< < 139 Sec2 > >
“เรื่องทั้งหมดก็ราวๆนี้ มีมิร่ากับอีกสองคนที่หลับอยู่เป็นพยานได้”
ผมเล่าทุกอย่างที่เจอมาให้ทุกคนฟัง ..เรลันต้าเอ่ยถามผม
“จะบอกว่าเจ้าชนะวินดาฟคนนั้นได้สินะ”
“ใช่ครับ ถ้าอยากรู้รายละเอียดไว้มาถามทีหลังก็ได้”
ผมพยายามเลี่ยงเรื่องนี้ ไม่นั้นมันจะลามไปถึงเรื่องของเซปเตอร์เดธกับมณีอัคคีที่ขโมยมาได้
“ก่อนอื่น เราต้องวางแผนรับมือพวกมนุษย์ต้นไม้กับเรนต่อ”
“ถ้าเรนละก็มันหนีไปแล้ว ปัญหาคือพวกมนุษย์ต้นไม้นี่แหละ” เรลันต้ามองไปทางขวามือ “สายลมมันบอกข้าว่าพวกมันยังอยู่ในที่แห่งนี้ และมีจำนวนที่มากพอตัวเลย”
‘พรแห่งสายลม’ เหมือนกับ ‘พรแห่งเปลวเพลิง’ มันมีความสามารถพิเศษติดตัวในฐานะผู้ถือครองมณีธาตุอยู่ อย่างพรของเรลันต้าก็คือรางสังหรณ์ของสายลมที่มีความแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาสามารถคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นและสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแต่ยังไม่เห็นได้ตามสายลม เป็นความสามารถที่ประยุกต์ใช้ได้หลากหลายเลยทีเดียว
“อย่างที่ผมเล่าให้ฟัง พวกมันสามารถดูดซับความเสียหายมาเป็นพลังให้ตัวเองได้ ไม่ว่าจะทักษะหรือพลังทำลาย มนุษย์ต้นไม้มันเลียนแบบได้อย่างกับถอดแบบมาเลยละ”
“..ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามาจริงๆก็นับว่ามีความสามารถที่น่าหวาดกลัวทีเดียว”
กลอเลียสพูดขึ้นมา ก่อนจะชายตามองไปที่ทุกคนในที่แห่งนี้
“พวกเจ้าทุกตนเคยพบเห็นมาก่อนหรือไม่?”
“ไม่เลยนะครับ” ฮิโรชิตอบ
“จะ จะให้เชื่อจริงๆเหรอที่เด็กนี่พูดน่ะ”
จูเลียสโพล่งขึ้นด้วยท่าทางวิตกจนเกินเหตุ ลูกชายของเขา อัลเบโด้มองมาทางผมด้วยสีหน้าแปลกๆ
“ถ้ามีอะไรอยากถามก็บอกได้เลยครับ นี่เป็นสถานการณ์วิกฤต เราไม่ควรปิดบังอะไรกันและกันอยู่แล้ว แล้วก็ควรจะกำจัดพวกมนุษย์ต้นไม้ให้หมดซะก่อน”
ถึงจะไม่รู้วิธีที่แน่ชัดก็เถอะ ..
ทุกคนในที่นี้ซึ่งไม่เคยได้ปะทะกับมนุษย์ต้นไม้ต่างไม่ไว้ใจผมร้อยทั้งร้อย แหงอยู่แล้วละ จะให้เชื่อเด็กเมื่อวานซืนที่จู่ๆก็โผล่มาบอกให้ทำนู่นทำนี่ได้ยังไงกัน กระนั้นกลอเลียสกับฮิโรชิก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธเรื่องที่ผมกล่าวเสียทีเดียส ..จังหวะนั้นอัลเบโด้ก็เดินมาอยู่กลางวง
“ยากจะไว้วางใจ แต่ทางนี้ให้การสนับสนุนสิ่งที่ เรเซอร์ ดราแคล์ เป็นผู้กล่าว”
“ว่าไงนะ? ราชาแห่งฟัฟนิร์ เด็กนั่นคนที่เจ้าไว้วางใจรึ?”
