< < 18 > >
“อิย๊างงง!!!!!”
เสียงร้องชวนสยิวดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจผู้ใด ..คิ้วเรเซอร์ตัวน้อยกระตุกเล็กน้อย
“เรเซอร์ อ๊า เรเซอร์น่าร๊ากกก น่าร๊ากกกเกินไปแล้ว!!”
…น่ารำคาญ
“อยู่กับพี่ไปตลอดน้าเรเซอร์!! เดี่ยวพี่สาวคนนี้จะคอยเลี้ยงดูประคบประหงมอย่างดีเลย อย่าไปไหนเลยน้า!!”
——–ผมกำลังถูกพี่สาวแท้ๆ ของตัวเอง ‘แองเจลิน่า’ เอาหน้าของตัวเองมานวยกับแก้มทั้งสองข้างของผม โดยไร้ซึ่งความเกรงใจใดๆ ผมถูกทำเยี่ยงตุ๊กตาตัวน้อย อา โลกใบนี้ช่างโหดร้าย ทำไมเด็กน้อยต้องถูกกระทำเยี่ยงนี้ด้วยนะ
“ต้องขอปฏิเสธครับท่านพี่ ผมต้องไปต่อ”
แองเจลิน่าทุบหน้าอกขนาดบึ้มของตัวเองด้วยท่าทางขะมักเขม้น
“พี่จะเลี้ยงเอง! สภาพแวดล้อมที่ไม่ต้องทำอะไรแค่กระดิกนิ้วก็ได้ทุกอย่าง! แล้วก็จะยอมให้เรเซลกับอันนาเป็นคนรักด้วยนะ! จะมีเพิ่มอีกก็ได้ด้วยนา พี่เข้าใจว่าเรเซอร์เสน่ห์แรง!”
“ก็–แค่–เพื่อน—โว้ย!! แล้วก็ถามจริงๆ เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ยถึงยื่นสภาพแวดล้อมแบบนั้นมาให้” ผมถอนหายใจ “ซ้ำร้ายมีคนรักตั้ง2คนเนี่ยมันแหกกฎนะ!”
“เป็นถึงพ่อพันธ์ก็ต้องฟิตๆหน่อยละนะ”
“เรียกผมว่าน้องชายทีครับ!!”
“ล้อเล่นจ้า”
แองเจลิน่าหัวเราะคิกคักสนุกสนานตามใจชอบ ..ให้ตายสิคนคนนี้
ผมถอนหายใจพลางเบือoหน้าหนีพี่สาวไปชมสิ่งดีงาม
มองออกไปนอกหน้าต่างมีคลื่นทะเลผัดตัวเรือไปตามทางสายลม ..ใช่แล้ว ณ ตอนนี้ผมกำลังนั่งเรือไอน้ำขนาดมโหราฬ…ไอผมเองก็งงเหมือนกันละนะ เพราะจู่ๆ ก็โดนลากมางานเลี้ยงฉลองวันเกิดเจ้าหญิง ‘หนิง’ ผู้มีดีกรีเป็นนางเอกนิยายต้นฉบับ
ในทุกวันเกิด ‘เจ้าหญิงแห่งทวีปฟัฟนิร์ หนิง’ มักมีงานฉลองที่ยิ่งใหญ่ขนาดเทียบเท่าเมืองทั้งเมือง กล่าวได้ว่าแสงสีเสียงมาตรึม ตัวงานจัดตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงคืน นับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญของโลกเหตุการณ์หนึ่ง เพราะในงานจะมีบุคคลผู้มีอิทธิพลกับโลกทั้งใบเดินให้ท่อง แน่นอนว่าตระกูลของผมด้วย โดยเฉพาะ ‘แองเจลิน่า’ เธอเปรียบได้ดั่ง ‘ดัซเซส’ อยู่แล้ว ย่อมต้องมางานฉลองวันเกิดของหนิงแน่นอน ..แล้วจะลากตัวสร้างชื่อเสียอย่างผมไปด้วยทำไมเนี่ย? งงใจพี่สาวคนนี้ชะมัด
ยิ่งไปกว่านั้นในงานๆนี้ก็มีเหตุการณ์ที่สำคัญสุดของโลก ..ครั้งแรกที่ ‘วีรบุรุษยูจิ’ และ ‘เจ้าหญิงหนิง’ ได้พบกัน
วันแห่งโชคชะตาของทั้งสองคน ฉากหลังที่เป็นพลุฉลองวันเกิดหนิสถานะ และสายลมซึ่งเปรียบได้ดั่งจุดเริ่มต้นของเรื่องราว ที่พัดพาหัวใจของทั้งสองล่องลอยไม่อยู่กับตัว…ถึงหล่อนจะไม่ใช่นางเองที่อวยก็ตาม แต่เนื้อเรื่องบทนั้นทำผมซึ้งใจสุดๆ ถึงขั้นร้องไห้เลยละ——อย่างไรซะผมก็ไม่มีทางนอกใจเบลลามีอยู่แล้ว อือๆ เธอเป็นสาวยันอนะ ถ้านอกใจมีหวังซวยพอดี ไอ้ผมไม่ต้องการจุดจบเรือสวยหรอก ….แต่แรกผมก็ไม่ใช่คนในใจเบลลามีอยู่แล้วนี่หว่า?
