เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 198
< < 135 Sec1 > >
อาณาจักรแห่งแสง และ อาณาจักรแห่งความมืด เวทมนตร์ขั้นบรรลุทั้งสองได้เข้าชนกันตรงๆ ภายในเวทมนตร์ตระกูลอาณาจักร ผู้ใช้งานจะได้รับความรวดเร็วในการร่ายเพิ่มขึ้นสิบเท่า สามารถร่ายเวทย์พร้อมกันได้หลายบทแล้วแต่มานาที่มี สามารถสัมผัสการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้อย่างท่องแท้ วิชาไสยศาสตร์หรือลูกเล่นหลอกตาจึงใช้ไม่ได้ผล ในที่แห่งนี้คือเขตุแดนที่ยกระดับผู้ใช้งานมากโข ระดับที่เทียบกับก่อนหน้านี้ไม่ติด
ยิ่งกับบลาซที่กระตุ้นตัวเองด้วยสะสารประหลาด และใช้อาณาจักรแห่งแสงด้วย ทั้งหมดยกระดับบลาซให้ขึ้นไปอยู่ในจุดที่ตัวเองไม่มีถึงได้ อยู่ในจุดๆที่ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าราชาจอมเวทย์เลย ในด้านของพลังทำลายล้างและความรวดเร็ว ทั้งอย่างนั้น—-บลาซที่ยกระดับตัวเองมาได้ไกลถึงขนาดนี้ กลับกำลังจะเป็นฝ่ายแพ้
เวทย์แห่งแสงถูกกลืนกินด้วยอาณาจักรแห่งความมืด เพราะแพ้ทาง ทำให้ไม่สามารถต่อกรได้เลย แต่บลาซไม่ใช่จอมเวทย์ไร้ฝีมือ เขาสามารถกลบจุดด้อยของตัวเองได้ แต่ต่อหน้าผู้ใช้งานอาณาจักรแห่งความมืดอย่างยูจิ กลวิธีทุกอย่างของบลาซถูกมองออกด้วยพลังแห่งทวยเทพ และแก้เกมแทบจะทันทีทุกเมื่อ
ผลคือ—อาณาจักรแห่งแสงได้ถูกกลืนกินจึงเหลือพื้นที่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น อีกทั้งสปีดในการใช้เวทมนตร์ก็ลดลงฮวบฮาบ ในเวลานี้
จะสลายอาณาจักรแห่งแสงก็ไม่ได้ เพราะมีแต่จะทำให้ตัวเองเสียเปรียบ มีแต่ต้องยื้อทุกอย่างด้วยสิ่งนี้ ทว่าทั้งหมดก็ก็แค่การยื้อเกมเท่านั้น
เวลาแพ้ของบลาซได้ถูกนับถอยหลังแล้ว
บลาซมองดูยูจิที่ชนะตัวเองอย่างขาดลอย เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองยูจิเลยแม้แต่น้อย หากจะเคืองสิ่งใดบลาซก็คงจะเคืองโลกใบนี้ …โลกที่ไร้ซึ่งความเท่าเทียมนี่ บลาซเกลียดที่สุดเลย
ถึงกระนั้น บลาซคือผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ นั่นมันไม่ต่างกับการที่เกลียดตัวเองเลยไม่ใช่หรือไง?
คำตอบก็คือ ใช่
บลาซน่ะเกลียดตัวเองที่สุดเลย
บลาซค่อยๆหรี่ตาลง ..และนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดของตัวเอง
****
ในวัยเด็กบลาซเป็นเพียงลูกของชาวบ้านในแถบชนบท พ่อแม่เป็นชาวสวนที่สืบทอดหน้าที่ของพ่อแม่ตัวเองมาอีกที ว่าง่ายๆบลาซเป็นลูกของตระกูลชาวสวนทั่วๆไป
สวนที่อยู่ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็อยู่ในระดับกลางๆ ถือว่าเป็นคนมีฐานะในแถบชนบท อีกทั้งที่บ้านยังได้รับหมอบหมายให้เป็นผู้ใหญ่บ้านด้วย
วัยเด็กของบลาซจึงสบายกว่าทุกคน
ตั้งแต่ที่บลาซจำความได้ ตัวเองก็มีหน้าที่แค่วิ่งเล่นตามประสาเด็กกับเรียนหนังสือขั้นพื้นฐานเท่านั้น และเพราะเวลาที่เยอะ ทำให้บลาซมีเพื่อนอยู่มากมายทั่วทั้งหมู่บ้าน แต่จากทั้งหมดก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่บลาซไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
หมอนั่นชื่อ ‘เจส’ เป็นลูกชายของอดีตนักผจญภัยสาวในหมู่บ้าน เจสไม่มีพ่อ เหตุผลไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่มันค่อนข้างซับซ้อนเลยทีเดียว รู้แค่ว่าเขารู้จักแม่แค่คนเดียว พ่อถือว่าเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน
แต่เรื่องครอบครัวไม่ใช่ปัญหาอะไร เจสไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เขามีความสุขอย่างเด็กทั่วไป จนกระทั่งเริ่มก้าวเข้าสู่อายุราวๆสิบสามปี ทั้งสองกลายเป็นวัยรุ่นและเริ่มจะคิดอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับอนาคตตัวเองมากขึ้น
เจสที่บ่นบ่อยๆว่าเบื่อที่จะอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ได้โพล่งขึ้นขณะที่กำลังเดินเล่นด้วยกัน
“ฉันจะเป็นจอมเวทย์ของราชสำนัก”
..บลาซหันไปมองเจสแบบงงๆ ก่อนจะยิ้มให้
“สมองกล้ามแบบนายเนี่ยนะ?”