เรลันต้าดูแปลกใจพิลึก
“ใช่ เรเซอร์ ดราแคล์ จะเป็นคนที่ขึ้นเป็นใหญ่ในอาณาจักรฟัฟนิร์ เป็นคนที่ฉันไว้วางใจ และให้ความร่วมมือในทุกๆอย่าง จะบอกว่าเป็นว่าที่เสาหลักของอาณาจักรก็เป็นได้” อัลเบโด้กล่าวต่อ “อย่างน้อยความแข็งแกร่งที่มากพอจะโค่นวินดาฟ พวกนายน่าจะทราบดีอยู่แล้วนี่”
….นี่มันประกาศสถานะของผมกับอาณาจักรฟัฟนิร์โต่งๆเลยไม่ใช่หรือไง อัลเบโด้ตั้งใจผูกมัดผมไว้จริงๆด้วย ถึงไม่ต้องทำอย่างนั้นทางนี้ก็ไม่คิดจะเบี้ยวสัญญาอยู่แล้วแท้ๆ
“ที่แห่งนี้มีคนทรยศอยู่ จะให้เชื่อง่ายๆได้อย่างไรกัน–ความคิดที่ถูกต้องพรรค์นั้นโยนมันทิ้งไปก่อน ตอนนี้ช่วยเชื่อฉันในฐานะราชาแห่งฟัฟนิร์ที ..พวกเราจำเป็นต้องกำจัดภัยคุกคามของโลกก่อน”
จังหวะนั้น— ‘ไรเดน อาคาสะ’ ตามมาด้วย ‘ผู้กล้าแอสทอเรียส’ กับ ‘เจ้าหญิงมรกต อาเบล’ ก็เดินเข้ามาภายในงาน
“เรื่องที่บุตรชายแห่งตระกูลดราแคล์กล่าวนั้นเป็นความจริง”
“กระผม ผู้กล้าแห่งโลกเองก็ขอยืนยันเรื่องที่พูดด้วยเช่นกัน”
ทั้งสองเดินมานั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้า ..เห็นอย่างนั้นผมก็พึ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังพูดข้ามหัวราชาและจักรพรรดิอยู่ รู้ดังนั้นก็รีบคุกเข่าตามทั้งสองคน
“ช้าไปแล้วค่ะ คุณสุภาพบุรุษจากฟัฟนิร์”
อาเบลหัวเราะอย่างน่ารักและกล่าวบอกผมที่เวลานี้ได้แต่ก้มหน้าทั้งๆที่ใบหน้านั้นแดงแจ๋ไปหมด ..ดวงตาสีมรกตของอาเบลหันไปมองทางผู้นำทั้งห้าแทน
“เรื่องที่พูด ดิฉันเองก็ขอยืนยันอีกเสียง เหล่ามนุษย์ต้นไม้นั่นมีความแข็งแกร่งที่เติบโตได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด มันสามารถดูดซับความเสียหายได้ในระดับสูง อย่างน้อยก็ระดับที่ ไรเดน อาคาสะ ไม่สามารถปริดชีพมันได้” อาเบลยิ้มให้อย่างไร้กังวล “แต่ด้วยความร่วมมือจากท่านไรเดน ทำให้ทางเรามีข้อมูลวิธีการจัดการกับมนุษย์ต้นไม้อยู่ค่ะ”
กลอเลียสพยักหน้ารับสิ่งที่อาเบลอยากจะพูด
“ว่ามาสิ”
“การทำลายล้างระดับล้างอาณาจักรทั้งอาณาจักร หรือไม่ก็ถ้าหากมนุษย์ต้นไม้เหล่านั้นสามารถเติบโตยิ่งกว่านี้ ก็มีความจำเป็นจะต้องใช้พลังทำลายระดับเปลี่ยนแปลงทวีปหรือไม่ก็ทำลายทั้งทวีปทิ้งเลยค่ะ”
…ขนาดนั้นเลยเหรอ ..ถ้าเป็นระดับทวีป ผมคงไม่ไหว แต่ถ้าเป็นระดับอาณาจักรก็พอคุยกันได้อยู่
ถึงเวลาต้องใช้เวทมนตร์ที่เก็บไว้แล้วกระมัง ตลอดหลายปีมานี้ไม่มีโอกาสใช้มันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
พอคิดถึงเวทมนตร์นั้นผมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาชอบกล เพราะไอคนที่สอนสิ่งนี้ให้ผมดันเป็นคนที่ผมไม่ค่อยถูกใจเสียเท่าไหร่–เป็นเรื่องในช่วงออกเดินทางไปทั่วทั้งโลก เป็นเหตุการณ์บังเอิญที่ทำให้ผมได้พบกับ ‘เซียน’ เข้า
