เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 214
< < 138 Sec4 > >
ราชาจอมเวทย์วินดาฟ เขาคือนักเวทย์ทั่วๆไป เริ่มต้นจากบ้านที่ร่ำรวยนิดหน่อย มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์สูง แต่ก็ไม่ได้เกินกว่าใครหน้าไหนมากนักในช่วงแรก จากนั้นก็หนีออกจากบ้านเพราะถูกบังคับให้แต่งงาน พลันตัวไปเป็นนักผจญภัยที่ทวีปแซร์อิซอยู่หลายปี เป็นได้เพียงนักเวทย์ขั้นสูง แต่ชำนาญเวทมนตร์ขั้นสูงถึงต้นทุกประเภท พอไม่มีสิ่งใดให้เรียนรู้ ก็รู้สึกกระหายแทบตาย สุดท้าย พออายุ 20 ปี ก็เข้าไปศึกษาเวทมนตร์ที่วิทยาลัยอิกดราซิลด์ บรรลุเวทมนตร์ขั้นบรรลุหลายประเภทภายในเวลาไม่กี่ปี และจบการศึกษาจากอิกดราซิลด์ในอายุราวๆ 30 ขึ้นเป็นศาสตราจารย์ของที่นั่น กลายเป็นคนที่สำเร็จเวทมนตร์ขั้นบรรลุได้มากที่สุดในปัจจุบัน
ทำงานอยู่ที่นั่นจนถึงอายุ 40 ปี ก็ย้ายไปทำงานให้ที่อาณาจักรฟัฟนิร์ในฐานะ ‘จอมเวทย์’ เข้าร่วมสนามรบ ร่วมสมรภูมิมากมายเพื่อที่จะขัดเกลาตัวเองในฐานะจอมเวทย์ ใช้เวลา 10 ปี เพื่อขึ้นเป็น ‘ราชาจอมเวทย์’ ในวัย 50 ปี
จากนั้นก็ดำเนินวิถีชีวิตของจอมเวทย์ที่เปี่ยมด้วยความกระหายต่อไป แม้จะชราแล้วก็ยังไม่รู้จักหยุดเรียนรู้ ราชาจอมเวทย์ไม่เคยหยุดพัมนาตัวเอง เขาใช้ชีวิตไม่เหมือนกับผู้เป็นราชา เขาใช้ชีวิตเหมือนกับวัยรุ่น ใช้ชีวิตอย่างบ้าเวทมนตร์ตามสัญชาตญาณของตัวเอง
แม้อายุจะเข้าใกล้เลข 70 แล้วก็ตาม ..เขาก็ยังคงแสวงหาแก่นแท้แห่งเวทมนตร์ต่อไป
เป้าหมายสูงสุดของเขาในตอนนี้คือ—อยากจะเข้าถึงมณีอัคคีให้ได้ แม้จะไม่ใช่ผู้ถูกเลือก เขาก็ยังพยายามต่อไป
นี่คือชีวิตที่แสนเรียบง่ายของวินดาฟ …เป็นแค่ ‘คนบ้าเวทมนตร์’
ไม่เคยสนใจเรื่องความรักหรือเรื่องรอบตัวเลย ชีวิตของวินดาฟมีแต่เวทมนตร์ ถ้าแต่งงานได้ เขาจะแต่งงานกับเวทมนตร์ ถ้ามีลูกได้ ลูกของเขาจะเป็นเวทมนตร์ ถ้าถามว่าอยากให้โลกนี้เป็นยังไง วินดาฟก็จะตอบว่าอยากให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยจอมเวทย์ ..แต่ก็ใช่ว่าในใจของเขาจะไม่มีสิ่งอื่นใดอยู่เลย
เมื่ออายุมากขึ้น เขาก็เริ่มตระหงิดใจได้ถึงบางสิ่งที่ขาดไป ..
****
ด้วยบรรยากาศที่พาไป ด้วยคู่ต่อสู้ที่ผมได้พบ ด้วยอะไรหลายๆอย่างซึ่งเป็นส่วนประกอบของเรื่องราวทั้งหมดทุกอย่าง ทำให้ในหัวผมมีแต่เรื่องที่ว่า—จะช่วงชิงทุกอย่างของอีกฝ่ายมาให้หมด
ผมสะบัดมือที่สวมใส่ถุงมือ ‘การาวิเทีย’ พลันใดนั้นร่างก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า ผมลอยขึ้นไป ลอยขึ้นไปให้ไกลมากที่สุดจนถึงขีดสุดของอาณาจักรแห่งสายลม จากนั้นก็ทำการกระหน่ำ [ทวนสายฟ้า] ใส่จากบนฟ้า และใช้เพลิงสีทองฟื้นฟูมานาของตัวเองไปด้วยเรื่อยๆ
มานาไม่ลดแม้แต่นิดเดียว ไม่รู้สึกเหนื่อย วงจรเวทย์ไม่แตกจากการฝืนตัวเองขนาดนี้–ทั้งหมดเป็นเพราะ [วิหคอมตะ] อำนาจแห่งข้อผิดพลาดของผม
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม !!!!!!! เสียงระเบิดมากมายดังขึ้นเป็นช่วงๆ คล้ายว่ากำลังยืนอยู่ในสนามรบที่เต็มไปด้วยขีปนาวุธ
ทว่า เพียงไม่นานก็มีสิ่งมีชีวิตที่ยากจะเรียกว่ามนุษย์ลอยขึ้นมาบนฟ้า
ราชาจอมเวทย์ ‘วินดาฟ’ บินขึ้นมาโดยการยืนอยู่บนเดธเซปเตอร์ในท่ากอดอกลูบหนวด