“เออสิ มีปัญหารึไง?”
“คือนึกหน้านายตอนเป็นจอมเวทย์ไม่ออกจริงๆ จอมเวทย์นักกล้ามรึ?”
“หนวกหูน่า ฉันตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่ายังไง ฉันก็จะต้องเป็นจอมเวทย์ราชสำนักให้ได้”
พอเห็นผู้เป็นเพื่อนกล่าวอย่างหนักแน่น บลาซก็ไม่มีอารมณ์ล้อเลียนความตั้งใจนี้เลย
บลาซกับเจสนั่งอยู่ตรงลำธาร และนั่งพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเจส
“แล้วทำอีท่าไหนถึงอยากเป็นนักเวทย์ล่ะ?”
“นักเวทย์เป็นที่ต้องการมากไม่ใช่เหรอ”
ใช่แล้ว บนโลกใบนี้ เทียบกับนักดาบ นักเวทย์มีราคากว่ามาก
“ก็นะ เวทมนตร์อะไรพวกนี้ส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกชนชั้นสูงที่ใช้กันได้ แรงงานนักเวทย์จะขาดบ้างก็ไม่แปลก”
เพราะเวทมนตร์จำเป็นต้องมีหลายอย่างเพื่อจะเรียนรู้ ทำให้มีค่าใช้จ่ายมหาศาลตามมาด้วย ความรู้เวทมนตร์จึงเป็นของชนชั้นสูงไม่ก็คนมีตังค์ซะมากกว่า และพวกคนรวยส่วนใหญ่ก็เรียนไว้อย่างนั้น ไม่ได้เอาไปใช้จริงสักเท่าไหร่ ทำให้นักเวทย์มีอยู่น้อยถ้าเทียบเป็นอัตราส่วนแล้วละก็
ทั้งหมดส่งผลให้ตำแหน่งนักเวทย์เป็นที่ต้องการ และมีผลตอบแทนที่สูง เทียบกับนักดาบ บางคนได้เงินน้อยกว่างานแรงงานอีก
“ฉันต้องการอาชีพที่มั่นคง”
…
“นึกว่าจะเป็นพวกความฝันลูกผู้ชายอะไรเทือกนี้ซะอีก ไม่ใช่ว่าแม่นายเป็นนักเวทย์แล้วอยากเป็นตามเหรอ?”
“อันนั้นก็มีส่วนอยู่ แต่สำคัญที่สุดคือความมั่นคงในชีวิตแหละนะ”
เจสล้มตัวลงไปนอนกับพื้นและแหงนหน้ามองฟ้า บลาซเห็นจึงทำตาม
“..แม่ฉันน่ะลำบากมามากพอแล้ว”
“…”
“ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง แต่จะเล่าให้นายฟังคนแรกละกันบลาซ เห็นแก่ที่พวกเราเป็นเพื่อนซี้กัน”
“เป็นเกียรติมาก”
เจสหัวเราะขึ้นจมูกกับการพูดกึ่งประชดของบลาซ
“แม่ฉันก่อนที่จะมาเป็นนักผจญภัย เห็นว่าเป็นลูกสาวของขุนนางมาก่อนแหละ”
“เอ๊ะ!!? จริงดิ!?”