“ไรเดน อาคาสะ” ฮิโรชิเอ่ยนามของนักรบผู้ยิ่งใหญ่ “ไปบอกให้คนจากอาณาจักร เตรียม ‘ปืนใหญ่ เนลยอน’ มาทีครับ”
ไรเดน อาคาสะ ที่ก่อนหน้านี้มองไปที่โทมิเรียอย่างเป็นห่วงก็หันกลับมาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบเดินไปทางอื่น
“ใช้เวลาเตรียมการเท่าไหร่?” กลอเลียสถาม
“แค่ครู่เดียวก็พอแล้ว ไม่เกินสิบนาที แต่ไม่มีอะไรรับประกันหรอกนะว่าจะสามารถเผด็จศึกได้น่ะครับ” ฮิโรขิตอบ
ถ้าหากไม่สำเร็จละก็–หายนะได้มาเยือนแน่ๆ
“ท่านจักรพรรดิมังกร กลอเลียส ให้ผมได้ช่วยด้วย”
กลอเลียสจ้องแววตาของผมพักหนึ่งก่อนตอบอย่างง่ายดาย
“เข้าใจแล้ว ไปเตรียมตัวซะ”
ได้ยินอย่างนั้นจูเลียสก็วิ่งมาขวางหน้าผมไว้
“ท่านกลอเลียส ท่านพูดอะไรกันน่ะ จะปล่อยให้เด็กนี่ไปเดินเล่นในการต่อสู้คอบาดขาดตายได้อย่างไรกัน”
“อย่าได้ดูถูกผู้แข็งแกร่งไป จูเลียส” กลอเลียสพูดตอบสั้นๆและหันมามองหน้าผมกับฮิโรชิ “ข้ามีหน้าที่จัดเตรียมสถานที่สำหรับจู่โจมให้ดีสินะ การโจมจีระดับทำลายอาณาจักร หากไม่ระวัง จักรวรรดิของข้าเองก็คงถูกลบหายไปด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันภัยพิบัตินี้ จะเตรียมสถานที่สำหรับระเบิดทุกสรรพสิ่งให้เอง”
“แต่ก่อนอื่น จำเป็นต้องรวมพวกมนุษย์ต้นไม้มาอยู่พร้อมหน้ากันก่อน”
เรลันต้าเสริม จากนั้นก็ดึงดาบออกจากฝักพร้อมกับมณีวายุที่เลืองแสงอย่างสง่างาม
“อัลเบโด้ เจ้าหญิงมังกรของเจ้าหายไปไหนซะล่ะ? เจ้าก็ด้วย เรลันต้า ดาบแห่งแซร์อิซอยู่ไหนแล้ว?”
“ “…” ”
ทั้งสองมีท่าทางพูดไม่ค่อยจะออกสักเท่าไหร่ ..
อนึ่ง เจ้าหญิงมังกรของอัลเบโด้ตอนนี้ไม่ใช่ของอัลเบโด้แล้ว เจ้าตัวเป็นอิสระและตอนนี้ก็หายไปไหนอยู่ไหนก็ไม่รู้ ส่วนดาบแซร์อิซของอาณาจักรแซร์อิซนั้นก็ถูกขโมยไปโดยมหามังกรวายุอีก
ทั้งสองอาณาจักรใหญ่ได้สูญเสียอำนาจอันสูงส่งไปแล้ว
“จูเลียส เจ้าล่ะ?”
“อะ เอ่อคือ เอ่อ”
“ประสาทลอยฟ้าไม่สามารถลอยมาที่แห่งนี้ได้ทันเวลาหรอกครับ ท่านจักรพรรดิ เกรงว่าจะต้องพึ่งปืนใหญ่ของเนลยอนกับพลังของ เรเซอร์ ดราแคล์ ผู้นั้นแทน”
ลีออนเข้ามาตอบแทนจูเลียส
“เข้าใจแล้ว พวกเจ้าทุกคนออกไปจากงานประชุมโลกเสีย ข้าจะรีบตามไป”
กล่าวจบ งานประชุมโลกก็เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้น ทุกชีวิตในที่แห่งนี้พากันวิ่งกรูเข้าไปเพื่อหนีภัย เหล่าผู้นำสูงสุดนั้นยืนรอให้ที่เหลืออกไปให้หมดก่อน
ระหว่างนั้นแองเจลิน่าก็เดินมาหาผม
“แองเจลิน่า”
“น้องพี่เนี่ยหาเรื่องใส่ตัวเก่งเหลือเกินนะ”
“..”
