เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 221
< < 142 > >
สุดท้ายก็ตัดสินใจจะฆ่าคนที่อยากปกป้อง ถ้าหากมันจำเป็น ..นั่นคือทางเลือกของผมผู้ที่มาเปลี่ยนแปลงเรื่องราว
ช่างน่าตลก
ผมนั่งจ้องถ้วยชาของเอเธอร์อยู่พักหนึ่ง ..ไม่มีเรื่องต้องคุยแล้ว หลักๆในตอนนี้ก็มีแค่นี้ เรื่องที่เจอ รายงานสถานการณ์ต่างๆก็คุยกันตั้งแต่เมื่อวานก่อนทะเลาะกับยูจิไปหมดแล้วเหมือนกัน
เอาเป็นว่าได้เวลากลับอาณาจักรฟัฟนิร์แล้วกระมัง มีเรื่องต้องไปบอกคนอื่นอีกเยอะพอสมควรเลยด้วย
ขณะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นเพื่อแจ้งนั้นประตูของโรงแรมก็เปิดขึ้น และมีคนๆหนึ่งเดินเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉง ..คนคุ้นหน้า ตั้งแต่ที่เจอกันเมื่อราวๆสามสี่ปีก่อน เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
ไม่รู้อะไรดลใจ พอเห็นหน้าของคนคุ้นหน้าคนนี้ผมก็รู้สึกเดือดขึ้นมา อยากจะวิ่งไปซัดหน้าไอ้เวรนี่สักทีแต่ก็ยั้งมือตัวเองไว้ได้ก่อน ผมทำทีปั้นยิ้มให้
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ เรเซอร์ ดราแคล์”
“ครับ ..สามปีได้มั้ง ท่านเซียน”
คนที่มาหาผมก็คือ ‘เซียน’ ผู้ตั้งหลักอยู่ที่ทวีปเกรล
“เซียนเหรอ?”
หนิงแปลกใจนิดหน่อย แน่นอนอยู่แล้ว เซียนถือว่าเป็นหนึ่งในตำนานประจำโลกใบนี้เหมือนๆกับจอมมารรึผู้กล้า แต่เหตุผลที่ทำให้หนิงรู้สึกสนใจเซียนไม่น่าใชเรื่องทั่วๆไปหรอก
“เขาว่ากันว่าเซียนเป็นคนที่รู้สูตรอาหารทั่วโลกนี่”
ใช่ อย่างหนิงน่าจะสนใจเรื่องพวกนี้มากกว่า
“ใช่ครับ เซียนตัวเป็นๆเลย สูตรอาหารทั่วโลก? ใช่ครับ สิ่งนั้นถูกบันทึกอยู่ในหัวข้าตามที่คุณว่าไว้เลย”
เซียนพูดตอบก่อนหันไปมองหนิง และเมื่อได้เห็นหนิงเจ้าตัวก็นิ่งไปพักใหญ่ๆ ไม่พูด ไม่จาอะไร ทำเพียงเดินมาทางหนิงและคุกเข่าให้ พร้อมกับดึงมือหนิงมาจูบ
“ช่างงดงามเหลือเกิน บนโลกนี้มีสิ่งที่งดงามขนาดนี้จริงๆหรือเนี่ย ประหนึ่งกับมหาภูต ดั่งเทพแห่งธรรมชาติ ความงดงามระดับต้นภูเขานี่มันอะไร”
..เอาแล้วไง
“ถูกใจแล้วละครับ คุณช่างเป็นตัวตนที่งดงามที่ยากจะพบเห็น ทั้งจิตใจที่สูงส่ง และจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์นั่นทำเอาใจน้อยๆของข้าสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อา..ความรู้สึกนี้มันอะไรกันนะ ยากที่ข้าจะเข้าใจได้ ยากเหลือเกินที่จะเรียนรู้ในสิ่งนี้ ทั้งๆที่ข้าเองก็อาศัยอยู่บนโลกใบนี้มานับหมื่นๆปีแล้ว-นี่มันครั้งแรกเลย”
