เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 208
< < 136 Sec9 > >
“ท่านสุภาพบุรุษเพลิงสังหาร เรื่องราวการพบกันครั้งแรกของท่านกับท่านเบ็นจิโร่เป็นอย่างไรบ้างหรือคะ?”
ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว โทมิเรียได้ยินคำถามออกมาไม่หยุดขณะที่กำลังเดินตามหลังวินดาฟ ไม่รู้ว่าผมต้องคอยตอบคำถามเธอกี่ครั้งถึงจะพอใจ บอกตามตรงรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย ให้อารมณ์แบบ ..ตอนคุยกับเด็กประถมนั่นแหละนะ
“ผมโดนเบ็นจิโร่จับเข้าคุกข้อหาขโมยของมีค่าในพิพิธภัณฑ์น่ะครับ”
“เอ๊ะ”
โทมิเรียถึงกับอึ้งและหยุดเดินไป
“ไม่ใช่อะไรที่ดูดีอย่างเพราะท่านเบ็นจิโร่กำลังเดือดร้อน ท่านสุภาพบุรุษเพลิงสังหารเลยทนไม่ไหวสินะคะ”
โทมิเรียมีสีหน้าที่ผิดหวังเหมือนเด็กน้อยตอนรู้ว่าซานต้าไม่มีจริง
“..ตอนเจอครั้งแรกไม่ดีเท่าไหร่น่ะนะ ผมทั้งถูกเธอกระทืบ ทั้งยังโดนด่าทอสารพัด จำได้เลยว่าโดนด่าแรงอย่างกับว่าผมไปฆ่าพ่อแม่เจ้าตัวมา ..แต่ก็นั่นแหละ หลังจากนั้นก็ดีขึ้น และมีโอกาสช่วยเธอหนึ่งครั้ง ทำให้ตัดสินใจเป็นคู่หูกันชั่วคราว ถึงจะไม่ตรงกับฉบับมังงะรายสัปดาห์ก็เถอะ แต่ช่วงกลางๆเรื่องก็เป็นอย่างที่องค์หญิงได้อ่านมานั่นแหละครับ พวกเราร่วมมือกันปราบเหล่าร้ายและสนิทกันขึ้นมามาก—แต่ก็อีหรอบเดิม ยังโดนด่าเหมือนเดินก็จริงแต่ดูอ่อนโยนขึ้นว่าไงดี ..ให้อารมณ์แบบคนที่เกลียดคนๆหนึ่งอยู่ จู่ๆก็กลายเป็นว่าไม่ได้เกลียด แต่ก็ทำซึนเกลียดอยู่ครับ ประมาณนี้เลย”
คิดเข้าข้างตัวเองไปนิดหน่อยแฮะเรา
“ที่เขาว่าความจริงย่อมต่างกับหน้าประวัติศาสตร์สินะคะ”
“ประมาณนั้นครับ”
พึ่งรู้นี่แหละว่ามังงะเป็นหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ได้ด้วย–เอาเถอะ
“จะคุยกันถึงไหนเนี่ยทั้งสอง”
ราเมียร์ที่เดินหาแขวนไขว่หัวงหันมาทัก มิร่าก็ด้วย เธอมองมาด้วยสีหน้าเคืองๆ
“สนิทกับเจ้าหญิงของเนลยอนจังเลยนะคะ พูดดีด้วย ต่างกับตอนพูดกับฉันเลยไม่ใช่หรือคะ?”
“..”
จะให้พูดไม่ดีกับเด็กประถมได้อย่างไรเล่า ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทั้งนั้น
“บอกไว้ก่อนนะ เรเซอร์ ดราแคล์ เอ๋ย ถ้าคิดจะเลือกเหยื่อก็ควรเลือกเหยื่อที่ไม่ใหญ่เกินไป ไม่นั้นมันจะส่งผลกระทบกับบ้านเกิดตัวเองได้นา”
ราเมียร์พูดเตือนจากใจจริง หวังดีมาก เป็นคนที่ใจดีสุดๆเลย—กับเรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะนะ
มิร่าหน้าแดงแจ๋ขึ้นมา ท่าทางดูโมโห ส่วนโทมิเรียก็เอียงคอฉงน ไม่เข้าใจว่าที่พูดถึงคืออะไร
“นะ นี่นายคิดแบบนั้น!”