“ใช่แล้ว รู้สึกว่าจะเป็นขั้นบารอนนี่แหละ ไม่ใช่ตระกูลที่ใหญ่อะไรมาก”
“แล้วไงต่อๆ”
“ก็ตามธรรมเนียมบ้าบอของพวกขุนนาง แม่ฉันจะถูกจับแต่งงานกับคนที่ไม่ได้ชอบน่ะนะ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเจอหน้ากันเลยด้วย—เหมือนเอาคนแปลกหน้ามาเป็นสามีให้ลูกตัวเองนั่นแหละ แม่ฉันทนไม่ไหวก็เลยเลือกจะแอบหนีออกมา และเริ่มเป็นนักผจญภัยด้วยทักษะเวทมนตร์ที่เรียกมาจากที่บ้าน”
บลาซอ้าปากค้างกับเรื่องราวของแม่เจส
“จากนั้นแม่ก็ได้ไปพบรักกับพ่อที่เป็นนักดาบมากพรสวรรค์ แล้วก็ให้กำเนิดฉันไงล่ะ”
“..สุดยอดเลย อย่างกับในนิยายแหนะ”
“น่าเสียดาย แต่หลังจากที่แม่ท้องได้ไม่นาน พ่อฉันก็ถูกฆ่าโดยพวกมังกรเพลิง พอท้องแล้วแม่ฉันก็เกษียณจากการเป็นนักผจญภัย แล้วมาอาศัยอยู่ที่ชนบทคนเดียวอย่างที่เป็นอยู่นั่นแหละ”
เล่าจบบลาซก็ไม่กล้าทำท่าทางตื่นเต้นอะไรต่อเลย เพราะตอนจบดูไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่
“แค่คิดว่าช่วงที่แม่ท้องฉันและต้องคอยเลี้ยงฉันเป็นสิบๆปีด้วยตัวคนเดียวมันเหนื่อยขนาดไหน ..ฉันก็ยิ่งอยากตอบแทนบุญคุณให้น่ะนะ ฉันถึงต้องเป็นนักเวทย์ราชสำนักให้ได้ รู้รึเปล่า ว่าพวกจอมเวทย์ราชสำนักค่าตอบแทนมากพอจะสร้างคฤหาสน์ที่ชนบทเลยนา”
เจสพูดเรื่องเงินด้วยรอยยิ้ม—-บลาซเอียงคอฉงน เหมือนไม่เข้าใจเรื่องเงิน
“..นึกว่านายอยากจะเป็นนักผจญภัยมากกว่าซะอีก”
“พูดบ้าๆ นักผจญภัยเป็นอาชีพที่ปลายทางคือความตายนะ คนที่เกษียณก่อนตายในหมู่นักผจญภัยมีแค่หยิบมือเดียวนั่นแหละ อาชีพบ้านี่ถ้าไม่ทำงานเสี่ยงตายเงินก็น้อย เนื้อหางานบางครั้งก็บ้าๆบอๆไม่ตรงกับระดับ ..ขืนฉันเป็นนักผจญภัย สักวันแม่มีหวังได้ร้องไห้พลางกอดศพฉันไปด้วยแหงๆ”
“ลูกแหง่จริงๆนะนายเนี่ย”
“หนวกหูน่า! ก็ฉันชีวิตฉันมีแค่แม่คนเดียวนั่นแหละ”
“ฉันคิดว่านักผจญภัยเท่ดีออก อาชีพที่เต็มไปด้วยอิสระดูดีจะตายไป”
“ถ้านายเป็นพวกมีพรสวรรค์ก็เป็นอาชีพที่สบายน่ะนะ”
บลาซหรี่ตามองแบบเคืองๆ เจสหัวเราะร่าขึ้นมา ..
“นี่ บลาซ โตขึ้นนายอยากเป็นอะไรรึ”
“…ไม่รู้สิ สำหรับฉันยังไงก็ได้มั้ง เรื่องสวนที่บ้านพี่ชายก็รับหน้าที่ดูแลต่อแล้วด้วย”
….