เบลลามีรักยูจิต่างหาก———-บ้าเอ๊ย ไอพระเอกฮาเร็ม ใจดี มีพลังแฝง มีปม น่าชิงชังนัก!!
วิญญาณไร้มารยาททักผม
‘หากว่ากันตามตรงมาสเตอร์ก็ไม่ต่างกับคุณยูจิเลยนะคะ”
หา?—–ไหงพูดให้ฟังชัดๆสิ อธิบายทีสิ!
‘มาสเตอร์ใจดีคะ’
เรื่องนั้นขอปฏิเสธ อย่างที่เห็นว่าฉันคือไอตัวร้ายปากเสียโรยๆ เท่านั้น ไม่มีทางไปเทียบกับยูจิได้หรอก
ผมทำเป็นงอน
อย่ามาปลอบกันให้ยากเลย
‘บ้าค่ะ เรเซลกับอันนาที่ช่วยไว้คือ? ลีน่าด้วยค่ะ? ใจดีกับชินเป็นพิเศษด้วย? …แต่ถ้าในมุมของฉันมาสเตอร์ทำหยามหน้าไว้เยอะใช่เล่นเลย ยังไงถ้าให้ประเมินโดยรวมมาสเตอร์คือคนดีคะ’
….เอ๋?
-ฉ ฉันไม่ใช่ตัวร้ายหรอ!?
‘โง่ค่ะ—–มีฮาเร็มก็ใช่ค่ะ มีพลังแฝงก็ฉันไงคะ? ถึงจะเป็นพลังสำเร็จรูปซึ่งพัฒนาต่อได้ยาก ปมก็มีค่ะ โดยสรุปแล้วมาสเตอร์ไม่มีสิทธิ์ไปด่าคุณยูจิ ไอ้พระเอกฮาเร็มหน้าโง่’
—–เอาจริงเรอะเนี่ย
ผมรู้สึกซึมกะทืออย่างฉับพลัน ไม่ใช่แค่โดนความจริงอันโหดร้ายอัดเข้ากลางหลัง แต่โดนคู่หูเช่นยูนาด่าแบบไม่เกรงใจกันด้วย
‘…จะว่าไปหล่อนเรียกยูจินำหน้าว่า ‘คุณ’ สินะ?’
คุณวิญญาณไร้มารยาทอย่างยูนาน่ะหรือ?
‘ใช่ค่ะ มาสเตอร์เล่นกรอกหูฉัน ดาษดื่นแต่เรื่องของสถานะจิให้ฟัง ผล็อยทำให้ฉันรู้สึกอวยคุณยูจิไปด้วยเลย’
นี่ฉันไปอวยยูจิตอนไหนเนี่ย?
‘ตลอดทางค่ะ บอกว่าเขาเป็นคนดีแบบนั้นบ้างแบบนู้นบ้าง อวยว่าเก่งโคตรๆ เวลาคุยเรื่องคุณยูจิทุกที บลาๆ —-แอบน่ารำคาญ ไม่สิ โคตรน่ารำคาญค่ะ’
‘….อืม ช่างมัน’
ผมทำลืม—-ตัวร้ายที่ไหนเขาอวยพระเอกกัน ไร้สาระ
“จะว่าไปเรเซอร์สนิทกับชินน่าดูเลยนะ?”
จู่ๆ แองเจลิน่าก็เอ่ยถาม
“สุดๆ เลยครับ พวกเราทำพันธสัญญานายบ่าวคู่กันตลอดไปแล้ว”
ดวงตาของผมระยิบระยับ ภูมิใจที่ได้พูดถึงชินอย่างถึงที่สุด จากใจจริง
“..พูดอย่างนั้นไปจริง?”