“การผสมระหว่าง [วิหคอมตะ] และการกระหน่ำ [ทวนสายฟ้า] นั่น ช่างเป็นความสามารถที่น่าหวาดกลัว ทั้งพลังทำลายล้างที่รวดเร็วและการใช้งานได้อย่างไร้ขีดจำกัด ถ้าเธออยู่ในสนามรบคงได้กลายเป็นตัวตนไร้เทียมทาน ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าสำหรับสหายร่วมรบ และเปรียบได้ดั่งปีศาจสำหรับศัตรู” วินดาฟหัวเราะพึมพำ “ถ้าเกิดว่าฉันและเธอไม่ได้มีชะตาจะต้องเป็นศัตรูกัน คงจะทำทุกวิธีเพื่อรับเธอเข้าเป็นลูกศิษย์แล้วละนะ บางทีอาจถูกใจเธอถึงขั้นเตรียมตำแหน่งราชาจอมเวทย์ไว้ให้เธอเลยก็เป็นได้นะ หนุ่มเรเซอร์”
“ทางผมก็เหมือนกัน ในฐานะจอมเวทย์ผมค่อนข้างนับถือคุณทีเดียว เคยฝันลมๆแล้งๆว่าอยากจะลองจับเซปเตอร์เดธดูสักครั้งด้วย ดังที่ว่ากันไงว่า–เซปเตอร์เดธคือความฝันของนักเวทย์ทุกคนน่ะ”
“ถ้าอยากได้ขนาดนั้นก็ลองโค่นฉัน แล้วชิงมันไปสิ เหมือนกับฉันที่ตั้งใจจะชิงทุกอย่างจากเธอ”
ผมแสยะยิ้มออกมา
“แหงอยู่แล้วสิ!”
ผมใช้การาวิเทียบินไปทิศอื่น วินดาฟเองก็บินตามมาด้วยเซปเตอร์เดธ–สปีดของพวกเรานั้นพอๆกันเลย แต่เพราะผมออกตัวก่อนทำให้นำอีกฝ่ายอยู่เล็กน้อย
เซปเตอร์เดธบริเวณผลึกส่องแสงออกมา
“[วินด์บลาสเตอร์]”
สิ้นสุดคำพูดของวินดาฟ ข้างหลังของผมก็มีพายุขนาดยักษ์พุ่งเข้าใส่
“[มิติกระจก]”
ผมสะท้อนสายลมคืนใส่วินดาฟ เจ้าตัวสลายสายลมขั้นบรรลุที่ย้อนกลับไปและสลายมันอย่างง่ายดาย
สมกับเป็นราชาจอมเวทย์ เวทมนตร์ที่ตัวเองใช้ ยังไงก็คงเข้าใจสูตรอย่างชัดเจน ทำให้ต่อให้เป็นเวทมนตร์ขั้นบรรลุก็สามารถหักล้างทิ้งได้ง่ายๆ ขอแค่เจ้าตัวรู้จักและใช้งานได้ก็พอ
หากให้เดา วินดาฟคงสามารถหักล้างเวทมนตร์ขั้นสูงลงมาได้หมดทุกประเภท หมายความว่าเวทมนตร์เกือบทุกอย่างที่ใช้ได้ของผมถูกผนึกเมื่อต้องเผชิญกับวินดาฟ จะมีก็แค่เวทมนตร์ขั้นบรรลุสามอย่างที่ผมใช้ได้เท่านั้น
[เอิร์ธฟิลด์] ฟิลด์เคลื่อนย้ายแผ่นดิน
[ทวนสายฟ้า] เวทย์จู่โจมตระกูลอาวุธสงคราม เด่นเรื่องความเร็วและพลังทำลายล้าง แต่กับคู่ต่อสู้ระดับราชาจอมเวทย์ย่อมยากที่จะใช้สิ่งนี้เข้าถึงตัวได้ เพราะการโจมตีเป็นเส้นตรง และมีความเป็นไปได้ที่ราชาจอมเวทย์จะรู้สูตรถึงขั้นหักล้างมันได้
สุดท้าย ..เวทมนตร์ขั้นบรรลุทำลายล้างสูงที่เคยขู่จะใช้กับเอเธอร์ในตอนที่เจอกันครั้งแรก ถ้าเกิดใช้ก็คงเอาชนะวินดาฟได้อยู่หรอก แต่ว่า–ผมจะหมดสภาพจากการใช้มานาจนหมด ทำให้ไม่สามารถใช้วิหคอมตะได้ไปพักหนึ่ง ถ้าหากเป็นอย่างนั้นละก็–เวทย์นี่จะไม่ได้ฆ่าแค่วินดาฟ แต่จะฆ่าทุกคนในอาณาจักรสายลม และรวมถึงผมด้วย
แม้จะมีพลังทำลายล้างมาก แต่ข้อเสียก็เยอะตามไป เงื่อนไขการใช้งานก็ยาก จำเป็นต้องเตรียมสถานที่และเตรียมตัวให้พร้อม เวลาร่ายก็แสนจะยาวนาน ใช้ทีมานาก็ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
เป็นเวทมนตร์ที่เรียนไว้เพื่อให้ตัวเองสู้ได้ยืดหยุ่นขึ้น แต่ยากจะหาโอกาสใช้งานได้
ในเมื่อเป็นแบบนี้สิ่งเดียวที่ทำให้โค่นวินดาฟได้ก็คือ–ตัดมิติของยูนานี่แหละ
ฆ่าวินดาฟด้วยการตัดมิติ–ในขณะที่คิดเช่นนั้นวินดาฟก็โผล่มาอยู่ข้างๆผมแล้ว
เร่งความเร็วมา—อย่าบอกนะว่า