แองเจลิน่าไม่พูดอะไรมาก เธอสวมกอดผมอย่างอ่อนโยน–ก่อนที่จะเพิ่มแรงกอดแน่นขึ้นอย่างกับกำลังเล่นมวยปล้ำอยู่ จากที่สวมกอดอย่างอ่อนโยน ตอนนี้ผมกำลังโดนสวมกอดโดยหวังจะล็อคให้คอหัก
“แองเจลิน่าแบบนี้มันเจ็บนิดหน่อยนะ”
“สัญญาว่าจะระมัดระวังมากกว่านี้ก่อนนะ แล้วก็ช่วยเรียกพี่ว่าท่านพี่ก่อนด้วย เป็นการแลกเปลี่ยนที่ยอมให้ทำตามใจตัวเอง”
“ครับๆ ท่านพี่แองเจลิน่า ต่อจากนี้ผมจะระมัดระวังการใช้ชีวิตให้มากกว่านี้”
“ดีมากจ๊ะ”
ผมตอบกลับเหมือนเสแสร้ง แต่แองเจลิน่าก็ยอมปล่อยผมไป
“ท่านราชาอัลเบโด้ ..ขอฝากน้องชายคนนี้ไว้ด้วยนะคะ”
“เข้าใจแล้ว เธอไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
แองเจลิน่าโค้งศรีษะให้ก่อนจะเดินเข้าไปในช่องวางสู่จักรวรรดิราชามังกรที่ปลอดภัย เซบาสเตียนหยุดอยู่ที่ผมก่อนพักหนึ่ง
“โปรดรักษาตัวด้วยนะครับ”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
คุยจบเซบาสเตียนก็ตามแองเจลิน่าไป
“มิร่า เธอกลับก่อนเลย”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
กล่าวจบมิร่าก็เดินออกไป พร้อมกับแบกร่างของราเมียร์ไปด้วยแบบลำบากลำบง ไรเดนอาคาสะเองก็เดินออกไปด้วยโดยที่หิ้วร่างของโทมิเรียไว้บนไหล่ คงจะออกไปเตรียมใช้งานปืนใหญ่เนลยอน..เมื่อเห็นว่าทุกคนอพยพไปหมดแล้ว ช่องว่างก็ปิด เหลือแต่เพียงไม่กี่ชีวิตในที่แห่งนี้
ราชาแห่งฟัฟนิร์ ‘อัลเบโด้’ และคนจากอาณาจักรเดียวกันอย่างผม ‘เรเซอร์ ดราแคล์’
ราชาแห่งเกรล ‘จูเลียส’ และคนจากอาณาจักรเดียวกันอย่าง ‘เจ้าชายลีออน’ ‘มาเจล’ แล้วก็คนในชุดคลุมสีน้ำตาล
ราชาแห่งแซร์อิซ ‘เรลันต้า’ และ ‘ผู้กล้าแอสทอเรียส’ กับ ‘เจ้าหญิงอาเบล’
รัฐมนตรีแห่งเนลยอน ‘ฮิโรชิ’
และสุดท้าย จักรวรรดิราชามังกร จักรพรรดิมังกร ‘ราชามังกร กลอเลียส’
ผมมองไปที่มาเจล
“ไม่เอาหมอนี่ไปเก็บด้วยจะดีเหรอครับ”
“ถึงจะเป็นพวกเบาปัญญา แต่ก็มีค่าให้ใช้งานอยู่”
พูดจบกลอเลียสก็เอาน้ำจากกระติ๊กน้ำแถวนี้สาดใส่หน้าของมาเจล
“ที่นี่สวรรค์หรือนรก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
มาเจลฟื้นกลับมาด้วยท่าทีตื่นตูมสุดขีด กลอเลียสตอบกลับวิต่อวิ
“นรก เอาละ ตื่นมาทำงานได้แล้ว มาเจล”
“นรกสินะ ไม่เลว ฟังดีๆแล้วก็เท่ใช่ย่อย”
“..เฮ้อ”
กลอเลียสถอนหายใจ และหันไปมองจูเลียสผู้เป็นนายของมาเจล
“ฝากให้งานเจ้าบ้านี่ด้วย ข้ามีธุระต้องทำต่อ”
“ขะ เข้าใจแล้ว แล้วก็มาเจลของเรามิใช่เจ้าบ้านะ มาเจลปัญหาพระเจ้าต่างหาก ..ระ เรียกให้ถูกด้วยนะ”
