เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 227
< < 143 Sec6 > >
บริเวณทุ่งล้างที่มีเพียงแค่ผืนทะเลทรายอันว่างเปล่านั้น มีหญิงสาวอยู่สองคนยืนอยู่ในที่แห่งนั้น
คนหนึ่งคือหญิงสาวตัวเล็กที่งดงามราวกับผลงานชิ้นเอกของทวยเทพ ผมยาวสีทองลอยไปตามอากาศ แล้วก็ชุดของเทพที่เผยให้เห็นผิวหนังแทบจะทั้งหมด อีกคนคือผู้ที่มีเลือนผมสีขาวสง่างาม ผู้ได้รับขนานนามว่า— ‘จอมมาร’
“ในที่สุดเป้าหมายคนต่อไปก็คือฉันสินะ ..ท่านโซโลม่อน ..ไม่สิ ท่านดิลุค?”
“ ‘เทพแห่งจิตวิญญาณ อานิม่า’ บอกตามตรงนะ กว่าทางเราจะหาโอกาสเล่นงานเธอได้เนี่ยทำเอาปางตายเลยละ ใครจะคิดละว่าจะโดนตลบหลังด้วยกองทัพของ ‘เทพแห่งการสูญสิ้น บาคุนาว่า’ แล้วยังไปจะเอ๋กับ– ‘เทพแห่งจุดเริ่มต้น เทียแมท’ อีก”
…อานิม่ายิ้มให้จอมมารดิลุคอย่างอ่อนล้า
“แต่พวกคุณก็ฆ่าเทพที่สร้างปัญหาทั้งสองไปแล้วไม่ใช่หรือคะ?”
“ก็ใช่แหละนะ”
“ไม่คิดมาก่อนเลยนะคะ ว่าจะมีวันที่เทียแมทพ่ายแพ้น่ะ คนๆนั้นแข็งแกร่งออกจะขนาดนั้นแท้ๆ ลำพังแค่พลังเพรียวๆ เทียแมทระดับแทบจะไม่ต่างกับท่านพระเจ้าสูงสุดเลยแท้ๆ”
จอมมารดิลุคหยักไหล่ตอบ ก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปพร้อมกับ ‘ดาบแห่งโซโลม่อน’ ที่ถือด้วยแขนข้างขวา
“..นี่..ท่านดิลุค ขอทราบหน่อยได้รึเปล่า ว่าเหตุใดถึงได้หันดาบเข้าหาพวกฉันกัน ไม่ใช่ว่าเธอเองก็มีชีวิตที่มีความสุขอยู่แล้วเหรอ? ในฐานะราชาของมนุษย์ ในฐานะหนึ่งในสองบุตรที่แท้จริงแห่งพระเจ้าสูงสุด ทั้งอย่างนั้น ทำไมถึงได้ทำลายสิ่งที่ตัวเองต้องได้รับมาด้วย”
“เพราะเรารักโลกใบนี้”
…
“เหตุผลมีอยู่แค่นั้นแหละ”
“ไม่เข้าใจเลยนะคะ ..แต่เหมือนว่าทุกอย่างจะเริ่มมาจาก ‘ความรัก’ น่าสนใจจริงๆ เป็นไปได้ ในครั้งหน้าที่ลืมตาตื่น ในโลกใบใหม่ที่ท่านดิลุคได้สร้างขึ้น ฉันจะได้รู้จักสิ่งๆนี้บ้างหรือเปล่านะ”
“เรื่องนั้น–ก็ขึ้นอยู่กับเธอละนะ”
จอมมารดิลุคกล่าวออกมาสั้นๆ ก่อนจะเหวี่ยงดาบผ่าร่างของอานิม่าอย่างง่ายดาย อานิม่าไม่คิดจะหลบ เธอยอมรับชะตากรรมของตัวเอง ร่างกายของเธอสลายไปราวกับภาพลวงตา อานิม่าถูกจอมมารสังหาร และได้ลืมตาตื่นอีกครั้งในอีกหลายพันปีให้หลัง
****
(มุมมองของ อานิม่า)
รู้สึกสนใจในสิ่งที่ท่านดิลุคกล่าวมาอยู่หรอก แต่ว่า–ไม่สามารถเข้าใจได้เลย
นับจากที่ยุคสมัยโบราณได้ถูกทำลาย โลกเคลื่อนไปสู่ยุคสมัยต่อไป ฉันได้ลืมตาตื่นมาอีกครั้ง และเฝ้ามองดูโลกที่ท่านดิลุค–ที่จอมมารได้สร้างขึ้นมา แต่สุดท้าย..ก็ยังไม่อาจเข้าใจความรักที่เธอมีให้ต่อโลกใบนี้ได้เลย
