เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 226
< < 143 Sec5 > >
จมลงสู่ความโศกเศร้า แปดเปื้อนด้วยความมืดของโลก แล้วก็ลืมตาตื่นขึ้น ..เพื่อทำลายล้างโลกที่แสนโสโครกใบนี้
นั่นคือชะตาของเวฟอย่างนั้นหรือ?
เวฟลืมตาตื่นขึ้นในบ้านที่แสนอบอุ่น ณ สถานที่ที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม รวมถึงคนรอบตัวที่แสนใจดี แม้จะไม่มาก แต่เพียงแค่นี้ก็เติมเต็มจิตใจที่แหลกสลายของเวฟไว้ได้ทั้งหมดแล้ว ..เพียงแค่สิ่งเล็กๆ แค่สิ่งเล็กน้อยที่เรียกว่าครอบครัวก็มากพอจะฉุดเวฟมาจากความมืดแล้ว
เสียงเท้าดังขึ้นข้างหน้าก่อนจะหยุดอยู่หน้าเวฟ เวฟเห็นเพียงเท้าของเธอ จนกระทั่งเธอตรงหน้าเอ่ยทัก
“ดูทำหน้าเข้าสิ”
เสียงของพี่สาวดังขึ้น เวฟจึงเงยหน้าขึ้นมอง ..เธอคือผู้หญิงที่ดูสมบูรณ์แบบ เลือนผมสีน้ำตาลที่รวบเป็นทรงห้างม้าเรียบหรู เป็นผู้หญิงที่สูงแล้วก็หุ่นดี ยิ่งกว่านั้นคือดวงตาสีขาวของเธอที่เสมือนกับท้องฟ้าที่งดงามและไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด
แม้จะสวย แต่ดวงตาของเธอ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวเธอมาแต่เกิด มันคือผลกระทบที่ได้รับมาจากการฝึกฝนวิชาไสยศาสตร์อย่างหนักหน่วง ..พี่สาว หรือผู้เข้าถึงความอมตะ คู่ปรับของราชาไสยศาสตร์ ‘วาราลี่’
“เป็นอะไรไป ฝันร้ายรึไงเมื่อคืน”
พี่สาววาราลี่สวมเสื้อยืดทับด้วยผ้ากันเปื้อน และสวมกางเกงขายาวรัดรูป การแต่งกายไม่ต่างกับแม่บ้านหรือคุณภรรยาสาวสวยเลยสักนิด
เธอเดินผ่านเวฟไปข้างหลัง และนั่งลงกับพื้นในท่าพับเพียบ ก่อนจะนั่งพับผ้าที่แบกมา
ไม่ได้ชักถามอะไร ทำเพียงนั่งข้างๆเวฟและทำธุระของตัวเองไปด้วย ..ผ่านไปสักพักก่อนเวฟจะเอ่ยปาก
“..ใช่ครับ”
“เจออะไรเข้าล่ะ ในฝัน”
“ฝันว่าผมเป็นคนฆ่าทุกคนครับ” เวฟหรี่ตาลงอย่างไร้อารมณ์ “ทุกคนถูกผมกินอย่างโหดร้าย”
….