“จะใช่ได้ไงเล่า ไม่รู้อะไรก็เงียบไปเลย”
มิร่าเงียบปากตามที่ผมบอก ราเมียร์เอียงคอตามโทมิเรีย
“อ่าว ไม่ใช่หรอกรึ? นึกว่าเป็นคนประเภทเดียวกับข้าเสียอีก”
“ไม่โว้ย ทางนี้มีหวานใจเป็นตัวเป็นตนตั้งสามคนแล้ว ไม่ใช่พวกไปเรื่อยแบบหล่อนหรอกนะ”
ผมชี้หน้าด่าราเมียร์ ทั้งอย่างนั้นกลับไม่มีศักดิ์ศรีของบุตรสาวของราชามังกรเลย เจ้าตัวไม่ได้โกรธอะไรผมเลยแม้แต่นิดเดียว กลับกันเลย ดันหัวเราะอารมณ์ดีเสียอย่างนั้น
“ก็กะไว้แล้วน่ะนะว่าต้องเนื้อหอม แต่นี่เล่นมีสามคนทั้งๆที่อายุแค่นี้รึเนี่ย เป็นมนุษย์ที่มักมากซะจริงนะ”
“….”
โดนว่าอย่างนั้นผมก็เถียงไม่ออก
มักมากเหรอ คงจะอย่างนั้นแหละ มีสามคนก็ไม่ใช่เรื่องปกติด้วยสินะ ..
“อะไรกัน รู้สึกผิดซะอย่างนั้น”
ไหงหล่อนจับความรู้สึกชาวบ้านเก่งจังฟร้ะนั่น
“จะรู้สึกผิดไปทำไม เป็นธรรมดาของผู้แข็งแกร่งอยู่แล้วที่จะคว้าสิ่งที่อยากได้เอาไว้ แน่นอนกว่าจะแข็งแกร่งได้นั้นก็ต้องมีความโลภ ผู้ที่มีความโลภมากย่อมแข็งแกร่งกว่าใครๆ จากหลักการที่ข้าพูดถึงก็สรุปได้ว่าผู้แข็งแกร่งจะมีภรรยาหลายคนตามความโลภก็ไม่เห็นจะแปลกเลยนี่ มันต่างอะไรกับการที่ผู้แข็งแกร่งจะร่ำรวยรึว่ามากด้วยพลังนั้นรึ ในเมื่อผู้แข็งแกร่งก็แค่ตอบสนองความโลภของตัวเองเหมือนทุกๆครั้ง” ราเมียร์แสยะยิ้ม “อย่างข้าเองอยากได้ผู้ชายรึผู้หญิงคนไหน ข้าก็เอาเลย ตื้อไม่ติดไม่เป็นไร ข้าไม่ใช่พวกชอบขืนใจชาวบ้าน”
เป็นแนวคิดที่อันตรายน่าดูเลยถ้าอยู่ในยุคปัจจุบัน แต่มันดูไม่ได้น่ากลัวอะไรมากเมื่อมาอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยความน่ากลัวอยู่รอบๆตัว …กรณีของเธอ ก็แค่อยากได้ใครก็ตามเอาเลย ไม่ได้ขืนใจอะไรใครก็ดีแล้ว ถือว่าเป็นกรณีที่น่ารักด้วยซ้ำสำหรับต่างโลกในยุคนี้
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ จะจำไว้สักสองวันละกัน”
ทางนี้ไม่ได้ขี้หงี่แบบหล่อนสักหน่อย ..เฮ้อ
แต่ว่านั่นสินะ สิ่งที่ราเมียร์พล่ามออกมา ทางผมแอบสนใจเรื่องความโลภที่ราเมียร์พูดถึงนิดหน่อย
ความโลภเป็นบ่อเกิดของพลังมากมาย อย่างผมเองก็มีความโลภหลายอย่างจึงแข็งแกร่งขึ้นได้ อยากจะปกป้องคนสำคัญ ไม่อยากจะแพ้ใครสักคน อยากจะตั้นหน้าผู้กล้า ต่างๆนานาหล่อหลอมเป็นตัวผม ไม่ได้ดูแย่อะไรแต่บ่อเกิดของทุกอย่างก็มาจากความโลภนั่นแหละ
จงถึงตอนนี้ ความปารถนาในใจของผมก็ยังมีอยู่ไม่เคยหมดไป ..