แม้จะทำท่าทีบ่นกลอเลียส แต่ก็ดูกล้าๆกลัวๆจนดูไม่ได้
กลอเลียสเดินผ่านทุกคนไป จากนั้นก็ยืนหลับตาอยู่พักหนึ่ง ..เพียงไม่นานผมก็สัมผัสได้ถึงเสียงของอากาศที่ผ่านไปมา จากนั้นก็มีประกายแสงสีเขียวเกิดขึ้นทั่วทั้งงานประชุมโลก
..เทคนิค ‘เซนต์’ เทคนิคพิเศษของราชามังกรที่สืบต่อมาตั้งแต่รุ่นที่หนึ่ง ..ความสามารถในการเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แผ่ขยายการควบคุมไว้ทั่วทั้งงานประชุมโลก เพียงเท่านี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ในกำมือของกลอเลียสแล้ว
กลอเลียสลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็ขยี้อากาศ—ตรงหน้าปรากฏเป็นมนุษย์ต้นไม้ราวสามสิบตนที่จู่ๆก็โผล่มาในสภาพนอนติดพื้น คล้ายว่าโดนใครสักคนจับเหวี่ยง
“..กรร”
จากนั้นร่างของกลอเลียสก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็น—ร่างของมังกรยุโรปที่มีถึงสามหัว ทุกหัวล้วนเป็นสีขาวที่สง่างามเช่นเดียวกันลำตัว ดวงตาเป็นสีทองสง่างาม ขนาดของร่างมังกรนั้นก็ใหญ่ถึงสิบเมตรเลยทีเดียว
‘ตามข้ามา’
กล่าวจบกลอเลียสก็คาบมนุษย์ต้นไม้ทั้งสามสิบไว้ในปาก และออกบินขึ้นไปบนฟ้า-ทะลุชั้นงานประชุมโลกทั้งหมดขึ้นไปยังผืนดิน
…
“สุดยอดเลยนะ”
ถึงขนาดจะไม่ได้ใหญ่เว่อร์เท่าพวกมหามังกร แต่ขนาดตัวประมาณนี่ก็จัดว่าใหญ่และที่สำคัญคือพลังต่างหาก
ผมมองรูโบ๋บนเพดานอยู่พักหนึ่งก่อนรีบตามไป
****
“แฮก ..แฮก..พ้นแล้วสินะ”
“นั่นสินะครับ”
มหามังกรเพลิงที่แท้จริงทั้งสอง ‘ชิน’ หรือ ‘ชินดร้า’ กับ ‘ฟัฟนิร์’ ทั้งสองนั่งอยู่บนผืนดินของงานประชุมโลก หากมองดูดีๆจะพบหรูขุดขึ้นมาขนาดเล็กของทั้งสองอยู่ ..เนื่องจากสถานการณ์ที่สุดจะวุ่นวายภายในงานประชุมโลก ทำให้สองมหามังกรเพลิงต้องหนีตายอีกแล้ว ไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่
การหนีตาย คงถือว่าเป็นคอนเซปต์ของฟัฟนิร์กระมัง? ไม่อยากจะคิด แต่หลายๆอย่างก็ทำให้คิดไปในทางนี้
ทั้งสองอยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้าจากการหนีตายสุดชีวิต ..ก่อนหน้านี้ แผนคือการชิงตัวเนลยอนมา แต่ไปๆมาๆก็ดันโดนเนลยอนดักทางได้ทั้งหมดก่อน จนสุดท้ายก็ได้แต่ต้องหนีคนของเนลยอนแบบเอาเป็นเอาตาย
“ผู้ใช้วิญญาณระดับเทพนั่น ..เจ็บใจนัก โดนเจ้าแรกซ์มันเล่นงานอีกแล้ว”
ฟัฟนิร์กล่าวถึง ‘ผู้ใช้วิญญาณระดับเทพ ราชันย์ไสยศาสตร์ วิน’ ด้วยสีหน้าที่เจ็บใจสุดขีด อย่างไรซะก็เคยเป็นอริเก่ากับตัวแรกซ์มาก่อนด้วย ..
