< < 142 Sec2 > >
ความแข็งแกร่งที่แท้จริงคืออะไร? พลังที่มากมายเหลือล้น? ความเชื่อที่ไม่สั่นคลอง? ทั้งสองอย่าง?
ผิดทั้งหมดนั่นแหละ
สำหรับผมคือการยอมรับว่าตัวเองนั้นอ่อนแอ นั่นละ คือความแข็งแกร่ง เพราะการรู้ขีดจำกัดตัวเองมันจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม หากได้ไตร่ตรองดีๆแล้วลงมือทำละก็นะ
‘แน่นอน ทั้งหมดเป็นเพียงความเห็นมาสเตอร์ เป็นเพียง ความแข็งแกร่ง ในอุดมคติของมาสเตอร์ซึ่งเกิดจากปมด้อยของตัวเอง’
ใช่แล้วละ ที่บอกก็แค่อุดมคติของผมซึ่งเกิดจากประสบการณ์ชีวิตที่เก็บเกี่ยวมาก็เท่านั้น สุดท้ายคนเราก็เจอมาต่างกัน และไม่อาจชี้ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิดได้ในด้านจิตใจ–กล่าวคือ ไอ้ปากดีที่ทำเป็นพูดเรื่องความแข็งแกร่งที่แท้จริงอย่างผมนั้นมิได้เข้าถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงเลย แค่ทำเท่แล้วพล่ามออกมาแค่นั้นแหละ
ตัวผมที่ดูเห่ยขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบหรอกนะ
ผมเดินออกจากห้องไปในสภาพที่สวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงยีนส์สีดำ เป็นชุดสุดจะเรียบง่าย แน่นอนชุดง่ายๆมันก็ดูดีแบบง่ายๆอยู่แล้ว
ผมลงไปที่ชั้นล่างของโรงแรม หนิงและเอเธอร์กำลังนั่งรออยู่
หนิงอยู่ในชุดแฟชั่นจัด แต่ก็สังเกตุได้ว่าขอบตาดำมาก เหมือนว่าจะไม่ได้นอนมาเลย ส่วนเอเธอร์นั้นก็ใส่สูทขาวไร้รอยขีดข่วนดังทุกที พอทั้งสองเห็นผมแล้วก็ต่างโบกมือให้ผมด้วยรอยยิ้ม
“มาสายไม่ใช่รึไง?”
“ตรงเวลาเป๊ะต่างหาก”
โดนหนิงบ่นตามสไตล์จบผมก็ลงไปนั่งบนโซฟา นั่งอยู่หัวโต๊ะ
เมื่อเข้าที่แล้ว เอเธอร์ก็ยื่นหนังสือพิมพ์มาให้ผม–ผมรับมันไว้และต้องสะดุดกับหัวข้อข่าวทันที
“.. ‘นักเวทย์ขั้นบรรลุคนใหม่ แม้จะสูญเสียไปสองแต่ก็ได้กลับมาหนึ่ง ว่าที่ราชาจอมเวทย์ และยุคสมัยใหม่ของจอมเวทย์–จอมเวทย์อัจฉริยะในรอบพันปี เรเซอร์ ดราแคล์’ ..แบบนี้นี่เอง” ผมอ่านเนื้อหาต่อ “มีส่วนร่วมสำคัญในการกำราบเรนในงานประชุมโลก มีความแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่า ไรเดน อาคาสะ แล้วก็..ถูกราชาอัลเบโด้ฝากฝังให้เป็นราชาจอมเวทย์คนต่อไปสินะ”
เนื้อหาข่าวนี่มันอวยผมเก่งจริงๆ น่าจะเขียนกะเอาประเด็นเฉยๆนั่นแหละนะดูแล้ว …พอเลื่อนมาดูข้างล่าง ผมก็ถอนหายใจออกมา
“ได้รับการยืนยันว่ามีอยู่จริง ..พบศพมังกรนภาในตำนาน คาดว่าเกิดจากชายอายุราวๆสิบหกปี บุคคลปริศนาผู้มากด้วยพรสวรรค์”
ยูจิสินะ
ผมวางหนังสือพิมพ์ลง จากนั้นก็จิบชาที่เอเธอร์วางไว้บนโต๊ะ
หนิงมองเอกสารเนื้อหาข่าวส่วนของยูจิก่อนจะฮาวออกมา
“แยกกันไปได้แปปเดียวก็ก่อเรื่องใหญ่โตเลยนะ ยูจิเนี่ย แถมยังฆ่าด้วย ..ทั้งที่ไม่น่าใช่คนที่กล้าลงมือขนาดนั้นแท้ๆ”