“ไร้สาระ ถ้ามีเวลามาพูดเพ้อเจ้อก็เอาเวลาไปฝึกดาบกับตาแก่ซะไป”
“..แต่ว่า”
“จะไม่พูดอะไรมากหรอกนะ แต่ที่พูดมาน่ะ มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
…
เวฟหันไปมองพี่สาว แต่พี่สาววาราลี่ก็หันหน้าหนีไปทางอื่น แต่สังเกตุได้ว่าใบหูมันแดงหน่อยๆ
“ฉันไม่ชอบพูดเรื่องน่าอาย รู้ดีใช่มั้ย ถ้าทำฉันวีนแตกขึ้นมาน่ะจะเป็นยังไงต่อ”
ได้ยินอย่างนั้นความทรงจำช่วงที่เวฟจี้จุดวาราลี่จนวีนแตกก็ลอยเข้ามาในหัว ทำให้เวฟพยักหน้ารับรัวๆก่อนจะลุกขึ้นและรีบวิ่งออกไปหาคุณลุงทันที
พี่สาววาราลี่มองส่งเวฟและพึมพำกับตัวเอง
“ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยนะเด็กคนนั้น”
พี่สาววาราลี่ถอนหายใจก่อนจะหันไปหา เด็กสาวตัวเล็กในชุดวันพีซบริสุทธิ์
“หล่อนก็ไม่คิดจะอธิบายอะไรเวฟเลยนะ ยัยเฮงซวย”
น้องสาวของเวฟ หรือ ‘อานิม่า’ ที่สวมรอยร่างของน้องสาวเวฟ เธอยิ้มให้วาราลี่อย่างอ่อนโยน
****
เวฟเดินออกมาข้างนอก พบเจอกับธรรมชาติที่สวยงาม และคุณลุงที่นั่งอยู่บนโขกหิน
แม้ทุกคนจะเรียกว่าลุง เพราะผมหงอกทั่วทั้งหัวแล้วก็หนวดที่ยาวเฟิ้ม แต่ภายนอกก็ไม่ได้ดูแก่ถึงขนาดนั้น ดูเป็นคนอายุราวๆสี่สิบปีที่ไว้หนวดกับผมหงอกทั้งหัวเสียมากกว่า
คุณลุงเป็นผู้ชายที่ดูดิบเถื่อน เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย แล้วก็มีดวงตาสีแดงที่ดูน่ากลัว นอกจากนั้นยังเป็นคนที่ตัวใหญ่และเต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออีก
คุณลุงเมื่อเห็นเวฟเดินมาภาพลักษณ์โฉดดิบเถื่อนก็โดนสลายไปทันทีด้วยรอยยิ้มของเจ้าตัว
“มาแล้วเหรอเวฟ มาเร็วจังเลยนะ”
“พอดีพี่สาวไล่มาน่ะครับ”
“หา!? ยัยป้านั่น บังอาจมาไล่เวฟของข้าอย่างนั้นรึ ต้องสั่งสอนหน่อยแล้ว”
“ยะ อย่าเลยครับ”
ถ้าสองคนนี้สู้กัน ..เวฟไม่อยากจะคิด ที่แห่งนี้ได้เละเป็นขี้แหงๆ แล้วก็แสนน่าแปลก คุณลุงเรียกพี่สาวว่ายัยป้าอยู่บ่อยๆ ทั้งๆที่เจ้าตัวดูแก่กว่ามาก ทั้งหมดเป็นเพราะ–พี่สาวแก่กว่าคุณลุง
คุณลุงหรือ ราชาแวมไพร์ ‘ดรากูล’ เกิดในยุคผู้กล้า หรือก็คือหลายร้อยปีให้หลังยุคมหามังกรซึ่งเป็นยุคที่พี่สาวมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่แค่นั้น เหมือนว่าต่อให้นับอายุช่วงที่มีชีวิตอยู่ พี่สาวก็มีอายุเยอะกว่าลุงหลายเท่าตัวอีกด้วย จึงอาจไม่แปลกที่จะเรียกกันว่าป้า
แต่..คุณลุงก็คือคุณลุง เวฟยังคงจะเรียกดรากูลว่าคุณลุง และเรียกพี่สาววาราลี่ที่แก่กว่าว่าพี่สาวต่อไป
คุณลุงดรากูลหยักไหล่ให้แบบเซ็งๆ
“จะนั่งเล่นรอเวลาซ้อมจริงๆก่อนก็ได้นะเวฟ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“เวฟผู้น่าสงสาร ข้าคิดผิดหรือเปล่านะที่ให้ยัยป้านั่นคอยดูแลการกินอยู่ของเวฟ ..ถ้าเวฟเสียคนขึ้นมาจะทำอย่างไรกันเล่า”
อย่างที่เห็น ราชาแวมไพร์ดรากูลเป็นคุณลุงที่สปอยหลานเอามากๆ กลับกันเลย คนที่จะทำให้เวฟเสียคนได้ง่ายสุดน่าจะเป็นทางดรากูลเสียมากกว่า แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่เคยคิดเช่นนั้น และโชคดีที่มีวาราลี่คอยสั่งสอนอย่างถูกต้อง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางมุมวาราลี่ก็เข้มงวดเกินไป แต่ทางดรากูลก็ผ่อนคลายเกินไปอีก
กลายเป็นว่าตัวตนของสองคนนี้คอยถ่วงดุลการเลี้ยงดูเวฟได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ไม่มีอะไรที่มากเกินไปกันทั้งคู่ และถึงจะทะเลาะกันบ่อยๆ แต่เวฟก็รู้ดีว่าดรากูลกับวาราลี่นั้นสนิทกันมาก อาจเป็นเพราะตลอดหลายพันปีที่ตายไปก็อยู่กันแค่สองสามคนนั่นแหละ
“ถ้านั้นก็คุณลุง” เวฟเดินไปหยิบดาบไม้ข้างๆโขกหิน “..ขอความกรุณาด้วยนะครับ”
ดรากูลยิ้มอย่างพึงพอใจและหยิบดาบไม้ขึ้นมาเช่นกัน
“ขอดูผลลัพธ์ของการฝึกหน่อยนะ”
“ครับ!”
