”
“คนไร้น้ำตาพรรค์นั้นมันร้องไห้เป็นที่ไหน อย่างมากก็แค่อยากตายเฉยๆมั้ง”
“เฮ้อ ไร้ความเห็นอกเห็นใจจริงๆนะครับ”
นอกจากเรเซอร์มีคนที่ชอบเราในเชิงนั้นด้วยเหรอเนี่ย–เบลลามีนึกขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไรเป็นพิเศษ ความรู้สึกดังเดิมของจอมมารก็คงเป็นเช่นนี้
“ช่างเรื่องนั้นเถอะ”
“พรู๊ด โดนบอกช่างเรื่องนั้นด้วยแหละ พรู๊ด”
“เฮ้ย”
แอสโมเดียสพยายามปรามบิลเซบับที่หัวเราะได้ใจใหญ่ เบลลามีเห็นอย่างนั้นจู่ๆก็รู้สึกถึงความทรงจำในฐานะจอมมาร
แบบนี้นี่เอง ..เพราะบิลเซบับมักจะโดนแมมม่อนรังแกอยู่ตลอดนี่เอง เลยมีปมไม่ดีเกี่ยวกับเขาเท่าไหร่ ตอนอยู่ต่อหน้าก็ทำอะไรไม่ได้เลยด้วย ว่าง่ายๆก็เก็บกด
เบลลามียืนมองสองมหาบาปทั้งสองคนคุยตบมุกกันไปมาแบบเอื้อยๆ จนกระทั่งบิลเซบับพึ่งจะนึกได้ว่าตอนนี้อยู่ต่อหน้าเธอ และกำลังคุยธุระกันอยู่
“ขออภัยค่ะ ท่านเบลลามี แค่คิดว่าจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งให้แมมม่อนทราบอย่างไรถึงจะดีต่อตัวฉันที่สุด”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี่ยวเราบอกเองว่ามีเรเซอร์แล้ว”
“พรู๊ด เด็ดเดี่ยว สมกับเป็นท่านเบลลามีเลยค่ะ ในฐานะผู้ติดตามหมายเลขหนึ่งเลย ดิฉันประทับใจเป็นอย่างสูง”
“เพราะนั้น” เบลลามีหรี่ตามองเพราะง่วง “เข้าเรื่องได้แล้ว”
….
…
‘ ‘ท่านเบลลามี/จอมมาร ..โกรธแล้ว’ ’
บิลเซบับถึงกับตัวสั่นระรัว แอสโมเดียสเหงื่อตกและมองแรงใส่ญาติของตัวเองประหนึ่งว่ามองตัวปัญหา
ทั้งสองคนคิดว่าเบลลามีโกรธอยู่ แต่ว่า–ไม่ใช่
เบลลามีก็แค่ง่วงนอนเท่านั้น ด้วยมุมที่ตัวเธอยืนกับทั้งสองคนนั่ง กับความง่วง ทำให้เผลอทำสีหน้าแปลกๆไป และเธอก็เป็นคนชอบพูดห้วนๆอยู่แล้วด้วย ทำให้ความรู้สึกที่จะสื่อไปอาจเพี้ยนไปบ้าง ไม่สิ ไม่บ้างแล้ว เยอะเลย
“พะ พะ พวกเราแค่ แค่”
“แค่? แค่อะไร”
บิลเซบับแอบแทงศอกใส่แอสโมเดียส
“…พูดแทนทีได้หรือเปล่าคะ?”
“ไม่ไหวหรอกครับๆ ท่านจอมมารตอนโกรธนี่สุดๆ น่ากลัวสุดๆ ไม่ไหวๆ ขอทีเถอะครับ”
“อย่าปอดเลยน่า เพราะแบบนี้ไงเลยโดนลิเวียธานเขาสลัดรัก”
“หะ หา!? แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับพี่เนี่ย บ้าจริง! อย่าเอาเรื่องเก่ามาพูดสิครับ”
“เอาเถอะน่า ถ้ารอดไปเจอกับลิเวียธานได้ เดี่ยวฉันช่วย”
“..ฝากไว้ก่อนเถอะนะครับ”
พอโดนจี้เรื่องส่วนตัวเข้า แอสโมเดียสก็ตกอยู่ในสถานการณ์จำยอม เขาสูดลมหายใจเข้าปอดและโพล่งขึ้น
“อยากจะขอเข้าพวกกับท่านเรเซอร์แล้วก็ท่านจอมมารครับผม!”