“หรือฉันจะเป็นจอมเวทย์ราชสำนักด้วยดีนะ ดูๆแล้วลูกแหง่อย่างนายน่าจะเอาตัวเองไม่ค่อยรอดด้วย”
“ลูกคนรวยอย่างนายต่างหากที่ดูจะตายก่อนใครเพื่อนเลย”
“..ยังไงก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่แล้ว ตามๆนายไปก็ได้มั้ง”
บลาซตัดสินใจอนาคตของตัวเองแบบง่ายๆ
“ปีหน้าพวกเราก็จะอายุสิบสี่ หมายความว่าวงจรเวทย์จะสมบูรณ์”
“ถึงตอนนั้นก็มาพยายามกันเถอะ สหาย”
เจสยื่นมือมาไทไฟต์กับบลาซ
หลังจากนั้นเพียงหนึ่งปี ทั้งสองก็เข้ารับการทดสอบการใช้เวทมนตร์ภายในหมู่บ้าน
ผลปรากฏคือ ..เจสเป็นเพียงผู้ไร้พรสวรรค์ ไม่ถึงกับใช้เวทมนตร์ไม่ได้ แต่อยู่ในระดับธรรมดา ต่อให้ฝึกแทบตายก็ยากที่จะขึ้นเป็นนักเวทย์ขั้นสูง กลับกัน ทางบลาซนั้น—-คืออัจฉริยะในรอบสิบปี
มานาของบลาซมีปริมาณเทียบเท่าราชาจอมเวทย์ อีกทั้งโครงสร้างภายในร่างกายยังเหมะาแก่การใช้เวทมนตร์สุดๆ
ในวั้นนั้น เจสผู้เป็นเพื่อนไมไ่ด้รู้สึกน้อยใจอะไรเลย เขาทำเพียงยิ้มให้บลาซ
“อย่ามัวแต่เฮิมเกริมซะละ เดี่ยวสักวันจะโดนแซงเอาได้”
เจสไม่ได้ตำหนิตัวเองที่ไร้พรสวรรค์ และไม่ได้เกลียดบลาซที่มีสิ่งที่ตนไม่มี เจสฝึกฝนตัวเองอย่างหนักพร้อมกับเรียนหนังสือไปด้วย ทำให้เวลาที่มาคุยเล่นกับบลาซน้อยลงมาก จากที่ทุกวันจะเที่ยวเล่นด้วยกัน ตอนนี้ทั้งสองจะเดินเล่นด้วยกันแค่อาทิตย์ละครั้ง ครั้งละชั่วโมงสองชั่วโมงแค่นั้น
เจสเก็บตัวเองราวๆสองปี เมื่อถึงเวลา เจสก็สมัครสอบชิงทุนเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ ‘เรดฮอต’ ส่วนบลาซนั้นได้โควต้าเด็กทุนแบบง่ายๆโดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะพรสวรรค์ในรอบสิบปีในตัวเอง
ผลลัพธ์คือทั้งสองเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ในปีเดียวกัน และอยู่ห้องสายทฤษฎีเหมือนๆกันด้วย
วันหนึ่งในคาบปฏิบัติ บลาซกับเจสได้ดวลเวทมนตร์กัน ผลคือเจสชนะบลาซผู้ที่เป็นอัจฉริยะได้อย่างขาดลอย
นี่แหละพลังของพรแสวง ผู้มีพรสวรรค์อย่างบลาซวันๆไม่ได้ทำอะไรเลย อ่านหนังสือนิดเดียว เวทมนตร์ก็ฝึกแค่ในคาบ ..แต่พอได้แพ้เจส บลาซก็เริ่มมีไฟและกลับไปฝึกมาใหม่
หลังจากนั้นเพียงเดือนเดียว
เจสก็กลายเป็นฝ่ายแพ้บลาซอย่างขาดลอยแทน
ทุกคนตกใจกับเวทมนตร์ขั้นสูง ประเภทแสงที่บลาซใช้
พรสวรรค์ในรอบสิบปีเป็นของจริง …ความพยายามถึงสองปีของเจส ได้พ่ายแพ้ให้แก่ความพยายามเพียงหนึ่งเดือนของผู้ถูกเลือก
ถึงอย่างนั้นเจสก็ยังยิ้มอยู่
“..แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนั่นแหละ”
“ขอให้ได้อย่างนั้นนะ”
ทั้งสองเป็นคู่แข่งกัน แต่ก็แค่ในสายตาของทั้งสอง
บลาซนับเจสไปไกลไม่รู้ถึงไหน เพียงปีเดียวบลาซก็ได้ขึ้นเป็นนักเวทย์ขั้นสูงพิเศษ ในขณะที่เจสเป็นเพียงนักเวทย์ขั้นกลางเท่านั้น
เจสฝึกฝนอย่างหนักในทุกวัน บลาซฝึกฝนแค่ทีละนิดในแต่ละวัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กับต่างกันมหาศาล
สุดท้ายจงถึงปีสาม เจสก็ไม่สามารถขึ้นเป็นนักเวทย์ขั้นสูงได้ บลาซถึงจะไม่ได้ขึ้นเป็นขั้นบรรลุ แต่ก็เป็นนักเวทย์ขั้นสูงที่มีชื่อเสียงในโลกเวทมนตร์แล้ว
เมื่อจบการศึกษาก็ถึงเวลาต้องไปทำงาน แน่นอนว่าทั้งสองต้องแยกกัน
