< < 136 Sec8 > >
ไรเดน อาคาสะ เอ่ยถามผู้มาเยือนอย่างผู้กล้าแอสทอเรียส
“รู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ ผู้กล้า”
“รู้ดีอยู่แล้วสิ”
“คิดจะปกป้องภัยพิบั—”
“คืน เจ้าหญิงอาเบล มาเดี่ยวนี้!!!!!”
อาเบล? เจ้าหญิงมรกตแห่งอาณาจักรแซร์อิซ-ไรเดนถึงกับยืนงงในเรื่องที่แอสทอเรียสกล่าว
หมายความว่ายังไงกัน? เจ้าหญิงมรกตมาเอี่ยวอะไรด้วยกับสถานการณ์ตอนนี้–เพื่อปกป้องอาเบลถึงมาขวางการประหารเรนของตัวเองนั้นเหรอ? ไม่เข้าใจ ไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะมันไร้สาระเกินไป
แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่แสนวุ่นวาย แต่ไรเดนก็ตั้งมั่นไว้ว่า—จะกำจัดเรนก่อนเป็นลำดับแรก
“—หึม”
ไรเดนส่งเสียไม่พอใจออกมา นั่นเป็นเพราะแอสทอเรียสได้พุ่งมาขวางไรเดน
ดาบแห่งผู้กล้า ‘จัสติสเทีย’ ได้ปะทะกับดาบมาร ‘มุรามาสะ’ โดยตรง และไม่มีฝ่ายใดที่กระเด็นออกจากการปะทะแรงเลย
กล่าวคือพลังกายของทั้งสองนั้นสูสีกัน
“..ผู้กล้าแอสทอเรียส”
ไม่สิ เหมือนจะเลื่อมไปทางแอสทอเรียสมากกว่า แม้จะเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่อาจวัดแรงกับผู้มีพรสวรรค์ทางร่างกายสูงปรี๊ดอย่างแอสทอเรียสตรงๆไหว–ไรเดนจึงถอยออกจากการปะทะ และใช้ความเร็วเป็นตัวตั้งตัวตีในการต่อสู้แทน ทว่าทั้งหมดก็ถูกขัดขวางได้หมดโดยแอสทอเรียส ไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งของร่างกาย ประสาทสัมผัสของแอสทอเรียสก็เป็นความเหนือมนุษย์ในฐานะมนุษย์เช่นกัน
ทว่าความแตกต่างระหว่างนักรบกับผู้กล้าก็ยังมีอยู่
“—ชิ!”
ผู้กล้าพูดไรเดนอัดเข้าสีข้างด้วยทักษะประหลาดที่ปล่อยหมัดใส่อากาศก็ส่งไปถึงตัวผู้กล้าได้
“เทคนิค ‘เซนต์’ นั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่ามีแค่ราชามังกรคนเดียวรึไงที่ใช้มันได้น่ะ”
เทคนิคมานา ‘เซนต์’ มันคือการสร้างโดมตามปริมาณที่ใส่ โดยที่ภายในโดมนั้นผู้ใช้จะสามารถส่งหมัดของตัวเองหรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับร่างกายตัวเองตรงๆใส่สิ่งที่อยู่ในโดมตรงๆ กล่าวคือมันเป็นวิชาหมัดที่การันตีความแม่นยำในการจู่โจม
ข้อเสียคือกินมานามหาศาล ถ้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงอย่างมังกรที่มีมานาเยอะ การที่มนุษย์ใช้จึงเป็นเรื่องประหลาด
แน่นอนไรเดนคือมนุษย์ เขาย่อมสูญเสียมานาอย่างมากในการใช้อยู่แล้วและที่ยอมเสียขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่ามันคุ้มค่าในการทำ
จังหวะทีเผลอนั้นทำให้ผู้กล้าเสียจังหวะไป
ไรเดนใช้เชือกสีฟ้าไร้ภาพลักษณ์รัดตัวของผู้กล้าและลากเข้ามาใกล้—จากนั้นก็ทำการระเบิดเชือกสีฟ้าทิ้ง เกิดเป็นละอองภาพลวงตาประหลาดขึ้น ละอองนั้นได้ผสานเข้ากับ—วิชาไสยศาสตร์ [ภาพลวงตา]
ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ผู้กล้ายังมีสติอยู่ครบถ้วน—ผู้กล้าได้แทงดาบแห่งผู้กล้าจัสติสเทียลงพื้น จากนั้นก็ระเบิดพลังจากตัวดาบออก ทำลายภาพลวงตาทั้งหมดจนสิ้น
ผู้กล้าหายใจฮอบเล็กน้อย และเมื่อเงยหน้าหันเข้าหาไรเดน ทันใดนั้น—ก็ถูกดาบมารฟันเข้าที่กลางอก
“เอ๊ะ”
เสียงแหวกของกล้ามเนื้อและผิวหนังดังขึ้นอย่างน่าสยดสยอง ชุดเกราะเกรด เอเทียร์ ถูกทำลายภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว—แอสทอเรียสตามการเคลื่อนไหวของไรเดนไม่ทัน เขาไม่รู้ว่าไรเดนใช้ทักษะอะไรในการโจมตีเขา แต่ที่รู้ๆคือดาบมารเล่มนี้สามารถฝากบาดแผลให้ร่างกายที่หนายิ่งกว่ามังกรของเขาได้
ไม่ใช่แค่นั้น ขาของแอสทอเรียสก็อ่อนแรงขึ้นมา
ถูกเล่นทีเผลอตอนไหนกัน ไม่รู้ รู้แค่ว่าไรเดนเคลื่อนไหวและโจมตีพร้อมกันในหลายรูปแบบมาก ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็เกิดจากการเคลื่อนไหวที่เข้าขั้นบ้าของไรเดนอีกด้วย
แต่แค่นี้ไม่พอจะเอาชนะผูู้ถูกขนานนามว่าผู้กล้าได้ ในวินาทีที่ไรเดนกำลังจะวิ่งตามเรนไปนั้น—แอสทอเรียสได้ชี้จัสติสเทียไปทางไรเดน และ—
“จงสะบั้นความชั่วร้าย [จัสติสเทีย]!!!”