“คุณวินดาฟ คิดยังไงกับเรื่องความโลภบ้างหรือครับ”
ด้วยความสงสัยผมเอ่ยถามวินดาฟที่กำลังใช้สมาธิอยู่
วินดาฟหยุดเดินและแหงนหน้ามองเพดาน คล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิด
“นั่นสินะ ..พูดถึงความโลภแล้ว ตัวฉันก็มีอยู่ไม่น้อยเลยแหละนะ” วินดาฟหัวเราะในลำคอ “อย่างตอนเด็กๆก็อยากใช้เวทมนตร์ขั้นบรรลุให้ได้เร็วๆ พอทำได้สมใจแล้ว โตขึ้นมาหน่อยช่วงวัยรุ่นก็อยากเป็นนักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร อายุมากขึ้นอีกหน่อยก็ฝันอยากถือคทาเวทย์ของราชาจอมเวทย์ อย่างคทาแห่งความตาย ‘เซปเตอร์เดธ’”
พูดถึงความโลภในใจราชาจอมเวทย์แล้วก็มีเยอะใช่ย่อยเลย
“พอได้สมญานามราชาจอมเวทย์กับเซปเตอร์เดธมาครอง ก็โชคดีได้มณีอัคคีมาได้ พอได้มณีอัคคีมาและเห็นว่ามณีอัคคีมันไม่ตอบสนองต่อตัวฉันแล้วก็แอบเสียใจนิดหน่อย”
มณีอัคคี หรือแก่นแท้แห่งธาตุที่มีอยู่ทั้งสี่ธาตุบนโลก ‘แก่นแท้แห่งเปลวเพลิง’ มีแค่ผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นจึงจะสามารถใช้งานมณีอัคคีได้
พอพูดถึงเรื่องมณีอัคคี แผ่นหลังของวินดาฟก็ดูเล็กลงอย่างน่าประหลาด เหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้สึกไม่ดีกับสิ่งนี้เท่าไหร่ เพราะมันไม่ตอบสนองกับวินดาฟ กล่าวคือมณีอัคคีไม่ยอมรับวินดาฟในฐานะผู้ถือครอง
“ฉันที่มาถึงจุดสูงสุดของจอมเวทย์กลับไม่สามารถทำให้แก่นแท้แห่งเพลิงยอมรับได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันยังไม่ได้ขึ้นถึงจุดสูงสุดอย่างแท้จริงนั้นรึ? ราชาจอมเวทย์ที่ไม่สามารถใช้งานแก่นแท้ของเวทมนตร์ได้เนี่ยจะเรียกตัวเองว่าราชาจอมเวทย์ได้อย่างไร พอฉันคิดอย่างนั้นมันก็อดรู้สึกแปลกๆในใจไม่ได้ จนถึงทุกวันนี้ฉันก็ไม่สามารถภูมิใจกับตำแหน่งราชาจอมเวทย์ได้เลย รู้รึเปล่าว่าทำไม?”