เวทมนตร์ขั้นบรรลุตระกูลฟิลด์ [วินด์ฟิลด์] การเคลื่อนย้ายตามสายลม วินดาฟสลับตัวเองกับสายลม
เร็วมาก–วินดาฟหมุนเซปเตอร์เดธชี้มาทางผมประหนึ่งสเก็ดบอร์ด จากนั้นก็—
“[เฟลมบาสเตอร์]”
ยิงเพลิงทำลายล้างอัดใส่ผมจังๆ—ผมดิ่งลงพื้นทั้งๆที่ร่างเต็มไปด้วยเพลิง ผิวกายถูกเผาจนแทบจะเห็นกระดูก ทั้งๆที่เสริมร่างกายตัวเองไว้ตั้งมากมาย แต่ก็ไม่อาจรับเวทมนตร์ของวินดาฟได้ตรงๆ
เปลวเพลิงสีทอง วิหคอมตะปกคลุมร่างของผม ทำให้ตัวผมไร้ซึ่งบาดแผล จากนั้นก็เร่งมานาสุดตัวและกระหน่ำตัดมิติใส่วินดาฟจากระยะไกล ใช้การตัดมิติซ้อนกันนับร้อยนับพันครั้ง เพื่อยืดระยะไปให้ถึงตัววินดาฟได้ในพริบตาเดียว ถึงกระนั้น
“โอ๊ะ”
วินดาฟสามารถบินหลบตัดมิติด้วยเซปเตอร์เดธอย่างเชี่ยวชาญ ตัวเขาและคทาเวทย์แห่งความตายนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่อยากจะเชื่อ แต่เขาสามารถบินบนฟ้าได้ดีกว่าผมที่ควบคุมแรงโน้มถ่วงได้ จากนั้นก็ชี้เซปเตอร์เดธใส่ผมอีกครั้ง
“[ไอซ์เอดจ์]”
น้ำแข็งพุ่งเข้าใส่ผม—ผมยื่นมือออกไป และโพล่งสุดเสียง
“[เฟรมบาสเตอร์!!]”
เวทมนตร์เพลิงขั้นบรรลุขนาดยักษ์เข้าปะทะกับน้ำแข็ง และละลายทั้งหมดทิ้งเอาง่ายๆ
วินดาฟบินหลบเปลวเพลิงทั้งหมด และลอยอยู่เหนือหัวผม เขาหรี่ตามองด้วยสีหน้าที่ดูตื่นเต้นกว่าเก่า
“ถึงจะแค่อย่างเดียวก็เถอะ แต่โดนชิงไปซะแล้ว”
“กลับกัน ทางนั้นยังไม่ได้อะไรไปเลยนะ”
ผมสัมผัสร่างตัวเองและใช้วิหคอมตะฟื้นฟูมานาที่หายไปมหาศาล จากการใช้เฟลมบาสเตอร์เป็นครั้งแรก
การใช้เวทมนตร์ขั้นบรรลุครั้งแรกนั้นกินมานาเยอะทีเดียว ถัาหากไม่มั่นฝึกฝนมันก็จะกลายเป็นเวทมนตร์ไร้ประโยชน์ที่ใช้มานาเยอะเกินกว่าที่จำเป็น ..แต่ว่าข้อเสียนี้ก็ได้รับการหักล้างด้วยวิหคอมตะ ไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญก็ได้ ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องมานา ตราบใดที่สามารถเหลือไว้ได้สักหยดเดียว ผมก็จะไม่เสียอะไรเลยจากการต่อสู้
ที่ต้องจดจ่อตอนนี้ก็มีแค่การช่วงชิงทุกสิ่งของวินดาฟมาให้ได้
วินดาฟเมื่อได้ยินผมพูดหยอกเช่นนี้ เขาก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“สนุก น่าสนุกจริงๆ ไม่ได้เจอจอมเวทย์ที่สู้กันฉันได้อย่างสูสีมาตั้งนานแล้ว”
สูสี? เหมือนวินดาฟจะเข้าใจผิดไปนะ ที่ผมสู้กับเขาได้สูสีเป็นเพราะผมมีตัดมินิกับวิหคอมตะต่างหาก ถ้าไม่มีสองอย่างนี้ ผมไม่อาจเทียบวินดาฟได้หรอก บอกตามตรง ในฐานะนักเวทย์เพรียวๆ ผมยังห่างไกลกับวินดาฟมาก
“ในฐานะนักเวทย์แล้ว ผมกับคุณวินดาฟอยู่กันคนละระดับเลยไม่ใช่รึไง”
“ถ้าได้รับการสอนจากฉัน ไม่กี่ปีก็ขึ้นมาทัดเทียมได้แล้ว ..ไม่สิ รวมสิ่งที่เธอมีอยู่อีก เธอคงเหนือกว่าฉันมาก”
จอมเวทย์อย่างผม ถ้ามีโอกาสก็อยากฝากตัวเป็นศิษย์วินดาฟอยู่หรอก แต่คงไม่มีโอกาส เพราะในที่นี้ต้องมีคนใดคนหนึ่งตายอย่างแน่นอน วินดาฟเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี
“อยากรับผมเป็นศิษย์ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากช่วงชิงทุกอย่างไปจากผม ..คุณวินดาฟเนี่ยพิลึกเหมือนกันนะ”
“ต่อให้กระหายมากแค่ไหน แต่ฉันก็มีศักดิ์ศรีอยู่นะ คิดว่าทำไมฉันถึงไม่เร่งจัดการเธอให้จบๆกันล่ะ?”