คลื่นพลังสีขาวพุ่งออกไป อนุภาคการทำลายล้างระดับสูงตรงดิ่งเข้าใส่ไรเดน—ไรเดนหันหลังกลับและใช้ดาบมารเปลี่ยนวิทีโจมตีของคลื่นพลังและจับเปลี่ยนทิศไปบนฟ้าแทน
ตึ้ง!!!!!!!!!!!!!!!! แสงระเทือนนั่นทำให้พื้นที่แห่งนี้ถึงกับสั่นสะเทือน
แอสทอเรียสค่อยๆลุกขึ้น และตั้งท่าดาบอีกครั้ง
“ยังลุกขึ้นได้อีกนั้นรึ”
ไรเดนส่งสายตาแปลกใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็หายแปลกใจ เพราะได้เห็นว่าร่างกายในส่วนที่มีบาดแผลของแอสทอเรียสนั้นตื้นสุดๆ ถึงผิวหนังจะขาดแต่ก็ไม่อาจตัดกล้ามเนื้อของแอสทอเรียสได้ ทั้งๆที่เล่นงานจุดอ่อนตามสามัญสำนึกของมนุษย์ไปแล้วแท้ๆ ..แต่ทำอะไรมากไม่ได้ นอกจากทำให้แอสทอเรียสเสียหลักไม่กี่วิ
“ร่างกายที่แข็งแกร่งนั่น ช่างคล้ายคลึงกับเอเธอร์ ..ก่อนอื่น ผู้กล้า ฉันขอผ่านทางก่อนได้รึไม่”
“ไม่มีทางปล่อยให้ไปจนกว่าจะส่งตัวท่านอาเบลกลับมา”
อาเบลเกี่ยวอะไรกับสถานการณ์ตอนนี้กัน
“ทางนี้กำลังล่าหัวของภัยพิบัติเรนอยู่ ถ้าไม่มีคนมาขวางก็คงทำสำเร็จไปแล้วแท้ๆ”
“เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่างมันก่อน! ส่งอาเบลคืนมาซะ”
“..ไม่รู้เรื่องด้วยหรอก ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าหญิงมรกต”
“อย่ามาทำไขสือ ทางนี้มีสัญญาณของท่านอาเบลส่งมาอยู่ ถ้าไม่ใช่ท่านที่อยู่ตรงนี้และจะเป็นใครกัน ไรเดน อาคาสะ”
แอสทอเรียสสติแตกอย่างน่าแปลกใจ ในหัวตอนนี้คงมีแต่เรื่องของเจ้าหญิงอาเบล
ไรเดนถอนหายใจ และมองไปที่ข้างหลังของแอสทอเรียสที่ไม่พอล่องลอยของเรนและอลิซาเบธอยู่เลย ตัวเองก็ไม่ได้ติดวิชาไสยศาสตร์ติดตามสองคนนั้นไว้ด้วย ถ้าให้ใช้วิชาไสยศาสตร์สืบสวนหาสองคนนั้นตั้งแต่แรกใหม่ก็กินเวลาเกินจำเป็นอีก มีโอกาสที่เป้าหมายจะหลุดไปได้
“ฟังก่อน ผู้กล้าแอสทอเรีย–”
“คืนเจ้าหญิงมาซะ!!”