บลาซจะถูกส่งไปทำงานเป็นลูกน้องของจอมเวทย์ราชสำนัก ส่วนเจสเป็นทหารหน่วยจอมเวทย์บริเวณชายแดน
คืนก่อนที่ต้องแยกกัน ทั้งสองได้มานั่งพูดคุยปรับทุกข์ ตามประสาเพื่อน
“จอมเวทย์ที่ฉันกำลังจะไปทำงานด้วย เห็นว่าเป็นพวกปากเสียไม่พอยังชอบกดขี่พวกจอมเวทย์มีพรสวรรค์อีกนะ จะรอดมั้ยเนี่ย”
“ฮ่าๆๆ ค่าตอบแทนของพรสวรรค์ไงไอ้เบื้อก ทางฉันก็ไปเป็นจอมเวทย์แถวชายแดนสบายๆ”
ใช่เรื่องที่น่าอวดด้วยเรอะนั่น
“เห็นว่าพวกทหารชายแดนอยู่แบบยากลำบากนี่ ไม่เป็นไรแน่เรอะ”
“แค่ปัจจัยการใช้ชีวิตไม่ค่อยครบแค่นั้นแหละ งานที่ต้องทำจริงๆก็มีแค่เฝ้าบริเวณประตูแค่นั้น ..เพราะแบบนั้นนี่เลยเป็นโอกาสดีไงละ ทางนี้มีเวลาอยู่เพียบ ทางนายไปเป็นลูกน้องของลุงประสาทแดก คิดดูสิว่าฝ่ายไหนงานจะยุ่งกว่ากัน นึกภาพวันๆนายทำแค่งานเอกสาร ส่วนฉันนั่งฝึกฝนเวทมนตร์ แบบนี้—ไม่นานก็น่าจะไปถึงจุดๆเดียวกับนายได้นั่นแหละ”
…
“…”
“..เป็นอะไรไป”
จู่ๆบลาซก็เงียบและทำหน้าแปลกๆ เจสจึงสงสัย
“..ฉันไม่เข้าใจนายเลยจริงๆ อะไรทำให้ยึดติดกับการเป็นจอมเวทย์ขนาดนี้กัน เงิน? ทั้งที่ตัวเองไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของพรสวรรค์เนี่ยนะ มันจะไปทำเงินเยอะได้ยังไง”
“จะดูถูกกันรึไง?”
“เออสิ พูดตรงๆเลยนะ นายมันไร้พรสวรรค์ พยายามก็ตั้งมาก แต่มาได้แค่นี้ ดูฉันสิ เรียนไม่ต่างกับคนอื่นเลย แต่กลายเป็นบุคคลที่ต้องการของทุกๆฝ่ายไปแล้วนะ ..ถามจริงเถอะ ไม่เกลียดฉันเลยเหรอ”
“เกลียด? นายเนี่ยนะ อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลยบลาซ ฉันไม่ได้เป็นจอมเวทย์เพื่อจะเหนือกว่านายสักหน่อย”
….
“ถ้าไม่เหนือกว่าแล้วจะรวยได้ยังไง ไหนบอกว่าอยากให้แม่ตัวเองสบายไง”
“..ไม่เคยเล่าให้ฟังสินะ”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“..ฉันอยากให้แม่สบาย เลยอยากเป็นนักเวทย์ราชสำนัก”
“เล่าให้ฟังบ่อยจะตายเรื่องนั้น รู้เปล่า พอฉันไปเล่าให้คนอื่นฟังต่อพวกนั้นน้ำตาแตกเลยนา”
เจสหยักไหล่ตอบ
“เหตุผลไม่ได้มีแค่นั้นหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เคยเล่าให้ฟังสินะ”
“อืม ..ตั้งแต่เด็กแล้ว ฉันหลงใหลในเวทมนตร์น่ะ”
….บลาซถอนหายใจเฮือกโต เขาหงุดหงิดที่เพื่อนซี้ของตัวเองปิดบังใจจริงมาตลอด
“ตอนเด็กฉันเคยเห็นเวทมนตร์ของแม่ครั้งหนึ่ง แล้วคิดว่าสวยเป็นบ้าเลย ตั้งแต่นั้นมาก็ชอบเวทมนตร์สุดๆ ..เป็นไปได้ก็อยากออกผจญภัยพร้อมกับเวทมนตร์อยู่หรอก แต่ว่างานนักผจญภัยมันอันตรายเกินไป ..ฉันอยากจะหลงใหลในเวทมนตร์ พร้อมไปกับหาทางให้แม่สบายไปด้วยให้ได้”
เจสยื่นมือไปคว้าดวงดาวบนท้องฟ้า
“ฉันไม่เกลียดนายหรอก สำหรับฉันแล้ว ขอแค่ได้เห็นเวทมนตร์ต่อไปเรื่อยๆก็พอใจแล้ว ..พูดถึงข้อดีเดียวของฉันคือฉันสามารถใช้เวทมนตร์ได้ทุกธาตุ”
“ทางนี้ได้แค่ ไฟ น้ำ แล้วก็แสงแฮะ”
การที่ใช้เวทย์ได้หลากหลายกว่า เป็นผลมาจากความพยายามของเจส
“การได้เห็นเวทมนตร์ที่หลากหลายขนาดนี้มันวิเศษมากเลยนะ ..ทุกครั้งที่แพ้นาย ฉันจะได้พบกับเวทย์ใหม่ๆของนายเสมอ ถึงจะมีแค่แสงก็เถอะ แต่ก็ไม่เลวเลย”
“…เจส”
“บอกไว้ก่อน ไม่ใช่ว่าฉันไม่เจ็บใจ ..ฉันเจ็บใจสุดๆไปเลย เพราะอย่างนั้นจะใช้ทุกเวลาที่มีเพื่อที่สักวันจะก้าวข้ามนายให้ได้ ..เป้าหมายของนายในฐานะนักเวทย์คืออะไร”
….