เร่งจัดการผม? หรือว่าวินดาฟคิดว่าตัวเองสามารถชนะผมได้หากเอาจริง? ..นั่นสินะ ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน วินดาฟอาจจะทำอย่างนั้นได้ก็เป็นได้ เพราะผมแพ้ทางเขามากพอสมควรเลย เวทมนตร์แทบจะทุกอย่างที่มีถูกผนึก แม้จะมีวิหคอมตะกับตัดมิติอยู่ แต่การโดนผนึกการโจมตีที่หลากหลายไปก็ทำให้ผมตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก
บางที ถ้าเกิดเป็นเกมเร็ว วินดาฟอาจจะชนะผมได้อย่างที่พูด แน่นอนแค่อาจจะ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้หรอกว่ายังไงกันแน่ ..ทั้งผมและวินดาฟก็ต่างมีอีโก้เหมือนๆกัน ผมไม่เชื่อหรอกว่าวินดาฟจะชนะผมได้ง่ายๆ วินดาฟเองก็เชื่อว่าตัวเองถ้ารีบเอาจริงคงชนะผมได้ไม่ยาก ต่างคนต่างเชื่อคงละอย่าง ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็มีแต่ต้องพิสูจน์เป็นการกระทำ
แต่น่าเศร้า มันยากที่จะพิสูจน์ เพราะวินดาฟออกปากเองว่าไม่คิดจะชนะผมง่ายๆ
“ทำไมเหรอครับ เวทนาเด็กน้อยอนาคตไกลรึครับ หรือว่าชอบเล่นกับเหยื่อกัน”
“ก็ใช่อยู่ทั้งสอง แต่สำคัญที่สุดคือ ..ในฐานะจอมเวทย์แล้ว ฉันอยากจะชนะเธอในฐานะจอมเวทย์ที่สมบูรณ์ที่สุด ไม่ได้อยากชนะเธอที่ยังเรียนรู้ได้อีกมาก แต่อยากชนะเธอในฐานะตัวตนที่ไม่มีสิ่งใดต้องเรียนรู้แล้ว—กล่าวคือ ฉันต้องการชนะโดยไม่มีข้อโต้แย้งในใจว่าในอนาคต ฉันอาจจะเป็นฝ่ายแพ้”
…
“ถ้าได้เธอมาเป็นลูกศิษย์ เมื่อสอนเธอจนจบ ฉันก็จะท้าดวลกับเธอเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเอง ถ้าฉันชนะ ฉันก็คือราชาจอมเวทย์ ถ้าแพ้ ฉันก็เป็นเพียงตาแก่ตกกระป๋อง แค่นั้นแหละ”
แบบนี้นี่เอง
วินดาฟตั้งใจปั้นผมขณะที่สู้กันไปด้วย ตั้งใจให้ผมไปได้ไกลที่สุดในฐานะจอมเวทย์ และสู้กันอย่างเอาจริงในตอนสุดท้าย ..อะไรละนั่น
ผมยิ้มให้วินดาฟ ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ดีแล้วเหรอแบบนี้”
“ดีแล้วสิ ในเมื่อฉันตัดสินใจแบบนี้แล้ว มันก็ย่อมดีเสมอ”
“วินดาฟ ..ไม่สิ ถึงจะกระทันหันไปหน่อย แต่ขอเรียกคุณว่า ‘อาจารย์’ ได้มั้ย วินดาฟ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นวินดาฟก็เงียบไป เขาตาค้าง ไม่กระพริบตาเลย มองหน้าผมด้วยแววตาที่ดูใสซื่ออย่างน่าประหลาด สภาพอย่างกับคนไร้สติ ถ้าเป็นตอนนี้ ผมสามารถฆ่าวินดาฟได้ง่ายๆเลยกระมัง
แต่ผมไม่ทำ
..ไม่นานเขาก็รู้สึกตัว ได้สติกลับมา วินดาฟพยักหน้ารับ
“ด้วยความยินดีเลย ..ศิษย์เอ๋ย” วินดาฟยิ้ม “ศิษย์คนแรกของเราเอ๋ย”
“ก่อนอื่น อาจารย์ ผมขอตัวไปรักษาราเมียร์กับโทมิเรียก่อนได้หรือไม่”
ผมทำเก็กใช้วิธีพูดเสมือนลูกศิษย์ผู้เปี่ยมด้วยมารยาท และเหมือนว่าวินดาฟจะชอบใจอยู่
“ได้สิ ถ้าเป็นแบบนี้เธอคงพัฒนาตัวเองได้อย่างไร้เรื่องกังวล”
“ขอบพระคุณมากครับ อาจารย์”
ผมทำมือตัวเองเป็นปืน และยิงเพลิงสีทองใส่คนที่ปางตายสองคน เพลิงสีทองทำการรักษาเสร็จสรรพ ผมก็หันกลับไปมองวินดาฟ
“มาต่อกันเถอะ”
ผมและวินดาฟยื่นมือเข้าใส่กัน จากนั้นก็ขานเวทมนตร์ออกมาอย่างไม่รู้จบ
การต่อสู้–เพื่อช่วงชิงทุกอย่างของอีกฝ่ายจึงได้ดำเนินต่อไป
ใช่แล้ว มันยังคงเป็นการช่วงชิงอยู่ดีนั่นแหละ ต่อให้พวกเราสองคนจะกลายเป็นศิษย์และอาจารย์กันไปแล้วก็ตามที
****
“..ที่นี่..”