“ตกลง”
“ “เอ๊ะ?” ” ทั้งสองคนถึงกับลนใหญ่ “ไม่คิดว่าเราจะทรยศบ้างเหรอครับ เหมือนที่เจ้าลูซิเฟอร์มันทำ”
“พวกเธอสองคน ไม่มีทางทรยศเราอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
เบลลามียิ้มให้
“บิลเซบับเป็นคนที่เราไว้ใจที่สุด”
“..ท่านเบลลามี”
ในห้วงเวลาระหว่างนายเหนือหัวและลูกน้องนั้น–แอสโมเดียสชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยใบหน้าคล้ายจะร้องไห้
“แล้วผมล่ะ”
“เรื่องของพวกเธอ เดี่ยวเราเอาไปบอกเอเธอร์อีกทีตอนเช้านะ ตอนนี้เอเธอร์รับหน้าที่คุ้มกันเราอยู่ เห็นบอกมาแบบนั้น เพราะนั้นนอนกันก่อนนะ”
เบลลามีเลือกจะไม่ตอบคำถามแสนน่าสงสารของแอสโมเดียส เธอเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าและดึงเอาฝูกนอนหนึ่งอันออกมาปูบนพื้น
“ได้คนเดียว ..เอาผ้าห่มนอนแทนได้รึเปล่า? แล้วก็เป่ายิ่งฉุบกันนะว่าใครจะได้นอนเตียง นอนฝูกแล้วก็นอนบนผ้าห่ม”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ท่านจอมมารเชิญนอนเตียงเลย ดิฉันกับแอสโมเดียสเดี่ยวเป่ายิ่งฉุบกันเอาเอง–เข้ามาเลย แอสโมเดียส”
“ผมอุตส่าห์ออกตัวคุยกับท่านจอมมารที่โกรธอยู่แทนแล้วแท้ๆ ยังจะใจร้ายยึดฝูกไปนอนเองอีกหรือครับ เลวที่สุดเลยนะพี่”
เบลลามีส่ายหัวให้ระหว่างที่สองคนนี้เถียงกันอย่างกับเด็ก
“ไม่เป็นไร เป่ายิ่งฉุบกันสามคนดีกว่า ..เหมือนเมื่อก่อน”
“จำเรื่องสมัยเป็นจอมมารได้ด้วยหรือคะ?”
“ลางๆน่ะ เราแค่อยากลื้อฟื้นความทรงจำบ้าง”
เท่าที่เบลลามีนึกได้
วันนั้นเป็นวันที่ทั้งสามหลบหนีทหารจากสวรรค์ ทั้งสามต้องนอนในถ้ำโดยที่ตอนนั้นเหลือพื้นปูให้นอนอยู่สามอัน อันหนึ่งขาดครึ่งระหว่างหนี อันหนึ่งเปียกน้ำ อันหนึ่งสภาพดีเยี่ยม ทุกคนในเวลานั้นตัดสินใจเป่ายิ่งฉุบเอา ทีแรกบิลเซบับกับแอสโมเดียสก็ตั้งใจจะยกที่นอนที่ดีที่สุดให้จอมมาร EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq
“เข้าใจแล้วค่ะ—”
“สุดท้ายฉันก็ได้นอนผ้าห่มสินะคะ ว่าแล้วเชียว”
“เรานอนฝูกสินะ อืม ทำเอานึกถึงตอนอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเลย”
“ส่วนตัวผมนอนบนเตียงของท่านจอมมาร รู้สึกบาปยังไงไม่รู้นะครับ ว่าแต่ท่านจอมมารในยุคนนี้ตอนเด็กๆเป็นอาศัยอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสินะครับ”
ทั้งสามคุยกันขณะที่กำลังนอนอยู่บนที่นอนของตัวเองไปด้วย
บนเตียงที่แอสโมเดียสนอน ถัดไปก็มีเบลลามีตรงกลาง แล้วก็บิลเซบับนอนอยู่ข้างๆอีกที กล่าวคือแอสโมเดียสเป็นผู้ชนะสูงสุดในการเป่ายิ่งฉุบ เบลลามีอันดับสอง สุดท้ายก็บิลเซบับ
ทั้งสามพูดคุยกันอย่างกับกลุ่มเพื่อนที่ไปค้างบ้านกัน
“ใช่ เป็นความทรงจำที่ดี”
ว่าแล้วเบลลามีก็เล่าเรื่องในสถานกำพร้าให้ฟัง ทั้งๆที่ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงตัวไร้ค่าประจำที่ และไร้เพื่อน ถูกทุกๆคนในที่แห่งนั้นไม่ชอบหน้า แต่เจ้าตัวคิดว่าเป็นความทรงจำที่ดีเฉยเลย
“เผาที่นั่นทิ้งดีรึเปล่าคะ?”