แอสทอเรียสพุ่งเข้าใส่ไรเดนสุดแรง และเหวี่ยงดาบใส่ไรเดนโดยที่กะฆ่ากันจริงๆ–ไรเดนหลบดาบของแอสทอเรียส และแลกจังหวะดาบราวสามจังหวะ แรงลมกำโชกกระจายไปทั่วทั้งห้องโดยที่มีศูนย์กลางคือการปะทะกันของดาบ
“[ดาบประกายแสง]”
“[ดาบประกายแสง]”
เปล้ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ดาบเสียดสีกันและไรเดนก็ใช้ข้อได้เปรียบด้านความเร็วในการชิงโจมตีแอสทอเรียสในจังหวะนี้
มุรามาสะแทงเข้าไปที่ไหล่ซ้ายของแอสทอเรียสจังๆ แต่ก็ไม่พอจะเจาะผิวหนังของแอสทอเรียสได้ กลับกันเกราะที่ควรจะเป็นสิ่งปกป้องร่างกายที่สำคัญที่สุดกลับถูกสะบั้นทิ้งได้ง่ายๆ
และเพราะการโจมตีของไรเดนไม่สามารถทะลวงผิวกายไปได้ แอสทอเรียสจึงเหวี่ยงดาบได้ต่อโดยไร้อาการบาดเจ็บใดๆ ไรเดนตอบรับสิ่งนั้นโดยการสวนดาบใส่แอสทอเรียสตรงๆ
“[ดาบประกายแสง]”
“[ดาบไร้รูป]”
ทั้งๆที่ดาบยังไม่ได้ปะทะกัน แต่ร่างกายของผู้กล้ากลับมีบาดแผลที่กลางอก
ตั้งแต่เมื่อไหร่—ผู้กล้าได้แต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับวิชาดาบของไรเดน และที่สำคัญ ..ผิวกายที่ตัวเองมั่นใจที่สุดกลับถูกสะบั้นเอาซะง่ายๆ ต่างกับการโจมตีก่อนหน้านี้ การโจมตีคราวนี้รุนแรงพอจะทะลวงร่างของแอสทอเรียส และทำให้รับบาดเจ็บสาหัสได้
เลือดพุ่งออกจากปากของแอสทอเรียส ไม่ต้องสงสัยเลย การโจมตีเมื่อครู่มีพลังมากพอที่จะฆ่าผู้กล้าได้ในคราเดียว–แอสทอเรียสที่กำลังจะทรุดลงกับพื้นได้ใช้ดาบยันร่างตัวเองไม่ให้ล้มเอาไว้
“..ได้ยังไงกัน” แอสทอเรียสชำเลืองมองดาบมารมุรามาสะ “หรือว่าเป็นเพราะดาบเล่มนั้น ..”
ไรเดน อาคาสะ ไม่ได้ตอบกลับอะไร ทำเพียงใช้ดาบไปสัมผัสที่หน้าผากของแอสทอเรียสจนเกิดเลือดไหล
“ดาบมาร ‘มุรามาสะ’ ดาบที่มีคุณสมบัติในการตัดทุกอย่างเหมือนใบไม้ได้”
เพียงแค่เข้าใจหลักการทำงานของสิ่งที่ตัวเองกำลังตัดอย่างถ่องแท้ ตัวดาบก็จะผ่าทุกอย่างทิ้งได้อย่างสมบูรณ์ ..แน่นอนถ้าไม่สามารถทำความเข้าใจกับสิ่งที่เผชิญอยู่ได้ก็ไม่อาจทะลวงสิ่งใดได้ เหมือนอย่างที่ฟาดฟันกับแอสทอเรียสคราวแรก ดาบเล่มนี้ไม่สามารถสร้างบาดแผลที่อันตรายให้แอสทอเรียสได้เลย จนกระทั่งไรเดนเข้าใจหลักการร่างกายของแอสทอเรียสอย่างถ่องแท้ในการปะทะกันไม่กี่จังหวะ ดาบเล่มนี้จึงได้สำแดงพลังที่แท้จริงออกมา
แบบนี้นี่เอง ถึงได้ยอมปะทะกับตัวเองที่มีพลังกายมากกว่าตรงๆโดยไม่จำเป็น ทั้งหมดก็เพื่อเก็บการข้อมูล
“วางใจได้ ต่อให้มีโอกาสฉันก็จะไม่ฆ่าแกแน่นอน แต่ช่วยฟังที่อธิบายก่อน ฉันไม่ใช่คนที่พูดเก่งสักเท่าไห—”
“คิดว่าเจอแค่นี้แล้วผมจะยอมหรือไง”
“ฉันไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับ”
“ถ้าเจอแค่นี้แล้วแพ้! ผมคงไม่ได้นามของผู้กล้ามาหรอก”
…..
….