“..วะ ว้าว! ระ ระ เรเซอร์ เรเซอร์ โดนจีบแล้ว โดนคนระดับสูงจีบด้วยนะ ว่าแล้วเชียว ฉันยังมีสเน่ห์อยู่จริงๆด้วย ไม่ใช่พวกไร้สเน่ห์แบบที่นายว่ามาสักหน่อย”
“ใช่แล้ว ยากที่จะเชื่อ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ตัวข้าที่อยู่คนเดียวมาตลอดนับหมื่นปี ในที่สุดก็ปารถนาจะหลุดพ้นจากการใช้ชีวิตคนเดียว เพียงแค่แรกพบ การเปลี่ยนแปลงทางความคิดก็เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ช่างน่าแปลกใจ”
เซียนจับอกของตัวเองพลางหรี่ตาลงอย่างเจ็บปวด ท่าทางแอคชั่นสุดเจ๋ง แสดงได้ดีทีเดียว ทั้งสายตาที่เหมือนกำลังอ้อนอีกฝ่าย ทั้งท่วงท่าการขยับอันสวยงามซึ่งได้มาจากภูมิความรู้นับหมื่นปีของตัวเอง
“สุดยอดเลย นี่สินะการปฏิบัติดั่งเดิมที่ฉันคนนี้ควรได้รับ”
ยัยหนิงได้ใจใหญ่เลย ไม่ได้เขินเลยสักนิดแต่กำลังปลื้มอยู่ เพราะนานๆทีจะโดนจีบ เผอิญว่าสวยเกินจนคนปกติไม่กล้าจีบ คนที่เป็นชนชั้นสูงของโลกก็ไม่ได้เจอบ่อยๆด้วย ทำให้หนิงดูตื่นเต้นทีเดียว
ว่าก็ว่าเถอะ เจ้าเซียน ไม่ใช่ว่ามีธุระกับผมหรือไง ไหงเจอสาวแล้วพุ่งไปหาเจ้าตัวเลยละนั่น น่าโมโหจริงๆ นิสัยแบบนี้แหละที่น่าหงุดหงิด
เซียนส่งตาเป็นประกายให้หนิง และโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ
“สนใจจะเป็นภรรยาของข้าหรือไม่?”
…หนิงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“ไม่ละ แต่ขอบใจที่มาบอกชอบนะ”
ตอบปฏิเสธจบหนิงก็หันมาแสยะยิ้มใส่ผม
“เป็นไงล่ะ!? สเน่ห์ของฉันคนนี้น่ะ โดนผู้ชายที่พึ่งเจอกันครั้งแรกมาบอกรักไม่พอยังขอแต่งงานด้วยอีก”
“สำหรับท่านเซียนเพลย์บอยแล้วก็ปกตินะ”
“..หืม?”
หนิงได้แต่ยืนอึ้ง–เซียนลุกขึ้นยืนอย่างเจ็บปวด เจ้าตัวหยิบสมุดบันทึกที่เขียนจั่วหัวไว้ว่า ‘บันทึกการหาภรรยา Vol.10’
..10 แล้วสินะ ล่าสุดน่าจะยัง 9 อยู่เลย สงสัยช่วงนี้ได้ออกจากบ้านบ่อยมั้ง
“น่าเศร้านัก ..น่าเศร้าจริงๆ แต่คงต้องทำใจและเดินหน้าต่อไป 1001 ..ต่อไป 1002 เอาละ ครั้งต่อไปจะเป็นบทสุดท้ายของความรักของข้า”
หนิงจ้องเซียนด้วยแววตาที่แสนจะเย็นชา ..
“นี่มันอะไรเนี่ย ไม่เห็นจะจริงใจกันเลย นี่เห็นการขอแต่งงานเป็นอะไรกันแน่เนี่ย สำหรับฉันการได้แต่งงานเป็นเส้นชัยชีวิตพอๆกับการได้เปิดร้านอาหารของตัวเองเลยนะ”
“..ในเมื่อว่าอย่างนั้นแล้ว จะแต่งงานกับข้าสินะครับ” เซียนยิ้มให้อย่างมีความสุข “ตกหลุมรักข้าแล้วรึครับ? เร็วจังนะ”
“หน้าตาดีจังเลยนะคุณเนี่ย น่าจะหน้าตาดีรองจากยูจิคนเดียว ซึ่งเหมาะแก่การทำให้ยับสุดๆเลย–โว้ย!!!!”