“ไม่เป็นไรหรอก เพราะที่นั่นเราเลยได้มาเจอเรเซอร์ด้วย”
…
“ที่เขาเรียกว่าคลั่งรักสินะคะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
บิลเซบับหันมามองหน้าของนายของตัวเองที่มีสีแดงระเรืออยู่ท่ามกลางความมืดยามราตรี ..
“ท่านเบลลามี จริงๆแล้วมีอีกเหตุผลที่พวกเรามาหาค่ะ”
“อือ เรื่องอะไรเหรอ?”
ถึงจะง่วง แต่เบลลามีก็ตัดสินใจเลือกฟังเรื่องที่พวกเธออยากบอกก่อน เพราะคิดว่ามันสำคัญที่สุด
“ถึงท่านเบลลามีจะได้ความทรงจำไปบางส่วนแล้ว แต่บางส่วน ไม่สิ หลายส่วนก็ยังขาดๆหายๆสินะคะ”
“อือ”
“พวกเราเลยมาที่นี่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดในอดีต ..เพื่อให้ท่านจอมมารเป็นคนตัดสินใจแนวทางของท่านอีกที ก่อนที่มันจะสายเกินไป”
บิลเซบับเปลี่ยนจากท่านอนมาเป็นท่านั่งพับเพียบ เบลลามีเห็นจึงขึ้นมานั่งเช่นกัน ส่วนแอสโมเดียสก็นอนหรี่ตามองจากบนเตียง
“ลูซิเฟอร์กับแมมม่อน ตัดสินใจร่วมมือกับเรนเพื่อที่จะทำให้ท่านจอมมารหลุดพ้นจากภาระอันมากมาย ลิเวียธานกับซานต้าตอนนี้โดนลูซิเฟอร์กับแมมม่อนหลอกใช้อยู่อย่างไม่รู้อะไร เหตุผลที่พวกเรามาช้าเป็นเพราะดิฉันกับแอสโมเดียสตั้งใจจะไปหาสองคนที่โดนหลอกอยู่ แต่ก็ไปไม่ถึงค่ะ โดนพวกของเรนสกัดเอาไว้จนทำอะไรไม่ได้เลย ต้องขอโทษท่านเบลลามีด้วยนะคะ สำหรับความอ่อนแอของพวกเรา”
“ไม่หรอก เราไม่เคยคาดหวังอยู่แล้ว”
“เอ๋!!”