ไรเดนเริ่มหน้าซีดเล็กน้อย
“ฉันพูดไม่เก่ง ให้พูดเสียงดังคงไม่–”
“ส่งท่านอาเบลคืนมาซะ ที่จะพูดมีอยู่แค่นี้”
“..ไม่ไหวจริงๆสินะ”
จำเป็นต้องกล่อมแอสทอเรียสให้เร็วที่สุด แต่สภาพที่ไม่รับฟังอะไรตอนนี้ คุยไปก็ไม่ได้อะไร แอสทอเรียสกำลังสติแตกเพราะอาเบลที่หายไป ภาพลักษณ์ผู้กล้าที่สุขุมเปี่ยมไปด้วยสติปัญญาจะปลิวหายไปทันทีที่เกิดอะไรขึ้นกับอาเบล เพราะอย่างนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะคุยกับแอสทอเรียสในเวลานี้ให้รู้เรื่อง …กลายเป็นว่าทางเลือกที่น่าจะยากที่สุดดันกลายเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุดแทน
“ช่วยไม่ได้ ไม่ดีกับอาณาจักรแซร์อิซก็จริง แต่ขอถือวิสาสะ ประหารผู้กล้าทิ้งก่อนก็ได้—อย่างไรซะ ก็เทียบความเสียหายกับการปล่อยให้ภัยพิบัตินั่นหนีไปไม่ได้อยู่แล้ว”
“นั่นสินะครับ ..จงเปล่งประกาย [จัสติสเทีย]”
ดาบแห่งผู้กล้าส่งแสงสีเขียวโอบอุ้มร่างกายของแอสทอเรียส บาดแผลที่ถึงตายถูกลบหาย แค่นั้นไม่พอมานารอบตัวผู้กล้าก็เกิดการสั่นไหว ทั้งดาบและร่างกายมีออร่าสีเขียวอยู่รอบๆและนั่นก็ช่วยเพิ่มพลังให้แก่ผู้กล้ามหาศาล
กับพลังที่เพิ่มขึ้น กับกล้ามเนื้อที่เปลี่ยนไป ไรเดนจำเป็นต้องเรียนรู้มันใหม่เพื่อที่จะสะบั้นให้ขาดได้—ผู้กล้าเองก็ต้องคอยระวังไม่ให้ไรเดนได้ข้อมูลมากจนเกินไป และต้องระวังวิธีต่อสู้ที่หลากหลายของไรเดนด้วย
หากให้พูดรวมๆแล้ว ไรเดนมีโอกาสชนะมากกว่า แต่ศัตรูคือผู้กล้า ตัวตนที่สามารถเพิ่มพลังให้ตัวเองได้มหาศาลเรื่อยๆตลอดการต่อสู้ แล้วยังดาบแห่งผู้กล้านั่นอีก ต่อให้เป็นไรเดนก็ต้องเอาจริงในการต่อสู้นี้
ผู้กล้าลุกขึ้นยืนและตั้งท่าดาบ–ไรเดนก็เช่นกัน
ทั้งสองจะรีบชนะอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด เพื่อเป้าหมายของตัวเอง—-
“แอสทอเรียส”
เสียงใสของเด็กสาวดังขึ้นจากข้างหลังไรเดน
เมื่อหันไปมองก็พบเข้ากับอาเบลที่แอสทอเรียสกำลังตามหาอยู่-แอสทอเรียสรีบสลายก้อนพลังที่มหาศาลทิ้ง และวิ่งหน้าตั้งไปทางอาเบลทันที
“ท่านอาเบล ปลอดภัยดีสินะครับ”
“ค่ะ อย่างที่เห็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ว่าแต่ว่า..ทำไม่ท่านถึงได้หันดาบเข้าใส่ท่านไรเดน อาคาสะหรือคะ?”
“เรื่องนั้น ..เหมือนทางผมจะเข้าใจผิดไปเอง”
แอสทอเรียสหันมาทางไรเดนและโค้งศรีษะให้ ท่าทางสุขุมอันเป็นเอกลักษณ์กลับมาอีกครั้งก็จริง แต่สภาพผู้กล้าที่เอาแต่โวยวายและสมองไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั้นไรเดนไม่อาจลบเลือนไปได้ง่ายๆ เพราะอาการคลั่งนั่นทำให้ตนเองพลาดในการประหารเรน
เจ้าหญิงมรกตยิ้มตอบแอสทอเรียส ..บังเอิญนั้นเหรอ? การที่จู่ๆผู้กล้าก็คลั่งมาหาเรื่องตัวเองเพราะได้สัญญาณแถวๆนี้ และการที่พอไรเดนตัดสินใจจะทุ่มสุดตัวฆ่าผู้กล้า เจ้าตัวที่ผู้กล้าตามหาก็โผล่มาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ..ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้คลาดกับเรน
ไรเดนหรี่ตามองอาเบล เมื่ออาเบลสัมผัสได้ถึงสายตาของไรเดนจึงหันมายิ้มให้
“มีเรื่องอะไรหรือคะ?”