เวฟวิ่งเข้าใส่ดรากูล และทั้งสองก็เริ่มการฝึกดาบอย่างสนุกสนาน ….
“แฮก แฮก”
เวลาผ่านไปเร็วมาก อาจหมายความได้ว่าเวฟมีความสุขที่ได้ฝึกดาบกับดรากูล ตั้งแต่ที่วิ่งเข้าใส่เพียงพริบตาเดียวเวฟก็อยู่ในสภาพนอนหมดแรงอยู่กับพื้นแล้ว
ดรากูลยืนมองเวฟด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู
“..เก่งเกินไปแล้วครับ”
แหงอยู่แล้ว ถึงจะพ่ายแพ้แล้วตายไปแล้วก็ตาม แต่ดรากูลคือสัตว์ประหลาด แวมไพร์ที่ทำลายอาณาจักรไปหลายแห่งภายในเวลาเพียงไม่นาน เขาสามารถต่อสู้ต่อเนื่องได้หลายวัน ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีพลังที่มหาศาลระดับที่อาณาจักรทั้งอาณาจักรทุ่มสุดตัวก็ไม่มากพอจะฆ่าเขาให้ตายได้
แม้สุดท้ายจะตายด้วยน้ำมือของ– ‘ผู้กล้า’ และ ‘เทพดาบ’ ก็ตามที แต่ศัตรูระดับทั้งสอง การตายด้วยฝีมือของสองคนนั้นนับว่าเป็นเกียรติอันสูงสุดซึ่งบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของตัวดรากูลเองเสียด้วยซ้ำ
ทั้งยังเป็นการต่อสู้สองต่อหนึ่ง
“คนระดับคุณลุงนี่สุดยอดเลยนะครับ ไม่ใช่ว่าเก่งกว่าผู้กล้ากับเทพดาบอีกเหรอ ในเมื่อโดนรุมตั้งสองคนน่ะ”
“นั่นสินะ ถ้าเป็นก่อนที่จะได้เผชิญกับสองคนนั้น ข้าก็มั่นใจว่าข้าเหนือกว่าอยู่นะ แต่ก็..หึหึ นึกแล้วก็อยากหัวเราะตัวเอง”
“ทำไมเหรอครับ?”
“ข้าพ่ายแพ้ภายในสามจังหวะเพียงเท่านั้น และยังแพ้โดยไม่ได้ตอบโต้อะไรเลย จำไม่ผิดข้าที่เสียสติเนื่องจากได้รับเลือดมาเยอะเกินไปก็พลาดโดนพลังของผู้กล้าทำลายเลือดที่สะสมมาเสียจนหมด จากนั้นก็ถูกเทพดาบหั่นร่างออกเป็นหลายส่วนในพริบตาเดียว ไม่รู้สึกตัวเลยละ เป็นวิชาดาบที่วิเศษมาก ข้ารู้ตัวอีกทีก็มีแสงสีเขียวปกคลุมทั่วทั้งร่าง ร่างกายร้อนวูบแล้วก็ตายทั้งอย่างนั้น”
ในหน้าประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่ามันเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดและกินเวลาไปตั้งแต่ราตรีไปจนถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น แต่แท้จริงแล้วมันคือการต่อสู้ที่จบในพริบตาเดียว
“ก็จริงที่เป็นเพราะข้าอ่อนแรงมากจากการต่อสู้หลายแห่ง แต่สองคนที่มาหยุดข้าก็แข็งแกร่งเกินไปนั่นแหละนะ ต่อให้มีสติรึพละกำลังอยู่ครบก็คงไม่ไหวหรอก อาจจะสู้ยื้อได้นาน อาจเล่นอีกฝ่ายจนน่วมได้เหมือนกัน แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็คงจะแพ้เหมือนเดิม”
เวฟมองดรากูลอย่างชื่นชม ต่างกับดรากูลที่ไม่ได้ชื่นชมความสามารถของตัวเองเท่าไหร่นัก
“อีกอย่างทั้งพลังและวิชาดาบที่มีก็มีไว้ใช้แค่ฆ่าคนเท่านั้นแหละ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเลย ระหว่างข้าที่เป็นฆาตกรที่เลวร้ายสุดในประวัติศาสตร์กับเวฟที่พยายามเต็มที่เพื่อหลายๆอย่างนั้นดูเปล่งประกายว่าตัวข้าเสียอีก”
“ไม่จริงเลยครับ คุณลุงใจดี ที่ทำต้องมีเหตุผลแน่ๆ ไม่เชื่อว่าเป็นฆาตกรหรอก”
“เหตุผล ..ต่อให้มีเหตุผล แต่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ใช้อ้างในการฆ่าคนได้หรอกนะ–ข้าทำผิดก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ทำ และก็ต้องรับนามของฆาตกรคลั่งมาด้วย นั่นแหละคือสิ่งเดียวที่ข้าพอจะทำได้”
…
เวฟที่ได้ยินก็ดูหงอยขึ้นทันที เหมือนกับลูกหมาตัวน้อยที่โดนดุ..