“ล้อเล่น มุกตลกน่ะ มีคนสอนให้เราเล่น” เบลลามีเอื้อมมือไปโอบแก้มทั้งสองข้างของบิลเซบับ “สำคัญที่สุดคือเรื่องที่พวกเธอไม่ทิ้งเราต่างหาก”
..พอบิลเซบับได้ยินอย่างนั้นก็ถึมกับน้ำตาซึม
“ค่ะ ส่วนเบลเฟกอร์ ตอนนี้ก็น่าจะนอนอยู่ที่ไหนสักแห่งในเขตุของเรน ไม่ทราบเลยว่าเข้าพวกกับลูซิเฟอร์ หรือว่ากำลังโดนหลอกใช้อยู่เหมือนอีกสองคน”
“คนๆนั้นน่าจะเอาแต่นอนไม่สนโลกมากกว่าครับ ถ้าไม่ใช่ท่านจอมมารเธอไม่ฟังคำสั่งใครหรอก”
แอสโมเดียสช่วยเสริม ทำให้เบลลามีพอจะนึกเรื่องของเบลเฟกอร์ผู้ขี้เกียจคร้านได้บ้าง
บิลเซบับเอามือทาบที่อกชองตัวเอง
“ส่วนพวกเราก็ตัดสินใจจะทำตามที่ท่านเบลลามีปารถนา ไม่ว่าจะทิ้งโลกเพื่อคนรัก หรือทำลายโลกเพื่อกอบกู้โลกตามเจตจำนงศ์เดิมของท่าน พวกเราก็พร้อมจะตามไปค่ะ แม้พวกเราจะอ่อนแอสุดในหมู่เจ็ดมหาบาปอันสูงส่งของท่านจอมมาร EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq
“ขอบใจนะ ทั้งสองคนเลย”
บิลเซบับกับแอสโมเดียสยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนเข้าเรื่องต่อไป
“ต่อไปก็เรื่องการถือกำเนิดของโลกในยุคโบราณทั้งหมด เรื่องของท่านจอมมารในเวลานั้น จะให้เล่าให้ฟังอีกทีพรุ่งนี้ดีกว่าหรือเปล่าคะ?”
“ไม่เป็นไร เล่าเลยก็ได้”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
บิลเซบับหลับตาลง นึกย้อนเรื่องราวทั้งหมด และค่อยๆเอ่ยออกมา
“ทุกอย่างเริ่มมาจากความว่างเปล่า ทุกอย่างถูกสร้างจากความว่างเปล่า ความว่างเปล่านั้นมีชื่อว่า—”
****
“–พระเจ้าสูงสุด”
เปลวเพลิงจากกองไฟแผดไอร้อนออกมา ตัวผม เรเซอร์ ดราแคล์ กำลังรับฟังเรื่องราวจากปากของอานิม่า
“พระเจ้าสูงสุดได้สร้างโลกขึ้นมา จากนั้นก็ได้สร้างทวยเทพทั้งสิบขึ้นมารังสวรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่โลก ไม่ว่าจะธรรมชาติ ศีลธรรม ความนึกคิด พระอาทิตย์ แสงแดด พลัง ทุกอย่างถูกสร้างจากทวยเทพทั้งสิบอีกทีโดยมีแกนกลางคือพระเจ้าสูงสุด”
อานิม่าที่อยู่ตรงหน้ากำลังเล่าขานจุดเริ่มต้นในร่างของโซล่า
“และแล้ววันหนึ่ง หนึ่งในเทพทั้งสิบ ‘ออโรโบรอส’ หรือ ‘เทพแห่งวัฐจักร’ ก็ได้สร้างบริวารขึ้นมา ..บริวารเหล่านั้นมีนามว่า ‘มนุษย์’ ไม่ว่าจะ มนุษย์ทั่วๆไป มนุษย์ตัวใหญ่ยักษ์ มนุษย์ที่มีหูยาว มนุษย์ที่เป็นครึ่งสัตว์ ทุกอย่างล้วนเป็นมนุษย์เหมือนๆกัน เป็นบริวารของทวยเทพเหมือนกันทั้งหมด”
ระหว่างที่อานิม่าเล่านั้นรอบตัวของเธอก็มีแสงบินไปมารอบๆ มันค่อยๆปรากฏเป็นภาพเรื่องราวทั้งหมดออกมาพร้อมกับการเล่าของเธอ EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq
“พันปี หมื่นปี มนุษย์ได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ได้วิวัฒนาการณ์ภายใต้การควบคุมของออโรโบรอส ทุกชีวิตเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกสร้างขึ้นเท่านั้น EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq จึงได้ให้กำเนิดมนุษย์ขึ้นมาด้วยตัวเองถึงสองตน”
..
“พี่น้องเผ่าพันธ์มนุษย์ผู้เป็นบุตรแห่งพระเจ้า นามของทั้งสองก็คือ ‘โซโลม่อน’ แล้วก็ ‘แอสทอเรียส’”
..แอสทอเรียส…เอ๊ะ
หรือว่า—ความจริงที่ปรากฏทำให้มีเหม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาอย่างไม่น่าดู
เอาจริงเหรอเนี่ย ..