มิร่าตื่นขึ้นมาจากความฝันที่แสนโหดร้าย ตัวเธอถูกวินดาฟไล่ฆ่าอย่างน่าหวาดกลัว สิ่งที่เกิดขึ้นคงเป็นภาพติดตาเธอไปอีกนานแสนนาน ..มิร่าสัมผัสหน้าท้องที่ถูกแทงจนทะลุจากความฝัน ไม่มีแผล แต่..มีเลือดติดอยู่
แปลว่าไม่ใช่ฝัน
“..เรเซอร์ ..”
เธอมองไปรอบๆ ไม่พบใครเลย จึงลุกขึ้นยืนและเดินไปยังทิศที่โทมิเรียกับราเมียร์นอนกันอยู่ มิร่าวิ่งสุดชีวิต ไม่นานก็ไปถึงที่ๆจากมา ..เธอพบว่าทั้งสองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย มีแค่เลือดที่ท่วมผืนหญ้าเป็นหลักฐานการต่อสู้
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ตึ้ง!! ตึ้ง!! ตึ้ง!! ตึ้ง!!! เสียงปะทะกันอันน่ากลัวดังขึ้นจากบนหัว มิร่าแหงนหน้าไปมอง—
“ “[ค้อนสายลม] !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” ”
ตึ้ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เสียงตะโกนผสานเสียงสุดบ้าคลั่งของคนสองคนสั่นสะเทือนอาณาจักรแห่งสายลม เช่นเดียวกับเวทมนตร์ขั้นบรรุตระกูลสงครามอย่างค้อนสายลมที่เข้าปะทะกัน
สายลมจำนวนมหาศาลทำเอาร่างของมิร่าและคนที่สลบอีกสองคนแทบจะปลิว เห็นอย่างนั้นมิร่าก็รีบไปจับร่างของสองคนเอาไว้ไม่ให้ปลิวไป จากที่เห็น ทำให้รู้ได้เลยว่า—ความสนใจทั้งหมดของคนสองคนที่เข้าต่อสู้กันอยู่คือคู่ต่อสู้ของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้สนใจคนที่ยังมีชีวิตอยู่อีกสามคนเลยแม้แต่น้อย
“..นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
มิร่าพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะร้องไห้ออกมาอยู่ร่ำไร
****
ตามที่คาด ภายใต้อาณาจักรแห่งสายลม ค้อนสายลมของผมไม่อาจชนกับค้อนสายลมของวินดาฟได้ตรงๆ ค้อนของผมถูกค้อนของวินดาฟซัดจนปลิว และผมก็ถูกสายลมอัดเข้าร่างจนแทบจะกลายเป็นเนื้อบด ผมใช้วิหคอมตะฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาใหม่
ถ้าเกิดใช้ตัดมิติป้องกันก็คงไม่เป็นไรหรอก แต่ผมอยากจะซึมซับทุกอย่างเกี่ยวกับเวทมนตร์ของวินดาฟให้มากที่สุด ถึงขนาดที่ยอมเจ็บตัวเองเลยละ
วินดาฟและผม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เทคนิคการรวบรวมมานาของเธอไม่เลวเลย เป็นวิธีรวบรวมมานาที่ดีสำหรับการต่อสู้”
“พูดเป็นเล่น ของอาจารย์น่ะดีกว่าผมเยอะเลยนี่”
“มันอยู่ที่ความเข้ากันของทักษะ ของแบบนี้ไม่มีดีหรือเลว เทคนิคที่ใช้ยังสามารถพัฒนาได้อีกมากผ่านการต่อสู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนอีกมากมาย ยังไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจ”
ผมหยักไหล่ตอบ
“ถึงจะบอกแบบนั้นก็เถอะ แต่สุดท้าย ถ้าผมแพ้ก็คงจบตรงนี้ ไม่มีโอกาสไปเก็บเกี่ยวประสบกาณณ์แล้วแหละนะ”
“ฮ่าๆๆๆ นั่นสินะ ลืมไปซะสนิทเลย”
เมื่อเห็นวินดาฟหัวเราะ ผมก็หัวเราะตาม จู่ๆก็กลายเป็นคนเส้นตื้นที่อารมณ์ดีตลอดเวลาตอนคุยกับวินดาฟ
ถูกคอทีเดียว ..พูดแบบนี้ก็ดูยังไงอยู่ แต่อาจารย์คนแรกและคนเดียวที่ผมนับถือคือวินดาฟ
เอเธอร์ ถึงปากจะบอกว่าเป็นอาจารย์ผม แต่เอาเข้าจริงๆทั้งผมและเจ้าตัวก็คงไม่เคยมองอีกฝ่ายเป็นอาจารย์หรือว่าศิษย์เลย แต่วินดาฟไม่ใช่ ..ผมรู้สึกถึงบรรยากาศที่เรียกว่าศิษย์กับอาจารย์ได้ตลอดการต่อสู้กับเขา
ถ้าหากต้องได้รับการสอนจากใครสักคนละก็—ผมจะเลือกวินดาฟ
คนๆนี้ ถึงจะเข้าพวกกับเรน แต่ผมไม่ได้เกลียดเลยสักนิด กลับกัน ถูกใจด้วยซ้ำ อยากจะสู้กับเขาแบบนี้ต่อไปอีกนานๆเลย ถ้าเกิดว่าเราสองคนเจอกันเร็วกว่านี้ ถ้าเจอกันเร็วกว่าที่วินดาฟจะเข้าพวกกับเอเธอร์ คงจะมีเวลาเล่าเรียนมากกว่านี้ ..