ราวกับปฏิเสธความพยายามตลอดสิบๆปี สุดท้ายกำแพงเดียวที่เขาคนนี้ไม่สามารถเป็นราชาจอมเวทย์ได้อย่างแท้จริงก็คือ—พรสวรรค์ไม่ถึง
“..เพราะจริงๆแล้วตัวเองยังไม่ใช่ผู้เข้าถึงแก่นแท้ของเวทมนตร์สินะครับ”
“ถูกต้อง”
วินดาฟยิ้มแบบผ่อนคลายและพูดต่อ
“ตอนนี้เลยยังโลภ ยังหวังว่าสักวันมณีอัคคีนี่จะมอบตำแหน่งผู้คู่ควรให้ฉันได้”
แก่นแท้แห่งธาตุ ไม่ว่าจะมณีอัคคีหรือมณีธาตุอื่นๆ ผู้ถูกเลือกนั้นมีได้เพียงแค่คนเดียวบนโลกเท่านั้น สี่ธาตุสี่คน และวิธีเดียวที่จะทำให้วินดาฟกลายเป็นผู้ถือครองแก่นแท้แห่งเปลวเพลิงได้นั้น—คือการลบผู้ถือครองที่แท้จริงคนก่อนออกจากโลกใบนี้ เพื่อให้เกิดการผลัดเปลี่ยน
“สมมุติว่าตรงหน้ามีผู้ถือครองมณีอัคคีที่แท้จริงอยู่ คุณวินดาฟจะฆ่าเขารึเปล่าครับ”
“..นั่นเป็นวิธีที่ขี้ขลาดนะ การได้พลังมาด้วยวิธีแบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจอะไรเลย อย่างน้อยฉันก็ไม่คิดจะเอาชนะอีกฝ่ายโดยที่ในตัวถือมณีอัคคีที่ควรเป็นของผู้ถือครองที่แท้จริงได้หรอกนะ”
วินดาฟพูดจากใจจริง สัมผัสไม่ได้ถึงคำโกหกเลย
“แล้วจะเอาชนะยังไงเหรอครับ”
“นั่นสินา ..โอ๊ะ เหมือนจะมีผู้มาเยือนนะ”
วินดาฟกล่าวถึงใครสักคน—ผมสัมผัสได้ถึงฝีเท้าจึงเตรียมตัวพร้อมสำหรับการต่อสู้ ราเมียร์เองก็เหมือนกัน มิร่ากับโทมิเรียที่เห็นท่าทางของพวกผมเปลี่ยนไปก็พากันมองไปรอบๆ
เก็บฝีเท้าได้ดีทีเดียว แต่แค่นี้ไม่สามารถปกปิดสัมผัสของผมและวินดาฟได้—
“ยี่สิบคน”
ราเมียร์พูดขึ้น—
“ยี่สิบเอ็ดต่างหาก”
มีชีวิตที่ไม่สามารถสัมผัสได้ง่ายๆ—
‘อวากไกไกไกกวกก!!!’
ตัวประหลาด–มนุษย์ต้นไม้วิ่งมาทางนี้ด้วยท่าทางสุดจะประหลาด
สัมผัสไม่ได้ถึงความแข็งแกร่งเลย แต่รางสังหรณ์บอกให้ผมระวังเจ้าสิ่งนี้ให้ดี—สัญชาตญาณที่ขัดเกลามาตลอดตั้งแต่รู้สึกตัวในร่างเรเซอร์ บอกให้ผมห้ามเข้าไปสู้โดยไม่มีแผนกับสิ่งนี้เด็ดขาด ทั้งๆที่ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลยแท้ๆ ทักษะความชำนาญ เวทมนตร์ วิชาดาบ ตัวประหลาดตรงหน้าไม่มีมันเลยสักอย่าง แต่มันกลับทำให้ผมและวินดาฟเลือกจะไม่ขยับได้
ราเมียร์พุ่งตัวออกไปก่อนใคร เธอไม่สนผมและวินดาฟที่รู้สึกอย่างเดียวกันและเลือกจะดูเชิงไปก่อน—ราเมียร์อัดหมัดใส่หน้าของมนุษย์ต้นไม้จนตัวมันหมุนอยู่กับที่ จากนั้นก็ใช้ขาถีบเข้าที่กลางลำตัว
ตุ้บ!!!! มนุษย์ต้นไม้กระแทกกับพื้น แรงที่ราเมียร์อัดเข้าใส่นั้นมากพอจะซัดบ้านทั้งหลังให้ปลิวกลายเป็นแค่เศษซากได้เลย
ทว่ามนุษย์ต้นไม้กลับลุกขึ้นยืนมาเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย–เห็นอย่างนั้นราเมียร์ก็เหวี่ยงหมัดใส่อีกครั้ง และมนุษย์ต้นไม้ก็ทำการสวนหมัดเข้าใส่ราเมียร์ตรงๆ
แรงปะทะของสองหมัดนั้น—เท่าๆกัน
“หะ หา!?”