โลกใบนี้แสนโหดร้าน มีแต่การฆ่าฟัน มีแต่ผู้เห็นแก่ตัว มีแต่การแก่นแย่ง มีแต่ความโศกเศร้า ผู้คนมากมายไร้ซึ่งความสุข ผู้คนมากมายต้องผิดหวัง ในทุกๆวันมีคนตายด้วยน้ำมือของคนด้วยกันตลอด ต่างกับยุคโบราณที่ไร้ตัวเลขผู้เสียชีวิต
ฉันไม่เข้าใจ ..โลกแบบนี้ โลกแบบนี้น่ะเหรอคือโลกที่จอมมารคนนั้นตกหลุมรัก
ฉันเฝ้ามองโลกทั้งใบต่อไป รู้ตัวอีกทีก็ถูกความชั่วร้ายของโลกใบนี้กลืนกิน และตัวฉันก็หลอมรวมกับป่าอาถรรพ์เข้าจนได้
ความเกลียดชัง มีแค่สิ่งนี้ที่ฉันได้เรียนรู้จากโลกใบนี้ แล้วก็ความผิดหวังที่ได้เรียนรู้จากวาราลี่ผู้มาอาศัยอยู่ด้วย แล้วก็ความผิดพลาดที่ได้เรียนรู้จากราชาผู้ล้มเหลวอย่างดรากูล
สุดท้ายโลกก็มีอยู่แค่นี้สินะ ..ในห้วงเวลาที่แสนเจ็บปวดนั้น–ความรักที่ก็เดินเข้ามาหาฉัน
ฉันได้เรียนรู้ และเข้าใจในสิ่งที่จอมมารบอก ..เพราะอย่างนั้น เพื่อสิ่งที่ได้รับนี้ ต่อให้ต้องทำลายโลกฉันก็จะทำ
บางที ..บางทีนะ สิ่งที่ฉันคิดมันอาจไม่ได้มาจากใจจริงก็ได้ อาจเป็นเพราะความชั่วร้ายที่กลืนกินจิตวิญญาณของฉันไปแล้ว ทำให้ฉันตัดสินใจจะกลืนกินโลกนี้เพื่อคนรัก ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่-มันก็ช่วยไม่ได้แล้วนี่นะ เพราะกว่าที่ฉันจะได้ความรักมา ตัวของฉันมันก็แปดเปื้อนไปตั้งมากมายแล้ว
ไม่มีทางจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว
ฉันคิดอย่างนั้น
****
“ให้ช่วยฆ่าสินะ เป็นคำขอที่สุดโต่งเหลือเกินนะ”
จู่ๆเวฟที่หลุดจากการควบคุมของอานิม่าได้ก็วิ่งมาบอกว่า ‘ช่วยฆ่าที’ อย่างหน้าตาเฉย
“ไม่ใช่ว่าตั้งใจอย่างนั้นอยู่แล้วรึไงน่ะ ฉันไม่รู้เป้าหมายหรอกแต่จุดประสงค์คือการสังหารฉันนี่”
ปฏิเสธไม่ได้หรอก ผมตั้งใจจะฆ่าเวฟ เหตุผลก็แสนง่ายดาย ในอนาคต เรนจะต้องมาชิงพลังทั้งหมดของเวฟไปแน่นอน ด้วยเนื้อหาจากนิยายต้นฉบับและการประติดประต่อเรื่องราวเล็กๆน้อยๆทำให้ผมสรุปผลลัพธ์ออกมาอย่างนี้ แน่นอนว่าไม่ได้เดามั่ว ผมอาศัยความรู้ของเอเธอร์ในการช่วยตัดสินใจด้วย
ด้วยเหตุนี้เอง แทนที่จะรอให้เรนมาฆ่าเวฟแล้วชิงทุกอย่างไป สู้ให้คนที่ทำเป็นผมแทนยังจะดีกว่า..ผมตั้งใจตัดกำลังของเรนแต่เนิ่นๆนี่คือเป้าหมาย ในทีแรกคิดว่าถ้าหากเวฟไม่ได้โดนอานิม่าควบคุมหนักมาก อาจจะไว้ชีวิตเวฟแล้วพยายามดึงมาเข้าพวกแทน แต่พอได้เห็นปฏิกิริยาของเวฟต่ออานิม่าแล้วก็ทำให้รู้เลยว่านี่มันตัวแปรที่ควยคุมไม่ได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นสู่ฆ่าทิ้งแล้วขโมยของของเวฟไปให้หมด ดีกว่าให้เรนในอนาคตมาเล่นงานเวฟกว่าเยอะ หรือไม่ หากเวฟอาละวาดขึ้นมาจริงๆก็อาจจะสร้างปัญหาให้ผมในอนาคตได้เหมือนกัน อย่างที่เห็น อานิม่านั้นแข็งแกร่งเอามากๆ