หนิงจะอาละวาดแล้วหลังจากที่สงบมาได้หลายวัน ผมรีบพุ่งไปล็อคแขนหนิงไว้ไม่ให้หลุดไปซัดเซียนตามใจอยาก เซียนมองมาทางหนิงด้วยรอยยิ้มตามเดิม นั่นยิ่งยั่วโมโหหนิงเข้าไปใหญ่
อนึ่งเรื่องยูจิหน้าตาดีที่สุดนั้นเป็นเพียงมุมมองของหนิงคนเดียว เพราะบัฟของความรักทำให้หนิงเห็นว่ายูจิหล่อสุด
“แม่จะเล่นให้ทำหล่อไม่ได้อีกเลย! ไอ้ผู้ชายสำส่อน!”
“เป็นความรุนแรงที่แสนบริสุทธิ์ งดงามเหลือเกิน”
ผมถอนหายใจเฮือกโต เอเธอร์ที่สังเกตุเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ก็ยิ้มออกมา
“เซียนเป็นตัวตนที่น่าสนใจกว่าที่คิดนะครับ เห็นว่าเรเซอร์ไม่ชอบ ผมก็เผลอคิดไปว่าเป็นคนน่าเบื่อเสียแล้ว”
เซียนที่สังเกตุเห็นเอเธอร์ก็ดูอารมณ์ดีขึ้นไปอีก ทำท่าเข้าไปทักอย่างกับเจอเพื่อนเก่าอย่างไรอย่างนั้นเลย
“หืม? อะไรกันๆ นั่นเอเธอร์สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ใช่หรือไง ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ”
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน? อ๋อ แบบนี้นี่เองสินะครับ อย่างที่เคยพูดคุยกับแกนน่อน ผมเคยมีตัวตนในอดีตและน่าจะมีโอกาสได้พูดคุยกับคุณในระดับหนึ่งเลย หากว่าตามประวัติศาสตร์แล้ว ผมกับคุณคงไม่ต่างกับสหายร่วมสาบาน”
“ใช่แล้ว ความทรงจำหายไปอย่างที่บอกกันจริงๆด้วยสินะ น่าสนใจจริงๆ แล้วการที่คุณกลับมาเคลื่อนไหวได้ต่อเป็นเพราะจอมมารถือกำเนิดในยุคนนี้จริงๆด้วยสินะ อะไรกัน เป็นยุคสมัยที่โกลาหลสุดๆเลยไม่ใช่หรือไง”
คุยเรื่องน่าสนใจกันทั้งนั้นเลยไม่ใช่เหรอเนี่ย ตัวตนของเอเธอร์ก่อนเสียความทรงจำเอย แล้วดูเหมือนเซียนจะสนิทกับเอเธอร์พอสมควรเลยด้วย
ไว้มีโอกาสผมไปถามนอกรอบดีกว่า แต่ก่อนอื่น
“แล้วมีเรื่องอะไรเหรอ?”
ผมเอ่ยถามเซียนที่กำลังคุยกับเอเธอร์แบบออกรส
เซียนทำหน้าเหมือนพึ่งนึกได้ว่าจะมาคุยกับผม เจ้าตัวหยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋า
“ข้ามาเสนอตัวให้คุณจ้างงานน่ะนะ แล้วก็ด้วยความบังเอิญ ข้าได้นำข้อมูลของคุณฟัฟนิร์แล้วก็คุณชินดร้ามาฝาก”
“วะ ว่าไงนะ”
เรื่องของสองคนนั้นเหรอ!?
****
ผมรีบจัดของในห้องของตัวเอง และตั้งโต๊ะกับเก้าอี้สองตัวไว้กลางห้อง เป็นอันคุยเรื่องส่วนตัวของกันและกัน
เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งสถานที่และน้ำชาผมกับเซียนก็นั่งอยู่ตรงข้ามกัน และเริ่มพูดคุยทันที
“ทั้งสองได้เขียนจดหมายและบอกเล่าข้อมูลให้ข้าฟังในระดับหนึ่ง โปรดอ่านจดหมายและฟังข้าอธิบายในบางส่วนด้วยนะ”
ผมพยักหน้าตามที่เซียนกล่าว และหยิบซองจดหมายมาแกะและอ่านทันที
…..
….