…คืนก่อนหน้านั้น หรือไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้
ผมและยูจิได้ทะเลาะกันอย่างรุนแรง หนิงที่พยายามจะเข้ามาห้ามก็โดนยูจิทำร้ายโดยไม่ตั้งใจ ..จากนั้นยูจิก็หนีไปทันที
หมอนั่นพัฒนาขึ้นเร็วมาก ความแข็งแกร่งร่างกายในตอนนี้มากกว่าผมมาก เผลอๆอาจจะเหนือกว่าหนิงแล้วก็ใกล้เคียงกับเอเธอร์แล้วก็เป็นได้ หากรวมความสามารถหลายๆอย่างก็เป็นไปได้ว่ายูจิตอนนี้ เข้าใกล้ความสามารถในช่วงจบเรื่องเข้าไปทุกที เพราะอย่างนั้นเลยตามไม่ทัน ยูจิได้หนีหายไปจากจักรวรรดิราชามังกรโดยไร้ซึ่งร่องรอย
สุดท้ายก็ไม่ได้ปรับความเข้าใจอะไรกันเลย แค่ทะเลาะและต่างฝ่ายก็หันหน้าหนีกัน แค่นั้น
แต่ก่อนที่จะหนีไป ..สีหน้ายูจิค่อนข้างแย่ทีเดียว
ผิดพลาดตรงไหนกันนะ? ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พลาด ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าตัวเองปฏิบัติตัวอย่างดีมาตลอด ไม่ได้ขัดขวางการเจริญเติบโตเลย พยายามซัพพอร์ตในทุกๆด้านแท้ๆ แต่ผมลัพธ์กลับกลายเป็นแบบนี้
ไม่อยากเชื่อเลยว่ายูจิคนนั้นจะเถียงกับผมได้อย่างดุเดือดขนาดนั้น พอนึกกลับไปเรื่องเมื่อคืน ผมก็โดนยูจิจี้จุดหลายอย่างเลยละ บาดแผลในใจจากเมื่อวาน วันนี้ยังเจ็บอยู่เลยในบางส่วนน่ะนะ–แต่ผมเองก็ใช่ย่อย พอโดนระเบิดอารมณ์ใส่เข้า สุดท้ายผมก็เก็บอารมณ์เครียดไว้ไม่อยู่ เลยทะเลาะกับยูจิอย่างกับเด็กที่เชื่อว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกอยู่ในมิติๆเดียว สุดท้ายก็มีแต่จะเจ็บกันทั้งคู่เปล่าๆ
ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด ไม่ใช่แค่พวกผมสองคน หนิงเองก็ผล็อยได้ผลไปด้วย
บางที ถ้าตอนนั้นผมใจเย็นพอจะใช้วิหคอมตะคุมสติตัวเองได้ ผลลัพธ์อาจไม่ใช่อย่างนี้
“ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองหรอก ..ฉันเองก็มีส่วนผิดด้วยเหมือนกัน” หนิงแหงนหน้ามองเพดาน และยิ้มเจื่อนๆคล้ายประชดตัวเอง “ตอนนั้นยูจิพูดด้วยสินะว่า ‘คนไร้หัวคิดที่ทำอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่มีคนนำ คนไร้จุดยืน’ ..บางที นั่นอาจจะตรงกับฉันกว่าที่คิดก็ได้ ก็ปกติ หลายๆอย่างที่ทำก็ทำเพราะตามๆทุกคนไปนั่นแหละ สุดท้ายธงของตัวเองก็ไม่ได้ชัดเจนอะไรตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ต่างกับนายแล้วก็ยูจิ”
จะว่าไป ผมเริ่มขึ้นก็ตอนที่ยูจิด่าหนิงอย่างนั้นละมั้ง พอขึ้นแล้วทะเลาะกับยูจิสองสามประโยคก็ไปยาวเลย
‘คุณเรเซอร์คิดว่าผมเป็นตัวอะไรกันแน่? เพื่อน? คนใช้? หรือว่าหุ่นเชิด? คงจะหุ่นเชิดไม่ก็คนใช้สินะครับ แน่นอนอยู่แล้วสิ ผมมันก็เป็นได้แค่นั้นแหละ ต่างกับคุณเรเซอร์ ผมต่างกับคุณเรเซอร์ เพราะอย่างนั้นอย่ายัดเยียดอุมดการณ์ของคุณมาให้ผม—อย่างคุณน่ะ ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า เพื่อน!!’