ทว่า ..
ตัดสินใจอย่างนั้นแล้วแท้ๆ ตั้งใจจะรับความผิดของการฆ่าคนอย่างไม่ชอบธรรมแล้วแท้ๆ แต่เจ้าตัวดันมาทำให้การฆ่าของผมดูชอบธรรมขึ้นเสียอย่างนั้น
น่าประหลาดใจจริงๆ ชักไม่รู้แล้วสิ ว่าผมโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
“ในเมื่อเจ้าตัวว่ามาอย่างนั้นก็”
รีบฆ่าให้จบๆเลยละกัน ต้องลงมือแบบปราณีตเพื่อไม่ให้อานิม่าคลั่งด้วย แล้วก็คุณลุงดาบโลหิต กับพี่สาววิญญาณระดับเทพก็ต้องระวังให้ดี ขืนพลาดขึ้นมาได้โดนสามหน่อสุดอันตรายเล่นจนหน้าหงายแทนแน่นอน
หนิงที่เห็นผมกำลังเตรียมตัวจะฆ่าเวฟก็หันหน้าหนีไปทางอื่นทันที
“ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“มีเงื่อนไขสินะ”
“ใช่ ถ้าเกิดนายฆ่าฉันตอนนี้ ฉันจะเรียกอานิม่าออกมาสุดตัวให้ได้เลย”
..
“หมายความว่าตัวแกในตอนนี้สามารถควบคุมอานิม่าได้ในระดับหนึ่งสินะ”
“อ่า แต่ก็คงคุมไว้ได้ไม่นานหรอก แน่นอน แค่ตั้งใจนิดเดียวอานิม่าก็คงโผล่มาแล้วละ”
โดนขู่เพื่อให้เรื่องราวไปสู่การตั้งเงื่อนไขแก่ทั้งสองฝ่ายสินะ อืม ไม่มีทางเลือกนี่เนอะ
ผมยื่นมือให้เวฟที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น
“เอาเป็นว่าลุกขึ้นก่อนเถอะ”
****
หลังจากนั้นพวกผมก็คุยรายละเอียดข้อเรียกร้องของเวฟ
เหมือนว่าเวฟจะทำการใหญ่—คิดทำลายป่าอาถรรพ์แห่งนี้ทิ้ง เพื่อให้อานิม่าหลุดพ้นจากการที่ต้องรับวิญญาณร้ายทั้งหมด แล้วจากนั้นก็จะดูดกลืนเอาวิญญาณร้ายเข้าตัวเองแทน เพื่อทำให้อานิม่ากลับมาบริสุทธิ์อีกครั้ง
แน่นอน เวฟที่โดนวิญญาณร้ายมากมายเข้าชิงพื้นที่ในจิตวิญญาณ ย่อมคลั่งเสมือนสัตว์ร้าย และไม่มีทางเลือกนอกจากฆ่าทิ้ง
ผลลัพธ์สุดท้ายคือเวฟจะตาย แล้วผมจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการทีแรก ..ส่วนเวฟก็จะได้ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำให้ได้เป็นผลตอบแทน
กลายเป็นว่ามันคือการแลกเปลี่ยนแฟร์ๆเสียอย่างนั้น ถ้าหากธงของเวฟคือการชำระล้างอานิม่า ทางเลือกเดียวก็คือการฆ่าตัวเอง ต่อให้ผมเป็นมิตรสหายที่อยากจะช่วยเวฟก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากให้เวฟตายเพื่อชำระล้างทุกอย่าง
ผมที่ฟังข้อเสนอของเวฟจึงพยักหน้ารับก่อนถามต่อ
“แล้วหน้าที่ของฉันโดยละเอียดล่ะ?”