แบบนี้นี่เอง
ผมเก็บเนื้อหาเข้าซองจดหมายและวางไว้บนโต๊ะ
“อยากให้ไปช่วยสินะที่อาณาจักรเนลยอน”
“ใช่ครับ เหมือนว่าเนลยอนจะเริ่มเข้าสู่แผนขั้นสุดท้ายแล้ว ทางคุณฟัฟนิร์กับคุณชินดร้าจึงต้องการกำลังเสริมที่พึ่งพาได้ ..หากเป็นตามที่ผมคาดคะเนเอาไว้ คุณเรเซอร์น่าจะได้ ‘เซปเตอร์เดธ’ กับ ‘มณีอัคคี’ มาแล้วนี่ครับ กำลังของคุณตอนนี้ถือว่ามากที่สุดบนโลกคนหนึ่งเลยละ อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่ระดับที่ข้าสามารถเอาชนะได้เหมือนสมัยก่อน”
..ผมเคยถูกเซียนเล่นงานจนเกือบตาย
ตัวผมตอนนั้นที่อายุน่าจะราวๆสิบห้าปี ผมได้จับกลุ่มนักผจญภัยจากแซร์อิซเดินทางไปที่ทวีปเกรลกัน จุดมุ่งหมายคืออาณาจักรเกรล ผมไปเพื่อจะศึกษาเมื่องที่นั่นและศึกษาเทคโนโลยีในระดับสูงอันเลื่องสือ แต่ระหว่างทางก็ดันโดนเซียนดักตีเข้า เพราะความเข้าใจผิด
สุดท้าย ตัวผมในเวลานั้นก็ไม่อาจสู้เซียนได้เลย ทุกคนที่ยื้อเวลาให้ผมก็แพ้อย่างง่ายดายรวมถึงผมด้วย ที่รอดมาได้เป็นเพราะจู่ๆเจ้าตัวก็รู้สึกสนใจผม และสามารถแก้ความเข้าใจผิดได้ในภายหลัง ทำให้ทุกคนรอดไปได้อย่างหวุดหวิด
พอนึกถึงเรื่องตอนที่โดนเซียนหยุมหัวคราวนั้นแล้วผมก็รู้สึกไม่ค่อยชอบไอ้หมอนี่เท่าไหร่ ตอนนั้นโดนด่าในเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ก่อยับๆเลย
“ถ้าเป็นตอนนี้ คุณเรเซอร์ สามารถเอาคืนได้สบายเลยนะ”
เหมือนว่าเซียนจะเดาสิ่งที่ผมคิดในใจได้
“ไม่จำเป็นหรอกครับ เปลืองแรงซะเปล่าๆ” ผมหรี่ตามองจดหมาย “เข้าใจเรื่องของฟัฟนิร์แล้ว ผมขอใช้เวลาตัดสินใจก่อนสักพักหนึ่ง อย่างน้อยๆก็ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์หรอก ประมาณนี้โอเครรึเปล่า?”
“ได้เลยครับ อย่างไรซะ กว่าจะถึงเวลาที่คุณฟัฟนิร์บอกจริงๆก็เป็นเดือน”
ผมพยักหน้ารับที่เซียนบอก ก่อนจิบชาเข้าปากเพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้แก่ตัวเอง
บางทีการชงชามาจิบทีละนิดมันก็เหมือนกับการสร้างบรรยากาศในจิตใจนั่นแหละ ยิ่งเวลาที่จำเป็นต้องใช้สมาธิมหาศาลอย่างตอนคุยเรื่องงาน ชาก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เข้าไปใหญ่
เมื่อปรับบรรยากาศเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเข้าเรื่องต่อไป
“แล้วธุระของท่านเซียนโดยเฉพาะล่ะ?”