ที่ว่าไว้มีหลายส่วนไม่จริงก็จริง แต่หลายส่วนก็เป็นความจริง ตัวผมอาจจะก้าวก่ายชีวิตยูจิมากไปก็เป็นได้ โดยไม่รู้ตัว ผมอาจปฏิบัติเหมือนยูจิเป็นตัวหมากตัวหนึ่งในกระดานไปแล้วก็ได้
แต่ทั้งหมดผมก็รู้แก่ใจ เจตนาและใจจริงน่ะ ..ผมไม่เคยมองอย่างนั้น
ผมเผลอออกแรงบีบแก้วน้ำชาโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่ไม่แตก-ผมถอนหายใจเอือกโต จากนั้นก็มองไปทางเอเธอร์
“มีความเห็นอะไรรึเปล่า?”
“นั่นสินะครับ คิดว่าคุณยูจิในตอนนี้คงไม่อาจหวังพึ่งอะไรได้ ..ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด”
ใช่ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ..
“ทั้งสองอาจได้เจอกันอีกครั้งในฐานะ ‘ศัตรู’ ”
..เริ่มจากตัวตนที่หลงใหล ก่อนจะกลายมาเป็นเพื่อนที่ไว้วางใจกัน จากนั้นความไว้วางใจก็ค่อยๆจางไป ในที่สุดก็เหลือแต่คำว่าศัตรู ไม่ใช่เพื่อนที่สะกดว่าคู่แข่งรึศัตรู แต่เป็นศัตรูเปล่าๆที่ถูกลบคำว่าเพื่อนไป
จากดีมาร้าย นั้นแย่ยิ่งกว่า ร้ายมาดี เพราะร้ายมาดี มันหมายความว่าคนๆนั้นมีด้านดีที่เราไม่รู้อยู่ หากดีกันได้ ก็คงยอมรับด้านร้ายๆกันได้ แต่ดีมาร้ายคือรู้จักด้านดีกันก่อน และพบว่าด้านร้ายนั้นไม่อาจเข้ากันได้ มันหมายถึงการแตกหักอย่างแท้จริง
ความสัมพันธ์ของผมกับยูจิคือดีมาร้ายแน่นอน แม้เรื่องที่ทะเลาะกันจะเป็นเพียงความเห็นไม่ตรงกัน
“ผมสงสัยครับ”
เอเธอร์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“อย่างที่รู้ว่าเรื่องที่เจอไม่ใช่เรื่องเล็ก ต่อจากนี้เองก็คงต้องเอาชีวิตตัวเองไปแขวนบนเส้นด้ายตลอด วิหคอมตะไม่อาจช่วยได้โดยสมบูรณ์ มณีอัคคีก็ด้วย อาวุธที่คุณจะสร้างต่อจากนี้ก็ไม่มีอะไรมายืนยันว่าคุณจะใช้มันผ่านทุกปัญหาได้ ..อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่การละเล่นของเด็กๆที่มั่นใจว่าคืนดีกันได้แน่นอน”
…
“ถ้าเกิดจำเป็นจริงๆ ..ถ้าคุณยูจิขวางทางจริงๆ ถ้าความเห็นต่างกันคนละฝั่งจริงๆแล้วละก็ ถ้าหากต้องฆ่าเขาเพื่อไปสู่เป้าหมายต่อไป ถ้าเกิดว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องฆ่าละก็–พวกคุณจะฆ่าเขาได้รึเปล่า?”