มีแรงเทียบเท่ากับมังกรนั้นเหรอ?
ไม่ใช่แค่นั้น ราเมียร์ม้วนตัวเตะเข้าใส่มนุษย์ต้นไม้ และราวกับมันคาดเดาได้ เจ้ามนุษย์ต้นไม้ได้เตะราเมียร์กลับและจากระยะที่ได้เปรียบ ทำให้ราเมียร์ปลิวไปกับแรงเตะอันมหาศาลนั้น …
“อึก..ตัวอะไรวะเนี่ย”
ร่างของราเมียร์ค่อยๆหล่นลงพื้นอย่างไม่น่าดู
เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ผมก็ทำการวิเคราะห์อีกฝ่ายทันที—ได้ยังไง?
ในทีแรกดูแล้วไม่น่ามีแรงพอจะวัดกับราเมียร์ได้แท้ๆ แต่ภายในหน้ากระดาษเดียวก็สามารถแลกหมัดกับราเมียร์ได้แบบสูสี และซัดราเมียร์คนนั้นกลับได้
พลังกายสูสีกัน? ไม่ใช่ พูดให้ถูกยกตัวเองขึ้นมาสูสีกับราเมียร์ต่างหาก ภายในแค่พริบตาเดียว?
คาดเดา—มีความเป็นไปได้ที่มันจะดูดซับความเสียหาย แล้วปรับตัวเองให้เหมือนกับคู่ต่อสู้ได้
อันตราย–ผมได้ข้อสรุปในไม่นานว่ามันคือสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีพลังสุดจะน่ารังเกียจ
“อย่าสู้กับมันตร—”
เพราะเอาแต่สนใจและวิเคราะห์มนุษย์ต้นไม้สุดตัว ทำให้ลืมอีกยี่สิบชีวิตที่สัมผัสได้
พอรู้ตัวว่าประมาทเกินไปนั้นก็พลาดซะแล้ว
มนุษย์ในชุดคลุมสีดำราวๆห้าคนวิ่งเข้าใส่ผม
เร็วมาก–ในเบื้องต้น อยู่ในระดับไม่ต่างกับนักดาบขั้นบรรลุ
ถูกโจมตีพร้อมกันสามทิศ ไม่ใช่ มากกว่านั้น—เปลวเพลิงเวทมนตร์พุ่งเข้าใส่ผมจากบนฟ้า ผมทำการปัดมันทิ้งด้วยเวทย์ลม และตั้งรับนักดาบยอดฝีมือห้าคนพร้อมกัน
จังหวะโจมตีกระหน่ำใส่ผมราวแปดจังหวะดาบ–พร้อมกันสาม ตามมาติดๆสอง จากนั้นก็หลอกตาสอง และพร้อมกันสาม
แม้จะเร็วมาก แต่ดวงตานี้สามารถมองทุกอย่างออก และวิเคราะห์การเคลื่อนไหวทั้งหมดได้ในทันที—ผมหลบหลีกทุกการโจมตีและใช้ระเบิดเพลิงอัดใส่พวกนั้น
แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกไร้ฝีมือ—เวทย์เพลิงผมถูกสะกัดด้วยเวทย์ลม และการปะทะกันของสองสิ่งนี้ทำให้เกิดการระเบิดขึ้น—ตู้ม!!!!!!!!!!!!