“แต่นั่นสินะ เหรียญน่ะมีสองด้านเสมอ” ดรากูลยื่นมือมาลูบหัวเวฟ “ไว้สักวัน เวฟช่วยพิสูจน์ด้วยตัวเองละกันนะว่าสำหรับเวฟแล้วข้าคือฆาตกรหรือว่าคุณลุงแสนใจดีของเวฟ”
ดรากูลผละมือออกจากหัวของเวฟ และลงไปนั่งบนโขกหินใกล้ๆเวฟ
“คุณลุง”
“ว่าไงรึ?”
“..คือขอปรึกษาเรื่องพี่สาวหน่อยสิครับ”
ดรากูลพยักหน้า เวฟจึงเล่าเรื่องเมื่อเช้าให้ดรากูลฟัง ที่พี่สาวบอกว่าเวฟไม่มีทางฆ่าตัวเองได้อยู่แล้ว ..
“สงสัยว่ายัยป้านั่นตั้งใจจะบอกอะไรกันแน่นั้นรึ”
เวฟพยักหน้ายอมรับ ดรากูลได้ยินดังนั้นจึงแหงนหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าที่ตึงเกินไปจนดูน่ากลัว
“เวฟคิดว่าตัวเองสามารถเอาชนะพวกข้าได้รึเปล่า”
…
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ”
“ใช่แล้ว พูดตรงๆเลยเวฟไม่มีทางเอาชนะข้าหรือว่าวาราลี่ได้ ถ้าหากคิดจะฆ่าก็คงต้องรับมือกับพวกข้าสองคนอีกด้วย ความเป็นไปได้ยิ่งต่ำเข้าไปใหญ่”
ดรากูลลุกขึ้นยืนจากโขกหินและบิดขี้เกียจ
“เพราะอย่างนั้นแหละ ความเป็นไปได้เดียวที่พวกข้าจะตายก็คือ—พวกข้ายอมตายเพื่อเวฟยังไงละ”
….
….
ร่างของดรากูลค่อยๆเจือจางขึ้น
“หมดเวลาแล้วนั้นรึ น่าเสียดายนะ คราวนี้คุยกันได้แค่หน่อยเดียวเอง”
“คุณลุง ..ที่พูดหมายความว่ายังไงกันครับ..”
“ตรงตามที่ข้าบอกนั่นแหละ ..คงจะสับสนอยู่สินะ แต่ขอให้จำไว้ว่า–เธอไม่ได้ทำลายอะไรไปทั้งนั้น” ดรากูลยิ้มออกมา “อย่าได้ตำหนิตัวเอง และจงยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำต่อจากนี้เถอะนะ”
ร่างของดรากูลได้หายไปพร้อมกับสายลมอ่อนๆ ..เหลือเพียงดาบโลหิตที่วางอยู่บนโขกหิน
เวฟลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆและเดินไปหยิบดาบเล่มนั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้าน เวฟโค้งศรีษะให้ ณ จุดๆที่ดรากูลยืนอยู่
****
“กลับมาแล้วครับ”
เวฟเดินเข้ามาภายในบ้านด้วยสีหน้าที่ดูหดหู่
“กลับมาแล้วเหรอ เวฟ เย็นนี้จะกินอะไรดีล่ะเดี่ยวรีบไปทำให้เลย”
“คือว่านะพี่สาว”
“ว่าไง มีอะไรก็รีบๆพูดเลยจะได้รีบเตรียมอาหารให้”
“คุณลุงหายไปแล้ว”
….