..แน่นอน คำถามนี้ไม่ได้ถามแค่ผม ยูจิเองก็คงต้องถามตัวเองเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน
ฆ่าเพื่อนของตัวเองได้มั้ย เพื่อเป้าหมายแล้ว พร้อมจะดับชีวิตของคนที่เคยหัวเราะด้วยกันมาก่อนจากใจจริงได้รึเปล่า ความฝันของคนๆนั้น อนาคตของคนๆนั้นที่เคยแลกเปลี่ยนให้กันและกัน พร้อมจะดับมันทิ้งได้มั้ย กล้าพอจะทำลายเวลาอีกหลายสิบปีของคนอื่นรึเปล่า? กล้าพอจะช่วงชิงมั้ย? ..ผมนึกถึงหน้าของเบลลามี แองเจลิน่า เรเซล อันนา เคียวยะ หนิง ..อีกหลายๆคน หลายคนบนโลกนี้ที่ผมรัก ที่ผมรู้จัก ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจหาอะไรมาทดแทนได้ แน่นอน หนึ่งในนั้นมียูจิอยู่ด้วย มันจึงเป็นเรื่องยากในการตัดสินใจ
ฆ่าคนที่ตัวเองอยากจะปกป้อง แบบนั้นน่ะทำได้ด้วยเหรอ ..
“ฉันจะคว้าไว้ให้มากที่สุด”
มันไม่ใช่เรื่องของตัวเลข มันคือเรื่องของความรู้สึก ..
..ฉะนั้นแล้ว
“ถ้ามาขวางก็จะ ‘ฆ่า’”
ผมกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น ..เอเธอร์และผมหันไปทางหนิง เจ้าตัวรู้อยู่แล้วว่าต้องมีสายตานี้จับจ้องมาจึงยิ้มให้แบบฝืนๆ
อย่างที่รู้ หนิงรักยูจิมาก รักที่สุดบนโลก ระดับที่ในนิยายต้นฉบับ โลกทั้งใบของหนิงก็คือยูจิ
ทว่า
“ฉันไม่เห็นด้วยกับยูจิหรอกนะ ..ยังไงก็คิดว่าเรเซอร์ถูกกว่า”
หนิงมองตาผมด้วยแววตาที่สั่นคลองอยู่อย่างเห็นได้ชัดเจน เนื้อตัวเธอสั่นไปหมด ขอบตาที่ดำและสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้กระจ่างรู้ว่าเหตุใดเธอถึงไม่นอน ในหัวคงจะมีแต่เรื่องของยูจิ เรื่องต่อจากนี้ของตัวเอง คงรู้อยู่แล้วว่าต้องถูกถามเช่นนี้ในตอนเช้า
บอกตามตรง เรื่องที่หนิงพูดไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด
“เพราะอย่างนั้นแล้ว จะให้ ‘ฆ่า’ ก็ได้นะ แต่ ..คงยากน่าดู ยังไงก็..ทำใจไม่ได้หรอก ยูจิเป็นคนสำคัญนะ”
..ผมเองก็อยากพูดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้ ถ้าผมที่คอยนำทุกคนอยู่เกิดหวาดกลัวขึ้นมา ทุกอย่างคงพังลงมาพอดี
หนิงใช้มือข้างหนึ่งจับหัวของตัวเเอง และใช้มืออีกข้างเท้าคางตัวเอง เธอหรี่ตามองพื้นด้วยสีหน้าที่คล้ายจะร้องไห้
“แต่ถ้าไม่ทำก็มีโอกาสที่นายจะตายใช่มั้ยละ?”