“ใช่! มิตรภาพของผมกับชินไม่มีวันขาดได้! ต่อให้เป็นผู้ชายผมก็ไม่รังเกียจหรอกนะ”
“…ผู้ชายสินะ…อืม รักกันไปนานๆ นะ” แองเจลิน่าดูเครียดๆ “..รักชินเขาสินะ?”
“แน่นอนครับ!”
แองเจลิน่ายิ้มเจื่อนๆ ——รอยยิ้มนั่นหมายความว่าไงกันนะ?
“จะว่าไปท่านพี่ คราวนี้คงมีองครักษ์เก่งๆ ตามไปได้สินะ?”
“แน่นอนจ๊ะ ทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของเรเซอร์”
เธอสำคัญกว่าผมมาก ผมคิดว่ารักตัวเองไว้น่าจะดีกว่านะ รักผมนะ แต่ก็เอาเถอะ สำหรับคนเป็นน้องชายไม่ได้รังเกียจหรอก
ในครั้งนี้ชินไม่ได้ตามมาด้วยเพราะหมดสัญญาของเขาแล้ว ชินจึงต้องกลับไปกองอัศวินเพื่อรับงานชิ้นใหญ่ต่อไป ส่วนเรเซลกับอันนาเองก็ไม่ได้ไปด้วย พวกเธอถูกส่งไปคฤหาสน์ที่ผมอาศัยอยู่
การมาครั้งนี้จึงมีเพียงผมกับแองเจลิน่าเท่านั้น และจะมีองครักษ์มาดูแลต่อ ..หวังว่าคนๆนั้นจะดีให้ได้สักครึ่งของชินนะ
“พูดถึงก็มาเลย”
แองเจลิน่าชายตามองไปหลังผมซึ่งมีชายหนึ่งคนเดินมาหา
“ไม่ได้เจอกันนานนะครับ ท่านแองเจลิน่า นายน้อยเรเซอร์”
‘เซบาสเตียน’ นั่นเอง
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ ราวสามปีได้ ..ถึงเมื่อไม่กี่วันก่อนจะพึ่งส่งไป ‘เคลียร์ขยะ’ ก็ตามที ฮุฮุ”
ขยะ? ไม่ถามดีกว่า เด็กไร้เดียงสาอย่างผมไม่ควรรับรู้อะไรทั้งนั้น
“ยินดีเสมอขอรับ”
“โอ้ เซบาสเตียนไม่เจอกันนานเลยนะ”
ผมโบกมือทักทายเซบาสเตียน เขาโค้งศรีษะให้เล็กน้อย
“กระผมเห็นว่าถูกคอกับชินพอดูเลยนี่ครับ?”
“ถ้าเป็นไปได้ช่วยดึงเขามาเป็นอัศวินส่วนตัวฉันเลยได้มั้ย?”
“…เรื่องนั้นคงต้องหลังจากนี้ราวหนึ่งปีครับ”
แม้แต่เซบาสเตียนก็ไม่ได้มีอำนาจถึงขนาดย้ายชินมาให้ผมได้ ถึงเขาจะมีหน้ามีตามากมายทางสังคม แต่ว่ากันเชิงอำนาจอิทธิพลก็แค่พ่อบ้านนักสู้คนหนึ่งเท่านั้น ไม่นั้นเขาคงมาเป็นพ่อบ้านให้ผมไม่ได้หรอก
ราวหนึ่งปีที่ว่าคงรอให้ผมมีสิทธิ์ออกเสียง หรือใช้กำลังตัวเองเอากระมัง
“เข้าใจแล้ว”
“ขออภัยครับ”
กล่าวเสร็จมาเช็กบาสเตียนจึงเดินไปยืนอยู่ข้างกายแอสถานะเจลิน่า โดยที่เรือได้แล่นไปต่ออย่างราบรื่น
******
หลายชั่งโมงนับจากที่เซบาสเตียนมาหา พวกเราก็มาถึงที่หมายแล้ว
พนักงานบริการหลายคนวิ่งขึ้นมานำทางเหล่าแขกผู้มากอิทธิพล ทางผมก็ด้วย
ทันทีที่ออกไป ใบหน้าของผมก็พลันเปลี่ยนไป—-สุดยอด
แสงสีเสียงมากมายกระแทกเข้ากับหน้าผม ทั้งหมดล้วนสง่างามยากจะหาได้ ต่อให้เป็นในโลกเก่าผมก็ยากจะหาได้..เที่ยบเท่ากับ oิสนีย์แลoด์ญี่ปุ่น ถึงจะไม่เคยไปก็เถอะ แต่ให้สเกลพอๆกันเลย
“…บอกผมทีสิครับว่านี่เป็นงานเทศกาลประจำเมืองใหญ่?”