เวลานั้น บลาซอยากจะตอบไปว่า—อยากจะแพ้ให้เจสในสักวัน แต่ก็เก็บปากเงียบเรื่องนี้ไว้ได้ทัน ไม่นั้นเจสมีหวังโกรธเป็นแน่ๆ
“อยากได้คฤหาสน์สักหลัง”
“เล็กน้อยจริงๆถ้าเทียบกับความฝันของฉันแล้ว”
“ไหนว่ามาสิ”
“สักวันฉันจะขึ้นเป็นนักเวทย์ขั้นบรรลุ”
นักเวทย์ขั้นบรรลุ ในยุคปัจจุบัน ทั่วทั้งโลกมีไม่ถึงหนึ่งร้อยคน—มันคือตำแหน่งที่พิเศษที่สุดบนโลกไม่ผิดแน่ มันต่างกับนักดาบขั้นบรรลุที่แค่ใช้วิชาขั้นบรรลุก็พอ เพราะนักเวทย์ขั้นบรรลุคือผู้คิดค้นเวทมนตร์ขึ้นมา สำหรับผู้ที่ใช้ได้อย่างเดียวก็เป็นได้เพียงนักเวทย์ขั้นสูงพิเศษอย่างที่บลาซเป็นในตอนนี้
“แล้วเวทมนตร์ที่ฉันสร้างก็จะเป็นเวทมนตร์ตระกูล [อาณาจักร] ด้วย ..ฉันถนัดเวทย์แสงที่สุดเหมือนกับนาย เพราะฉะนั้นอาณาจักรที่ฉันจะสร้างก็ต้องเป็น [อาณาจักรแห่งแสง]”
เวทมนตร์ขั้นบรรลุที่สร้างได้ยากที่สุด เวทมนตร์ประเภทอาณาจักร ในปัจจุบันนี้ก็มีเพียงแค่ธาตุน้ำแข็ง ธาตุน้ำ ธาตุลม ด้วยที่มีเวทย์ตระกูลนี้อยู่ ..เป้าหมายของเจสช่างสูงส่ง แม้แต่ตัวบลาซที่มากด้วยพรวรรค์ยังไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะทำได้เลย ที่พูดทำให้บลาซอึ้งกิมกี่ไป
…
“ถ้าได้อาณาจักรแห่งแสงมา คนไร้พรสวรรค์อย่างฉันคงจะยกระดับตัวเองไปได้ไกลเลย ภายในเขตุแดนแห่งแสง ไม่มีทางที่ฉันจะแพ้นาย”
สายลมพัดผ่านหน้าของบลาซไป—-บลาซหัวเราะลั่นขึ้น
“น่าสนใจเป็นบ้า เอาสิ! ช่วยแสดงอาณาจักรแห่งแสงให้ฉันเห็นในสักวันทีสิ!”
“แน่นอน—”
ทั้งสองชนหมัดกัน
จากนั้นราวๆสามปี เจสก็ตายจากการถูกบุกชายแดน
….
….