“หายไป..แบบนี้นี่เอง ถึงเวลาแล้วสินะ”
วาราลี่ไม่ได้แปลกใจอะไร เธอทำเพียงถอนหายใจแบบหงุดหงิด
“พึ่งเริ่มวันได้แปปเดียวเองแท้ๆนะ ..เวฟนั่งก่อนเลย”
“แล้ว–”
..อานิม่า ..ไม่สิ
“น้องสาวอยู่ไหนเหรอครับ”
“น่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกนั่นแหละ
“เดี่ยวผมไปตามมาก่อน”
วาราลี่ได้ยินก็ขมวดคิ้ว พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนที่เล่นเอาข้าวของทุกอย่างยกขึ้น เวฟถึงกับตัวสั่นและหน้าซีดทันทีที่ได้พบ แม้เพียงพริบตาเดียวทั้งหมดก็ล่วงลงพื้นรวมถึงแรงกดดันที่เวฟได้รับด้วย
“ไปดีมาดี”
วาราลี่กล่าวสั้นๆพลางข่มตาหลับลงและหันหน้าหนีไปทางอื่น
“..พี่สาว”
“มีอะไร”
“..ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกอย่าง”
…น้ำตาไหลออกจากดวงตาของวาราลี่ ..เมื่อรู้สึกตัวเธอก็รีบปัดน้ำตาออกจากดวงตาของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่น้ำตาก็ไม่ยอมหยด วาราลี่จึงลุกขึ้นและวิ่งเข้าไปสวมกอดเวฟแทน
ไม่มี ทิฐิหรือการวางตัวดังที่เธอทำประจำอีกแล้ว เวลานี้เธอร้องไห้ออกมาเยี่ยงคนอ่อนแอที่เธอรังเกียจนักรังเกียจหนา
วาราลี่เกลียดความอ่อนแอและไม่สมบูรณ์แบบ กล่าวได้ว่า–เธอเกลียดตัวเอง ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าจะพยายามให้ตัวเองดูเป็นตัวเองในอุดมคติยังไง เธอก็ไม่สามารถหนีความเป็นตัวเองไปได้ เพียงแค่น้องชายที่เธอรักเสมือน้องชายแท้ๆของตัวเองพูดขอบคุณ เธอก็เก็บความรู้สึกมากมายภายในจิตใจไว้ไม่ไหว
“โธ่ เวฟ เด็กบ้า เด็กบ้า บ้าจริงๆเลย อยู่ๆก็พูดอะไรแบบนี้ ตลอดมาไม่เคยพูดเลยแท้ๆ พูดแบบนี้ใส่แล้วพรุ่งนี้เจอหน้ากันขึ้นมาจะทำยังไงเล่า”
“…”
“โธ่เอ้ย แสดงสภาพไม่น่าดูไปซะได้”
วาราลี่เอาตัวออกจากเวฟ จากนั้นก็กลับมาทำใบหน้าขึงขังทั้งๆที่น้ำตายังไหลออกมาอยู่
“เวฟ”
“ครับ?”
“มีความสุขรึเปล่า?”
เวฟพยักหน้ายอมรับตรงๆก่อนจะผุดยิ้มเขินอายตอบ เมื่อได้เห็นดังนี้วาราลี่ก็ถอนหายใจโล่งอก
“เหรอ ..น่ายินดีจังเลยนะ ..พี่สาวน่ะกังวลมากเลยว่าตัวเองเข้มงวดเกินไปรึเปล่า ตลอดมาพี่มักโดนว่าอยู่บ่อยๆเรื่องนี้ ตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิต ..ช่วงสุดท้ายของชีวิตก็พ่ายแพ้ให้แก่ศัตรูคู่ปรับ ไม่รู้อะไรทำให้ตัวเองแพ้ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยจนกระทั่งได้มาเจอกับเวฟ แล้วก็ได้สร้างครอบครัวที่มีเธอเป็นน้องชาย” วาราลี่พูดทั้งรอยยิ้มที่หาดูได้ยาก “เหตุผลที่แพ้ ..น่าอาย เลยพูดไม่ได้ก็จริง แต่พี่ก็บอกได้นะว่าพี่รู้แล้วละว่าทำไม”
วาราลี่ลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้และหันหน้าหนีไปทางอื่นเหมือนทุกที
“รีบไปเถอะ เวลามีไม่เยอะนี่”
“..ครับ”
****
บนภูเขาที่ไร้ซึ่งแสงอาทิตย์
….