“ฮุฮุ เรเซอร์อย่าพูดแบบนี้สิ เดี่ยวมีปัญหากับคนอื่นเขาเอา”
นั่นสินา หนิงเป็นถึงเจ้าหญิงจะพูดถึงเรื่องงบประมาณที่ใช้ในการจัดงานวันเกิดมากไม่ได้ แหม่ๆ
อย่างไรก็ช่าง เป็นงานวันเกิดที่ราวกับงานเทศกาล ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม เทียบกับวันเกิดผมแล้วก็รับรู้ได้ถึงคุณค่าทางสังคมที่ต่างกันราวฟ้าเหวเลยแหละ
“…แล้วมีกำหนดการอะไรบ้างหรือครับ?” ผมถามแองเจลิน่า
“กำหนดการ? เพียบเลยละ มีแต่คุยงานแล้วเคลียร์ปัญหากับพวกทวีปอื่น แน่นอนว่าน่าเบื่อมาก น้วยแก้มเรเซอร์ยังสนุกกว่าเลย”
“ให้วันละครั้งพอครับ”
หล่อนเงียบไปพักหนึ่ง
“เรเซอร์นับวันยิ่งน่ารักขึ้นน้า ..ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” แองเจลิน่ายิ้มร่า “เรเซอร์เดินเล่นได้ตามสบายเลยนะ”
เอาจริงดิ?
ผมซึ่งเป็นลูกของขุนนางชั้นสูงเนี่ยนะ? ไม่ใช่ว่าความปลอดภัยของผมถือเป็นที่สุดหรือไง? หากมองว่าถ้าทำอะไรโจ่งแจ้งกลางงาน มันจะสร้างปัญหาระหว่างประเทศได้ง่ายๆ เพราะทุกคนต่างเป็นผู้มีอิทธิพลทั้งนั้น ถ้ามองแบบนี้จะปล่อยผมไปก็ไม่แปลก อีกแต่—-แน่ใจเรอะ? ความเป็นไปได้ไม่ใช่ศูนย์สักหน่อย
แองเจลิน่าเดาความเคลือบแคลงใจผมออก เธออธิบายให้ฟัง
“แน่นอนว่าไม่ได้ปล่อยปละละเลย พี่ไม่มีทางปล่อยให้เรเซอร์เจออันตรายหรอก”
เธอยื่นอะไรกลมๆ มาให้ผม
“แค่ใส่สิ่งนี้ไว้ในกระเป๋าเสมอก็หายห่วงแล้วจ้ะ”
…เหวอ GPS ละ หยะแหยงชะมัด..ผมรับไปแต่โดยดี
“แค่นี้หรือครับ?”
“ใช่จ้ะ จะเดินที่ไหนก็ตามสบายเลย”
“ตามนั้นนะ”
ภายในตัวเมือง—หมายถึงสถานที่งานวันเกิดของหนิง มันราวกับงานเทศกาลใหญ่ประจำปี มีร้านอาหาร และร้านเครื่องประดับมีราคาเปิดกันให้หวั่น ทั้งหมดถูกทำขึ้น เพื่อบริการขุนนางมากชื่อ และผู้มีอิทธิพลทั่วสารทิศที่มารวมตัวกันในวันงาน
เหนือสิ่งอื่นใดตรงใจกลางของเมืองขนาดย่อมก็มีปราสาทขนาดใหญ่พอตัว และยาวถึง 20 เมตร ที่แห่งนั้นคือที่พักของเจ้าหญิง
ถึงอย่างนั้นทีเด็ดจริงๆก็ไม่ใช่ตัวหนิงหรอก แต่เป็นเหล่าคนมีอิทธิพลทั้งหลาย แม้แต่พี่สาวของผมก็มาเพื่อติดต่อกับบุคคลเหล่านั้นเลย กล่าวได้ว่างานวันเกิดของเจ้าหล่อนกับผมไม่ได้ต่างอะไรกันเลย
….เมื่อได้เดินเล่นแล้ว ทำให้รู้ว่าได้ว่า—–พวกคนมีอิทธิที่ไม่ใช่ขุนนาง มีแต่พิลึกๆ
“จงฟังซะพวกเจ้าทั้งหลาย การเล่นแร่แปรธาตุคือวิทยาศาสตร์ซึ่งจะนำไปสู่อนาคต เพราะฉะนั้นจงลืมหูลืมตาหยุดงมงายแต่กับเวทมนตร์ และประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ดูบ้างสิ”
‘คนใหญ่คนโตจากทวีปเกรล’ รู้สึกว่าจะเป็น ‘เจ้าชาย’ แกพล่ามสอนถึงความดีงามของการเล่นแร่แปรธาตุให้คนในทวีปฟัฟนิเสน่ห์ฟัง แน่นอนว่าลิง–พูดถึงฟัฟนิร์ที่ใช้เป็นแต่เวทมนตร์อันล้าหลังก็มิได้ฟังเลย
“—-คุณชายเวทมนตร์ไม่ดีตรงไหนกัน?”