เหมือนว่าเจสจะได้ขึ้นเป็นนักเวทย์ขั้นสูงก่อนตายได้ราวๆสามวัน พอขึ้นเป็นขั้นสูงแล้ว ทางอาณาจักรก็จะเรียกตัวเจสมาช่วยงานภายในอาณาจักร แต่ก็ช้าเกินไป
“…”
บลาซร่วมงานศพของทุกคนในเหตุการณ์ถูกบุกชายแดน แต่เขายืนอยู่หน้าหลุมศพของเจสแค่คนเดียว
“..อุตส่าห์มาถึงขั้นสูงได้แล้วแท้ๆ”
ถ้าเกิดว่าเจสมีพรสวรคค์ บางที อาณาจักรแห่งแสงอาจจะเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะตายก็เป็นได้ ..บลาซได้แต่รังเกียจตัวเองที่เป็นผู้ได้พรสวรรค์ แทนคนที่ต้องการมันจริงๆอย่างเจส
หลังจากเจสตายได้สามวัน ที่หมู่บ้านก็จัดงานศพให้เจสกัน บลาซเองก็ไปร่วมงานด้วย และเล่าความฝันของเจสที่ปิดบังเอาไว้ให้แม่ของเขาฟัง
แม่ของเจสมีสีนหน้าที่อิดโรย เธอไม่ได้ร้องไห้ก็จริง แต่บลาซสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าของเธอชัดเจนเลย ..บลาซช่วยแม่ของเจสดูข้าวของของเจสให้ และพบเข้ากับการวิจัยอาณาจักรเวทมนตร์ที่เจาสเขียนเอาไว้
บลาซขอสมุดเล่มนั้นจากแม่ของเจส เมื่อกลับไปยังอาณาจักร บลาซก็ลาออกจากการทำงาน และตรงไปศึกษาที่แหล่งรวมความรู้อย่าง ‘สหพันธอิกดราซิล’
บลาซใช้เวลาเกือบสิบปีที่นั่น ไปกับการศึกษาทั่วทั้งโลกเวทมนตร์ และค้นคว้าหาวิธีสร้างเวทมนตร์อาณาจักรแห่งแสงขึ้นมาให้ได้
สุดท้ายความพยายามก็เป็นจริง เพียงสิบปีบลาซก็ได้กลายเป็นนักเวทย์ขั้นบรรลุ ..บลาซได้แต่คิดในใจว่าเขาอยากจะให้เจสมาถึงจุดนี้แทนตัวเองมากกว่า
เมื่อเสร็จสิ้นการสร้าง บลาซก็กลับไปเป็นจอมเวทย์ราชสำนักราวๆสองสามปี ก่อนจะลาออกมาเป็นอาจารย์ในวิทยาลัยเวทมนตร์ ‘เรดฮอต’
เรื่องราวกว่าสิบปีของบลาซ บลาซได้พบเห็นความไม่เท่าเทียมทุกรูปแบบ
พรสวรรค์ กับ ไร้พรสวรรค์
ร่ำรวย กับ ยากจน
ดวงดี กับ ดวงซวย
ทุกอย่างมีสองขั้ว มีความไม่เท่าเทียมอยู่ในทุกๆสิ่ง
เห็นเด็กที่เกิดมาจนยังไงก็จนอย่างนั้น เพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่อำนวย พบเห็นคนที่พยายามมากกว่าใครๆเป็นร้อยเท่า แต่ก็จบลงด้วยความตายแบบง่ายดาย พบเห็นขุนนางผู้ร่ำรวยดูถูกเหล่าคนจนว่าเป็นพวกไร้ความสามารถ ไร้ความพยายาม
บลาซได้พบเห็นความไม่เท่าเทียมทุกรูปแบบ ..โดยที่ตัวเองเป็นฝ่ายยืนอยู่ในจุดที่มีพรสวรรค์ ร่ำรวย และยังดวงดีอีก
เขารังเกียจตัวเองที่เป็นเกิดมาได้เปรียบทุกคน และพยายามจะทำให้อาณาจักรฟัฟนิร์มีความเท่าเทียมมากขึ้น แต่ก็พบว่าโครงสร้างขนาดใหญ่นี้ตัวเองไม่มีทางเปลี่ยนมันได้เลย ..ถึงอย่างนั้นบลาซก็ยังพยายามต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าราชาจอมเวทย์ยังกล่าวเตือนมากแค่ไหน บลาซก็ไม่ฟัง
สุดท้ายก็สิ้นหวังเอง และ..ถูกปีศาจร้ายยื่นข้อเสนอมาให้
นี่คือบั้นปลายสุดท้ายชีวิตของผู้ที่เกลียดชังในพรสวรรค์ของตัวเอง แม้แต่ตัวเอง ยังคิดว่าช่างไร้สาระ
****
เป็นเรื่องราวที่โง่เขลา ตัวเองเป็นเพียงพวกโชคดีที่ไม่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอย่างไร้สาระ ..เป็นพวกที่จะถูกเกลียดโดยพวกไร้พรสวรรค์อย่างแท้จริง
แต่ตอนนี้ บลาซได้พบกับความไม่เท่าเทียมจริงๆแล้ว เมื่อได้ต่อสู้กับยูจิก็ทำให้เขายืนยันความคิดตัวเองได้มากกว่าเดิม..ว่าพรสวรรค์มันน่ารังเกียจจริงๆ
อาณาจักรแห่งแสงของบลาซถูกกลืนกินไปจนหมด รอบตัวบลาซถูกปกคลุมด้วยอาณาจักรแห่งความมืด
ยูจิยืนอยู่ตรงหน้าบลาซ
การต่อสู้จบภายในไม่กี่สิบวิ
บลาซเดินเข้าหายูจิ เดินไปเรื่อยๆ จนตัวใกล้จะติดกัน บลาซกระแทกมือเข้าหน้าอกของตัวเอง
“..[เอ็กซ์โพลชั่น]”
บลาซกล่าวออกมาสั้นๆ
เวทระเบิดขั้นบรรลุ หากร่ายในระยะใกล้มันไม่ต่างกับการ—-ระเบิดตัวเอง
ร่างกายของยูจิตอบโต้เอ็กซ์โพลชั่นอย่างรวดเร็ว หัตถ์ของอลันพุ่งไปหัวใจของบลาซจนระเบิด เอ็กซ์โพลชั่นถูกยกเลิกการทำงาน—-บลาซมองหน้าของลูกศิษย์ตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นสติก็ดับหายไป—-
ยูจิได้แต่ยืนตาค้าง ร่างของบลาซล้มกระแทกลงกับพื้น…ยูจิหันไปมองร่างไร้วิญญาณของบลาซ
“..ทำไม..ทำไมถึงขยับเองตามใจชอบ”
ยูจิเอ่ยถามอลันด้วยเสียงสั่น
“..ถ้าไม่ทำผมจะตายเองเหรอ?..แต่ว่า..ทำไม..อาจารย์บลาซ””
พลังของออโรโบรอสถูกยกเลิก ยูจิในร่างปกติลงไปนั่งเขย่าร่างของบลาซ และใช้หักล้างช่วยรักษา แต่ไม่ว่าจะพยายามมากขนาดไหนก็ไม่เป็นผล เพราะบลาซได้ตายไปแล้วจริงๆ
….