“เหมือนว่าภารกิจจะล้มเหลวนะขอรับ ต้องถอนตัวก่อน”
“ยังไม่ได้เจอต้าวเรเซอร์เลยไม่ใช่หรือ?”
ชินนิ่งไปสักพัก ก่อนยิ้มตอบ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ได้รีบร้อนไปพบเจออยู่แล้วด้วย” ชินแหงนหน้ามองฟ้า “แล้วก็ ผมไม่อยากให้ท่านเรเซอร์เห็นตัวผมในสภาพที่ไม่น่าดูเช่นนี้หรอกครับ”
“..ต้าวชิน ..เพราะข้าทำให้เจ้าดูไม่ได้ ข้ารู้สึกเสียใจ แต่ไม่ขอโทษหรอกนะ!”
“ไม่คิดอยากได้คำขอโทษจากท่านฟัฟนิร์อยู่แล้วครับ”
ชินตอบกลับอย่างเย็นชา—
“แหงะ!!!? ไหงนั้นล่ะ ต้าวชิน!!”
“ล้อเล่นครับ”
ฟัฟนิร์ที่จู่ๆก็ปล่อยโฮออกมามองมาทางชินอย่างเขินอาย
“..ขอโทษ ..จบนะ”
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกครับ อย่างที่ผมบอกไปเลย”
“นี่ ไม่ได้โกรธข้าอยู่หรอกนะ ต้าวชิน”
“ไม่นี่ครับ”
ชินทำแก้มป๋องและหันหน้าไปทางอื่น เป็นคนที่ดูเท่แต่พอทำแบบนี้ก็ดูน่ารักขึ้นมาทันตา ฟัฟนิร์เห็นก็เกิดวิตกขึ้นมา เดินวงๆอ้อมๆจะดูหน้าชิน แต่ชินก็เบือนหน้าหนีฟัฟนิร์ซะทุกรอบ
“..เอ่อ”
ตึ้ง!!! ..ตึ้ง!!!..ตึ้ง!!!!
ข้างๆทั้งสองเกิดหลุมขนาดยักษ์ขึ้น พร้อมกับการกระโดดขึ้นมาอยู่บนพื้นดินของคนๆหนึ่ง ..
“ฟู่ว! รอดไป เหมือนจะยังตามทันอยู่เนอะ”
“ผะ ผู้ใช้วิญญาณระดับเทพ!!? ทำไมล่ะ? ตามมาถึงตรงนี้ได้เลยรึ!?”
ฟัฟนิร์กับชินรีบถอยหลังหนี-วินที่จู่ๆก็โผล่ตามมา
“ทำไมเหรอ? ก็แค่ใช้วิชาไสยศาสตร์สะกดรอยตามก็จบแล้วนี่ท่านมหามังกรเพลิงทั้งสอง” วินยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง “ให้ตายยังไงก็หนีวิชาของจารย์แรกซ์ไม่พ้นหรอกนะ”
คิดว่าวิชาไสยศาสตร์ของราชันย์ไสยศาสตร์คืออะไรกัน? วินก้าวเท้าเข้าไปหมายจะจัดการทั้งสอง ถ้าเป็นพื้นที่โล่งตอนนี้ละก็–ทั้งชินและฟัฟนิร์คงจะไร้ทางหนีอย่างสมบูรณ์แล้วละ
ง่ายๆจบเห๋แล้ว
ทว่า ก่อนที่จะได้ก้าวเท้าไปก็มีรอยแสงพุ่งผ่านหน้าของวินไป–วินเอียงตัวหลบประหนึ่งเล่นกายกรรม
แสงสีขาวตัดผ่านอากาศไป–ก้อนหินยักษ์แถวนั้นถูกตัดเป็นสองท่อนเอาง่ายๆ และเส้นผมบางส่วนของฟัฟนิร์ก็ถูกตัดไปด้วยเช่นกัน ..ฟัฟนิร์ยืนหน้าซีด ก่อนที่จะมีน้ำตาตามมา
…
“อย่าแกล้งฟัฟนิร์มากสิ เดี่ยวเธอก็ร้องไห้เอาซะหรอก ทั้งๆที่อายุก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว”
ชายตัวสูงถึงสองเมตร ไว้ผมสีดำสลวยยาวถึงแผ่นหลัง มีดวงตาสีเหลืองดูอ่อนโยน ผิวสีขาวราวหิมะ สวมชุดจีนโบราณโทนสีเทา มือข้างซ้ายถือร่มสีใสเอาไว้บนบ่า รวมๆแล้วเป็นชายที่มีทั้งความสวยและหล่ออย่างลงตัว