“ไม่มีอะไร” ไรเดนพึมพำกับตัวเองเบาหวิว “..หวังว่าจะแค่คิดไปเอง”
มีเรื่องที่ไรเดนอยากจะทดสอบอยู่ แต่ไม่สามารถทำได้เพราะตนเป็นทหารคนสำคัญของอาณาจักรเนลยอน ถ้าเกิดทำอะไรโดยไม่ระวังกับเจ้าหญิงต่างแดนเข้า อาจจะเป็นตัวสนวนเริ่มสงครามก็เป็นได้ แม้จะแข็งแกร่งไล่ๆกัน แต่ไรเดนก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจอย่างเอเธอร์ เพราะตัวเขามีสิ่งที่เรียกว่า– ‘ภาระหน้าที่ในฐานะทหาร’ อยู่
****
ระหว่างที่ผมและคนใหญ่คนโตอีกหลายคนกำลังเดินสำรวจ (ราชาจอมเวทย์วินดาฟ เจ้าหญิงแห่งเนลยอนโทมิเรีย บุตรสาวของกลอเลียสราเมียร์ เจ้าหญิงแห่งฟัฟนิร์มิร่า) ได้เกิดการพูดคุยของแต่ละคนขึ้นระหว่างออกเดิน
ทางซ้ายของขบวนคือมิร่ากับราเมียร์ที่คุยกันถูกคอเป็นพิเศษ ทั้งสองคุยเรื่องทั่วๆไปเป็นการผ่อนคลาย เพื่อไม่ให้สถานการณ์มันเครียดจนเกินไป เลยเลือกคุยแต่หัวข้อที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเจอ
นอกจากสองคนนั้นวินดาฟก็เป็นผู้เดินนำ ก่อนหน้านี้ผมได้พูดคุยกับวินดาฟตลอดทาง แต่ไม่นานก็หมดหัวข้อจะพูดคุยด้วยแล้ว ไม่สิ จริงๆก็มีเรื่องอยากคุยด้วยอีกเยอะเลยแหละ แต่ในหัวมีแต่เรื่องเวทมนตร์ซึ่งเป็นเรื่องใช้สมองค่อนข้างมาก เกรงว่าจะทำให้วินดาฟเขาเสียสมาธิเอา ผมเลยผละตัวออกจากการสนทนาซะก่อน โดยที่เดินรั้งท้ายในขบวน ..เพราะอย่างนั้นผมจึงเดินอยู่ข้างๆเจ้าหญิงแห่งเนลยอน โทมิเรียแทน
แต่เจ้าตัวไม่คิดจะสนทนาด้วยเลยแม้แต่คำเดียว เอาแต่เดิมมองไปข้างหน้าโดยปิดหน้าตัวเองเอาไว้
“ไอนั่นถอดออกก็ได้นะ ถ้าหายใจไม่ออก”
ผมชี้ใส่ที่คลุมหัวอันเป็นเอกลักษณ์นั่น โทมิเรียจึงหันหน้ามาทางผมและส่ายหัวให้ ทำเพียงแค่นั้นแล้วก็เดินต่อ ..
“จะว่าไปที่อาณาจักรเนลยอน ผมมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่นั่นด้วยนะ”
แหงละ ถึงจะไม่นาน แต่ผมก็เคยอาศัยอยู่อาณาจักรเนลยอนพักหนึ่ง ย่อมมีเพื่อนสักคนสองคนโดยบังเอิญอยู่แล้ว
เจ้าหญิงโทมิเรียดูจะสนใจที่ผมพูดนิดหน่อยเลยมองมาทางผม แต่ไม่ได้พูดอะไรด้วยอยู่ดี
“อยากรู้รึเปล่าครับ?”
“…”
“..เอ่อ พยักหน้าเอาก็ได้”
เจ้าตัวรีบพยักหน้าตอบ ผมจึงขอเล่าเรื่องเพื่อนที่เนลยอนให้ฟัง
“ฟังแล้วอย่าตกใจนะครับ ผมที่เยือนที่นั่นในฐานะนักผจญภัยได้บังเอิญเจอกับลูกชายตระกูล ‘เท็งงุ’ เข้าน่ะนะ” ผมหลับตาไปพูดไป “แล้วก็ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ทำให้ผมมีโอกาสได้แท็คทีมล่าอาชญากรกลุ่มใหญ่ที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ในสลัมเข้า”
พูดถึงตรงนี้โทมิเรียก็พุ่งมาใกล้ผมทันใด
“จะ จริงหรือคะเรื่องนั้น!?”
จู่ๆก็ยอมพูดด้วย ..ที่สำคัญเพราะจู่ๆก็พุ่งมาอย่างนั้นที่คลุมหัวเลยปลิวหลุดไป—และเผยให้เห็นโฉมหน้าของหญิงสาวที่งดงามที่สุดบนโลก
เลือนผมสีฟ้าดูเรียบร้อยและสวยงามพร้อมๆกัน และยังอยู่ในทรงฮิเมะคัทที่เลื่องลือ ดวงตาสีนีออนที่หากอยู่ในที่มืดมันคงส่องเป็นประกายในยามค่ำคืน ผิวสีขาวราวกับหิมะนั่นอีก ทุกองค์ประกอบที่ว่าได้รวมกันอย่างสมบูรณ์แบบ และปรากฏเป็นเจ้าหญิงที่งดงามอย่างแท้จริง
นี่น่ะเหรออำนาจของผู้หญิงที่งดงามที่สุดบนโลก ..ทั้งๆที่ไม่น่าต่างกับหนิงมากแท้ๆ แต่บรรยากาศที่ได้ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย
ยัยหนิงมันเสียของ แต่นี่ไม่ใช่