“ในที่นี้ผมไม่ได้กล่าวว่ามันไม่ดีละนะ เพียงแค่ต้องการให้รับวิทยาศาสตร์ไว้บ้าง มันสามารถประยุกต์กับเวทมนตร์ได้หลากหลายทาง”
“ต่อไปที่อยากถาม คือวิทยาศาสตร์มันดีกว่าเวทมนตร์ตรงไหน?”
“เป็นการตั้งข้อสงสัยที่ดีมาก อย่างแรกเวทมนตร์คือสิ่งที่ถือกำเนิดมาแรกเริ่ม ไม่สามารถเพิ่มมานาในตัวคนได้ เป็นดั่งชะตาซึ่งลิขิตคนคนหนึ่งเอาไว้ …แต่วิทยาศาสตร์ไม่ใช่ สิ่งที่เราต้องใช้ในการพัฒนามันคือภูมิปัญญา” เจ้าชายกำหมัดแน่น “หากเปรียบเวทมนตร์คือพลังอำนาจชั่ววูบ วิทยาศาสตร์ก็เป็นอนาคตที่ผู้อ่อนแอสามารถไขว่คว้าได้”
…สุดยอดแฮะ
“แต่ว่านะ บลาๆ”
“เรื่องนั้นละนะ บลาๆ”
คนฉลาดมากหน้าหลายตาต่างคุยกันเพื่อหาคำตอบ—-คนค่อนไปทางโง่อย่างผมไม่เข้าใจเลย จึงตัดสินใจเดินหนีเรื่องชวนปวดหมอง
ที่สำคัญใครเขามาดีเบตเรื่องวิชาการในงานวันเกิดชาวบ้านกัน?
“ตำนานของผู้กล้านั้นยาวนานมาแต่อดีต แต่หากให้กล่าวอย่างสั้นๆ ได้ใจความก็ได้ …มันเริ่มขึ้นเมื่อราวยุคโบราณละนะ ในยุคนั้นได้กำเนิดผู้กล้าคนแรกขึ้นมา เขาเป็นชายซึ่งกอบกู้โลก และปราบจอมมารดิลุคผู้ชั่วร้าย—-หลังจากนั้นมา ผู้กล้าก็อยู่เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามเคียงคู่กับความชั่วร้ายอย่างจอมมาร ..และตอนนี้ยุคสมัยของผู้ลำดับที่ 100 ก็มาถึงแล้ว ข้าเอง! เด็กคนไหนอยากฟังตำนานผู้กล้าอีกก็ตามมาซะ”
ผู้มีอิทธิพลจาก ‘ทวีปแซรอิซ’ กล่าวขึ้นอย่างห้าวหาญ หมายถึง ผู้กล้า? น่าจะแค่ตัวแทนมากกว่า ผู้กล้าไม่น่ามาโม้วีรกรรมตัวเองหรอก ..