สุดท้ายพวกเราก็เรียนรู้ภายใต้เวลาที่มีจำกัด ..ดูเหมือนว่าจะถึงเวลาแล้วด้วย
วินดาฟเลิกกระหน่ำเวทย์ใส่ผม เขาใช้ขาด้านหลังถีบเซปเตอร์เดธลงพื้น ทำให้ตัวคทาเวทย์มันตั้ง และทำให้วินดาฟดิ่งลงพื้นเพราะไม่มีเซปเตอร์เดธช่วยให้บินได้
เมื่อเห็นว่าวินดาฟดิ่งลงพื้น ผมก็ดิ่งลงพื้นตามวินดาฟไปด้วยคน
ไม่นาน พวกเราก็แลนดิ่งลงพื้นอย่างสบายๆด้วยเวทย์ลมอ่อนๆ
อยู่ห่างกันราวสี่เมตร
“..มากพอแล้วละ”
??
“สอนมามากพอแล้วละ ถึงเวลาต้องสู้กันแล้ว”
ใช่แล้ว เวลามีจำกัด และตอนนี้เวลาก็ได้หมดลงแล้ว
“นี่ อาจารย์ ..ทรยศเรนเถอะ มาเข้าร่วมกับผมแทนดีกว่า”
“น่าเสียดายนะ ฉันตัดสินใจจะเข้าพวกเรนแล้ว มีแต่ต้องไปให้สุด เพราะหลังจบงานประชุมฉันคงจะโดนทุกอาณาจักรหมายหัวเป็นหลายต่อไป”
คนที่ส่งข้อมูลงานประชุมโลกให้เรนคือวินดาฟเองสินะ ..ข้อหาใหญ่เลยนี่หว่า ให้เดา ไม่นานวินดาฟน่าจะโดนเอเธอร์ไม่ก็ไรเดนตามมาฆ่า
ไม่มีทางรอดอยู่แล้ว ถ้าต้องเจอกับสองคนนั้น เลวร้ายที่สุดคือโดนรุมกินโต๊ะและตายไปแบบง่ายๆด้วยซ้ำ
วินดาฟน่าจะเข้าใจสถานการณ์ดี
“ผมจะช่วยเจรจากับเอเธอร์ให้ จะช่วยคุยกับพวกผู้นำด้วย”
ไม่ง่าย อาจเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่จะลองดู ..เห็นแก่ตัวที่สุด เหตุการณ์คราวนี้ที่วินดาฟมีส่วนร่วมสำคัญ น่าจะมีคนตายอยู่มากทีเดียส ทั้งอย่างนั้นผมกลับออกตัวปกป้องตัวต้นเหตุนี่สุดชีวิต เพราะผมเองก็กระหายในเวทมนตร์เช่นกัน อยากจะเรียนรู้อีกหลายอย่างจากวินดาฟ ทั้งเวทมนตร์ ทั้งการใช้ชีวิต คิดว่าคนๆนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นกับผมต่อจากนี้ ถึงได้ตัดสินใจปกป้องคนทรยศ
แน่นอน ผมรู้อยู่แล้วละ รู้อยู่แล้วจากการได้พูดคุยและต่อสู้กับวินดาฟในเวลาที่มีจำกัด ..วินดาฟน่ะ
“น่ายินดีที่ลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของตัวเองเป็นห่วง แต่ขอปฏิเสธนะ”
เขาไม่มีทางตอบตกลงอยู่แล้ว
“ทำอะไรไว้ก็ต้องรับผลที่ตามมาตรงๆ แล้วก็ร่วมมือกับเรนไปแล้วด้วย ก็ต้องไปให้ถึงที่สุด ..เรนเองก็ทำให้ความปารถนาของฉันเป็นจริงแล้วเหมือนกัน จะให้หักหลังผู้มีพระคุณที่ทำให้ความต้องการของฉันเป็นจริง คงจะไม่ได้” วินดาฟหรี่ตามองผม “ฉันได้สิ่งที่ขาดไปกลับมาแล้ว ได้รับรู้ความตื่นเต้นที่ได้จากเวทมนตร์เหมือนดั่งตอนวัยรุ่น เมื่อได้เผชิญหน้ากับเธอ ทำให้ฉันลื้อฟื้นหลายสิ่งกลับมาได้ ..สนุกสุดๆไปเลยละ”
วินดาฟโค้งศรีษะให้ผม
“ขอขอบคุณเธอจากใจจริง ในฐานะอาจารย์”
ผู้เป็นอาจารย์เองก็สามารถเรียนรู้หลายอย่างได้จากทุกสิ่ง นี่แหละคือการช่วงชิงของพวกเราทั้งคู่ พวกเราต่างชิงทุกอย่างของอีกฝ่ายมาให้มากที่สุด ..