เศษฝุ่นและควันมากมายฟุ้งขึ้น คาดว่าเป็นความตั้งใจของพวกมัน
โทมิเรีย มิร่า สองคนนี้ไม่น่าจะสู้ได้—ผมมองหาทั้งสองยังไงก็หาไม่เจอ
แบบนี้นี่เอง ..ถูกแยกสินะ
“[เฮอริเคน]”
เวทมนตร์ขั้นสูง ตระกูลภัยพิบัติ สายลมเฮอริเคนลอยขึ้นบนหัว มันดูดกลืนเอาเศษทั้งหมดเข้าไปข้างในก่อนจะสลายไป
ในห้องขนาดเล็กถูกย่อให้เล็กลงกว่าเดิม เพราะมีกำแพงสีดำล้อมรอบตัวผมไว้ให้แยกกับคนอื่น—วิชาไสยศาสตร์ [เขตุแดน] กระมัง จากที่ศึกษามาสิ่งนี้จะแยกพื้นที่ออกจากกันได้ชั่วคราว
วิธีทำลายคืออัดพลังเข้าไปตรงๆเลย แต่มันมีความคงทนที่มากจึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการทำลายมันทิ้ง แต่ก็..ใช้ยูนาก็จบแหละนะ ตัดมิติไม่กี่ครั้งเขตุแดนนี่ก็จะสลาย
ไม่สิ
พักนี้ผมรู้สึกสงสัยในพลังของตัวเองเล็กน้อย
“เรเซอร์ ดราแคล์ ตามบันทึกที่ท่านผู้นั้นให้เอาไว้”
ชายในชุดคลุมสีดำ ในมือถือดาบ เป็นหนึ่งในนักดาบห้าคนที่เข้ามารุมผมเมื่อครู่
นอกจากนั้นยังมีนักดาบอีกสี่คน ที่คาดว่ามีระดับบรรลุกับขั้นสูง คาดว่าบรรลุราวๆสองคน และขั้นสูงราวๆสามคน ยิ่งไปกว่านั้นข้างหลังของห้าคนยังมีนักเวทย์อีกสี่ นักเวทย์ราวๆขั้นสูง ไม่น่าเกินกว่านี้ รวมแล้วมีทั้งหมดเก้าชีวิต ในห้องแคบๆแบบนี้ ถ้าใช้ยูนาผมสามารถเอาชนะทุกคนได้อย่างง่ายดายเลย แต่นั่นสินะ ผมนึกสงสัยบางอย่างได้
สุดท้ายแล้วผมแข็งแกร่งเพราะยูนา หรือแข็งแกร่งด้วยตัวของตัวเองกัน
น่าสงสัยจริงๆ
ผมหรี่ตามองทั้งเก้าชีวิตตรงนี้ ดวงตาสีแดงนี้ได้ตั้งใจวิเคราะห์ทุกชีวิตออกมาโดยสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้
รายละเอียดการต่อสู้เมื่อครู่ไหลเข้ามาในหัวผม
คลาสของนักดาบผมแบ่งได้หมดทุกคนแล้ว แต่นักเวทย์ไม่แน่ชัดก็จริง แต่จากเวทย์ที่โจมตีมา เป็นขั้นสูงไม่ผิดแน่ และคาดเดาว่านักเวทย์อีกสามคนก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกัน
ก็จริงที่ถ้าใช้ยูนา ผมคือฝ่ายได้เปรียบ แต่ว่าในกรณีที่ผมไม่มียูนา ..ผมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“นี่น่ะเหรอศัตรูที่ท่านผู้นั้นพูดถึง”
“ก็แค่นักเวทย์ที่มีฝีมือนิดหน่อยนี่”
“กับคนแบบนี้จำเป็นต้องแจ้งท่านผู้นั้นก่อนลงมือด้วยรึ”
“ก็ต้องอยู่แล้วสิ ตามที่ท่านผู้นั้นสั่งมา อย่าลงมือโดยพลการ ..แต่ถึงบอกอย่างนั้น ทางเราก็ติดต่อท่านผู้นั้นไม่ได้เลย”
ท่านผู้นั้น? คงจะเป็นเรนนั่นแหละ
แบบนี้นี่เอง ผมโดนออกหมายล่าหรือเนี่ย เป็นเกียรติชะมัดให้ตายสิ อุตส่าห์ให้ค่าผมตั้งมากมายเช่นนี้เนี่ย
“..หืม?”