ยอมรับเลยว่าสวยสุดๆ ว่าตามมาตรฐานสากลสวยกว่าเบลลามีหรือเรเซลกับอันนาอีก แต่ว่านะ ..ว่าไงดี ยังไงสามคนนั้นก็ดีที่สุดแหละนะ
พอคิดแบบนี้ในหัว ความตื่นเต้นและเขินอายตามสัญชาตญาณก็เลืองหายไปทันที ใช่แล้ว อันดับหนึ่งแม้จะเยอะไปหน่อย แต่อันดับหนึ่งคือเบลลามี เรเซลแล้วก็อันนา เยอะไปก็จริงแต่พวกเธอล้วนคืออันดับหนึ่งในใจที่ผมเทิดทูน รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ตัวเองไม่อาจมีได้สัมผัสความงามที่สุดบนโลกโดยตรง เพราะมีอันดับหนึ่งอยู่แล้ว
อ๊ะ–ก่อนหน้านี้เคยคิดมาตลอดว่าการได้รักกับพวกเธอไม่มีข้อเสีย แต่นี่ไง เจอข้อเสียแล้ว เพราะพวกเธอทำให้ผมไม่สามารถมองเสพความสวยที่สุดบนโลกได้อย่างเต็มที่ ทั้งหมดเป็นเพราะทั้งสามคนเลย ..ให้ตายสิ ช่างโชคร้ายอะไรอย่างนี้
แม้จะบ่นอย่างนั้น แต่ในใจผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย—แล้วตูพล่ามอะไรในใจวะเนี่ย น่าอายชะมัด
แต่ก็นั่นแหละนะ เป็นคนที่สวยสมคำร่ำลือเลย ทรงผมยาวเหมือนเบลลามีเลย อยากกลับไปสัมผัสผมของเบลลามจังเลยนะ ผมของเบลลามีน่าจับกว่าเยอะเลย ดวงตากลมโตดูใสซื่อเหมือนเรเซลด้วยเหมือนกัน แต่ เอ๋ จำไม่ค่อยได้แล้วนะว่าตาเป็นยังไง อยากจ้องตาเรเซลสักสามชั่วโมงพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้เหลือเกิน แล้วก็หุ่นก็คล้ายๆอันนาด้วย อ๊ะ..ทำไมอะไรๆก็สามคนนั้นไปหมดเลยนะ
ผมอาจจะป่วยก็ได้ ควรไปหาหมอแฮะ
“ระ ระ เรื่องที่ว่าคุณมีส่วนร่วมในการจับกุมกลุ่มอาชญากรนั่นเป็นเรื่องจริงหรือคะ!?”
โทมิเรียเข้ามาใกล้มาก ทำให้ได้กลิ่นอ่อนๆจากผมของเธอ ..กลิ่นผมต่างกับของเบลลามีแฮะ อ่า คิดถึงจังเลยนะ อยากกลับไปหาแล้วง่ะ พลาดจากกันมาตั้งสี่วันแล้วนะ ..แต่ก่อนอื่น ผมทำเก็กยิ้มตอบโทมิเรียแบบสุภาพ
“ใช่ครับ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชมสักเท่าไหร่ เพราะคนที่ช่วยก็ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวด้วย”
“นอกจากคุณก็มีแค่ ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ เท่านั้นแหละค่ะที่มีส่วนร่วม หมายความว่ามีแค่สองคนไม่ใช่เหรอคะ?”
ก็จริงนั่นแหละ ผมกับเบ็นจิโร่ช่วยกันปราบกองโจรกลุ่มยักษ์เพียงสองคน แถมทั้งสองคนยังเป็นเด็กกระโปกอายุสิบห้าขวบอย่างผม และวัยรุ่นอายุราวๆสิบเจ็ดอย่างเบ็นจิโร่ จะว่าไปพูดถึงหล่อนแล้วก็อดคิดถึงวันวานไม่ได้เลยแฮะ
“ท่านโทมิเรียรู้รึเปล่าว่าเบ็นจิโร่เป็นพวกที่ไม่ชอบให้คนอื่นล้อว่าตัวเองชื่อเหมือนผู้ชายนะครับ ปกติดูเงียบๆแต่พอพูดเรื่องนี้ขึ้นจะโวยวายยกใหญ่เลย”
“นะ นั้นเหรอคะ ความรู้ใหม่เลยค่ะ ไม่ใช่สิ ที่ฉันสงสัยเป็นเรื่องที่คุณกับท่านเบ็นจิโร่ช่วยกันปราบกลุ่มโจรต่างหาก นั่นเป็นคดีใหญ่ในอาณาจักรเนลยอนเชียวนะคะ เพราะไม่มีหลักฐานเลยตามจับพวกนั้นไม่ได้สักที แต่จู่ๆท่านเบ็นจิโร่กับเพื่อนของเขาหนึ่งคนก็หาหลักฐานมาได้ แต่ก็ถูกเบื้องบ้นที่ทุจริตเล่นสกปรก จนพวกคุณต้องไปลุยกับกลุ่มโจรมีฝีมือนับร้อยเพียงสองคนน่ะค่ะ” โทมิเรียตาเป็นประกายและพูดต่อ “เรื่องนี้ทางฉันก็ได้ไปสอบถามท่านเบ็นจิโร่แล้ว แต่เจ้าตัวก็เบี่ยงประเด็นไม่ยอมบอกสักทีว่าสุภาพบุรุษที่มีส่วนช่วยในคราวนั้นเป็นใคร ..เอ่อ ยังไงดีนะ ประทับใจมากค่ะ ฉันเป็นแฟนคลับของทั้งสองคนนะคะ”
กล่าวจบโทมิเรียก็ยื่นชายกระโปรงมาให้
ความคิดอกุศลลอยเข้ามาในหัวแวบหนึ่ง ก่อนจะหายไปในทันที
“ขอลายเซ็นต์จะได้รึเปล่าคะ?”
“ก็เป็นเกียรติอยู่หรอกครับ แต่ให้เซ็นต์ตรงนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่ ไว้มีกระดาษแล้วผมเซ็นต์ให้ทีหลังดีกว่านะ” ผมหัวเราะออกมาเล็กน้อย “แต่แปลกใจนะครับเนี่ย ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะกลายเป็นคนดังขนาดนี้”
ตลอดมาผมใช้ชีวิตแบบไม่ได้โด่งดังในด้านที่ดีเสียเท่าไหร่น่ะนะ ..แต่ก็ใช่ว่าจะชอบที่ตัวเองโดนมองเป็นฮีโร่สักเท่าไหร่ ว่าไงดี รู้สึกยุ่งยากชอบกล แต่ผมก็ไม่อาจบอกความรู้สึกจริงๆให้กับโทมิเรียที่กลายร่างเป็นเด็กประถมคลั่งฮีโร่ได้
โทมิเรียพูดไม่หยุดเลย เหมือนจะชอบพวกผมมากจริงๆ
“คุณกับท่านเบ็นจิโร่เปรียบได้ดั่งฮีโร่ของเด็กๆเลยนะคะ ท่านเบ็นจิโร่ตอนนี้เองก็กำลังจะกลายเป็นว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไป แถมยังได้ขึ้นเป็นรองหัวหน้าของกรมตำรวจแห่งอาณาจักรเนลยอนแล้วด้วย วีรกรรมคราวนั้นสร้างความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างให้อาณาจักรเนลยอนของพวกเราเลยค่ะ”
“นั้นเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ มังงะรายสัปดาห์เองก็มีเรื่องราวของคุณกับท่านเบ็นจิโร่อยู่ด้วยนะคะ ชื่อเรื่อง ‘เท็งงุผู้พิกษ์ความเที่ยงธรรม กับสุภาพบุรุษเพลิงสั่งตาย’ เป็นที่นิยมสุดๆเลยนะคะ ถูกผลิตซ้ำไม่รู้กี่ครั้งไม่พอ ยังมีของเล่นต่างๆออกมาขายอีก”
อะ เอาจริงดิ ขนาดนั้นเลยเรอะ ..จะว่าไปก็จริงกับเป็นเมืองที่อ้างอิงจากญี่ปุ่นดีแฮะ เรื่องพวกการ์ตูนรายสัปดาห์อะไรพวกนี้ก็ต้องมีเป็นสีสันต์บ้าง อืมๆ ชักอยากลองอ่านดูแล้วสิ
สุภาพบุรุษเพลิงสั่งตายสินะ ..กะ ก็ไม่เลวแหละนะ อืม
ผมกระแอ่มเบาๆปรับอารมณ์
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรหรือครับ”
“การกำราบความชั่วร้ายในอาณาจักรเนลยอนที่แสนสวยงามค่ะ!”
โทมิเรียกำหมัดแน่นและส่งสายตาเป็นประกายแวววับมาทางผม
..อย่างกับเด็กประถมที่คลั่งไคล้พวกเรื่องราวธรรมะชนะอธรรมเลยนะ
“แล้วก็เรื่องความรักโรแมนติกระหว่างท่านเบ็นจิโร่กับสุภาพบุรุษเพลิงสั่งตายค่ะ”
…ได้ไง กับยัยนั่นเนี่ยนะ?
“มะ ไม่ไหวอะ”
“ท่านเบ็นจิโร่ก็พูดอย่างนี้เหมือนกันค่ะ แต่ถ้าเปลี่ยนชื่อเขาก็ไม่ว่าอะไร ..อ่า คือ..พูดถึงเรื่องคุณสุภาพบุรุษเพลิงสั่งตายแล้ว ฉันสงสัยอย่างหนึ่งน่ะค่ะ รบกวนหน่อยได้หรือเปล่าคะ? คุณสุภาพบุรุษเพลิงสั่งตาย”
“ก่อนอื่นผมชื่อ เรเซอร์ ดราแคล์ครับ องค์หญิงโทมิเรีย ..แต่ก็เอาเถอะ ว่ายังไงครับ?”
โทมิเรียหันซ้ายหัวขวาเหมือนที่ถามเป็นความลับสุดๆ ก่อนจะเขยิบมากระซิบข้างหูผม
“คุณสุภาพบุรุษเพลิงสั่งตายเป็นโลลิค่อนเหรอคะ?”
….หา?
“คือ..มีฉากหนึ่งที่ท่านสุภาพบุรุษเพลิงสั่งตายบอกสเป็คผู้หญิงที่ชอบน่ะค่ะ แล้วท่านก็ตอบว่า—” โทมิเรียกอดอกเก็กหน้าเข้ม คล้ายจะเลียนแบบท่าทางตัวผมในมังงะ “ ‘สไตร์คโซนของผมคือผู้หญิงผมดำยาว ภายนอกตัวเล็กดูๆแล้วอายุไม่น่าเกินสิบสาม ผิวไร้มลทินเหมือนกับเด็ก ว่าโดยง่าย ผมชอบผู้หญิงที่มีสเน่ห์เหมือนเด็ก แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เด็กน่ะนะ’ น่ะค่ะ”
“มะ ไม่ใช่ ไม่ใช่สิโว้ย”
ได้ยินการตอบกลับของผม โทมิเรียก็ดีใจจนแกว่งกำปั้นไปมา
“นั่นสินะคะ! ว่าแล้วเชียว! ท่านสุภาพบุรุษเพลิงสั่งตายไม่มีทางเป็นพวกคลั่งเด็กหรอก! มันมีพวกที่ชอบกล่าวหาท่านสุภาพบุรุษเพลิงสั่งตายว่าเป็นเปโดแล้วก็พากันแอนตี้ท่านกัน ..ว่าตามตรงฉันเจ็บใจมากเลย เถียงยังไงก็ไม่ยอมฟัง แค่ชอบคนตัวเล็กมันผิดตรงไหนกัน พวกนั้นไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเล็กที่ว่ามันไม่ใช่ตัวเล็กแบบเด็ก ก็แค่ตัวเล็กแบบอายุราวๆสิบสามสิบสี่เอง”
..บัดซบ ตูโดนใครที่ไหนไม่รู้โดนหาว่าเป็นเปโดเนี่ยนะ แบบนี้มันเกินไปแล้ว เบลลามีไม่ใช่โลลิสักหน่อย ไอ้พวกกร๊วกนั่น!
“ใช่ครับ ใช่เลย ถ้ายังไงช่วยแก้ความเข้าใจผิดให้ผมด้วยนะ องค์หญิง แล้วก็บอกบ้านคนแต่งเรื่องนั้นมาทีสิ เดี่ยวว่างๆผมจะแวะไปขอบคุณเจ้าตัวหน่อย”
“ได้เลยค่ะ ทางฉันเองก็จะซัดคนที่กล้าว่าร้ายท่านสุภาพบุรุษเพลิงสั่งตายให้หมอบเลย”
โทมิเรียทำท่าทางหักนิ้วเหมือนเด็กประถมผู้ชายเวลาจะต่อยกับคน มาดเจ้าหญิงละลายหายไปทันทีที่พูดถึงเรื่องของผมและเบ็นจิโร่สินะ แบบนี้นี่เอง เป็นแก็ปโมเอะที่ไม่เลว หนิงมีแก็ปโมเอะเป็นสวยเสียของ โทมิเรียมีแก็ปโมเอะเป็นเจ้าหญิงที่จะเปลี่ยนเป็นเด็กประถมเวลาพูดถึงซีรีย์ธรรมะสู้กับอธรรม
หากให้มองรวมๆแล้ว โทมิเรียชนะขาด เพราะยังคงความน่ารักสไตล์เด็กตัวเปี๊ยกเอาไว้ได้อยู่ ต่างกับหนิงที่เสียของ
อนึ่ง ผมไม่ได้โกรธเคืองหนิงแต่อย่างไร แต่คิดอย่างตรงไปตรงมาตามหลักฐานเท่านั้น
“อ๊ะ แล้วก็ฉันแต่งโดจินให้ท่านสุภาพบุรุษเพลิงสั่งตายด้วยนะคะ”
“โดจินเหรอ? สุดยอดเลยนะครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไ–”
“เกี่ยวกับท่านสุภาพบุรุษเพลิงสั่งตายกับท่านเบ็นจิโร่ที่วันหนึ่งจู่ๆก็กลายเป็นผู้ชายค่ะ วันคืนที่ต่างไปจนเกิดขึ้น ถ้าคนที่ตัวเองรักเกิดกลายเป็นผู้ชายขึ้นมา ท่านสุภาพบุรุษเพลิงสั่งตายจะรับได้หรือไม่ แค่ฟังก็น่าตื่นเต้นแล้วใช่มั้ยคะ? จากนั้นก็ จากนั้นก็”
“ปะ เป็นสายนั้นหรอกเรอะ!?”
โทมิเรียพูดไปหน้าแดงไป ส่วนผมก็ได้แต่หน้าเหวอ
กราบเรียนทุกท่าน ตัวผมและสหายจากต่างแดน ได้เป็นแรงบันดาลใจทำให้เกิดเป็นซีรีย์ยอมนิยมของที่แห่งนั้น และถูกแฟนคลับบ่างท่านเขียนโด Y ขึ้นมาละครับ เรื่องมันคงจะไม่แปลกอะไรเลย ถ้าเจ้าตัวคนที่เขียนไม่ใช่องค์หญิงจากอาณาจักรที่ว่านั่น ..
MANGA DISCUSSION