< < 136 Sec6 > >
ท่ามกลางฝูงชนที่บ้างก็เดิน บ้างก็วิ่ง บ้างก็ยืนอยู่เฉยๆนั้นฟัฟนิร์และชินกำลังตรงไปที่คนตัวเล็กคนๆหนึ่งซึ่งสวมผ้าคลุมสีขาวสุดหรูหรา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มเดินเร็ว ทั้งสองก็ทำการเร่งฝีเท้าในการเดินของตัวเอง
ไม่รู้ว่าต้องการอะไร แต่ว่าเนลยอนเดินออกไปที่นอกเขตุรวมตัวชั่วคราว เมื่อทั้งสองเห็นว่าไร้ผู้คนเดินสวนไปมาแล้ว พริบตาเดียวทั้งสองก็ยืนดักหน้าหลังของคนในผ้าคลุมเอาไว้แล้ว
คนในชุดคลุมหยุดนิ่งแทบจะทันที เขาหันมองหน้าที่ชินยืนอยู่และชำเลืองมองข้างหลัง—หันมองฟัฟนิร์
“..ไม่คิดเลยนะว่าแกจะตกต่ำลงมาได้ถึงเพียงนี้ ฟัฟนิร์”
เสียงที่แสนเย็นยะเยือกคล้ายว่าผู้พูดนั้นเกลียดฟัฟนิร์เข้าไส้นั่นทำให้ฟัฟนิร์แอบหงุดหงิดนิดหน่อย
“ไม่มีวิธีพูดที่ดีกว่านี้หน่อยหรือไง เนลยอน”
เมื่อถูกเรียกชื่อคนในชุดคลุมจึงถอดฮูดที่ปกปิดใบหน้าของตัวเองออก และเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามทั้งในรูปแบบของผู้หญิงและในรูปแบบของผู้ชาย
เส้นผมสีฟ้าอ่อนที่ยาวจนถูกมัดรวบเอาไว้คล้ายกับโพนี่เทล ดวงตาสัตว์นักล่าสีเหลืองของมังกร เพราะใบหน้าที่งดงามออกไปในแนวน่ารักผนวกไปกับรูปร่างที่เล็กคล้ายเด็กกำลังโต ทำให้เนลยอนดูน่ารักเป็นพิเศษ แต่เมื่อสังเกตุสีหน้าเจ้าตัวดูดีๆก็สามารถลืมภาพจำแรกไปได้เลย ทั้งดวงตาที่มองแรงอยู่ตลอดเวลา และคิ้วที่คมวดในทุกๆวินาทีนั่นทำให้เนลยอนเหมือนคนที่อารมณ์เสียทุกเวลา
หากมีเพียงรูปลักษณ์ คนทั่วไปคงสัมผัสความน่ากลัวนี้ไม่ได้ อาจจะคิดแค่ว่าเป็นเพียงเด็กที่มีปัญหาด้านนิสัยเท่านั้น แต่กลิ่นอายของ ‘มหามังกร’ มีอยู่ในตัวของเนลยอน สิ่งนั้นทำให้สิ่งมีชีวิตไม่สามารถละสายตาหรือประเมินเนลยอนเป็นเพียงเด็กมีปัญหาทั่วไปได้ เพราะเนลยอนเป็นสิ่งพิเศษบนโลกนี้ยังไงละ เหมือนกับฟัฟนิร์และชินในเวลานี้
“ยังไงซะทางนี้ก็เป็นถึงพี่สาวที่น่าเคราพรักนะ เนลยอน”
“บอกแล้วไงว่าอย่าเหมารวมข้ากับแกว่าเป็นพี่น้องกัน!”
เนลยอนพูดด้วยอารมณ์ที่ร้อนละอุจนฟัฟนิร์สะดุ้งโหยง ทางชินก็มองมาอย่างแปลกใจ และเพียงพริบตาเดียวก็ถูกสายตาที่อาฆาตของเนลยอนจับจ้องเป็นรายต่อไป
“คิดว่ามหามังกรคืออะไรกันแน่ ฟัฟนิร์ มหามังกรนั้นพิเศษ เป็นสุดยอดของขวัญที่ท่านผู้สร้างมอบให้ไม่ใช่หรือไง แม้จะไม่ได้เรื่องแต่แกก็เป็นหนึ่งในสี่มหามังกรผู้เป็นศูนย์กลางของมานา ..ทั้งอย่างนั้น แกกลับ!” เนลยอนโกรธเป็นฝืนเป็นไฟ “-ทำให้มนุษย์ชั้นต่ำตนนั้นขึ้นมาทัดเทียมกับข้านั้นหรือ? ไม่คิดว่าดูถูกข้ากับเผ่าพันธ์ของตัวเองไปหน่อยรึไง ไอ้ชั้นต่ำ”
“เนลยอน ต่อให้เป็นเจ้าเป็นน้องชายที่น่ารัก แต่ข้าก็ไม่ให้อภัยคนที่พูดไม่ดีกับไอ้ต้าวของข้าหรอกนะ”
“ไอ้ต้าว? วิธีพูดประหลาดที่ได้มาจากมนุษย์ชั้นต่ำคนนั้นนี่เอง นี่แกหมกตัวกับพวกมนุษย์มากไปจนติดสันดานพวกเดรัจฉานมาหมดแล้วสินะ”
“เจ้าว่าใครว่าเดรัจฉานกัน?”
เสียงของฟัฟนิร์เริ่มแข็งกร้าวขึ้นมา แต่เนลยอนไม่มีทีท่าว่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
“คำว่าไอ้ต้าวก็เป็นคำสุดวิเศษที่ข้าได้มาจากคนๆหนึ่งด้วย และถึงมนุษย์จะเป็นพวกโง่ที่ไม่อาจเทียบสติปัญหากับข้าและเจ้าได้ แต่พวกนั้นก็มีดีในแบบของตัวเอง ..ข้าไม่ยอมให้เจ้าดูถูกโดลพลการหรอกนะ”
“เรื่องของแกสิ กับพวกชั้นต่ำและมหามังกรที่ตกอับอย่างแกข้าไม่คิดจะเสวนาด้วยหรอก”
เนลยอนถุยน้ำลายลงพื้น จากนั้นก็พูดต่อ
“แล้วที่มาหากันครั้งนี้มีอะไรอีก”
“พูดตรงๆเลยนะ เนลยอน–ล้มเลิกความตั้งใจะคืนชีพท่านผู้สร้างได้แล้ว”
“…”
“รู้รึเปล่าสิ่งที่เจ้าคิดจะทำมันจะทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก แค่นั้นไม่พอทั้งเจ้าและข้าก็จะตายไปด้วยเหมือนกัน แบบนั้นดีแล้วรึ กับคนที่ไม่เคยแม้จะได้พบหน้า เจ้ากลับโหยหาถึงขนาดพร้อมจะฆ่าครอบครัวที่เหลืออยู่ของตัวเองทั้งหมด”
“ข้ากับแกไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน”
…
“น่าเสียดาย แต่ทางนี้เห็นว่าเจ้าเป็นน้องชายที่น่ารักนะ”
กล่าวจบฟัฟนิร์ก็หัวเราะเบาหวิว กลับกันทางเนลยอนนั้นมองมาอย่างเย็นชา
“พวกเราถือกำเนิดพร้อมกัน พวกเราทั้งสี่ได้พบเจอกันและกันเมื่อลืมตาตื่น มีนามว่ามหามังกรเช่นเดียวกัน เป็นฝาแฝดทั้งสี่ที่ไม่ว่าจะมีอะไรก็คอยช่วยกันเสมอ แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่คิดจะยอมรับเรื่องนี้กัน ..แค่พวกข้าสามตนไม่เพียงพอต่อความต้องการของเจ้าหรือ? เพียงแค่ไร้ซึ่งบิดาเจ้าถึงกับคลั่งได้ขนาดนี้เลยหรือ?”
ฟัฟนิร์กุมหน้าอกของตัวเองด้วยใบหน้าที่หวนคิดถึง
“ก็จริงที่สิ่งที่เรียกว่าครอบครัวนั้นประกอบไปด้วยผู้สร้างและผู้ถูกสร้าง ทว่านั่นมันก็แค่ด้านโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น การเดินทางตลอดพันๆปีของข้าบอกข้ามาอย่างนั้น ..ครอบครัวที่เจ้าตามหาอยู่น่ะ—ไม่ใช่ตัวตนอย่างผู้สร้าง เจ้าแค่คิดว่าหากตัวเองได้เจอกับผู้สร้าง เจ้าจะได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวอย่างแท้จริงก็แค่นั้น คิดอย่างนั้นอย่างไร้เดียงสา จุดนี้ข้าว่าเจ้าน่ารักดีนะ เนลยอน แต่คงต้องพอได้แล้วละ ลืมตาตื่นได้แล้วน้องชายของข้า”
ฟัฟนิร์ยื่นมือไปให้เนลยอน–เนลยอนมองมือที่ยืนมาให้นั่งก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ทำเป็นรู้ดีเก่งเหลือเกินนะ ..กับแกที่ได้แต่จมปลักกับความผิดพลาดในจิตใจของตัวเอง ข้าไม่คิดจะตอบรับมือนั้นอย่างแน่นอน”
เนลยอนปัดมือของฟัฟนิร์ทิ้ง
“สวดส่งวิญญาณสินะ กิจวัตรที่แกทำเป็นประจำเพื่อชดเชยให้กับชีวิตที่แกได้สังหารไปในช่วงสงครามครั้งนั้น ตัวแกที่เป็นถึงมหามังกรกลับรู้สึกผิดต่อชีวิตที่ไร้ค่าและยอมผูกมัดชีวิตของตัวเองไว้เพื่อพวกมนุษย์ชั้นเลว ช่างไร้สาระ ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าสิ่งที่ตัวแกทำอยู่มันเป็นการทำให้ข้านั้นเสียหายน่ะ—มหามังกรคือจุดสูงสุดของสิ่งมีชีวิต การที่แกเอาแต่ทำเพื่อพวกมนุษย์มันคือการแสดงถึงความอ่อนแอ ความผิดพลาดที่ไม่ควรมีอยู่ในตัวของมหามังกร”
“…”
“กับแกที่อ่อนแอ ข้าไม่คิดจะเชื่ออะไรทั้งนั้น” เนลยอนหรี่ตามอง “แล้วแบบนี้จะทำยังไงต่อล่ะ ในเมื่อข้าไม่คิดจะไปกับพวกแกด้วย แล้วจะใช้วิธีไหนต่อ”
ฟัฟนิร์ถอนหายใจเฮือกโตและทำการบิดแขนจนเกิดเสียงดัง
“ก็ต้องใช้กำลังอยู่แล้วสิ”
ชินดึงซิกเฟียร์มาจากฝักและตั้งท่าสำหรับการต่อสู้
“แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ เนลยอน ความอ่อนแอของข้าที่เจ้าพูดถึงนั้น—มันคือความแข็งแกร่งของข้า”
เปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาจากร่างของฟัฟนิร์ ขณะเดียวกันสายน้ำก็ลอยอยู่รอบตัวของเนลยอน
“จะตบเรียกสติเจ้าเอง เนลยอน”
“ทำได้ก็ลองดู”
เปลวเพลิงและวารีได้พุ่งเข้าใส่กัน—-ตู้ม!!!!!!!!!!! ทั้งสองสิ่งหักล้างกันเกิดเป็นไอน้ำจางๆ
“ถ้าเป็นแต่ก่อนข้าคงจะแพ้แกไปแล้วละฟัฟนิร์ แต่เพราะมอบครึ่งหนึ่งให้กับมนุษย์ การต่อสู้จึงสูสีขึ้นมาอย่างไม่น่าเป็นไปได้”
“ก็เพราะแบบนั้นแหละ ข้าตอนนี้ถึงจำเป็นต้องมีไอ้ต้าว”
ชินพุ่งใส่เนลยอนและใช้ซิกเฟียร์หมายจะแทงร่างของเนลยอนให้ทะลุ
โดนรุมสอง—เนลยอนจะแพ้ในไม่ช้าอย่างแน่นอน หากเป็นสถานการณ์ตามปกติละก็
“ออกมาได้แล้ว”
เพียงการเรียกหาสั้นๆของเนลยอน จังหวะนั้นก็เกิดแรงถีบตัวสุดจะเหนือธรรมชาติ
ปรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!! แรงบีบอากาศมหาศาลทำให้ฟัฟนิร์และชินต้องกระโดดถอยจากเนลยอนไป
เมื่อสิ้นสุดแรงบีบอากาศแล้วตรงหน้าเนลยอนก็ปรากฏมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ในท่าเท้าสะเอว
หญิงสาวผู้แต่งตัวได้ชิลผิดกาลเทศะในงานประชุมโลก เสื้อยืดสีขาว เสื้อคลุมลายทะเลและพระอาทิตย์ตกดิน กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะเกี๊ยะ มีผมสีทองมัดเป็นโพนี่เทลและสวมหมวกแก๊ป
‘วิน’ ผู้ใช้วิญญาณระดับเทพ ราชาไสยศาสตร์ปรากฏตึ้วขึ้นระหว่างเนลยอนและฟัฟนิร์
วินจัดหมวกแก๊ปที่ทำท่าจะหลุดจากการเคลื่อนที่เร็วเกินไปของตัวเองไปพลางพูดไปด้วย
“นี่คือเป้าหมายงานคราวนี้เหรอ เนลยอน”
เธอชายตามองคนสองคนและยิ้มร่าทันที
“ฟัฟนิร์ตัวเป็นๆ! สวยสุดๆเลยไม่ใช่เหรอ เส้นผมก็สวยเหมือนกับของนายเลยนิ เนลยอน”
ฟัฟนิร์เอียงคอฉงน ต่อจากนั้นก็หันไปมองชินต่อ
“แล้วก็ฟัฟนิร์รุ่นใหม่–พระเจ้า!! หล่อเว่อร์จริงๆเลยนะ บนโลกเรามีผู้หญิงที่มาดดูหล่อขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย แปลกจริงๆนา”
ชินยิ้มเจื่อนๆตอบ
เมื่อวนดูจนครบแล้ววินก็หันกลับไปทวนหน้าที่กับเนลยอน
“ให้จัดการสองคนนี้สินะ–บอกตามตรงแข็งแกร่งไม่เบาเลยนะ แต่ก็ไม่ได้เกินมืออะไร เทียบกับงานบนเกาะวาเรอร์นี่จิ๊บๆเลยแหละ”
วินทำนิ้วรูปโอเครตอบ
“แน่นอนอยู่แล้วสิ อาวุธสงครามอย่างแกจะไปแพ้ให้กับมหามังกรตกอับได้อย่างไรกัน—จะอย่างไรก็ช่างมันไป ทำตามหน้าที่สั่งซะ”
“เข้าใจแล้วๆ แต่จะดีเรอะ พี่น้องกันไม่ใช่?”
“..นี่แก”
วินระเบิดหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง
“ล้อเล่นน่าๆ รู้อยู่แล้วแหละว่ามีความสัมพันธ์กันยังไง ถ้านั้นก็—ขอความกรุณาด้วยนะ พวกคุณมหามังกรเพลิง”
วินบิดขี้เกียจนิดหน่อยจากนั้นก็ทำการก้าวเท้าข้างซ้าย—-และหายวับไป
“เอ๊ะ อะไรเนี่ย?”
ฟัฟนิร์ตามความเร็วไม่ทัน ทว่าชินสามารถสัมผัสถึงบางอย่างได้จึงพุ่งตัวไปบังฟัฟนิร์และใช้ซิกเฟียร์บังเอาไว้ในเชี่ยววินาที
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!! แรงปะทะที่มหาศาลทำให้ร่างของชินปลิวไปกับแรงนั่นเอาง่ายๆ
“ต้าวชิ—-อึก!!!”
ฟัฟนิร์ใช้แขนเล็กๆรับการโจมตีด้วยเท้าของวินต่อ–แขนถึงกับบิดไม่เป็นรูป แต่ฟัฟนิร์ก็ใช้เปลวเพลิงรักษะและทำการระเบิดเพลิงออกจากร่างกาย
วินกระโดดดีดตัวออกมาอย่างไม่ยากเย็น
พลังกายต่างกันเกินไป–ฟัฟนิร์ที่คิดได้อย่างนั้นจึงสร้างเพลิงขึ้นรอบตัวเอง
“สมกับเป็นท่านมหามังกรที่มีอายุอยู่หลายพันปีเลยนะ ปรับตัวได้เร็วจริงๆ ..โอ๊ะ”
เผลอแปปเดียวชินก็ลุกขึ้นมาและวิ่งเข้าใส่วินด้วยความเร็วที่ต่อให้เป็นวิน แต่หากไม่ตั้งใจมองให้ดีจะพลาดท่าเอาได้
ชินแทงซิกเฟียร์ออกเป็นจังหวะอย่างชาญฉลาด ทำให้วินที่แม้จะพลังกายเหนือกว่าก็ต้องลำบาก
“สะ สุดยอดเลยนะ ระดับนักดาบขั้นบรรลุเลยมั้ยเนี่ย?”
วินหมุนตัวหลบและใช้หมัดกระแทกเข้าสีข้างของชิน แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้ชินปลิวออกไปจากแรงกระแทกได้เลย
เมื่อกี้ยังรับแรงไม่ไหวอยู่เลยแท้ๆ—ทั้งหมดเป็นเพราะการวางเท้าของชินที่สมบูรณ์แบบ ต่อให้จะเจอแรงระดับไหน ถ้าเกิดชินเตรียมตัวพร้อมสำหรับการรับแรงกระแทก เจ้าตัวก็ไม่มีทางปลิวไปกับแรงเหมือนลูกบอลหรอก
อย่างไรซะ ชินก็คืออัศวินผู้มากด้วยทักษะ
ซิกเฟียร์เลืองแสงขึ้น การใช้งานมานาที่มหามังกรไม่สามารถทำได้ได้ปรากฏ
“[ดาบประกายแสง]”
“[ก็อปปี้]”
วินผสานนิ้วเข้าหากัน ใช้วิชาไสยศษสตร์สร้างวิชาดาบขึ้นมาหักล้างวิชาดาบ
แรงปะทะที่เท่ากันทำให้ซิกเฟียร์ไม่สามารถฝ่ามาถึงวินได้ เมื่อทักษะใช้ไม่ได้ ชินก็ใช้ดาบเปล่าๆฟันในจังหวะที่มือของวินผสานกัน
วินทำท่าจะหลบ แต่พร้อมกันก็ถูกเปลวเพลิงของฟัฟนิร์พุ่งเข้าใส่จากอีกข้าง
“เหวอ”
วินเอียงตัวหลบได้อย่างสิวเสียด แต่ก็ถูกการโจมตีของวินเล่นงานติดๆ
ไม่สามารถหลบได้ทัน—เมื่อเห็นอย่างนั้นวินก็ใช้หมัดสวนไปเลย
แต่คราวนี้ใส่แรงสุด ทำให้เร็วกว่าชินมาก—–
ปรึก!!!!!!!! แขนของชินถึงกับหักทันทีที่ถูกซัดเข้าให้ ซิกเฟียร์หลุดออกจากมือ ชินพุ่งตะกะจะไปคว้าซิกเฟียร์เอาไว้ทว่าจังหวะนั้น—-เปลวเพลิงก็พุ่งออกมาจากตัวของชินเช่นกัน
“ละ ลืมไปเล—-”
วินถูกเพลิงซัดเข้าใส่ในระยะประชิดจนลงไปนอนกลิ้งกับพื้นชั่วขณะ
“เจ็บๆๆๆ—เอ๊ะ เอาจริงดิ!?”
ไม่รอให้ได้เตรียมตัวอะไร เพลิงของฟัฟนิร์ก็ยิงใส่วินพร้อมกันราวสิบจุด
ชินกระเอียวตัวหลบทั้งหมดได้อย่างยากลำบาก เพราะว่าพอใส่สุดกับการหลบหลีกการโจมตีของฟัฟนิร์แล้วก็ทำให้เสียจังหวะและถูกชินเข้าโจมตีแทน
ร่างของชินถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิง แขนที่หักถูกรักษากลับมาดั่งเดิม ซิกเฟียร์บางส่วนมีเพลิงปกคลุมไว้ด้วย—ซิกเฟียร์เลืองแสงอีกครั้ง
“[ดาบประกายแสง]-[ระบำวายุ]”
ผนวกกับเพลิงของฟัฟนิร์ วิชาดาบสอบสิ่งก็ถูกรวมกันเป็นการโจมตีด้วยเพลิงที่บ้าคลั่ง
ต่อให้เป็นวินแต่โดนเข้าไปได้เจ็บหนักแน่—วินถึงกับหน้าเหวอ
“เอาจริงเหรอเนี่ย?”
“หยุดเล่นได้แล้ว วิน”
เสียงสั่งการของเนลยอนดังขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้—วินอยากจะหันไปบ่นว่าคนจะตายอยู่แล้วยังจะบ่นมั่วชั่วอีก แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะไม่มีเวลา
วินอยากจะถอนหายใจ แต่ทำไม่ได้จึงยิ้มแทน ช่างไม่เข้ากัน
“นั่นสิเนอะ”
แสงจากวิชาไสยศาสตร์ปรากฏขึ้นบนพื้น—-ทุกอย่างมืดไปหมด วิสัยทัศน์ทั้งหมดถูกปกคลุม ถึงกระนั้นชินก็ไม่อาจหยุดการโจมตีได้แล้ว
ชินเหวี่ยงซิกเฟียร์สุดแรงเกิด—ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เปลวเพลิงได้ทำลายความมืดทั้งหมดทิ้ง ทว่าภาพที่ปรากฏกับไม่มีร่างของวินอยู่เลย
“..อึก”
ไม่นานชินก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นทั่วร่างกาย จึงค่อยๆหันไปมองบริเวณหน้าอกของตัวเองที่มีรอยกระแทกอยู่
ต้องรีบรักษา..แต่ไม่ทัน
สติเลืองหายไปเสียก่อน—ร่างของชินค่อยๆล่วงลงพื้น แต่ก็ถูกฟัฟนิร์วิ่งมารับไว้ได้ทัน
“..ภาพมายาสเกลเว่อร์วังขนาดนั้น ทำเอานึกถึงวิชาไสยศาสตร์ของแรกซ์เลยนะ”
ฟัฟนิร์พูดกับวินที่ยืนอยู่ห่างราวสองเมตร
“รู้จักจารย์ด้วยเหรอคะเนี่ย”
“แน่นอนสิ ข้าเคยประมือกับแรกซ์มาก็ตั้งมาก ..เจ้าเองก็คงจะเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับเทพสินะ”
“ใช่แล้วจ้า! แบบนี้เรียกว่าการพบกันของเพื่อนเก่าได้รึเปล่านะ ฮะๆๆ อยากคุยกับเขารึเปล่าล่ะ?”
“ไม่ละ ข้ามองหน้าแรกซ์ไม่ติดซะเท่าไหร่ ..ผู้ใช้วิญญาณระดับเทพสินะ”
ฟัฟนิร์วิเคราะห์วินในช่วงที่หาเรื่องชวนวินคุย ต้องขอบคุณวินจริงๆที่เป็นพวกรักสนุก
..วินคือผู้ใช้วิญญาณระดับเทพ แต่ระดับฝีมือเกินกว่าผู้ใช้วิญญาณระดับเทพด้วยกันค่อนข้างมาก โดยปกติ ตลอดพันๆปีที่ฟัฟนิร์ใช้ชีวิตมา ความสามารถของผู้ใช้วิญญาณระดับเทพนั้นน่ากลัว เพราะพลังจากผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยแกร่งที่สุด แต่ตัวผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถดึงศักยภาพออกมาได้ถึงที่สุด ทำให้อย่างมากที่สุด พวกนั้นก็มีความแข็งแกร่งมากกว่าตัวฟัฟนิร์ในปัจจุบันไม่มาก และหากเป็นการต่อสู้จริง ฟัฟนิร์ก็มั่นใจว่าตัวเองสามารถเอาชนะได้
ทว่าวินคือกรณียกเว้น
วินคือผู้ที่รีดความสามารถของวิญญาณระดับเทพออกมาได้ประหนึ่งว่าเป็นตัวของวิญญาณเองที่ออกมาสู้ นั่นเป็นเพราะวินถูกทดลองให้ได้ผลลัพธ์เช่นนั้นก็จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่า–เพราะเป็นวินนี่แหละมันถึงไปได้ไกลขนาดนี้ ..ร้อยปีจะมีหลุดมาคนหนึ่ง พวกผู้ใช้วิญญาณระดับเทพที่ใช้พลังได้ถึงขีดสุดเช่นนี้ พวกผู้ใช้วิญญาณระดับเทพที่ไปถึงจุดสูงสุดของโลกได้
กับจุดสูงสุดของโลก ..ฟัฟนิร์และชินไม่ใช่คู่มือด้วยตั้งแต่แรกแล้ว
คิดได้อย่างนั้นฟัฟนิร์ก็ยกร่างของวินลอยขึ้นด้วยเพลิง
“จะหนีเหรอ?”
“…ยุคนี่เป็นยุคแห่งความโกลาหลรึเปล่านะ ผู้ใช้วิญญาณระดับเทพที่ไปถึงจุดสูงสุดได้ ตอนนี้ก็มีตั้งสองคนแล้วเนี่ย”
จากจดหมายที่ฟัฟนิร์แลกกับเรเซอร์ในบางช่วง ทำให้รู้ว่า ..
“หมารับใช้ของวิน แล้วก็ ..ต้าวเรเซอร์สินะ”
ผู้ที่สามารถใช้วิญญาณระดับเทพได้ถึงขีดสุด—-วินเมื่อได้ยินชื่อๆนั้นก็สะอึกไปพักหนึ่ง
“เอ๊ะ ระ เรเซอร์? นี่รู้จักกันเหรอเนี่ย คะ คนรู้จักเหรอ?”
ฟัฟนิร์ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น เธอแบกชินและรีบวิ่งไปทางอื่นทันที—-วินยัง
“..อา.หนีไปซะแล้ว…เอาจริงเหรอเนี่ย”
“รีบตามไปสิ ติดวิชาไสยศาสตร์ไว้บนตัวของมนุษย์นั่นแล้วนี่”
ชินพยักหน้ารับ แต่จู่ๆก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อ่า! จะว่าไปทำไมเนลยอนไม่ช่วยอะไรเลยละ เอาแต่สั่งๆแล้วปล่อยให้ฉันสู้คนเดียวเนี่ยนะ?”
“หนวกหู รีบตามไปก่อนที่พวกมันจะรู้สึกตัวซะ”
“..เฮ้อ ค่าๆ เข้าใจแล้วๆ จะไปด้วยกันไหม?”
“เดี่ยวข้าตามไป”
…
“อย่าบอกนะว่า”
“ที่จุดรวมพลมีเป้าหมายรายสำคัญอยู่อีกตัว ทางนี้จะลากคอมันมาเอง แกก็รีบตามสองตัวนั้นซะ”
วินเกาหัวงงๆแต่สุดท้ายก็เลือกทำตามที่เนลยอนบอก วินรีบวิ่งไปตามทางที่พวกฟัฟนิร์หนีไป
“..คาใจเรื่องเรเซอร์นิดหน่อยแฮะ แต่ก็เอาเถอะ—ทำงานๆ”
วินวิ่งไปด้วยความเร็วสูง เพียงไม่นานก็คงจะตามทัน—
****
เนลยอนเดินกลับไปจุดรวมพล ขณะนั้นเนลยอนก็แตะบริเวณหูและพูดคุยกับคนๆหนึ่ง
“..เก้าส่วนของฟัฟนิร์ยังอยู่ดีใช่มั้ย …เข้าใจแล้ว ลงมือเลย ทางนี้กำลังไป”
เนลยอนวางสายสื่อสารระยะไกลลง และรีบมุ่งหน้าไปที่จุดรวมพล
MANGA DISCUSSION