เมื่อกล่าวจบวินดาฟก็เดินเข้ามาหาผม ไร้ซึ่งจิตสังหาร ไร้ท่าทีเตรียมเวทมนตร์ ในระยะแบบนี้ ในท่าทางที่ไร้ซึ่งการเตรียมตัวนี้ ผมสามารถฆ่าวินดาฟได้ ..เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ในระยะที่เอื้อมกันถึง
วินดาฟสัมผัสบริเวณชุดสีแดงของตัวเอง และยื่นก้อนสีแดงเพลิงที่สวยงามมาให้ผม
“สิ่งนี้คือ ‘มณีอัคคี’ จุดสูงสุดแห่งธาตุ สามารถกล่าวได้ว่า จอมเวทย์ที่ใช้งานมันได้คือจุดสูงสุดของจอมเวทย์”
ผมรับมณีอัคคีมาจากวินดาฟ
“ใช้มันซะ”
มณีอัคคีเลืองแสง ภายในมณีเล็กๆนี้มีเปลวเพลิงอยู่ข้างใน สิ่งนี้ตอบรับการถือครองของผม..วินดาฟเห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ว่าแล้วเชียว เธอจริงๆด้วย” วินดาฟจ้องผมด้วยแววตาที่จริงจัง “ได้เวลาจบการศึกษาแล้วละ ศิษย์ของฉัน”
วินดาฟถอดผ้าคลุมสีแดงออก และหันหลังให้ผม เจ้าตัวเดินกลับไป ณ จุดๆเดิมที่ห่างกันราวสี่เมตร จากนั้นก็ชี้เซปเตอร์เดธเข้าใส่ผมด้วยท่าทีที่เข้มขรึม
“อยากจะเห็นมาโดยตลอด จุดสุงสุดแห่งเปลวเพลิงที่ฉันตามหามาทั้งชีวิต ..ฉันจะเอาชนะเธอด้วยเปลวเพลิงของฉัน และกลืนกินเปลวเพลิงสูงสุดนั่น จะขึ้นเป็นจุดสูงสุดแทนเธอ เพราะอย่างนั้นจงใช้มันให้เต็มที่ ใช้สิ่งนั้นเข้าต่อสู้กับฉันที ช่วยแสดงจุดสูงสุดให้ฉันเห็นที”
..ผมทำตามที่วินดาฟว่า ..มณีอัคคีส่งหลายอย่างให้ผมเข้าสู่สมอง วิธีใช้งาน แก่นแท้แห่งเปลวเพลิง ทุกอย่างเข้ามาในสมองของผม ตัวผมในตอนนี้ต่างกับตัวผมก่อนหน้านี้อย่างน่าประหลาด คล้ายว่าตัวเองได้ท่องเวลาในฐานะจอมเวทย์มาตลอด ตั้งแต่มณีอัคคีนี้ถือกำเนิด
ภูมิความรู้เกี่ยวกับเปลวเพลิงมันมากมายจริงๆ ..นี่น่ะเหรอจุดสูงสุด ดูเป็นจุดสูงสุดที่ไร้ค่าชะมัด เพียงแค่คู่ควรก็ใช้ได้สินะ ง่ายจังเลยนะ แค่มีพรสวรรค์ก็พอไม่ใช่รึไง
ผมหันไปมองวินดาฟ ..คนๆนี้ที่ไล่ตามเปลวเพลิงนี้มาตลอด แต่กลับไม่สามารถใช้ได้ คนที่คู่ควรกับสิ่งนี้จริงๆไม่ใช่ผมหรอก
แต่ว่า
ในเมื่อได้มาแล้ว ผมก็จะใช้มันให้เต็มที่ จะทำให้ตัวเองกลายเป็นคนที่คู่ควรให้ได้ในสักวัน ..มันเป็นมารยาทสูงสุดที่ควรจะต้องทำ มันคือความรับผิดชอบในฐานะ ‘ผู้ถูกเลือก’ จักต้องรับความรู้สึกของผู้ไล่ตามเอาไว้ให้หมด
มณีอัคคีเลืองแสงอย่างสวยงาม รอบตัวผมถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิง
ด้วยภูมิความรู้ที่ได้มาในพริบตาเดียว ทำให้ผมสามารถเข้าถึงบางอย่างได้ ..มันคือการคิดค้นเวทมนตร์ของตัวเอง
“เวทมนตร์ขั้นบรรลุ ตระกูลอาณาจักร” ผมพูดทั้งรอยยิ้ม “ [อาณาจักรแห่งเปลวเพลิง]”
อาณาจักรแห่งเปลวเพลิงแย่งชิงพื้นที่จากอาณาจักรแห่งสายลมไปครึ่งหนึ่ง ..พื้นสีดำที่ระอุไปด้วยความร้อนจากแมกม่า ภูเขาไฟสุดขอบสายตาที่ทำท่าคล้ายว่ากำลังจะระเบิด ท้องฟ้าสีมืด และสุดท้ายคือตัวผมที่ยืนอยู่ในเส้นแบ่งเขตุแดนของสองอาณาจักร
วินดาฟเบิกตามองอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง ..และมีน้ำตาหยดลงมา
“..นี่เหรอ จุดสูงสุด”
เวทมนตร์อาณาจักร คือเวทมนตร์ขั้นบรรลุที่ใช้ได้ยากที่สุด และสร้างได้ยากที่สุด ก่อนหน้านี้ก็มีเพียงแค่แปดธาตุจากสี่ธาตุเท่านั้นที่มีตระกูลอาณาจักรอยู่ ..แต่ตอนนี้ได้เพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว จากการสร้างมันในพริบตาเดียวด้วยภูมิความรู้ซึ่งไหลมาจากมณีอัคคี