แม้จะไม่ชอบเซียนเท่าไหร่นัก แต่ผมก็จำเป็นต้องพูดสุภาพกับเขา คิดว่าทำแบบนี้ดีกว่า
“สัญญาที่ให้ไว้กับ โซล่า เลนน่อน ผมมาทำให้เป็นจริงครับ”
…รู้ได้ยังไง ผมอยากจะถามออกไปแต่ก็นึกได้จากบันทึกของโซล่า
เหมือนว่าโซล่าจะได้พูดคุยกับเซียนมากมายพอสมควรเลย ในบันทึกว่าไว้ว่าทั้งสองสนิทกันมากทีเดียว ในฐานะคนที่ชื่นชอบการสร้างเช่นเดียวกันแล้ว โซล่ากับเซียนสนิทกันทั้งในโลกปัจจุบันนี้และโลกในฝันที่โซล่าบันทึกเอาไว้
เรื่องความฝันของโซล่าเอาก็คงได้เล่าให้เซียนฟังบ้างแล้วกระมัง
“โซล่า สำคัญกับท่านเซียนพอดูเลยนี่”
จำไม่ผิด–
“ใช่ครับ เธอคือคนที่ 999”
หมายถึงคนที่เซียนได้ขอแต่งงานด้วยน่ะนะ
“..ผมชักสงสัยแล้วสิว่าท่านได้จริงจังกับการหาภรรยาหรือเปล่า”
“จริงจังสิครับ ตลอดหมื่นปีตั้งแต่ยุคโบราณ คนที่ข้าได้ขอแต่งงานด้วยมีเพียงพันคนเองนะ”
หากมองว่าเป็นเวลานับหมื่นหรือแสนปีที่เซียนอาศัยอยู่แล้ว จำนวนพันคนก็อาจไม่ได้เยอะอย่างที่คิดก็เป็นได้
“แต่รู้สึกว่าระยะนี้ถี่เหลือเกินนะ โซล่าละหนึ่ง ชินดร้าต่อ แล้วก็หนิงอีก”
“รู้สึกหึง โซล่า เลนน่อน รึครับ? ถ้าหากเธอได้ยินเข้าน่าจะปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเป็นห่วง เป็นไปได้ก็อยากให้มาได้ยินด้วย แต่นั่นสินะ คงจะเป็นไปไม่ได้แล้วละ เพราะโซล่าได้หายไปจากโลกอย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่มีพลังวิเศษใดที่จะช่วยปลุกโซล่าจากความตายได้
อย่างน้อยๆก็มีแค่ความฝันของเธอที่ผมพอจะทำให้เป็นจริงได้อยู่
“ขี้โกงจริงๆนะครับ ปฏิเสธความรู้สึกของเธอ แต่กลับยอมรับความฝันของเธอเพียงเพราะคุณเรเซอร์มีผลประโยชน์เนี่ย”
ปฏิเสธไม่ได้เหมือนเดิม คทาเวทย์นาม ‘เรลันดาฟ’ ที่โซล่าตั้งใจสร้างนั้น มันสร้างประโยชน์ให้ผมอย่างมหาศาลเลยละ เพราะอย่างนั้นอาจไม่ใช่แค่ทดแทนคุณให้โซล่าที่ช่วยผมตั้งมากมายอย่างเดียว แต่อาจเป็นเพราะผมจำเป็นต้องใช้มันจริงๆก็ได้ ไม่ว่าอย่างไหน หากมองด้านเหตุผลแล้ว ผมมีแต่ได้กับได้
ทว่าใจจริงของผมไม่ใช่อย่างนั้น
“ขอสาบานจากใจจริงเลย ว่าฉันไม่ได้คิดจะใช้ประโยชน์โซล่าเลย”
อย่างน้อยๆผลประโยชน์ทั้งหมดก็เป็ยเพียงแค่ผลผล็อยได้ เป้าหมายสูงสุดคือการทำให้ฝันของโซล่าเป็นจริงก็แค่นั้นเอง
เซียนที่เห็นว่าผมพูดมาอย่างหนักแน่น เจ้าตัวก็พยักหน้าคล้ายจะยอมรับเรื่องที่บอก
“โซล่า เลนน่อน คือผู้หญิงที่ดีเลิศ ยากจะหาใครมาเทียบได้ ..หากมีโอกาสแม้จะชาติหน้า ข้าก็อยากให้ท่านตอบรับความรู้สึกของเธอคนนั้น”
“..เข้าใจแล้ว ทางนี้ก็ขอสาบานเหมือนกัน”
ได้ฟังเช่นนั้นเซียนก็ดูโล่งอก
เหมือนจะสนิทกันจริงๆด้วย ทีแรกอาจจะเข้าหากันในเชิงชายหญิงก่อนเพราะฝั่งเซียนขอแต่งงานด้วยตั้งแต่แรกพบ แต่นานๆเข้าความสัมพันธ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป-ว่าไงดี เซียนกับโซล่าเนี่ย เหมือนพี่น้องดีๆคู่หนึ่งเลยละ