นักดาบชุดคลุมสีดำแปลกใจกับผมนิดหน่อย เขามองผมแบบสงสัยพักหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา
“เหงื่อตกแล้วไม่ใช่รึไง”
เหงื่อ? อ๋อ จะว่าไป
ผมเอามือไปแตะที่หลังก็พบว่าเสื้อของตัวเองท่วมไปด้วยเหงื่อ
ไม่รู้สึกตัวเลยแฮะ
“กลัวสุดๆเลยไม่ใช่รึไง”
“กับคนระดับนี้ไม่ต้องถึงมือท่านผู้นั้นหรอก”
หรือว่าผมกลัวกัน? ไม่สิ มันต่างกับตอนเอเธอร์ที่เหงื่อท่วม
ผมแค่วิเคราะห์อีกฝ่ายจนเหงื่อออกเยอะก็แค่นั้น พูดง่ายๆใช้สมองอย่างหนัก ทั้งเรื่องความสามารถของพวกมัน เรื่องที่ค้างคาในใจผม วิธีจัดการพวกมันเก้าชีวิต สามปัญหาในหัวในเวลาเดียวกัน เสร็จสิ้นการวิเคราะห์ภายในไม่นาน วิธีจัดการพวกมันทุกคน ผมมีอยู่สี่แผน เรื่องค้างคาในใจผมแบ่งออกมาได้ราวๆสิบปัญหาก่อนจะรวมๆกันให้ได้ปัญหาหลักเดียว เรื่องความสามารถผมมีวิเคราะห์ความเป็นไปได้ราวๆคนละสามอย่าง และถ้าผลลัพธ์ออกมาแบบไหนในการปะทะ ก็มีแผนสี่แผนรองรับเอาไว้อยู่ แบบนั้นก็ดูน่าจะเหงื่อตกบ้างอยู่หรอก ..
‘พลังที่แท้จริงของเรเซอร์ไม่ใช่ยูนาหรือว่าพรสวรรค์ทางเวทมนตร์ แต่เป็นการวิเคราะห์ที่เข้าขั้นสัตว์ประหลาด การเปลี่ยนหนึ่งวิเป็นทฤษฎีและแผนการณ์ได้เป็นสิบๆแผนช่างน่าอัศจรรย์..ผมละสงสัยจริงๆครับว่าทำได้ยังไง’
ประโยคที่เอเธอร์เคยพูดกับผมเมื่อไม่นานมานี้ ..
ตอนนั้นที่เอเธอร์พูด ผมคิดว่าตัวเองถูกเยาะเย้ย แต่พอคิดดูดีๆก็ไม่น่าใช่หรอก เหมือนว่าเอเธอร์จะพูดมาตรงๆแบบใสซื่อเลยนั่นแหละ
แบบนั้นยิ่งแล้วใหญ่เลย
สุดท้ายแล้ว ตัวผมที่เป็นแบบนี้แข็งแกร่งจริงๆหรือ? ต่อให้ไม่มียูนาก็ยังอยู่ได้จริงๆหรือ? ไม่ใช่ว่าผมเป็นแค่พวกชอบวิตกกังวลจนเหงื่อแตกเอาง่ายๆรึ?
สงสัย เพราะสงสัยถึงได้ถอดเสื้อคลุมออกและโยนมันขึ้นฟ้า
เสื้อกล้ามสีดำ และกางเกง สภาพอย่างกับคนที่เดินไปจ่ายตลอดอย่างไรอย่างนั้น ถ้ายูนาพูดได้ตอนนี้ เธอคงจะหัวเราะผมเป็นแน่แท้ แล้วก็คงหัวเสียให้กับความสงสัยอันไร้สาระของผมด้วย
“ไหนๆก็ไหนๆแล้วขอใช้พวกแกเป็นเครื่องพิสูจน์ละกัน”
จะเอาชนะ นักดาบขั้นบรรลุสองคน นักดาบขั้นสูงสามคน และนักเวทย์ราวๆขั้นสูงอีกสี่คนได้รึเปล่านะ ชนะโดยไม่ใช่ยูนาได้จริงๆรึ ช่างน่าสงสัยจริงๆ
สิ้นสุดการโยนเสื้อคลุมขึ้นฟ้า เปลวเพลิง สายลม เวทมนตร์ต่างๆก็พุ่งเข้าใส่ผม รวมถึงฝีเท้าของห้าชีวิตและวิชาดาบที่ใช้เวลาขัดเกลาเป็นปีๆของผู้มีฝีมือก็พุ่งตรงมาหาผม