….
เวฟเดินมาหยุดอยู่หลังของอานิม่า เธอยืนหันหลังให้เวฟ และเมื่อเห็นว่าเวฟมาถึงแล้วก็หันหน้ากลับไปมอง
เธอคือน้องสาวของเวฟ อย่างน้อยก็รูปลักษณ์ที่เหมือนกัน
“ไม่ได้เจอกันนานนะคะ พี่ชาย หรือจะให้หนูเรียกชื่อแทนดี ..คงไม่ชอบใช่มั้ยละคะที่ของปลอมอย่างฉันทำสวมรอยเป็นน้องสาวตัวจริงน่ะ”
น้องสาว? อานิม่า? ส่งรอยยิ้มที่ดูไร้ความรู้สึกมาให้
“อานิม่าเหรอ?”
“ค่ะ อย่างที่เวฟรู้มาก่อนหน้านี้เลย ฉันคือ ‘อานิม่า’ เป็นเทพแห่งจิตวิญญาณค่ะ” อานิม่าเดินไปมา และหมุนตัวโชว์ร่างกายของน้องสาวในทุกๆส่วน “ร่างกายนี้เป็นเพียงของปลอมที่ถูกสร้างขึ้นโดยฉันค่ะ น้องสาวของคุณ ทั้งวิญญาณ และร่างกายจริงๆ ได้สลายไปหมดแล้วตั้งแต่ที่เวฟได้กลืนกินน้องสาวของตัวเอง ณ ที่แห่งนี้”
ผืนหญ้าที่งดงาม บรรยากาศที่โปรดโปร่ง ธรรมชาติที่แสนอบอุ่น ทั้งหมดได้กลายเป็นป่าอาถรรพ์ ต้องบอกว่าได้กลับมาเป็นป่าอาถรรพ์อย่างที่ควรจะเป็น
ไร้ซึ่งผืนหญ้า บรรยากาศแค่หายใจก็รู้สึกเจ็บปวดแล้ว เรียกว่าธรรมชาติไม่ได้เสียด้วยซ้ำ นี่คือความเป็นจริงที่เวฟยืนอยู่
“ทั้งหมดคือภาพลวงตาค่ะ อ๊ะ แต่ว่าเรื่องของดรากูลกับวาราลี่คือของจริงนะคะ ทั้งสองมีชีวิตอยู่ที่นี่ในฐานะดาบและวิญญาณระดับเทพ ส่วนฉันก็อยู่ที่นี่ในฐานะเทพแห่งจิตวิญญาณที่แปดเปื้อนจากศูนย์รวมความชั่วร้ายค่ะ แล้วเวฟก็คือ–คนที่ถือครองอำนาจแห่งเทพอานิม่า และกำลังถูกความมืดของจิตวิญญาณของฉันกลืนกิน”
อานิม่าเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเวฟ และโค้งตัวมองเวฟด้วยสายตาที่ดูน่ากลัว
“เวฟที่ถูกภาพลวงตาของฉันหลอก ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข ได้อำนาจของฉันช่วยไว้ไม่ให้ตาย แต่นั่นก็เหมือนกับดาบสองคม เวฟค่อยๆถูกความมืดกลืนกินเหมือนอย่างที่ฉันแปดเปื้อนเพราะมัน สุดท้ายก็เสียสติและทำลายทุกอย่าง ทางเดียวที่จะเรียกสติกลับมาได้คือ ..การทำให้เวฟอิ่มท้องค่ะ”
“..พี่สาวกับคุณลุง”
“ใช่ค่ะ อันที่จริง ถ้าสองคนนี้รวมพลัง เวฟคงจะพ่ายแพ้ในที่สุด แต่ทั้งสองเลือกจะให้เวฟกลืนกินเพื่อต่อชีวิตของเวฟ จากนั้นก็ส่งเวฟออกจากนอกป่าอาถรรพ์และให้ใช้ชีวิตต่อไปโดยที่รู้อยู่แก่ใจว่าสักวันเวฟจะต้องคลั่งและเข้ากลืนกินทุกสิ่งรอบตัวแบบไม่เลือกหน้าแน่ๆ”
ทำไมถึงทำอย่างนั้น คำตอบนั้นแสนง่ายดาย
‘ความรัก’
ต่อให้ที่ทำจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายเท่าไหร่ ต่อให้ดูไร้สมองเสียเท่าไหร่ คนเราก็ทำได้เพื่อคนรักของตัวเอง เพื่อคนรัก ยอมสละตัวเอง และสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นในอนาคตโดยไม่สนอะไร นี่คือความมืดของความรักไม่ผิดแน่ แต่ก็..ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้คือสิ่งที่สวยงาม การที่คนๆหนึ่งจะมอบให้คนหนึ่งๆได้นั้นมัน ..
“เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างแล้วใช่รึเปล่าคะ?”
“เข้าใจแล้ว”
“ถ้านั้นก็รีบกลืนกินอีกสองคนที่สู้กับเวฟอยู่ตอนนี้ แล้วมีชีวิตอยู่ต่อไปกันเถอะค่ะ”
เวฟนิ่งไปสักพักก่อนพึมพำขึ้นมา
“ทำอย่างนั้นไปทำไมเหรอ?”
“เพื่อให้เวฟมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไงล่ะ”
“การที่ฉันมีชีวิตต่อไป เกี่ยวอะไรกับเธอด้วยเหรอ”
“เกี่ยวสิค่ะ เพราะ..ฉันรักคุณ” อานิม่าหรี่ตามอง และโพล่งขึ้นอย่างมีความสุข “รักมากระดับที่พร้อมจะกลืนกินโลกทั้งใบเพื่อเวฟเลยนะ ทั้งสองคนเองก็คงคิดอย่างนั้นเหมือนกันถึงได้สละตัวเองเพื่อเวฟ”
เวฟเดินไปหาอานิม่า เดินตรงไปอย่างช้าๆ อานิม่าที่เห็นจึงยื่นมือไปให้เวฟ
“มาเถอะค่ะ มามีชีวิตต่อไปกับฉันและทุกค—”
เวฟจับข้อมือของอานิม่าและดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด …
“พี่…พี่ชาย?”
“ฉันจะช่วยเธอ ..อานิม่า..ฉันจะช่วยเธอ ในฐานะพี่ชาย ฉันจะช่วยเธอ จะปลดปล่อยเธอ ..จะทำให้จิตวิญญาณของเธอกลับมาบริสุทธิ์อีกครั้ง”
“…ฉันแปดเปื้อนไปแล้วนะคะ เป็นไปได้ยากที่จะกลับมาเหมือนเดิม”
“อานิม่า เธอรู้จักฉันดีนี่”
อานิม่าแหงนหน้ามองเวฟ
“ฉันคือชายที่จะทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว–ถ้าเพื่อน้องสาวแล้วต่อให้แลกด้วยอะไร ฉันก็จะทำ อานิม่า..ฉันก็รักเธอเหมือนกันในฐานะน้องสาว”
เวฟโอบกอดอานิม่าอย่างอ่อนโยน เหมือนกับที่ทำกับอานิม่าในทุกๆวันในฐานะพี่ชายและน้องสาว ..
“ทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตานะคะ ฉันไม่ใช่น้องสาวจริงๆของเวฟ ..ไม่คิดโกรธกันเลยเหรอคะที่สวมรอยหลอกลวงเวฟ”
“ภาพลวงตาเหรอ แค่สวมรอยเหรอ มันไม่ใช่แค่นั้นหรอก ไออุ่นที่ฉันได้รับมันไม่ใช่ของปลอมอย่างที่เธอพูดหรอกนะ ..จะบอกว่าเป็นของปลอมไม่ได้นะ อย่างน้อยก็แค่ความรู้สึก ความรู้สึกที่ให้ฉันก็เป็นของจริงไม่ใช่รึไง ..แต่เป็นไปได้ก็อย่าโกหกกันเลยนะ”
“…พี่..ชาย”
น้ำตาไหลออกจากดวงตาเล็กๆของผู้เป็นน้องสาว น้องสาวผู้เป็นผู้ใหญ่และเก่งกว่าตัวเองค่อยๆถูกเคาะเปลือกนอกออกทีละนิด
“จะช่วยเอง จะช่วยให้ได้ จะตอบแทนที่เคยช่วยฉันไว้และเคยมอบความสุขให้ฉันเอง”
..
“ฉันจะชำระล้างจิตวิญญาณของเธอเอง ..เธอเหมาะกับด้านสว่างมากกว่าความมืดนะ อานิม่า ยังไงก็เป็นถึงเทพนี่นะ”
ป่าอาถรรพ์แปรเปลี่ยนเป็นป่าที่แสนสวยงามอีกครั้ง เสมือนกับจิตใจของอานิม่าที่กำลังจะถูกชำระล้าง
นั่นเป็นครั้งแรกที่อานิม่าได้รู้จักกับความสว่างของความรัก
****
“ตายโหงซ้าาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“ใจเย็นหน่อเหอะน่า!!”