เป็นหนุ่มรูปงามที่อย่างกับหลุดมาจากภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น
“ทะ ทะ ทะ ทำไม ทำไม ทำไม มา มา มาอยู่นี่ ได้–ดดดดดด..ซะ..ซะ..ซะ..ซะ ซะ ซะ ซะ ซะ ซะ ซะ ซะ ซะ ซะ ซะ ซะ ซะ ซะ ซะ ซะ ซะ ซะ”
ฟัฟนิร์ที่หน้าซีดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลมาไม่หยุดถึงกับปากแข็ง และพูดได้แค่คำๆเดียว
“เซียน!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
‘เซียน’ ตัวตนในตำนาน ตัวตนที่ทรงด้วยสติปัญญาที่สุดบนโลก ไม่รู้แหล่งที่มา ไม่ทราบว่ามีอยู่จริงหรือไม่อย่างชัดเจน เป็นหนึ่งในตำนานของโลกใบนี้ ..ว่ากันว่าเซียนถือกำเนิดมาตั้งแต่ยุคโบราณ และเป็นสหายคนสำคัญของจอมมารดิลุค อีกทั้งยังเคยเป็นถึงที่ปรึกษาให้กับผู้กล้ารุ่นที่หนึ่ง เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการปราบจอมมารครั้นอดีตกาล
บริเวณเอวของเซียนนั้นก็มีมณีสีน้ำตาลติดเอาไว้อยู่ ..เซียนเองก็คือหนึ่งในผู้ถือครองมณีธาตุทั้งสี่ อย่าง ‘มณีปฐพี’
เซียนมองมาที่ฟัฟนิร์ด้วยแววตาที่แสนจะอ่อนโยน–ซึ่งขัดกับคำพูด
“ขืนทำมากกว่านี้ฟัฟนิร์จะพังเอานะ”
“แบบนั้นไม่ดีเหรอ?”
วินถามกลับแบบใสซื่อ เซียนตอบกลับอย่างจริงใจ
“ใช่สิ ก็คงที่มีชะตาจะต้องทำให้ฟัฟนิร์พังน่ะ–คือทางข้าต่างหาก”
ฟัฟนิร์แทบจะเป็นลม เจ้าตัวทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง และยิ้มเจื่อนๆให้กับภาพตรงหน้า ภาพของเซียนและผู้ใช้วิญญาณระดับเทพที่จ้องมาทางเธอ
ชินที่เห็นก็เขยิบมากระซิบข้างหู
“ท่านฟัฟนิร์ไปก่อเรื่องอะไรไว้ครับ”
“อย่าพูดเหมือนข้าผิดจะได้มั้ยเนี่ย!? ต้าวชิน!!”
“แล้วสรุปไปทำอะไรมาครับ”
“อึก ..อือ..คือข้าบังเอิญไปเผาบ้านที่เซียนใช้เวลาสร้างกว่าพันปีเข้า”
…
“ทีงี้เซียนก็เข้าใจผิด คิดว่าจอมมารเป็นคนทำ ..จริงๆแล้วข้าทำหลักฐานโบ่ยให้จอมมารแทนนั่นแหละ ข้าไม่อยากมีปัญหากับเซียน เซียนมันก็เลยไปหาเรื่องจอมมารพร้อมกับผู้กล้ารุ่นแรกน่ะ จากนั้นก็มารู้ทีหลังว่าข้าเป็นคนทำ หลังจากที่ลำบากลำบนสู้กับจอมมารมาเป็นสิบๆปี” ฟัฟนิร์เหม็บปากเข้าหากันและใช้สองนิ้วชี้จิ้มกันไปมาอย่างน่าเอ็นดู.. “ทีงี้ก็ไม่ใช่แค่เซียนแล้วที่โกรธข้า พวกปีศาจมหาบาปบริวารของจอมมารก็สาปข้าด้วย บอกว่าจะมาตามล่าข้าทีหลังถ้ามีเวลา”
“..ท่านฟัฟนิร์..อยู่เฉยๆไม่เคยเป็นเลยสินะขอรับ”
“ขะ ข้าไม่ตั้งใจนี่นา!!!!!!!!! ตอนนั้นข้าอดอาหารกลางทะเลทราย แล้วเห็นภาพหลอนสิ่งนั้นเป็นวัวยักษ์น่ะ!!!”