“อยากให้ทำลายป่าอาถรรพ์แล้วดึงเอาความชั่วร้ายทั้งหมดเข้าสู่ตัวฉัน ..หน้าที่ของพวกนายมีแค่ทำลายป่าอาถรรพ์ก็พอ ฉันจะดึงเอาความชั่วร้ายทั้งหมดเข้าตัวเอง”
“วิธี?”
“ความสามารถของพี่วาราลี่”
แบบนี้นี่เอง
วิญญาณระดับเทพ วาราลี่ ผู้ใช้วิชาไสยศาสตร์ที่มีความสามารถในการสร้างกฏของโลกขึ้นมา แม้จะถูกขนานนามว่าเป็นตัวตนอมตะ แต่แท้จริงแล้ว ความสามารถของหล่อนคือการสร้างกฏขึ้นมาตามใจชอบหนึ่งอย่าง แค่กฏที่โหดสุดของหล่อนคือการทำให้ตัวเองเป็นอมตะและสะท้อนความเสียหายที่ได้รับมาได้ก็เท่านั้น
ถ้าหากตั้งใจ ก็คงจะสร้างกฏแปลกๆขึ้นมาแล้วดึงเอาความชั่วร้ายทั้งหมดของอานิม่าเข้าตัวได้ไม่ยาก
ในกรณีที่ไม่ได้ขึ้นมา? แหงละ เผ่นสิ
“สู้ฆ่าแกทิ้งไม่ง่ายกว่ารึไงนะ”
“ถึงได้บอกไงว่าถ้าจะทำ ทางนี้จะเรียกอานิม่ามาทันที”
ทีเผลอไม่ได้ผล ต่อให้ผมมั่นใจว่าตัวเองเก่งกว่าเวฟแค่ไหน แต่อย่างน้อยๆเวฟก็เป็นคนมีฝีมืออยู่บ้าง เขาย่อมตอบโต้การเคลื่อนไหวของผมได้ อย่างน้อยๆก็คงเรียกอานิม่าออกมาได้ทันแหละนะ
ผมหันไปมองหนิง
“ไอ้ลูกเตะบ้าบอไม่สนชาวบ้านนั่น ถือว่าเป็นท่าแรงสุดแล้วรึเปล่าหนิง”
“ฉันเร่งเพลิงได้มากกว่านั้นอีก ถ้ามีเวลาให้”
ไม่ใช่ว่าพวกมหามังกรนี่ถ้าตั้งใจก็สามารถใช้พลังทำลายระดับเดียวกับปืนใหญ่วันสิ้นโลกได้หรอกรึ? ปืนใหญ่เนลยอนของเนลยอนเองก็มีอาณุภาพไม่แพ้ปืนใหญ่วันสิ้นโลกของผมเลย ไม่สิ อาจเหนือกว่าหน่อยๆด้วยซ้ำ
แน่นอน พลังทำลายระดับนั้น มากน้อยแค่ไหนก็ไม่ต่างกันมากหรอก เพราะโดนเข้าไปก็ตายโหงหมดน่ะแหละ
“เข้าใจละ ตกลงตามนั้น บอกรายละเอียดทั้งหมดมาทีสิ”
เวฟพยักหน้ารับและเริ่มเล่าทุกอย่างให้ฟัง รวมถึงเรื่องของตัวเองกับครอบครัวในป่าอาถรรพ์แห่งนี้ด้วย ..ถึงจะไม่ได้จำเป็นก็เถอะ แต่ผมก็ตั้งใจฟังทุกอย่างโดยว่าง่าย
เมื่อได้ฟังจนจบผมก็หันไปหัวเราะใส่หน้าเวฟ ราวกับการปฏิบัติตัวที่ผมทำกับเวฟก่อนหน้านี้ทั้งหมดเป็นการเสแสร้ง ซึ่งก็ใช่ ผมแค่แสร้งทำเป็นมิตรเท่านั้นแหละ
“อย่างกับตัวเอกที่หลุดมาจากนิยายคนละเรื่องเลยนะแกน่ะ ไม่ใช่ว่าผู้ถือครองอำนาจของทวยเทพเป็นแบบนี้ทุกคนเลยรึ”