ผมกระโดดหลบหมัดเขวี้ยงของอานิม่าแบบสิวเสียด และได้แต่เอือมกับหนิงที่เข้าไปบวกอย่างกับคนคลั่งโดยไม่คิดหลบอะไรทั้งสิ้น ผลคือผมได้เห็นภาพไม่น่าดูหลายช็อตเลยละ แต่ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เพราะเจ้าตัวเป็นถึงมหามังกรละนะ
หนิงที่โดนลากไปกับพื้นอย่างไม่น่าดูฟื้นสภาพกลับมาในพริบตาเดียว และกระโดดตะครุบใส่อีกครั้งอย่างไม่รู้จักเข็ด ดูจะหัวร้อนจนไม่สนอะไรแล้ว
“ให้ตายสิ–แต่ก็ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจได้ดีละนะ”
เพราะหนิงเข้าใส่อย่างกับหมาคลั่งอย่างนี้ ทำให้ความสนใจที่อานิม่าให้มาระหว่างการต่อสู้คือ 50/50 ไม่ได้เล็งแค่ผมคนๆเดียวอีกแล้ว นับว่าทำหน้าที่ได้ดีมากหนิง
ผมกลิ้งตัวหลบการโจมตี และอัดเวทมนตร์ที่เสริมด้วยตัดมิติเข้าใส่อานิม่ารัวๆจนอานิม่ากรี๊ดร้อง
ต่อให้ถึกยังไงก็คงมีขีดจำกัดอยู่นั่นแหละ ก็ต้องรู้จักบ้างแหละไอที่เรียกว่าความเจ็บปวดน่ะ
ทุกครั้งที่โจมตีเสร็จผมจะทำการฟื้นฟูทุกอย่างลับวงจรเวทย์ของตัวเองให้อยู่ในจุดที่ดีที่สุดเสมอด้วยวิหคอมตะ เปลวเพลิงสีทองปกคลุมตัวผมแทบจะทุกๆวินาทีของการต่อสู้
“โธ่เว้ย เมื่อไหร่มันจะหมดแรงสักที!?”
“..น่าจะใกล้แล้วแหละ การโจมตีอ่อนลงเยอะเลย แล้วก็เริ่มจะรู้สึกเจ็บแล้วด้ว–ฮึบ เกือบไป”
เกือบไปที่ว่าคือหัวผมโดนซัดหายไปครึ่งซีก แต่ใช้เพลิงสีทองรักษาได้ในทันทีน่ะนะ
“หืม?”
ทว่าหลังจากที่อานิม่าซัดผมไปไม่นาน ร่างของหล่อนก็หยุดลงกระทันหัน เมื่อเห็นว่าได้โอกาสหนิงก็พุ่งเข้าไป—
“ตายซะ!!!!”
หนิงอัดเพลิงเข้ากลางหน้าท้องของอานิม่า เพียงแค่นั้นความมืดทั้งหมดก็ถูกซัดจนปลิวจนหมด และเผยให้เห็นเวฟอีกครั้ง–ด้วยความแค้นส่วนตัวหนิงบินไปซัดหน้าเวฟเบาๆหนึ่งที ทำให้เวฟกระเด็นไปไกลนับสิบเมตร
“อึก—อ๊ากกกกก!!!!!!!”
เวฟร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ผมเห็นก็รีบเข้าไปดึงคอเสื้อหนิงไม่ให้ไปหาเวฟ ทว่าก็สู้แรงหนิงไม่ไหวปลิวไปพร้อมกับหนิงที่เคลื่อนที่ไปหาเวฟอย่างรุนแรง
ผมที่ถูกลากไปถึงกับตัวลอยประหนึ่งขนนก ได้แต่พึมพำอย่างไร้น้ำหนัก
“ใจเย็น ใจเย็น”
“ไอ้บ้านั่น ทำกันได้แสบมาก”
“ทั้งสองคน!”
อยู่ๆเวฟก็วิ่งหน้าตั้งมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมกับหนิง
“ช่วยฆ่าฉันที”
“ “เอ๊ะ” ”
บอกตามตรง ก็ตั้งใจอย่างนั้นแหละ แต่ไหงสถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ได้หว่า?