“ใช่”
ถ้าไม่เอาจริง คนที่ตายคือผมแน่นอน ต่อให้เอาจริงก็อาจจะแพ้ก็ได้เหมือนกัน เพราะความแข็งแกร่งของยูจินั้นไร้ก้นบึ้ง หมอนั่นอาจจะได้พลังใหม่เรื่อยๆก็ได้ อาจได้ถือครองอาวุธใหม่ บางทีช่วงที่หายไปก็อาจได้วิญญาณระดับเทพเพิ่มอีกด้วย ยูจิคือตัวตนที่เกิดมาเพื่อโค่นจอมมาร ความแข็งแกร่งของยูจินั้นจึงเป็นที่สุด
ภาพของยูจิที่เหนือกว่าเอเธอร์ ผมได้เห็นมันแล้วในนิยายต้นฉบับ ..จึงรู้ดีถึงความอันตราย
ยูจินั้นแข็งแกร่งอย่างไร้ข้อกังหา
“เพราะอย่างนั้นถ้าจำเป็นเลยต้องฆ่าไม่ใช่เหรอ? เพื่อไม่ให้เรเซอร์ตายแล้ว แต่ว่าไม่ไหว ฉันรู้อยู่แล้ว แต่..มัน..ตอนแรก..ฉันใช้เวลาทั้งคืนคิดมาแล้ว ตัดสินใจได้แล้ว แต่พอพูดออกไปมันก็ไม่ใช่ สุดท้ายฉันก็เป็นคนไร้จุดยืนอย่างที่ยูจิบอกจริงๆด้วย ..ถ้ายูจิจะตายก็เป็นเพราะนายนำ ถ้านายจะตายก็เป็นเพราะยูจินำ ฉันน่ะ–ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินความเป็นความตายหรอก เพราะฉันทำอะไรไม่ได้ แค่ตัดสินใจยังไม่ได้ เพราะทั้งสองคนสำคัญกับฉันมากจริงๆ” หนิงมองหน้าผม “ขอโทษนะ เรเซอร์ ..ขอโทษจริงๆ”
…
“เรื่องยูจิฉันขอเป็นคนตัดสินใจเองจะได้รึเปล่า”
****
(มุมมอง ยูจิ)
ความแข็งแกร่งที่แท้จริงคืออะไร? การตระหนักรู้ถึงความอ่อนแอของตัวเอง? การยืมมือคนอื่นมาเป็นพลัง? ทั้งสองอย่าง?
ผิดแล้ว
ความแข็งแกร่งที่แท้จริงก็คือพลังที่มากพอจะโอบอุ้มทุกสิ่งไว้ได้ต่างหาก ..
ผมนั่งอยู่หน้ากองไฟ ตัวคลุมไว้ด้วยผ้าห่มที่ทำจากหญ้า และพึ่งจะตื่นเมื่อสักครู่นี้-ไอร้อนอ่อนๆลอยเข้าหน้าของผมมา สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นนี้ ..ข้างหน้าผม เทียนหลงกำลังยืนเฝ้าผมที่หลับอยู่อย่างจริงจังตลอดเวลา
เหมือนว่าเทียนหลงที่เป็นมังกรสวรรค์จะไม่จำเป็นต้องนอนก็ได้
เทียนหลงสังเกตุเห็นว่าผมพึ่งตื่นจึงหันกลับมา
“เป็นอย่างไรบ้างหรือคะ? ท่านยูจิ”
เมื่อคืน ผมทะเลาะกับคุณเรเซอร์และคุณหนิงอย่างหนัก สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการแยกทางกันอย่างไม่ลงลอย ตอนนี้ก็นั่งอยู่ในถ้ำและจุดไฟเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย
เรื่องเมื่อวาน ..ผมพูดไม่ดีไปมากมาย พูดเรื่องเลวร้ายที่ไม่ควรพูดออกไป สุดท้ายก็ทำให้ทั้งสองเศร้าเสียใจ ที่พูดมันย่ำแย่ขนาดไหนกันนะ..พอนึกถึงเรื่องเมื่อวานแล้วผมก็รู้สึกคล้ายจะอาเจียน
ผมจับปากของตัวเอง ข่มกลั้นอารมณ์มากมายที่พุ่งเข้าใส่ไว้ และทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด ..เพราะมีสิ่งที่ต้องปกป้องอยู่ นั่นคือโลกที่คนสำคัญของผมทุกคนเขาอยู่ เพราะอย่างนั้นแล้ว–ผมก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเป้าหมายนี้
อาการคลื่นไส้หายไปพร้อมกับการตัดสินใจที่แน่วแน่ของตัวเอง ผมมองกองไฟตรงหน้า มันช่างอบอุ่น ราวกับว่ามันคือภาพสะท้อนของการอยู่กับทุกคน
คุณหนิง คุณกอรี่กับเรย์ที่สร้างเรื่องมากมาย คุณเบลลามีที่จะช่วยแต่ดันทำให้แย่ลง คุณเคียวยะที่กะจะช่วยด้วยเพราะคุณเบลลามีลำบากก็ดันทำให้แย่ลงไปอีก ตัวผมก็ได้แต่หัวเราะเจื่อนๆพลางเกาแก้มตัวเองไปด้วย คุณโซเฟียที่ทำอะไรไม่ถูก คุณไอริสที่หัวเราะพึงพอใจกับเรื่องป่วนๆ..สุดท้ายก็ได้คุณเรเซอร์มาช่วยไว้เหมือนทุกที
บางวันก็ไปดูคุณหนิงแข่งกินจุ บางวันก็ไปซื้ออุปกรณ์เวทมนตร์โดยได้รับคำแนะนำมากมายจากคุณเรเซอร์และคุณเบลลามี บ่อยครั้งที่ได้พูดคุยกับเรย์ยามว่าง บ้างก็ช่วยคุณเบลามีกระซับความสัมพันธ์กับคุณเรเซอร์ ..หลายอย่างเลย..