….หลังจากนั้นก็เจออะไรอีกมากมายชวนเศร้าใจ—และบังเอิญไปชนเข้ากับใครสักคน
“อ๊ะ ขออภัยครับ”
ผมรีบกล่าวขอโทษทันที
“…ไม่มีปัญหาหรอกครับ”
น้ำเสียงซึ่งดูสบาย และอารมณ์ดีนั่นชวนให้หายประหม่า
ชายที่ผมบังเอิญไปชนด้วยเป็นชายผู้มีเส้นผมสีเทา และดวงตาสีเทาไร้ในตา ผิวพรรณซีดเชียว ใบหน้าดูเยาว์วัยและสง่างามทั้งๆ ที่เป็นผู้ชาย เมื่อผสมเข้ากับชุดสูทสีขาวที่สวมใส่มันยิ่งชวนให้น่ามอง อายุราว 25 ปีได้
เขายิ้มให้ผม—ดูไม่จริงใจ ก่อนจะเดินหายไปจากฝูงชน
….เหมือนเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อนเลยนะคนคนนั้น—–ซ้ำร้ายผมซึ่งมัวมองหาแต่ชายคนเมื่อกี้ก็ดันไปชนกับคนสูงพอกันเข้าอีกที ชนกันแรงถึงขนาดให้สาวน้อยที่มาชนล้มลงไปเลยละ
“—-ป เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
ผมยื่นมือไปหาเด็กสาว———–
“ไม่หรอกครับ”
—–เด็กหนุ่มต่างหาก
เด็กหนุ่มตรงหน้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม มีเส้นผมสีดำปลายน้ำเงินอ่อน และดวงตาสีน้ำเงินราวกับลูกแก้ว ใบหน้าของเขาดูงดงามกว่าใครๆ แม้แต่ผู้หญิงเองก็ไม่อาจเทียบได้ แต่จากน้ำเสียงและความยาวของผมซึ่งสั้นถึงบ่าเพียงเท่านั้น ทำให้ผมอนุมานว่าเป็นผู้ชาย ..หน้าคุ้นมาก เหมือนเคยเห็นมาก่อน แต่จำไม่ได้
ผมรีบยื่นมือไปให้ เขาหัวเราะเบาหวิว ก่อนจะจับมือผมลุกขึ้น
“ฮะๆ ขอโทษด้วยนะครับที่รบกวน”
“ไม่หรอกครับ ที่ทำให้ลำบากมันทางผมต่างหาก”
เด็กชายอายุเท่ากันยิ้มให้
“ในที่สุดก็เจอเด็กอายุพอกันสักทีครับ”
โดยปกติมันไม่มีเด็กอายุอานามพอๆ กันกับผมมาเดินเล่นแถวนี้หรอก เพราะเป็นงานสำหรับผู้ใหญ่ ในการเผยแพร่ความรู้และคุยงานสำคัญ แม้ทางเทคนิคมันจะเป็นงานวันเกิดเจ้าหญิงก็ตาม
ไม่บ่อยมากนักหรอกที่จะมีงานคุยกันระหว่างทวีป เพราะในปัจจุบันนี้หลายทวีปมีปัญหากันพอตัว
“ถ้าไม่รังเกียจสนใจเดินงานโดยรอบเล่นกับผมหรือเปล่าครับ? ถ้าเกิดไม่รบกวนเกินไป”
ผมส่ายหัวให้
“ยินดีสุดๆ อย่างที่รู้ว่าเด็กอายุพอกันมันน้อยละนะ”
“ขอบคุณนะครับ”
เขายื่นมือมาเช็กแฮนด์กับผม เป็นเด็กที่มีมารยาทมาก
“ยินดีที่ได้รู้จักฉันชื่อ—-เรเซอร์”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อ—‘ยูจิ’ ครับ”
————–‘ยูจิ?’
พลันใดนั้นดวงตาของผมก็เบิกกว้างอย่างตกตะลึง
ยูจิ ยูจิ .. พระเอกของไลทโนสถานะแห่งยุคชื่อดัง สุดยอดคนดีผู้เป็นที่รักของทุกๆ คน ไม่เว้นแม้แต่ในโลกความจริง
แม้เขาจะเป็นพระเอกไลทโนเวล ดาษดื่นๆ ทั่วไป แต่ภายในจิตใจนั้นมีความเสน่ห์หาอยู่มากเหนือคณานับ เป็นความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก เอาเป็นว่าเขาเป็นคนดี
“…”
ผมถอนหายใจ—–ยูจิแกไม่ได้มีเส้นผมสีน้ำเงิน ถึงหน้าจะคล้ายกันก็เหอะ
น่าเสียดายดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่ยูจิที่ผมรู้จัก แต่เดิมคนชื่อยูจิมันมีกันถมไป
อนึ่งยูจิตัวจริงนั้นจะมีเส้นผมสีน้ำตาล และดวงตาสีเขียวทับทิม เพราะฉะนั้นผมจึงอนุมานได้ทันทีว่าเป็นคนละยูจิกัน แต่ก็เล่นเอาใจหายวาบไปเลย เกิดดันมาเจอพระเอกไลทโนเวลาเข้า และทำให้เนื้อเรื่องเปลี่ยนมากไปเนี่ย ผมคงขำไม่ออก
ตามเนื้อเรื่องหนิงกับยูจิต้องเดินเที่ยวงานกันสองคนต่างหาก ไม่ใช่กับผม
แน่นอนถ้าบังเอิญไปเจอคนหน้าพิมพ์เดียวกับยูจิเข้า ต่อให้เผลอไปชนล้มก็จะเลือกวิ่งหนีเลยละ โทษที
“ถ้าไม่รังเกียจช่วยพาผมทัวส์สถานที่หน่อยได้มั้ยครับ พอดีผมพึ่งจะมาถึงได้ไม่นานน่ะ”
“ยินดีครับ”
ยูจิยิ้มให้ผม
********
บนปราสาทกลางเมืองในงานวันเกิดเจ้าหญิงแห่งทวีปฟัฟนิร์
“-ร รีบตามหาท่านหนิงเร็ว!”
“ไอพวกบ้าเอ๊ย! พวกแกปล่อยให้ท่านคนนั้นหายไปได้ยังไง!?”
หัวหน้าทหารด่าทอพ่อบ้านแม่บ้านนับสิบคนซึ่งทำงานหละหลวม
ภายในงานฉลองวันเกิดของเจ้าหญิงหนิง เธอได้หายตัวไปอย่างไร้ล่องลอย
“ถ้าท่านราชารู้เข้าจบเห่แน่ พวกแกคงเข้าใจสถานะดีสินะ?”
“-น แน่นอนครับท่านแม่ทัพ!”
“พวกเราจะรีบไปตามหาท่านหนิงให้เจอโดยเร็วครับ!”
ทั้งหมดต่างแตกกระเจิงไปหาเจ้าหญิงหนิงผู้หายตัวไปจากปราสาท เมื่อทั้งหมดหายไปหมด แม่ทัพจึงกัดเล็บตัวเองระบายอารมณ์
“ยัยเด็กเวรนั่น”
เขาสบถออกมา
***
ฉันวิ่งอย่างไม่รู้เหนื่อย แม้ผ้าคลุมหัวที่ใส่อยู่จะเกะกะตอนวิ่งมาก แต่ฉันไม่สามารถถอดมันได้โดยเด็ดขาด—–เพราะฉันกำลังหนีออกจากปราสาท
ที่แห่งนั้นแสนว่างเปล่า ในทุกๆ วันได้แต่เรียน เรียน แล้วก็เรียน หากว่าถึงความสุขก็มีเพียงการนอน และกินเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่มีเลย
ตัวฉันถูกเลี้ยงมาราวกับหุ่นเชิดของพ่อ ..ทำไมกันนะ? แม้แต่แม่ยังไม่เคยได้เจอ เธอไม่อยากเจอฉันเลยเหรอ? ทำไมไม่มาหากันละ?
ทำไมถึงทิ้งฉันไว้ที่ปราสาทละ ..ทั้งพ่อ ทั้งแม่เลย …ทำไมละ
ฉันเช็ดน้ำตาที่ไหล และฝืนยิ้มพร้อมกับวิ่งไปที่โลกภายนอก—-สถานที่ ที่ฉันโหยหามากที่สุดในชีวิต
แสงไฟเจิดจ้าไร้ความจำเป็น และผู้คนนับร้อยซึ่งเดินกันให้หวั่น
ฉันรู้ดีว่าที่แห่งนี้เป็นการจัดงานวันเกิดให้ แต่ไม่คิดเลยจะมีผู้คนมางานวันเกิดมากถึงเพียงนี้ ทุกคนรักฉันมากหรอ? เป็นเจ้าหญิงอาจจะดีก็ได้ …ไม่มีทางดีอยู่แล้ว
รู้ดีนั่นแหละว่าทุกคนที่มาที่นี่ก็มาเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
ฉันวิ่งวนไปมาไม่หยุด ชมเชยกับภาพอันสวยงามซึ่งไม่มีทางได้เห็นง่ายๆ ก่อนจะมาสะดุดเมื่อพบหน้าชายตรงหน้า
ชายตรงหน้า—–พ่อบ้านของฉัน เขาจ้องมาทางฉันด้วยดวงตาที่น่ากลัวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน
“-จ เจ้าหญิงหนิง! ——-”
—–ไม่เอา
“อย่าเข้ามานะ!”
ไม่เป็นผล พ่อบ้านได้วิ่งฝ่าฝูงชนมาหาฉัน——-
“ขออภัยครับ”
ชายคนหนึ่งโพ่งขึ้นก่อนจะจูงมือฉันไปและพลันออกวิ่ง ไม่นานชายอีกคนก็วิ่งตามหลังมาและทำอะไรแปลกๆ ทำให้พ่อบ้านหายไปไหนไม่รู้
ฉันทั้งตะลึงที่จู่ๆ ก็ถูกจูงมือวิ่งหนี และภาพที่ชายอีกคนทำให้เห็น
ไม่รู้ทำไมแต่ฉันรู้สึกกลัวมากๆ ราวกับภายในอกนี้เคยเจอกับสิ่งนั้นมามากจนเอียน
…หลังจากที่วิ่งไปได้ไกลแล้วเขาตรงหน้าก็หยุดลง และหันหน้ามาพร้อมรอยยิ้ม
“ผมคงไม่แซ่เกินไปนะครับ”
ฉันส่ายหัวให้ระรัว
“ฮะๆ ดีใจจังครับ”
—–อึก!
ชายตรงหน้าเป็นเด็กหนุ่ม? รุ่นราวคราวเดียวกัน เขามีเส้นผมสีดำปลายน้ำเงิน และดวงตาสีน้ำเงินราวกับลูกแก้ว สวมชุดสีสูทสีขาวสง่า
…ดวงตาของเขาน่ามองจริงๆ
ไม่รู้ทำไมแต่กล่องดวงใจของฉันมันเต้นไม่หยุด อา กล่องดวงใจสินะ
มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ? ——-
“โทษทีนะคุณยูจิ แต่กำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?”
น้ำเสียงกึ่งไม่พอใจดังขึ้นข้างหลังฉัน
ชายอีกคนเดินตามหลังมาด้วยท่าทางอ่อนล้าทางใจ ท่าทางเท้าชะเอวนั่น..น่ากลัว
เขามีเส้นผมสีเหลืองโทนเข้ม และดวงตาสีแดงน่ากลัว ดุดัน สวมชุดสูทสีขาวเช่นเดียวกับคนก่อนหน้านี้ แต่ให้อารมณ์ที่ต่างกันฟ้ากับเหว
ทันทีที่เห็นหน้าชายคนนี้ใจฉันก็เต้นแรง …มันต่างกับคนก่อนหน้า มัน..มันน่ากลัว อะไรสักอย่างในตัวเค้ามันน่ากลัว ฉันรู้สึกได้
“เอ่อ ขออภัยนะครับคุณหนู พวกผมไม่ใช่คนหน้าสงสัยนะครับ”
รู้ตัวอีกทีฉันก็กุมไหล่ทั้งสองข้างของตัวเองแล้ว ตัวสั่นให้กับเด็กดุดันเบื้องหน้า
“อ๊ะ เปล่า ..ไม่ได้กลัวนายนะ”
“โล่งอกเลยครับ”
เขากุมหน้าอกตัวเองดั่งหายห่วง
“กลัวฉันรึ?” เขาชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“….เปล่า”
ชายน่ากลัวยักไหล่ให้ ท่าทางของเขาดูไม่เป็นมิตร
“..กลัวคุณเรเซอร์หรือครับ?”
คนที่ชวนขนหัวลุกชื่อ ‘เรเซอร์’ นี่เอง
“…เปล่า”
ชายใจดียิ้มร่าตอบ
“อย่ากลัวเลยครับ คุณเรเซอร์เขาเป็นคนดีนะครับ”
“คำว่าคนดีมันพูดง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
จู่ๆ ฉันก็เผลอตอบกลับไปอย่างไร้มารยาท
….อยากขอโทษ
“ฮะๆ ผมผิดเองครับ”
“นายไม่ผิดนะ”
เขาส่ายหัวให้
“ผมผิดจริงๆ นั่นแหละครับ ..จะว่าไป ผมชื่อ ‘ยูจิ’ นะครับ”
—–เขาเอ่ยชื่อตัวเอง
ฉันพยักหน้ารับเบาๆ
“ฉัน….”
มันติดอยู่ในคอ ฉันไม่สามารถบอกชื่อจริงได้
“ฉัน ‘ริน’ ”
จึงได้กล่าวโกหกออกไปเป็นครั้งแรกในชีวิตให้ชายตรงหน้า
MANGA DISCUSSION