ฟัฟนิร์จับหัวและกลิ้งไปมาตามพื้นประหนึ่งคนสติแตก ..เซียนมองมาอย่างบันเทิง วินรู้สึกเอือมระอานิดหน่อย เพราะเรื่องที่คุยกันมันเข้าหูทั้งหมดเลย
“แอบรู้สึกว่าเนลยอนดูน่านับถือ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละนา พอเอาไปเทียบกับฟัฟนิร์แล้วเนี่ย”
“ฟัฟนิร์ไม่ใช่ตัวตนที่น่าเคราพแต่อย่างไร คิดถูกแล้วละที่ไม่ไปนับถือมังกรสติไม่สมประกอบนี่ครับ”
วินหัวเราะเบาหวิว ก่อนชี้ไปทางฟัฟนิร์
“ไหนๆนี่ก็อริเก่าคุณแล้วนะคุณเซียน ทางเราขอลงโทษฟัฟนิร์ให้แทนได้รึไม่?”
“เกรงว่าจะไม่ได้นะครับ ข้าเองก็จำเป็นต้องรักษาน้ำใจกับคู่ค้าด้วย”
คู่ค้า?
“ขืนปล่อยให้ฟัฟนิร์กับสาวงามผู้โชคร้ายเพราะฟัฟนิร์โดนจับตัวไป คู่ข้าของข้าคงจะฆ่าข้าทิ้งเอาได้”
…
“ขอทราบชื่อคู่ค้าของคุณได้รึเปล่านะ?”
“ไม่ได้หรอกครับ เหตุผลด้านการค้า”
“อือ ไม่เป็นไรหรอก เข้าใจเลย แต่ก็พอเดาได้แหละนะว่าใคร”
วินผสานมือเข้าหากัน เซียนยืนเท้าสะเอวแบบสบายๆ ..สายลมพัดผ่านหน้าทั้งสองไป สัญญาณการต่อสู้กำลังจะเริ่มเร็วๆนี้ทว่าก็มีเสียงเตือนดังขึ้นจากในกระเป๋าของวินก่อน
กริ๋ง กริ๋ง กริ๋ง สัญญาณเตือนนี้ทำให้วินยกเลิกวิชาไสยศาสตร์ทั้งหมด
“เหมือนว่าเจ้านายของฉันจะต้องการความช่วยเหลือแหละ ..ขอตัวกลับก่อนละกัน”
“ฝากสวัดดีเนลยอนด้วยนะครับ”
“อือ จะฝากสวัดดีให้นะ สัญญาเลย รักษาตัวด้วยละ คุณมหามังกรเพลิงทั้งสอง แล้วก็คุณเซียน”
วินกระโดดลงหลุมไป ทำให้บนผืนดินเหลือแค่สองมหามังกรเพลิงกับเซียน
เซียนหันกลังไปมองฟัฟนิร์ที่หยุดกลิ้งไปมาแล้วจ้องไปที่เซียนด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ดูเย็นชาและเปี่ยมด้วยสติปัญญาอย่างไรไม่รู้ พอฟัฟนิณือยู่เงียบๆแล้ว ..
“เซียน ข้าคิดว่านะ”
“ครับ?”
“ข้าว่าเรื่องที่จบไปแล้วก็ให้มันจบไปเถิด คิดว่าแบบนี้ดีกว่านะ หากทำอย่างนั้น ข้าจะเรียกชื่อเจ้าตามด้วย ‘ต้าว’ ให้เลย เป็นการตอบแทนที่ช่วยข้า”
“..”
เซียนยิ้มตอบกลับอย่างอ่อนโยน—จากนั้นก็เกิดอะไรขึ้นอีกหลายอย่าง แต่ให้รู้ไว้ว่าไม่ถึงตายหรอก
MANGA DISCUSSION