ความรู้สึกที่หลากหลาย เรื่องราวที่หลากหลาย ทั้งหมดช่างอบอุ่น ..พอได้สัมผัสแล้วในจิตใจก็เกิดความรู้สึกแย่ๆขึ้นมา ผมจำเป็นต้องดับมันทิ้ง ต้องทิ้งทุกอย่างไป เพราะตัวผมไม่อาจกลับที่แห่งนั้นได้อีกแล้ว เพื่อให้เดินได้อย่างมั่นคงแล้วผมจำเป็นต้องทำ
ผมเฝ้ามองเปลวเพลิงจากกองไฟที่ใกล้จะดับลงจนถึงที่สุด …ก่อนที่เปลวเพลิงมันจะสิ้นหายไปนั้น ผมเห็นภาพของตัวเองกับทุกคนเป็นครั้งสุดท้ายภายใต้เปลวเพลิง
แล้วก็เห็นมือของคุณเรเซอร์ที่ยื่นมาให้ด้วย ..ใจลอยไปหมด ผมตั้งใจจะคว้ามือนั้นไว้ แต่ก็หยุดมือตัวเองไว้ก่อน ผมเก็บมือตัวเองไว้ กุมมือข้างที่ยื่นออกไปด้วยแขนอีกข้าง
เท่านี้ก็จบกันอย่างสมบูรณ์แล้ว เพราะนี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่คุณเรเซอร์จะยื่นมือมาให้ ..
“..”
…
…
เจ็บ..เจ็บ..เจ็บ..เจ็บ
ผมจับอกของตัวเอง หรี่ตาลง กัดฟันกรามแน่น ข่มกลั้นความรู้สึกด้านอ่อนแอทั้งหมดไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เจ็บปวดเหลือเกิน ..ไม่เอา ไม่เลย นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเลย ไม่เคยคิดอยากได้ผลลัพธ์อย่างนี้เลยสักนิด แบบนี้มันไม่ถูกต้อง ทำไมเรื่องมันถึงกลายมาเป็นแบบนี้ได้กัน
ไหนบอกว่าสักวันจะไปซื้ออุปกรณ์เวทมนตร์ด้วยกัน บางบริษัทตอนนี้พึ่งออกของใหม่เองแท้ๆแต่ผมกลับไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว–เรย์เคยบอกว่าจะจีบผู้หญิงคนหนึ่งให้ติดได้แท้ๆ แต่ผมไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว มันจะไม่มีผมอยู่ในเรื่องราวอีกต่อไป
คุณเบลลามีกับคุณเรเซอร์ไปถึงไหนกันแล้ว เรื่องที่ผมตั้งใจช่วยมาตลอดอยากรู้เหลือเกิน ..คุณหนิงที่บอกว่าอยากจะเปิดร้านอาหารของตัวเองด้วย ผมอยากรู้ …ผม..อยากอยู่ที่แห่งนั้น
แต่ผมรู้ดีแก่ใจ ถึงเวลาที่จะต้องไปต่อแล้ว
‘ยูจิ’
…
‘ถ้าเป็นตอนนี้–เธอสามารถ ‘ฆ่า’ เรเซอร์ ดราแคล์ ได้รึไม่’
…
ผมสลายความรู้สึกทุกอย่างทิ้ง
ง่ายกว่าที่คิด ทั้งๆที่เมื่อกี้ผมกำลังอวดครวญอยู่แท้ๆ กลไกการทำงานของร่างกายนี่แปลกจริงๆ
“..ถ้ามาขวาง จะ ‘ฆ่า’ ครับ”
MANGA DISCUSSION