“หลังจากการให้กำเนิดสองพี่น้องขึ้น พระเจ้าสูงสุดก็ได้ตายจากไปอย่างปริศนา ถึงกระนั้นบุตรแห่งพระเจ้าทั้งสองก็ได้รับการดูแลอย่างดีโดยพวกเราทวยเทพทั้งสิบ”
..
“บุตรสาวแห่งพระเจ้า ‘โซโลม่อน’ ผู้ถือครองปัญญาแห่งพระเจ้า ผู้ที่ในเวลาต่อมาจะได้เป็น ‘จอมมาร’ แล้วก็ ..บุตรชายแห่งพระเจ้า ‘แอสทอเรียส’ ผู้ถือครองกำลังแห่งพระเจ้า ผู้ที่ในเวลาต่อมาจะได้เป็น ‘ผู้กล้า’”
..บุตรแห่งพระเจ้าทั้งสอง คือจอมมารและผู้กล้า
จอมมารคือเบลลามี ..ผู้กล้าก็คือ—-ทฤษฎีมากมายในโลกเก่าของเรื่องๆนี้ปรากฏขึ้นในหัวของผม รวมถึงเรื่องราวที่ได้พบในโลกใบนี้มากมาย ทำให้ผมสามารถสรุปได้ว่าใครคือผู้กล้าคนแรก รวมถึงใครกันที่เป็นบุตรแห่งพระเจ้าอีกคน
“ในเวลาต่อมา ยุคโบราณรวมถึงสวรรค์จะถูกทำลายโดยจอมมาร ผู้เป็นพี่ชายอย่างแอสทอเรียสก็ได้เข้าห้ำหั่นกับผู้เป็นน้องสาวอย่างโซโลม่อน ดังตำนานจอมมารผู้กล้าที่ปรากฏอยู่ในโลก ณ ปัจจุบันนี้ แต่ก่อนที่จะไปถึงเรื่องราวการต่อสู้ของสองพี่น้องนั้น—ก็คือเรื่องราวก่อนที่โซโลม่อนจะได้เปลี่ยนนามเป็นดิลุค และขึ้นเป็นจอมมาร”
อานิม่าสร้างเรื่องราวภาพแห่งแสงออกเป็นสถานที่ที่เสมือนกับปีรามิด ที่แห่งนั้นมีสิ่งมีชีวิตตนหนึ่งอาศัยอยู่ในชั้นบนสุด ผู้ที่อาศัยอยู่นั้นก็คือ—โซโลม่อนก่อนที่จะกลายเป็นจอมมาร
“จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง เริ่มต้นขึ้นในวันธรรมดาวันหนึ่ง เป็นวันที่โซโลม่อนเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายโลกใบนี้ แล้วก็ตัดสินใจหนีออกจากบังลังค์สวรรค์ที่ตัวเองนั่งอยู่”
วินาทีเดียวต่อจากนี้ ตัวผมได้ถูกดูดเข้าไปในเรื่องราวของอานิม่า ประหนึ่งว่าผมได้กลายเป็นผู้เฝ้ามอง
ผมยืนอยู่บนชั้นสูงสุดของพีระมิด ข้างๆตัวมีอานิม่ายืนอยู่ด้วย พวกเราทั้งสองจ้องไปที่หญิงสาวที่นั่งอยู่บนบังลังค์อย่างโดดเดี่ยว
เลือนผมสีขาวเปล่งประกาย ดวงตาสีแดงประหนึ่งพระจันทร์วันสิ้นโลก ร่างเล็ก ผิวสีขาวอ่อน สวมเสื้อสีขาวที่คลุมทั้งตัวอย่างได้ศิลปะ เธอคนที่ผมกำลังมองอยู่คือเบลลามี-ที่ดูว่างเปล่า
เบลลามี–โซโลม่อนกัดแอปเปิ้ลในมือหนึ่งคำ เคี้ยวจนละเอียดแล้วก็กลืนเข้าท้อง จากนั้นก็นั่งนิ่งอยู่เฉยๆราวสามสิบวิ ก่อนพึมพำขึ้นมา
“หนีออกจากบ้านดีกว่า”
…
อานิม่าหันมายิ้มให้ผม และโพล่งขึ้น
“นี่แหละ จุดเริ่มต้นของวันสิ้นโลก”
ช่างเป็นจุดเริ่มต้นที่แสนธรรมดาจนน่าปวดหัว