“บอกตามตรง ถ้าคุณเรเซอร์คิดจะปฏิเสธเธอ ข้าคงตัดสินใจฆ่าคุณเรเซอร์ทิ้งพร้อมกับทำลายแบบแปรงของเรลันดาฟที่โซล่าสร้างขึ้นทันที”
“โหดร้ายจังเลยนะ”
“ความฝันจำเป็นต้องดำเนินไปพร้อมกับอุดมคติ หากสองสิ่งนี้ไม่สามารถไปพร้อมกันได้ ความฝันก็ไม่ควรเป็นจริง ยิ่งกับคนที่ถือทิฐิในด้านนี้สูงอย่าง โซล่า เลนน่อน แล้ว ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องที่สมควรจะทำ แม้ตัวข้าจะไม่อาจสู้กับคุณเรเซอร์ได้แล้วก็ตาม”
“นั่นสินะ”
ผมลุกขึ้นยืน จากนั้นก็โค้งศรีษะให้เซียน ..เป็นครั้งแรก ที่ผมไม่รู้สึกรังเกียจเวลาทำท่าทีเคราพให้แก่คนๆนี้
“ขอร้องละ ..ช่วยสร้าง เรลันดาฟ ให้ที สิ่งที่ต้องเตรียมไว้รวมถึงแปรงการสร้างมันอยู่กับฉันทั้งหมด ทุกอย่างพร้อมแล้วเหลือแค่สร้างมันขึ้นมา ความฝันของโซล่าก็จะเป็นจริง”
“ส่งแบบแปรงมาหน่อยครับ”
ผมหยิบแบบแปรงจากกระเป๋าเวทมนตร์และยื่นให้เซียน เขารับมันไปและใช้เวลาอ่านเพียงไม่นาน
“..หนึ่งสัปดาห์”
หนึ่งสัปดาห์?
“ส่งทุกอย่างที่ใช้เป็นวัตถุดิบให้ข้าทั้งหมด ข้าจะกลับไปที่บ้านของตัวเอง และสร้างมันขึ้นมาให้ได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ ระหว่างนั้นจะตามข้ามาด้วยก็ไม่ถือนะ หากกลัวว่าข้าจะคิดโกงน่ะ”
“..ไม่ละ ทางนี้เองก็มีธุระต่อจากนี้เหมือนกัน ขอฝากคทาเวทย์ให้กับท่านเซียนเลยละกัน”
“จะดีรึ? ของทั้งหมดที่ให้ไม่ต่างกับสมบัติของโลกใบนี้เลยนะครับ ทุกอย่างนั้นล้ำค่ายิ่งกว่าเงินทองทั้งหมดของบางอาณาจักรเสียอีก”
“ ‘แม้จะเป็นคนที่เข้าใจยาก แต่เซียนไม่มีทางโกหกแน่นอน เขาคือคนที่เปรียบได้ดั่งพี่แท้ๆของฉัน’ ..โซล่าเขียนเอาไว้ในบันทึก จริงๆแล้ว ผมก็ตั้งใจจะไปหาท่านเซียนเองเพื่อวานให้สร้างเรลันดาฟให้นั่นแหละ”
ทำไมต้องเซียนนั้นเหรอ? ง่ายๆเลย
“โซล่าบอกเองว่าถ้าเธอสร้างไม่ได้ก็ขอฝากสิ่งนี้ไว้ให้ท่านเซียนเป็นผู้สร้าง”
….
…..
เซียนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะผุดยิ้มที่ดูอ่อนโยนออกมา ดูเป็นจริงที่จริงใจและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก พอเห็นแบบนี้ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเซียนตั้งใจจีบผู้หญิงดีๆหน่อย คงหมดปัญหาเรื่องหาภรรยาไม่ได้เสียที
“นั้นรึ ..ข้ายินดีจริงๆที่ได้รับความไว้วางใจจากเธอคนนั้นถึงเพียงนี้ ในฐานะผู้เปรียบเสมือนพี่ชายแล้วมีแต่จะต้องทำออกมาให้ดีที่สุด เข้าใจแล้วละ” เซียนมองหน้าผมตรงๆ “ข้าจะมอบ ‘คทาเวทย์ที่ทรงพลังที่สุดบนโลกตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต’ ให้เอง”
กล่าวจบเซียนก็ยื่นมือมาให้ผม–ผมจับมือเซียนตามที่อีกฝ่ายต้องการ
พันธสัญญาเป็นอันตกลง การสร้างคทาเวทย์ที่จะทรงพลังที่สุดในโลกตลอดกาลได้เริ่มขึ้นแล้ว