อาจจะจริงก็ได้ ยูจินี่ก็พระเอกไลท์โนเวล เคียวยะนี่ก็พระเอกแนวดราม่า ผู้กล้าแอสทอเรียสไม่ทราบประวัติแฮะ แต่เป็นถึงผู้กล้าก็คงนับว่าเป็นพระเอกได้ เวฟนี่ก็พระเอกแนวพลังแฝงเยอะจัด มีประวัติน่าเศร้า บลาๆ อะไรก็ว่าไป
ไม่รู้ทำไม แต่ดูน่าตลกยังไงไม่รู้สินะ
“เรื่องนั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันแหละนะ ..”
เวฟแหงนหน้ามองฟ้า
“เรเซอร์”
“ว่าไง”
“ฝากน้องสาวของฉันไว้กับนายจะได้รึเปล่า”
….
“ช่วยสัญญาว่าจะปกป้องเธอแทนฉันทีได้มั้ย ..ฉันรู้นะ ว่านายเชื่อใจได้ อย่างน้อยก็คงไม่ใช่พวกที่ผิดคำสัญญา”
“ไว้ใจคนที่ลวงตัวเองมาฆ่าเนี่ยนะ”
“ถ้าเกิดสัญญาแล้วก็ไม่มีทางหักหลัง นายเป็นคนอย่างนั้นไม่ใช่หรือไง?”
“ไม่ได้รู้จักกันมากมายแท้ๆ แต่เชื่อใจกันเหลือเกินนะ”
“เพราะมีแต่ต้องเชื่อด้วยส่วนหนึ่งแหละนะ” เวฟหัวเราะพึมพำ “โลกมันก็เป็นซะอย่างนี้ละนะ ทางเลือกมีอยู่ไม่มาก แถมยังไม่สามารถเปลี่ยนตัวเลือกได้ด้วย ที่มนุษย์เราทำได้ก็มีแค่การเก็บเกี่ยวความสุขจากตัวเลือกที่ไม่ได้ดังใจให้มากที่สุดก็แค่นั้น”
…
“เข้าใจแล้ว ฉันสัญญา ด้วยชื่อของ เรเซอร์ ดราแคล์ หากผิดคำสัญญา ฉันจักต้องได้รับการพิพากษาอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณนะ แผนที่บอกคิดว่าเริ่มตอนนี้เลยก็ได้ ยิ่งเร็วยิ่งดี”
ในช่วงสุดท้ายของเวฟนั้นไร้ซึ่งความลังเล ถึงกระนั้นก็ไม่อาจเก็บความกลัวในจิตใจไว้ได้จนหมด ถึงกระนั้นก็ไม่ได้คิดจะหันหลังกลับ
ผมคิดว่านี่แหละคือความเด็ดเดี่ยวที่น่านับถือ
ผมแยกตัวออกมา เพื่อเตรียมร่าย ‘โนอาห์ คาโน่(ปืนใหญ่วันสิ้นโลก)’ ส่วนหนิงก็ยืนอยู่กับเวฟที่ไกลออกไป เพื่อเตรียมตัวชาร์จมานาเช่นกัน
ผมยกมือขึ้นฟ้า จากนั้นวงแวนเวทย์ก็ปรากฏขึ้นซ้อนกันนับร้อยชั้น
“..เอาละ”
ทุกอย่างจะจบภายในสิบนาที
****
เวฟยืนอยู่ข้างๆหนิง
หนิงคือมหามังกร เป็นตัวตนที่เป็นอมตะ ต่อให้โดนโนอาห์ คาโน่ เข้าไปหนิงก็ยังคงจะมีชีวิตไปได้ เธอเลยตัดสินใจใช้การระเบิดตัวเองเพื่อทำลายเวฟ ก่อนจะให้โนอาห์ คาโน่ เข้ามาซ้ำ เพื่อยืนยันส่วนหนึ่งด้วยว่าเวฟไม่ได้คิดเล่นตุกติก รวมถึงมีหน้าที่สังเกตุการณ์เผื่อหลายๆกรณี