….
หากมองที่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยตรง
ยูจิคือคนที่ฆ่าบลาซด้วยมือของตัวเอง
****
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในทีแรกตั้งใจว่าจะช่วย แต่สุดท้ายก็ต้องฆ่าเพื่อให้ตัวเองไม่ตาย ..สุดท้ายก็ปกป้องเอาไว้ไม่ได้อย่างที่พูด
อาจารย์บลาซเลือกที่จะตายแทนที่จะให้ผมช่วย ..เขาตายโดยที่ยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ มันคือสิ่งที่ถูกต้อง เป็นวิทีชีวิตของเขา แต่ว่า—สุดท้ายการตายก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี ไม่รู้ทำไม แต่ผมไม่สามารถคิดว่าการตายเป็นเรื่องที่ถูกต้องได้
ผมเขย่าร่างของผู้เป็นอาจารย์ไม่รู้กี่ครั้งตั้งแต่เมื่อกี้ สติหลุดลอยไปถึงไหนแล้วก็ไม่ทราบ ตอนนี้คิดอยู่แค่ว่าบางทีอาจารย์อาจจะยังไม่ตายก็ได้ จึงเขย่าต่อไปแบบไร้ความหมาย
..ทำอะไรลงไป ผมทำอะไรลงไป ผมฆ่าคน ฆ่าคนที่อยากจะปกป้อง ผม..ผม..
เลือดของอาจารย์บลาซเปื้อนเต็มมือของผม ..ผมมองมือของตัวเอง จากนั้นบางสิ่งก็ไหลเข้ามาในสมอง
มันคือความทรงจำที่หายไปในวัยเด็ก
จำได้แล้ว ..ผมเคยรู้จักคุณหนิงแล้วก็คุณเรเซอร์มาก่อน แล้วก็..เรื่องของพ่อแม่
เหมือนกับวันนี้ ในวันที่พ่อแม่ตาย ผมก็นั่งเขย่าร่างของพวกเขาพร้อมกับมือที่เปื้อนไปด้วยเลือด
พอได้ความทรงจำคืนมาแล้วก็เลยทำให้รู้ความจริง ..อา
คนที่ฆ่าพ่อแม่ของตัวเอง มันก็ผมนี่นา
ไม่ใช่ใครเลย คนที่คนที่ตัวเองอยากปกป้อง ทุกทีมันก็คือผมนี่แหละ
พ่อกับแม่ แล้วก็ทุกคนที่คอยอยู่กับผมในตอนเด็ก ถูกผมฆ่าทิ้ง
เหตุผล? ..มีอยู่ ใช่ มีเหตุผลในการทำ แต่ว่า..สุดท้ายก็ฆ่าสิ่งที่ตัวเองอยากปกป้อง เหมือนครั้งนี้
..อะไรละนั่น
เรื่องราวก่อนที่ผมจะเสียความทรงจำ การที่ได้รับความทรงจำส่วนนั้นมา..มันไม่ต่างอะไรกับการตกนรกทั้งเป็นเลย ..ความจริงของตัวเอง ตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เหตุผลที่ต้องเกิดมา ผมได้รับทั้งหมดคืนมาแล้ว
ไม่มีสิ่งใดสงสัยเกี่ยวกับตัวเองแล้ว เข้าใจดีเลยว่าตัวเองเป็นคนยังไง
ผมหยุดเขย่าร่างที่ไร้วิญญาณ และปล่อยตัวเองพิงกำแพงแทน ผมแหงนหน้ามองเพดานที่มีรากไม้อยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พลางคิดในใจว่า–
“อยากตาย”