เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 197
< < 134 Sec2 > >
“..แค้กๆ ..” บลาซจับร่างของตัวเองเพื่อเช็คสภาพด้วยแขนทั้งสองข้าง “ยังไม่ตายอีก..บ้าน่า”
“ผมไม่กล้าพอจะฆ่าอาจารย์หรอกครับ”
เสียงของยูจิดังขึ้นข้างๆ เมื่อได้ยินร่างของบลาซก็ถึงกับกระตุก บลาซกระโดดถอยหลังออก
จากที่คำนวณแล้ว หลังจากที่ถูกยิงเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วิ ทำให้บลาซสามารถคว้าคทาเวทย์ที่หลุดมือจากแรงสะเทือนมาได้ทัน และชี้มันไปทางยูจิอีกรอบ
“[ไชนิ่งแฟลซ]”
สายฟ้าสีขาวพุ่งเข้ามา
เวทมนตร์ขั้นสูง [ไซนิ่งแฟลซ] เป็นเวทย์ประเภทแสงที่มีรูปทรงคล้ายกับธาตุผสมสายฟ้า ทว่าจริงๆแล้วไม่ใช่ โดยเนื้อแท้แล้วมันก็ยังคงเป็นเวทย์แสงที่มีพลังทำลายเป็นความร้อนที่รวดเร็วอยู่ดี แค่มีรูปแบบการเคลื่อนที่อย่างธาตุผสมสายฟ้าซึ่งขึ้นชื่อด้านความเร็ว ให้กล่าวโดยย่อ มันคือเวทย์แสงที่ทวีคูณความแรงจากทรงสายฟ้า
เป็นเวทมนตร์อันตรายที่สามารถฆ่ามนุษย์ได้เป็นสิบคนในคราเดียว ทว่าต่อหน้ายูจินั้น—แค่ของปาหี่
ยูจิคว้าสายฟ้าสีขาวและบีบมันทิ้งง่ายๆโดยการใช้หักล้างผสมไปในการขยี้ด้วย
“ขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้ แต่อาจารย์ไม่มีทางชนะผมหรอกครับ”
“แหงอยู่แล้วสิ มนุษย์ธรรมดาจะเอาอะไรไปชนะพวกเหนือมนุษย์กัน”
“..อาจารย์ ทำไมถึงได้เห็นด้วยกับเรนหรือครับ”
“บอกแล้วไงว่าทางนี้จะไม่พูดอะไรทั้งนั้น ..เฮ้อ ช่างมันเถอะ ยังไงก็รู้อยู่แล้วว่าฉันเข้าร่วมกับใครก็ตามนั้นเลย อย่างที่เธอคิดไว้นั่นแหละ เรนกับฉันร่วมมือกันอยู่”
ยูจิกำหมัดแน่นเมื่อได้รับการยืนยันเรื่องนี้ และส่งสายตาที่ผิดหวังในตัวอาจารย์ของตัวเองไป ทำให้บลาซมีแต่ต้องหลบหน้าหนี
“เรนน่ะ..เป็นฆาตกรนะครับ คนๆนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชาวบ้านในเกาะวาเรอร์ตายไปตั้งหลายคน เหตุการณ์งานโลหิตมังกรก็เป็นฝีมือของเรน ..แค่นั้นไม่พอ ในอดีตเขาก็เป็นคนที่ทำลายสถานฟื้นฟูเผ่าพันธ์ด้วยกันมากมาย เป็นคนที่ทำให้เผ่าพันธ์หลายๆเกือบจะสูญพันธ์ ไม่ก็หมดไปจากโลกนี้เลย”
“เลวสุดๆเลยใช่มั้ยล่ะ”
“..รู้อยู่แล้วสินะครับ”
“แหงอยู่แล้ว หมอนั่นเป็นอาชญากรของโลก เป็นตัวตนอันตรายที่มีชื่อเสียง ไม่มีทางที่จะไม่รู้วีรกรรมทั้งหมดหรอกที่เธอพูดมาน่ะ ตื้นเกินไปด้วยซ้ำ ความดำมืดของมนุษย์คนนั้นน่ะมันมีมากกว่านี้อีกไม่รู้กี่ร้อยเรื่องเลยละ” บลาซยิ้มให้ “คิดว่าทำไมหมอนั่นถึงมีชีวิตอยู่ได้ถึงยุคปัจจุบันล่ะ? แล้วทำไมมันถึงยังใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ตายสักที ก็รู้ๆกันดีว่าศัตรูมันเยอะจะตายไป”
บลาซกล่าวต่อ
“การทดลองมนุษย์ ต่อจากนั้นก็วิจัยร่างของพวกกึ่งอมตะ ทดลองอะไรต่างๆนานาจนสามารถนำไปประยุกต์กับวิชาไสยศาสตร์ได้ เหตุผลที่มันมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานเป็นเพราะการสังเวยชีวิตคนอื่นให้ตัวเองนั่นแหละ แน่นอน กว่าจะไปถึงจุดที่ใช้งานได้จริง น่าจะมีผู้สังเวยไม่ต่ำกว่าพันหรือหมื่นแน่นอน ซึ่งบางเผ่าพันธ์ จำนวนเพียงพันเดียวก็ถือว่าเป็นประชากรทั้งหมดที่พวกเขามีแล้ว”
กล่าวคือเรนได้จับเผ่าบางเผ่ามาทำการวิจัยจนตายกันหมดนั่นเอง
“เลวร้ายที่สุด ..”
“ฉันจะไม่บอกว่าเรนนั้นทำถูก แต่ว่าที่มันทำก็มีเหตุผลอยู่ ..ทั้งหมดก็เพื่อมนุษย์ทุกคน แม้จะไม่มีใครขอ แต่เจตนาของหมอนั่นเป็นอย่างนี้จริงๆ และปลายทางของภารกิจนั้นก็คือ—ความเท่าเทียมที่แท้จริง”
….
“ฉันจะสร้างโลกที่ถูกต้อง ต่อให้ต้องสังเวยอีกล้านชีวิตก็ตาม”
“..โลกที่ถูกต้องของอาจารย์เป็นยังไงเหรอครับ”
“เรื่องนั้นคงบอกไม่ได้”
บลาซลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หยิบเข็มอีกราวๆสามเข็ดขึ้นมาฉีคใส่ร่างตัวเอง
“อาจารย์!!!!”
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ว่ายังไงก็จะต้องฆ่าเธอให้ได้ ..ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม” บลาซหัวเราะพึมพำ “ทางเธอล่ะยูจิ เพื่อจะหยุดฉันและเรน ได้เตรียมใจถึงขนาดจะฆ่าคนของเรนได้รึยัง?”
“..ผม..จะไม่ฆ่าใครทั้งนั้น”
“ความคิดนั้นจะทำให้เธอพลาดในสักวัน”
กล่าวจบวงจรเวทย์ของบลาซก็เลืองแสงขึ้นยิ่งกว่าเดิม ร่างกายเกิดรอยแตกขึ้นคล้ายจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
บลาซยกคทาเวทย์ขึ้นฟ้าจากนั้นก็ร่ายเวทย์ออกมาภายในเวลาอันน้อยนิด
“[อาณาจักรแห่งแสง]”
เวทมนตร์ขั้นบรรลุ—-เวทมนตร์ขั้นบรรลุเพียงหนึ่งเดียวที่บลาซเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา
แสงได้ปกคลุมพื้นที่แห่งนั้นและทั้งสองก็ถูกส่งตัวมาที่เขตุแดนประหลาดที่มีเพียงคริสตัลสีขาวอยู่ตามพื้น ซึ่งคอยส่งแสงให้พื้นที่แห่งนี้
ยูจิชำเลืองมองทั่วทั้งห้องประหลาดที่ไร้ประตูทางออก
“..ที่นี่—-”
แสงพุ่งใส่ยูจิพร้อมกันสี่ทิศ ยูจิใช้หักล้างปัดป้องทั้งหมดได้ไม่ยาก ทว่าชุดต่อไปก็ตามมารัวๆ
เวทย์แสงสี่ทิศค่อยๆเพิ่มไปจนถึงสิบเทศ ทั้งหมดพุ่งใส่ยูจิอย่างสม่ำเสมอ จนหักล้างไม่สามารถตามได้ทันทั้งหมด—ไหล่ของยูจิถูกลำแสงพุ่งเสียดแขนไปจนเกิดแผล
ต้องใช้หักล้างรักษา แต่ก็ไม่มีช่องว่างให้ยูจิได้รักษาตัวเองก่อนเลย
พอต้องรับมือกับเวทมนตร์จำนวนมหาศาลขนาดนี้นานๆเข้าก็มีแต่จะทำให้ตัวเองพลาดเข้าในสักครั้ง ถ้าหากว่าพลาดท่าโดนเล่นงานวงจรเวทย์เข้า—ยูจิอาจจะเป็นฝ่ายแพ้ขึ้นมาจริงๆก็ไม่แปลก
หากวงจรเวทย์ถูกทำลาย ต่อให้เป็นมนุษย์ที่มีโครงสร้างร่างกายเข้าขั้นขี้โกงอย่างยูจิก็ยังยากที่จะสู้โดยที่วงจรเวทย์พัง
“[ชาโดว์บล็อต]”
บลาซไม่สนใจกระหน่ำยิงเวทย์แสงใส่ชาโดว์บล็อต ทว่าชาโดว์บล็อตกลับระเบิดแทนที่จะรับเวทย์เอาไว้ได้
“—อาณาจักรแห่งแสง จะยกระดับความรุนแรงของเวทมนตร์ไปอีกหนึ่งขั้น กล่าวคือ [แคนน่อนไลท์] ของฉันจะมีความรุนแรงเทียบเท่าเวทมนตร์ขั้นสูง ซึ่งชาโดว์บล็อตไม่มีทางรับปริมาณความเสียหายระดับนี้ได้”
ใช่แล้ว ข้อเสียของชาโดว์บล็อตก็คือมันกลืนกินได้เพียงเวทมนตร์ขั้นกลางไปถึงต่ำเท่านั้น ทั้งกินมานา ทั้งกินได้เฉพาะเวทมนตร์ขั้นไม่สูงมาก เป็นเวทมนตร์ที่ใช้ได้จริงเฉพาะกับพวกที่มีมานาเยอะเข้าขั้นอนันต์อย่างยูจิเท่านั้น และต่อหน้าอาณาจักรแห่งแสง ชาโดว์บล็อตก็เป็นเพียงเวทมนตร์ไร้ค่าเท่านั้น
ไม่มีเวลาพอให้ตั้งค่าชาโดว์บล็อต ไม่สามารถใช้ชาโดว์บล็อตมาสะท้อนความเสียหายได้ นี่คือข้อจำกัดที่ถูกสร้างขึ้น
งูมายาเองก็พลอยถูกทำลายไปด้วยภายในนัดเดียส
“รู้จักรึเปล่า เวทมนตร์นี้น่ะ”
“รู้จักสิครับ ก็อาจารย์เป็นคนสอนผมเองไม่ใช่เหรอ ..เวทมนตร์ขั้นบรรลุ [อาณาจักรแห่งแสง]”
ยูจิตั้งรับทุกการโจมตี พลางนึกถึงเรื่องเมื่อตอนที่ยังนั่งฟังบลาซสอนในคาบชมรม
“[อาณาจักรแห่งแสง] เป็นเวทมนตร์เขตุแดนที่ช่วยเสริมอำนาจการต่อสู้ธาตุแสงให้ผู้ใช้งาน เป็นเวทมนตร์ตระกูลอาณาจักรที่มีอยู่เพียงสี่อาณาจักรจากแปดธาตุ”
เวทมนตร์มีแบ่งแยกตระกูลไปอีกที อย่าง [แคนน่อน] ตระกูลกระสุนที่มีแยกเป็นธาตุทั้งแปดไปอีกที หรือตระกูลอาวุธสงครามขั้นบรรลุอย่าง [ทวนสายฟ้า] [ค้อนปฐพี] [ดาบสายลม] เรื่องตระกูลเวทมนตร์แต่ละอย่างจำเป็นต้องไปศึกษาอีกที แต่หลักๆแล้วเวทมนตร์ที่ชื่อเหมือนกันจะมีผลลัพธ์คล้ายกันแม้ว่าขั้นตอนการใช้งานจะต่างกันอย่างมาก
ตระกูลกระสุนก็เป็นการยิงออกไป
ตระกูลอาวุธสงครามก็เป็นการใช้งานเวทมนตร์ทรงอาวุธที่มีอาณุภาพทำลายล้างบรรจุเอาไว้
และตระกูลอาณาจักรก็เช่นกัน แม้จะมีถึงสี่อาณาจักรแต่ทั้งหมดก็ได้ผลลัพธ์เหมือนๆกันทุกธาตุ
ปัจจุบันนี้ เวทมนตร์ตระกูลอาณาจักรมีทั้งหมดสี่ธาตุได้แก่ [อาณาจักรแห่งแสง] [อาณาจักรสายน้ำ] [อาณาจักรสายลม] [อาณาจักรน้ำแข็ง]
“เมื่อเปิดใช้อาณาจักรแห่งแสง ฉันหรือผู้ใช้จะได้รับข้อได้เปรียบมากมายเกี่ยวกับธาตุแสงที่ฉันถนัด อย่างสามารถร่ายเวทย์พร้อมกันภายในอาณาจักรได้ หรือเสียมานาน้อยลง ไม่ก็ใช้เวทย์ได้เร็วขึ้น”
บลาซอธิบายไปพลางเขียนสรุปลงในกระดานให้ด้วย ยูจิอ่านทั้งหมดและเข้าใจทุกอย่างได้สบายๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเองหัวดี อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะบลาซอธิบายได้เข้าใจง่าย
“เอาเป็นว่าผู้ใช้จะได้ข้อได้เปรียบทุกอย่างเกี่ยวกับเวทมนตร์”
“..จะว่าไป ถ้าเป็นเวทมนตร์ตระกูลอื่น โดยปกติแล้วมันจะมีครบแปดธาตุไม่ใช่หรือครับ ทำไมมีแค่อาณาจักรละครับที่มีเพียงสี่ธาตุเท่านั้น”
บลาซหันมามองยูจิและยิ้มให้
“ก็เพราะว่ามันเป็นเวทมนตร์ขั้นบรรลุ—ที่สร้างได้ยากที่สุดยังไงละ”
เวทมนตร์ที่สร้างได้ยากที่สุด?
“การสร้างเวทมนตร์ประเภทอาณาจักร มันหมายถึงเราจะต้องสร้างพื้นที่ขนาดย่อมที่มีการไหลเวียนของเวทมนตร์ แล้วพื้นที่นั้นยังสามารถให้ประโยชน์ในการต่อสู้กับเราได้อีกมากมายด้วย การจะไปถึงจุดนี้ได้นั้น ไม่ใช่แค่พรสวรรค์หรือเวลา แต่พวกเราจะต้องเข้าถึงแก่นแท้ของเวทมนตร์บางอย่างให้ได้ เป็นจุดที่อัจฉริยะไม่สามารถเข้าถึงได้โดยธรรมชาติน่ะนะ ..อาณาจักรแห่งแสงที่ฉันสร้างขึ้น ก็เกิดขึ้นได้จากการวิจัยตลอดสิบปีใน ‘อิกดราซิลด์’ พร้อมกับผู้ร่วมวิจัยด้วยกว่าร้อยชีวิตเชียวนะ”
สามารถบอกได้เลยว่าบลาซได้ใช้เวลาชีวิตตัวเองเกือบครึ่งหนึ่งไปกับการสร้างสิ่งนี้
“แน่นอนไม่ใช่แค่การสร้าง การที่จะใช้งานมันก็ยากด้วยเหมือนกัน ตอนนี้หน่วยงานของอิกดราซิลด์ก็กำลังพัฒนาให้มันสามารถใช้งานได้ง่ายขึ้นอยู่”
“อีกกี่ปีทุกคนถึงจะใช้ได้เหรอครับ”
“..เป็นไปไม่ได้หรอกที่ทุกคนจะใช้ได้ เพราะพวกนั้นคิดจะให้เวทย์นี้เข้าถึงทุกคนได้ ฉันถึงได้ลาออกมาทำงานที่นี่แทน ..มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะใช้เวทมนตร์ขั้นบรรลุได้โดยไม่มีพรสวรรค์ ขีดจำกัดของมนุษย์น่ะถูกกำหนดมาตั้งแต่ถือกำเนิด เหมือนกับชาติตระกูลนั่นแหละ ..ไม่เท่าเทียมใช่มั้ยล่ะ?”
“..ฟังดูแย่จังเลยนะครับ”
ยูจิกล่าวอย่างเศร้าใจ บลาซเห็นลูกศิษย์ตัวเองเช่นนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้
“โลกเรามันก็แบบนี้แหละ ..พวกไร้ความสามารถ-พวกไร้พรสวรรค์มีแต่ต้องยอมรับชะตากรรม เกิดมาอ่อนแอก็ต้องอยู่อย่างอ่อนแอ ..ไอโลกที่ถูกสร้างด้วยกฏพรรค์นี้ ฉันเกลียดที่สุดเลย”
บลาซกล่าวด้วยแววตาที่เคียดแค้น—-
…นั้นเองเหรอ
ยูจิมองหน้าบลาซที่เต็มไปด้วยความโกรธ
“..ความรู้สึกของอาจารย์ผมรับรู้แล้วครับ”
“รับรู้??”
“ความแค้นของอาจารย์ ..ผมจะไม่บอกว่านั่นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่..ผมจะปล่อยให้อาจารย์ฆ่าคนไม่ได้เด็ดขาด”
บลาซหรี่ตามอง
“หมายความว่าจะฆ่าฉัน?”
“ผมจะไม่ฆ่าอาจารย์ด้วยครับ”
“ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่หลังจากหมดเวลาการใช้งานสะสารนี่ ฉันต้องตายอยู่ดีนั่นแหละ”
“ผมจะช่วยเองครับ”
….
“ผมเกลียดการสูญเสียที่สุดครับ”
“..ยูจิ ..ความคิดที่อ่อนหัดนี้ สักวันจะทำร้ายเธอกลับแน่นอน”
ยูจิยิ้มให้บลาซด้วยใบหน้าคล้ายจะร้องไห้
“นั่นสินะครับ เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วครับ แต่ว่า..ไม่ว่ายังไง ผมก็ยอมรับการสูญเสียไม่ได้ จะไม่ยอมให้คนรอบตัวต้องหายไปอย่างเด็ดขาด” ยูจิโพล่งออกมา “ผมพยายามก็เพื่อ
“ในฐานะอาจารย์ฉันจะสอนนายละกัน ยูจิ—คิดว่าเป็นคำเตือนสุดท้ายของอาจารย์ก็ได้” บลาซมองเข้าไปภายในตาของยูจิ “มนุษย์น่ะมีวงจรชีวิตอยู่สี่อย่างได้แก่ การเริ่มต้น การสูญเสีย การช่วงชิง แล้วก็การยอมรับและเดินหน้าต่อไปจนถึงตอนจบ ..เธอเลือกจะจมปลักอยู่ในขั้นตอนที่สองจริงๆสินะ?”
ยูจิพยักหน้าเป็นเป็นอันตอบคำถาม
“ต่อให้เธอจะมีโครงสร้างร่างกายเข้าขั้นสัตว์ประหลาด แต่ว่า..ตัวเธอในตอนนี้ ไม่สามารถชนะฉันได้โดยที่ออมมือให้ได้หรอกนะ”
“..ถ้าแค่ผมคนเดียวละก็” ยูจิเบิกตาโพลงกว้าง “ขอยืมพลังหน่อยนะ ..[ออโรโบรอส]”
กล่าวจบดวงตาของยูจิก็เปลี่ยนเป็นสีทอง บลาซรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าท่าทีของยูจิเปลี่ยนไป
‘ออโรโบรอส ชื่อของเทพแห่งวัