< < 136 Sec3 > >
มหามังกรเพลิงที่แท้จริง ไม่ใช่ราชวงศ์ผู้สืบทอดสายเลือดที่ช่วงชิงมา แต่เป็นจุดกำเนิด—ฟัฟนิร์ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าของผู้สืบทอดพลังของตนเอง
เลือนผมสีเพลิงลอยไปตามสายลมที่เกิดขึ้นจากการปะทะ ฟัฟนิร์ยื่นมือไปทางมนุษย์ต้นไม้
“จะสร้างจังหวะให้เอง ต้าวชิน”
“รับทราบขอรับ”
กล่าวจบเปลวเพลิงก็พุ่งออกจากฝ่ามือของฟัฟนิร์ เมื่อเห็นดังนั้นหนิงก็รีบกล่าวเตือนเรื่องที่ตัวเองเจอมา
“เดี่ยวก่อน เปลวเพลิงของพวกเราใช้ไม่ได้ผล”
เพราะมีพลังที่เหมือนๆกัน ยิ่งกว่านั้นด้านพลังตัวหนิงเหนือกว่าฟัฟนิร์มากโข เพราะเธอมีถึงเก้าจากสิบส่วน ทำให้หนิงรู้ดีว่าไม่ว่าจะโจมตียังไงก็ไร้ผล เพราะตัวเองเจอมากับตัวแล้ว ทว่าฟัฟนิร์กลับทำเป็นหูทวนลมใส่แบบหน้าด้านๆ—ท่าทางที่เหมินเฉยต่อตัวเอง หนิงรู้สึกหงุดหงิดจนแทบอยากจะวิ่งไปซัดมหามังกรตนนี้
“ฟังก่อนสิย่ะ!!!”
“ให้ข้าจัดการเอง หัวขโมยอย่างเจ้าน่ะนั่งอยู่เฉยๆไปซะ”
“หะ หัวขโมย!? ..”
หนิงถึงกับเถียงไม่ออก เพราะบรรบุรุษของตัวเองเป็นคนที่ชิงพลังของฟัฟนิร์มา และเกทับไปว่าตัวเองมีพลังของหมามังกรไหลเวียนอยู่ ไม่ต่างกับการอวดอ้างว่าเป็นหนึ่งในมหามังกรเลย จะโดนเรียกอย่างนั้นคงไม่แปลกอะไรเท่าไหร่ …หนิงยอมเงียบและมองดูสิ่งที่ฟัฟนิร์ฟัง
ถ้าเกิดไม่ได้ผล เธอจะพาเด็กสองคนหนีแล้วทิ้งสองคนนี้ไว้ที่นี่
เมื่อหันไปมองหนิงก็ต้องรู้สึกแปลกใจกับเพลิงที่ฟัฟนิร์สร้างออกมา
“..สามารถควบคุมเพลิงได้ขนาดนั้นเลยเหรอ”
เพลิงที่ฟัฟนิร์สร้างขึ้นเป็นวงหนามเพลิงสามชั้น ทั้งปริมาณทั้งพลังทำลายล้างด้อยกว่าของหนิงมากก็จริง แต่รูปทรงอย่างที่ฟัฟนิร์สร้างขึ้น หนิงไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ นี่คือความต่างระหว่างของจริงกับของปลอมของมหามังกรผู้เปรียบได้ดั่ง ‘จุดศูนย์กลางของมานา’
แต่—ถึงจะสร้างมาได้สุดยอดยังไง เพลิงนี่ก็ไม่มีทางจัดการมนุษย์ต้นไม้ที่สามารถต้านเพลิงของหนิงได้แน่นอน
ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องทำลายอีกฝ่ายให้ได้สักหน่อย
‘สร้างจังหวะ’ ฟัฟนิร์พูดไว้อย่างนั้น แต่เจ้านี่มันจะขัดมนุษย์ต้นไม้ไหวที่ไหน
‘อาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!!’
มนุษย์ต้นไม้พุ่งเข้าใส่วงหนาม แต่แทนที่จะทะลุผ่านไปได้ มนุษย์ต้นไม้กลับถูกดีดกับไป
“ได้ยังไง”
ทั้งๆที่ไม่ได้ทรงพลังมากมายอะไรแท้ๆ
“มนุษย์ต้นไม้ ต้นไม้ผู้กลืนกินมนุษย์ ร่างทรงของบริวารแห่งพระเจ้า ..ต้นตอทั้งหมดคือต้นไม้โลกที่เจ้าเด็กกระโปก(เรน)นั่นเปิดใช้งาน” ฟัฟนิร์พึมพำขึ้นมาคล้ายต้องการจะบอกให้หนิงผู้ไม่รู้อะไรทราบ “ต้นไม้โลกเป็นสิ่งที่ถือว่าอยู่ในจุดๆเดียวกับเหล่ามหามังกร เพราะฉะนั้นเพลิงที่เผาได้กระทั่งมานาไม่อาจจะสังหารตัวตนที่เกิดจากต้นไม้โลกได้ ทว่าหากเข้าใจกลไกการทำงาน ก็ไม่ใช่เรื่องยากในการรับมือ”
มนุษย์ต้นไม้พุ่งใส่เพลิงอีกครั้งและทะลุผ่านมาได้ ทว่าก็ถูกหนามชั้นที่สองดีดกลับไปอีกครั้ง
“เจ้านี่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการโจมตีได้ และเมื่อปรับตัวแล้ว รูปแบบพลังเดิมไม่อาจทำอะไรมันได้อีกต่อไป นั่นเป็นเหตุผลที่การโจมตีของหัวขโมยอย่างเจ้าไม่สามารถทำอะไรมันได้”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ..แล้วจะจัดการมันยังไงล่ะ”
“ต้องเป็นการโจมตีระดับที่ต้นไม้โลกไม่อาจรับได้ ซึ่งทั้งข้าและเจ้าในตอนนี้ไม่อาจทำได้”
“…”
“แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำลายอ่ะนะ—ต้าวชิน พร้อมยัง?”
เมื่อมนุษย์ต้นไม้ทะลุผ่านหนามชั้นสุดท้ายมาได้แล้ว ชินก็พุ่งมาขวางหน้ามนุษย์ต้นไม้ที่วิ่งเข้าใส่ฟัฟนิร์
ชินใช้ดาบเรเปียร์สีขาวในมือแทงไปที่หน้าอกของมนุษย์ต้นไม้ จากนั้นบนตัวของมันก็ปรากฏวงแหวนพิธีของวิชาไสยศาสตร์ขึ้น
“[ผนึก]”
สี่เหลี่ยมสีขาวได้ปกคลุมร่างของมนุษย์ต้นไม้ และหยุดการเคลื่อนไหวของมันนับตั้งแต่นี้
….
‘อวาาาาาาา!!!’
มนุษย์ต้นไม้พยายามดิ้นหรือทำลายผนึกนี่ยังไงก็ไม่ได้ผล
หนิงหันไปถามฟัฟนิร์ด้วยความสงสัย
“มันสามารถปรับตัวกับการโจมตีทุกรูปแบบได้ไม่ใช่เหรอ”
“วิชาไสยศาสตร์ต่างกับเวทมนตร์น่ะนะ มันมีโครงสร้างการทำงานหลายขั้นตอน กว่าที่มนุษย์ต้นไม้จะฝ่ามาได้ คงกินเวลาราวๆสิบนาทีได้”
..นั้นเองเหรอ
หนิงถอนหายใจโล่งอกที่อย่างน้อยๆก็สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะกับตัวประหลาดนี่ไปได้-เมื่อโล่งอกแล้วหนิงก็หันไปเช็คสภาพของดาเนียลและมาริ
“ไม่เป็นอะไรกันนะ”
“ครับ ..”
ทั้งสองสั่นกลัวเมื่อเห็นมนุษย์ต้นไม้อาละวาดอยู่ข้างใน
“…”
“จะว่าไปบังเอิญจังเลยนะครับ”
“นั่นสินะคะ ..เอ่อ ไม่รู้จะพูดอะไรดี เอาเป็นว่าขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะมีหวานใจอยู่แล้ว ฉันน่าจะตกหลุมรักคุณไปแล้วทั้งๆที่เป็นเพศเดียวกันนี่แหละ”
“นับว่าเป็นเกียรติครับ”
วิธีพูดติดตลกแบบนี้เนี่ยนับว่าเป็นเกียรติได้ด้วยเหรอเนี่ย?
ชินเก็บดาบเรเปียร์สีขาวที่สง่างามเข้าฝัก ..หนิงมองดาบเรเปียร์นั่นไม่วางตา
“ดาบนั่นมัน”
เธอรู้สึกคุ้นเคยกับดาบเล่มนั้นชอบกล รู้สึกว่าเรเซอร์เคยเล่าเรื่องของดาบนี่ให้เธอฟังในช่วงที่เก็บตัวอยู่ป่ามหาภูต
“ ‘ดาบมนตรา ซิกเฟียร์’ หนึ่งในเจ็ดสิบสองอาวุธทลายโลกาในตำนานยังไงละ”
ฟัฟนิร์ยืดอกโพล่งคล้ายตั้งใจอวยชินเต็มที่
“อ้า!!! จำได้แล้ว ซิกเฟียร์ดาบเวทมนตร์ที่มีคุณสมบัติในการใช้เวทย์ วิชาไสยศาสตร์ เล่นแร่แปรธาตุได้พร้อมกันในอุปกรณ์ชิ้นเดียว นี่มันของชั้นเทพเลยนี่นา”
ด้านพลังอาจไม่ได้เว่อร์อะไร แต่คุณสมบัติการใช้งานที่หลากหลาย หากได้อยู่ในมือคนที่มีความสามารถมันจะสำแดงพลังได้เต็มที่เลยทีเดียว
ว่ากันว่าซิกเฟียร์คืออาวุธของอัศวินผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต และเคยเป็นหนึ่งในสี่ดาบคู่ใจของราชาผู้พิชิตอีกด้วย
“จุ๊ๆ” ฟัฟนิร์ยิ้มแบบกวนส้นเท้าพลางส่ายนิ้วชี้ไปมา “ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ หลายคนชอบเข้าใจผิดว่าซิกเฟียร์มีความสามารถแค่ใช้เวทมนตร์ วิชาไสยศาสตร์กับเล่นแร่แปรธาตุได้ในอุปกรณ์ชิ้นเดียว แต่จริงๆมันดียิ่งกว่านั้นไปอีก ไม่นั้นมันจะเรียกว่าอาวุธทลายโลกาได้อย่างไรกัน”
..ก็สุดยอดอยู่แหละ
“ความสามารถจริงๆของซิกเฟียร์คือการที่สามารถใช้งานมานาได้อย่างอิสระผ่านตัวดาบ และตัวดาบยังมีทักษะการใช้มานาในระดับที่สูงทัดฟ้า ถ้าเป็นคนที่มีความสามารถเกี่ยวกับมานาสูงยิ่งสามารถใช้งานมันได้เร็วขึ้น เรื่องความเข้าใจอะไรก็สามารถละไว้ได้มาก ถ้าหากมีอุปกรณ์นี่ พวกเทคนิคพิเศษรึวิชาทั้งหลาย สามารถเรียนรู้ได้โดยประหยัดเวลาไปราวๆเก้าสิบเก้าในร้อยส่วนได้ และถ้าไม่ใช่เทคนิคมานาที่ซับซ้อนอย่างพวกเวทมนตร์ขั้นบรรลุรึวิชาไสยศาสตร์ในระดับสูง ต้าวชินก็สามารถใช้งานมันได้ทันทีเพียงแค่เคยเห็น อย่างวิชาไสยศาสตร์เมื่อตะกี้ ต้าวชินก็ใช้ได้ในระดับสูงผ่านตัวซิกเฟียร์โดยใช้เวลาฝึกเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์เองนะ จะบอกให้” ฟัฟนิร์หัวเราะร่า “ถ้ามีเวลาอีกสักสิบปี ต้าวชินน่าจะขึ้นเป็นใหญ่ได้แบบง่ายๆเลยอ่ะนะ อืมๆ”
..ก็สุดยอดแหละ แต่
“คนใช้เป็นคุณชินไม่ใช่รึไง หล่อนไม่พูดมากไปหน่อยเรอะ”
เรื่องพวกนี้คนใช้งานเองควรเป็นคนบอกแท้ๆนะ ..หนิงพูดออกมาจากใจจริงอย่างใสซื่อ บางทีอาจมีอารมณ์โมโหจากที่โดนพูดจาดูถูกเมื่อกี้มาเอี่ยวด้วย ทำให้ตัดสินใจพูดเสียมารยาทแบบไม่ตั้งใจไป ..
ฟัฟนิร์ยืนนิ่งสักพัก ก่อนที่น้ำตาจะซึมและหน้าแดงแจ๋ขึ้นมา เกือบจะร้องไห้แต่ก็ห้ามตัวเองไว้ได้ทัน—-
“อะ ไอ้เด็กนี่ เป็นแค่หัวขโมยแท้ๆยังมาปากเสียใส่กันอีก! อยากตายนักรึไงหะ เอาสิ มาเลย!!”
ฟัฟนิร์ทำท่าจะเข้าไปหาเรื่องอย่างกับเด็กน้อย จังหวะนั้นชินก็เดินมาล็อคแขนสองข้างของฟัฟนิร์ไว้จากข้างหลังจนตัวลอย
“อย่าดีกว่าครับท่านฟัฟนิร์ เกรงว่าท่านจะแพ้ภายในสามวิ”
“นะ หนวกหูน่า ด้านประสบการณ์ข้าเหนือกว่านะจะบอกให้”
“ครับๆ แต่ 0.5 ไม่อาจต่อกรกับ 9 ได้ครับ นี่เป็นมุมแคบด้วย ท่านหนิงแค่ปล่อยไฟส่มๆใส่ท่านฟัฟนิร์ ผมก็คงได้ขึ้นเป็นมหามังกรแทน แบบนี้ดีหรือครับ?”
“จะดีได้ยังไงเล่า ชื่อมหามังกรเป็นชื่อของข้านา ไม่มีทางยกให้ง่ายๆหรอก”
“ถ้าเข้าใจแล้วก็โปรดใจเย็นนะขอรับ”
ชินยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ฟัฟนิร์ทำเสียงเชอะใส่แต่ก็ยอมลามือโดยง่าย
ฟัฟนิร์ปัดน้ำตาที่ซึมออกมาของตัวเองออก
“เจ้าหัวขโมย ทีหลังอย่ามาดูถูกข้าเชียวนะ ข้าไม่ชอบ”
“อ่า ค่ะ ขอโทษด้วย ทางเธอเองก็ช่วยระวังปากด้วยละกัน ฉันไม่ใช่พวกยอมคนง่ายๆด้วยนะจะบอกให้”
….
“ไอ้วิธีพูดที่หาว่าคนอื่นเป็นหัวขโมยด้วย จะบอกให้ว่าทางนี้ก็ไม่ได้ต้องการ ต้นตระกูลฉันเป็นคนผิดไม่ใช่ฉันสักหน่อย แล้วก็ถ้าอยากได้คืนนักก็มาเอาซะสิ ถ้าเก่งมากนักน่ะ” หนิงหรี่ตามอง “ไม่ใช่ว่าหล่อนหาวิธีเอาพลังคืนไม่ได้ เลยไม่มาเอารึไง อยากได้ก็เอาเลยสิ เอาเลย”
“หะ..หึๆ..”
ฟัฟนิร์ได้แต่หัวเราะขึ้นจมูกแบบฝืดๆ
เพียงไม่นาน หนิงก็กลายเป็นฝ่ายข่มฟัฟนิร์แทน จากในทีแรกที่ฟัฟนิร์เป็นผู้ล่า บัดนี้ได้กลายเป็นกระต่ายน้อยผู้ถูกล่าแล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านมหามังกรจะไม่กล้าจ้องหน้าหนิงตรงๆ
“เป็นอะไร”
“..ไม่มีอะไร”
“..”
เพราะหนิงเอาแต่จ้องหน้า ฟัฟนิร์เลยทนไม่ไหววิ่งไปแอบอยู่หลังชิน
“..ท่านฟัฟนิร์”
“เจอพวกเสียมารยาทอีกแล้ว”
“เพราะท่านเอาแต่วางมาดข่มคนอื่นไม่ใช่เหรอครับ ผมก็เตือนบ่อยๆแล้วว่าให้ระวังเรื่องการวางตัวด้วย คิดว่าผมไม่เหนื่อยเลยหรือครับที่ต้องไปเคลียร์เรื่องทะเลาะเบาะแว้งของท่านกับคนอื่นแบบไร้สาระน่ะครับ ท่านไม่ได้เป็นอมตะแบบแต่ก่อนแล้วด้วย จะมีเรื่องไปทั่วไม่ได้นะครับ”
“รู้แล้วน่า ฝากทีนะ ต้าวชิน”
ชินถอนหายใจ
“ครั้งหน้าไม่เอาแล้วนะครับ”
“รู้แล้วๆ ให้ตายสิ อย่ามาสอนมหามังกรผู้ยิ่งใหญ่มากจะได้รึเปล่า”
ชินถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนหันมายิ้มให้หนิง
“ท่านฟัฟนิร์ไม่ได้ตั้งใจ โปรดให้อภัยด้วยนะขอรับ ถือว่ากระผมขอด้วย”
หนิงพยักหน้ายอมรับที่ชินบอก
“เพราะคุณชินช่วยพูดหรอกนะจะบอกให้”
“อะ อะไรเล่า พูดมากไปแล้ว จบไปแล้วนี่”
ท่าทางปากดีทั้งๆที่ยืนอยู่หลังคนอื่นนี่มัน..กวนประสาทชะมัด
อย่างที่รู้กัน ฟัฟนิร์คือตัวตนที่หากไม่มีความอมตะคอยคุ้มครอง เจ้าตัวน่าจะตายได้ราวๆแสนแตะๆล้านครั้งแล้ว และหากไม่มีชินคอยดูแล ก็คงจะดำเนินสถิติการตายต่อไปเรื่อยๆ
แม้จะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่มหามังกร แต่เพราะสูญเสียพลังไปมากกับยังคงมีความกวนตีนแบบธรรมชาติอยู่ ทำให้ฟัฟนิร์น่าจะตายบ่อยสุดในหมู่มหามังกรด้วยกันแล้ว รองลงมาคือเดอะมาโซคิสต์แซร์อิซ
“ว่าก็ว่าเถอะ เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ”
หนิงมองรวมๆที่ชินและฟัฟนิร์
“ก็ว่าอะไรทำให้ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับคุณชินเป็นพิเศษ แบบนี้นี่เอง ..มหามังกรสองตนในคราเดียวกัน เรื่องนี้เหมือนจะอยู่ในจดหมายที่ส่งให้เรเซอร์ด้วยนะ”
เรื่องของฟัฟนิร์ หนิงรู้ดีส่วนหนึ่งเพราะเรเซอร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับฟัฟนิร์และชินดร้าพี่สาวของเรย์ ซึ่งเป็นชินที่หนิงได้พบก่อนหน้านี้และตอนนี้
พอจะเข้าใจหลายๆอย่างได้แล้ว ชินหรือชินดร้ากลายเป็นมหามังกร โดยปกติแล้ว มหามังกรจะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ใช้ได้แค่เพลิงของตนเองเท่านั้น แต่ชินใช้ซิกเฟียร์เป็นตัวร่ายแทนวงจรย์เวทย์ของตัวเอง
มานานับอนันต์+ซิกเฟียร์+เพลิงของฟัฟนิร์ นับว่าเป็นการผสานความสามารถที่ลงตัวเลย
“ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่บอกให้ฟังก่อนเหรอคะ ว่าคุณเป็นใคร”
“เรื่องมันยาวน่ะขอรับ เป็นไปได้ผมอยากจะปกปิดตัวตนไว้ก่อน”
“ค่ะ ..จะว่าไป เรย์คิดถึงคุณมากเลยนะคะ”
“ตอนนี้เรย์เป็นยังไงบ้างครับ คงจะโตมาเยี่ยงอัศวินสินะครับ”
“น่าเสียดาย แต่เจ้าตัวโตมาเป็นพวกภัยสงคม ศัตรูผู้หญิงค่ะ”
….
…
“เอ๋???”
“อะไรกันเนี่ย น้องรักของต้าวชินเป็นพวกภัยสัมคมซะแล้ว อุ้บ!”
พอถูกชินมองแรงใส่ ฟัฟนิร์ก็หยุดหัวเราะทันที
“ต่อให้เป็นท่านฟัฟนิร์ผมก็ไม่อนุญาติให้หัวเราะเยาะน้องชายผมหรอกนะครับ”
“ไม่มีครั้งหน้าแล้ว ขอสัญญาเลยนะต้าว”
ชินถอนหายใจเฮือกโต และสังเกตุเห็นเด็กสองคนที่ยืนงงอยู่กลางบทสนทนา
“..เอาเป็นว่า ให้พวกผมช่วยพาสองคนนั้นไปส่งที่ปลอดภัยก่อนดีมั้ยครับ”
“อ๊ะ ตั้งใจว่าจะขอให้ช่วยอยู่ แต่คือไม่ใช่ว่ายุ่งกันอยู่เหรอ”
เป้าหมายของฟัฟนิร์คงจะเป็นการจับกุมตัวเนลยอน เพื่อหยุกแผนการฟื้นคืนชีพเทพมังกร
หนิงรู้เรื่องเป้าหมายของพวกฟัฟนิร์ดี และพอจะคาดเดาได้เมื่อเห็นทั้งสองโผล่มางานประชุมโลก
ชินหันไปมองฟัฟนิร์ ฟัฟนิร์พยักหน้าตอบตรงๆ
“ก็ยุ่งอยู่หรอก แต่เกาะกลุ่มกับเจ้าก็ไม่ได้เสียหายอะไร ถึงข้าจะไม่อยากเกาะกลุ่มด้วยก็เถอะ”
“แค่บอกเขาว่าอยากเกาะกลุ่มด้วยก่อนก็พอแล้วขอรับ” ชินยิ้มให้ “ถ้าไม่รังเกียจ สนใจรวมกลุ่มกันก่อนรึเปล่าครับ”
“ฝากด้วยนะคะ”
เมื่อพูดตกลงกันเสร็จ ฟัฟนิร์ ชิน และหนิงก็ช่วยกันหาทางพาเด็กทั้งสามไปจุดที่ปลอดภัยก่อน
ระหว่างทางก็มีบทสนทนาเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายดังขึ้นเบาๆ
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว แวะทักทายเรเซอร์หน่อยดีมั้ยคะ คุณชิน”
พอได้ยินชื่อของเรเซอร์ออกมา ชินก็ดูร่าเริงขึ้นทันใด ไม่ใช่แค่ชิน
“ไปสิๆ ไม่ได้เจอต้าวเรเซอร์ซะตั้งนาน คิดถึงเหมือนกันนะบ่องตง”
ฟัฟนิร์ดุกดิกๆตื่นเต้นเหมือนน้องหมาตัวเล็ก ส่วนชินพอเห็นฟัฟนิร์ตื่นเต้นแทนก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรต่อเลย
“นั่นสินะครับ ถ้ามีโอกาสนะ
เป็นคนที่เก็บอาการได้เก่งมาก
“ทั้งสองคนชอบเรเซอร์มากเลยสินะ”
พอพูดถึงเรื่องชอบๆ ชินก็เขินนิดหน่อย
“ถ้าในฐานะนายเหนือหัวและอัศวินคู่กายก็ใช่ขอรับ”
กลับกัน ฟัฟนิร์ไม่เขินเลยแม้แต่น้อย
“ใช่สิ ถูกใจสุดๆเลย ถึงขนาดอยากชวนไปเที่ยวรอบโลกด้วยกันเลยแหละ แต่ดันโดนปฏิเสธด้วยเหตุผลบ้าบอแบบกลัวตายซะได้”
แหงอยู่แล้ว ใครจะออกเดินทางกับคนที่มีคดีติดตัวมหาศาลอย่างเธอกัน ..
“แต่ตอนนี้ท่านเรเซอร์น่าจะมีอัศวินข้างกายที่ดีกว่าผมแล้วกระมังครับ ระดับท่านเรเซอร์แล้ว”
ชินพึมพำแบบเหงานิดหน่อย ด้วยใบหน้าที่ทั้งหล่อและสวยไปในตัว ทำให้ชินดูงดงามในทุกๆมุม
“ไม่หรอกค่ะ หมอนั่นกำลังรอคุณอยู่นะคะ และบอกว่าจะรอตลอดไปด้วย”
“..จริงหรือครับ”
หนิงพยักหน้ายืนยัน เห็นอย่างนั้นชินก็หุบยิ้มไว้ไม่อยู่ แต่นี่ดูจะเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจจริง ไม่ใช่รอยยิ้มตามมารยาท
ว่าไงดี—ชินดูหล่อสวยขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยตอนยิ้มแบบนี้ ..
“อยากจะพบท่านเรเซอร์จริงๆครับ แต่ก่อนอื่น”
“นั่นสินะ”
ฟัฟนิร์กับชินมองไปที่ไหนสักแห่ง—-
“เดี่ยวจะไปหาเดี่ยวนี้แหละ ..เนลยอน”
ฟัฟนิร์กล่าวออกมาด้วยท่าทางที่จริงจังต่างกับปกติ
MANGA DISCUSSION