“ว่าแล้วเชียว ถ้าใช้มณีอัคคีได้ จะต้องสร้างอาณาจักรแห่งเปลวเพลิงขึ้นมาได้แน่ๆ”
“นั่นสินะครับ บอกตามตรง ..มณีอัคคีนี่ขี้โกงจริงๆ ถ้าเป็นตอนนี้ผมสามารถประหยัดมานาได้ตั้งสิบเท่า เวทย์ประเภทเพลิงก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้ผมได้ด้วย ถ้าได้รับเปลวเพลิงเข้าสู่ร่างก็จะฟื้นฟูมานาและบาดแผลเองอีก เวทมนตร์เพลิงทุกประเภทที่เคยมีอยู่ก็ไหลเข้าสมองผมเอาง่ายๆ”
“แปลว่าที่เรียนไปกับฉันไม่มีประโยชน์เลยสินะ ในเมื่อแค่ถือมณีอัคคีก็จบแล้ว”
“ไม่ใช่หรอก วินดาฟ..ทั้งหมดก็อยู่แค่ในขอบเขตุของเปลวเพลิง เป็นเพียงแค่พลังเท่านั้น สิ่งที่ผมได้จากคุณน่ะมีมากกว่านี้เยอะ”
“จะว่าไป ในเมื่อใช้เวทมนตร์ที่ไม่เคยมีใครสร้างขึ้นมาได้มาก่อน ก็หมายความว่าเธอได้เป็นนักเวทย์ขั้นบรรลุแล้วสินะ”
จริงด้วย ..ในที่สุดก็พ้นจากขั้นพิเศษสักที ได้เป็นนักเวทย์ขั้นบรรลุแล้วละ
“ยินดีด้วย แต่อย่าได้เหลิงไปกับความสำเร็จเชียวละ ยังมีหลายอย่างที่เธอต้องเรียนรู้”
ผมหันไปยิ้มให้วินดาฟ ..ได้เวลาเข้าเรื่อง
“ถ้าผมชนะ ผมจะชิงเซปเตอร์เดธไปจากคุณด้วยเหมือนกัน”
ไม่ใช่แค่ช่วงชิงเปลวเพลิงที่ชายคนนี้ตามหามาตลอด แต่ยังจะช่วงชิงอาวุธที่เขาได้มาจากความพยายามนับสิบปีอีก ..เลวร้ายที่สุดเลยแฮะ
คนที่จะช่วงชิงอย่างผมกลับมีสีนหน้าที่ย่ำแย่ วินดาฟผู้ที่กำลังจะถูกช่วงชิงทุกอย่างกลับมีแต่น้ำตาแห่งความสุขและรอยยิ้ม
“ได้สิ กลับกัน ถ้าฉันชนะ ทุกอย่างของเธอจะเป็นของฉัน เหมือนที่ตกลงไว้ตอนแรกไม่ใช่รึไง” วินดาฟเตรียมร่ายเวทย์ “เพราะอย่างนั้นก็ไม่เห็นต้องทำสีหน้าอย่างนั้นเลย ศิษย์ของฉัน ..ฉันยังไม่ได้แพ้สักหน่อย”
ใช่แล้ว วินดาฟยังไม่แพ้ การต่อสู้ยังไม่รู้ผล
ผมหันไปเผชิญหน้ากับวินดาฟ เตรียมร่ายเวทย์เช่นเดียวกัน
“ช่วยแสดงให้ผมเห็นที ..ถึงเปลวเพลิงสุดท้ายของคุณ”
“มาสู้กัน–ให้ถึงที่สุดกันเถอะ”
สิ้นสุดคำพูดของวินดาฟ เปลวเพลิงของเราสองคนก็ได้เข้าปะทะกัน
****
สุดท้ายเปลวเพลิงแห่งแก่นแท้ก็ได้กลืนกินเปลวเพลิงธรรมดาไปจนสิ้น อาณาจักรแห่งสายลมค่อยๆจางหายไปและถูกปกคลุมแทนด้วยอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง ..บนพื้นของอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง มีร่างไร้วิญญาณของผู้ที่ถูกขานว่า ‘ราชาจอมเวทย์’ ไว้อยู่
วินดาฟนอนตายด้วยรอยยิ้ม ..เขาจากไปด้วยรอยยิ้ม นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่าดีแล้วละที่ได้ตายแบบนี้
การตายเช่นนี้ คงจะดีกว่าตายเพราะถูกเอเธอร์กับไรเดนตามล่าแน่ๆ ..
“ในฐานะนักเวทย์ ผมด้อยกว่าคุณนักวินดาฟ ..”
ผมเดินไปหยิบเซปเตอร์เดธขึ้นมา รู้สึกขยะแขยงตัวเองชอบกลเมื่อได้ถือครองสิ่งที่ผู้เป็นราชาจอมเวทย์ควรได้รับ ถึงกระนั้นผมก็จำเป็นต้องมีสิ่งนี้ ..ผมมองส่งท้ายวินดาฟ
“หลับฝันดีนะ อาจารย์”
เปลวเพลิงได้สลายไป ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่–ได้กลับคืนสู่งานประชุมโลก
การต่อสู้กับราชาจอมเวทย์ได้ปิดม่านลง โดยที่ผมได้รับหลายสิ่งหลายอย่างจากวินดาฟ ..พวกเราเริ่มต้นด้วยศัตรูและจบลงด้วยลูกศิษย์และอาจารย์
ในฐานะจอมเวทย์ลูกศิษย์ของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่แล้ว คิดว่าการได้พบกับวินดาฟ ช่างเป็นโชคดีของผมจริงๆ