แน่นอนว่าหนิงไม่ติดที่เธอจะต้องทำอย่างนี้ ด้วยความที่เป็นถึงมหามังกร ทำให้เธอไม่หวาดกลัวความตายหรือความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
ขณะนี้ก็อยู่ในขั้นตอนเตรียมตัว หนิงรวบรวมมานามหาศาลไว้รอบตัวจนเกิดประกายไฟร้อนละอุขึ้น แต่กว่าจะถึงตอนลงมือจริงๆก็คงอีกสักพัก
“เอาชีวิตมาทิ้งแบบนี้ โง่จริงๆนะ”
“อ่า เพื่อช่วยครอบครัวของตัวเองแล้วฉันยอมทำทุกอย่าง ต่อให้ต้องกลายเป็นคนโง่ก็ตาม”
เวฟยอมรับเอาง่ายๆทำให้หนิงพูดอะไรต่อไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง ..
“ไม่ใช่ว่าทุกคนปารถนาให้นายรอดชีวิตหรอกเหรอ”
“ฉันเองก็ปารถนาจะให้น้องสาวมีชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข ไม่ใช่ในร่างที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้”
…
“ฉันเองก็ไม่ต่างกับแกหรอกนะ เพราะฉันได้รับชีวิตมาจากคนอื่นเหมือนกัน–ไม่สิ พูดให้ถูก ฉันได้รับความหมายของการมีชีวิตมามากกว่า”
หนิงเห็นเวฟเป็นภาพสะท้อนตัวเอง เธอนึกไปถึงเรื่องเมื่อสมัยก่อนของตัวเอง เรื่องราวของตัวเองในฐานะเจ้าหญิงมังกร ตัวเธอที่ไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไรก็ได้รับรู้ถึงความหมายในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ พร้อมกับได้รับการมีชีวิตกลับมาโดยแลกกับชีวิตของคนๆนั้น ..ในส่วนลึกของจิตใจ เธอเข้าใจเวฟดีกว่าใคร เพราะว่าทั้งสองก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่
ล้วนเจอมาเหมือนกัน
“คนที่ช่วยพวกเรา ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะเห็นพวกเรามีความสุขเผื่อในส่วนของเขาหรอกเหรอ”
“ฉันมีความสุขมากพอแล้ว จะให้เห็นแก่ตัวมากกว่านี้ก็คงไม่ได้ ..จะให้กลืนกินโลกทั้งใบเพื่อตัวเองไม่ได้เด็ดขาด เธอที่ช่วยชีวิตฉันไว้เป็นคนอ่อนโยน เธอคนนั้นไม่ได้มีความสุขหรอกกับการที่ให้ฉันกลืนกินโลกเพื่อตัวของตัวเอง อย่างน้อยๆตัวฉันที่ไร้ซึ่งทางเลือกก็อยากจะช่วยสิ่งสำคัญสุดท้ายของตัวเองให้ได้”
..
“พึ่งรู้สึกตัวนั่นแหละ ว่านี่คือวัฐจักรของชีวิต ..ฉันได้รับชีวิตมาจากทุกคน แล้วก็ตั้งใจจะให้ชีวิตตัวเองกับทุกคนกลับ เธอเองสักวันก็คงมีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ วันที่ตัวเองจะเป็นผู้ให้แทนผู้รับน่ะ”
…
“วัฐจักรของการมีชีวิต ..ดูไม่เลวเลยนะ จุดจบอย่างนั้นในฐานะสิ่งมีชีวิต สักวันฉันเองก็คงจะเหมือนกัน เพื่ออีกชีวิต และอีกชีวิตถัดๆไป”
หนิงหันไปยิ้มให้เวฟ
“จริงๆแล้วฉันไม่ได้เกลียดอะไรแกหรอกนะ แค่คิดว่าหมอนี่น่าจะตายเร็วๆนี้นี่แหละเลยไม่อยากตีสนิทด้วย มันทำให้คิดถึงเพื่อนสนิทคนหนึ่งเข้าน่ะ ที่สนิทกันมากๆแต่ก็ดันชิงตายไปโดยไม่ได้จากลากัน”
ถ้าสนิทขึ้นมา มันจะน่าเศร้า ..เหมือนกับโซล่า
“สำหรับความคิดเห็นดีๆ ..ขอบคุณนะ”
“..อะ ..อ่า”
เวฟแก้มแดงเมื่อได้เห็นใบหน้าของหนิงที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ใจเวฟเต็นตึกตักๆเป็นจังหวะแปลกๆแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เอ่อ ..คือจะว่าไป..มีคนที่ชอบรึเปล่า?”
จู่ๆก็ถามออกไปแบบงงๆ บางทีอาจเป็นสัญชาตญาณแปลกๆของผู้ชายก็ได้ ทั้งๆที่ตัวเองกำลังจะตายอยู่แล้วแท้ๆ
“มีอยู่แล้วสิ เป็นคนที่เคยช่วยฉันเอาไว้ด้วย สักวันฉันจะช่วยเขากลับ ตามวัฐจักรของชีวิตที่นายบอกมานั่นแหละนะ คิดว่า”
“คนๆนั้นนี่ ..เรเซอร์เหรอ?”
“อ่า หมอนั่นก็อยากช่วยไม่ต่างกับคนที่พูดถึงหรอกนะ แต่ไม่ใช่ในเชิงนั้นหรอก”
“นั้นเหรอ”
“อืม”
หนิงแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์
“จู่ๆก็เกิดตกหลุมฉันรักขึ้นมาหรือไง เข้าใจแหละนะว่าคนมันสวย แต่ขอโทษด้วย มีเจ้าของแล้วค่า”
“..ช่างฉันเถอะน่า ..” เวฟเบือนหน้าหนีไปทางอื่น และสังเกตุเห็นฝั่งเรเซอร์ “เหมือนจะได้เวลาแล้วนะ
เวฟแหงนมอง—-ปืนใหญ่เปลวเพลิงยักษ์ อันเป็นรูปลักษณ์แห่งวันสิ้นโลก แม้จะอยู่ห่างไกล แม้จะไม่มีสัมผัสด้านพลังเวทย์อย่างไรก็ย่อมสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้อย่างแน่นอน ถ้าหากว่าตัวเองยังเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่ละก็
“..เหลือจะเชื่อเลยนะ นั่นคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเหรอ”
“ใช่สิ ยังไงคนที่มอบวันสิ้นโลกให้โลกได้ก็มีแค่มนุษย์ด้วยกันนั่นแหละนะ”
กล่าวจบร่างของหนิงก็เปล่งแสงสีทอง
“ทางนี้ขอไปก่อนละกัน—”
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ร่างของเวฟสลายไปจากการระเบิด จากนั้นเพียงไม่นาน—ก็เกิดการระเบิดที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิมขึ้นอีกหน
เวฟกู่ร้องออกมาสุดเสียง ใช้พลังทุกอย่างที่ตัวเองมีเพื่อที่จะ—ชำระล้างอานิม่า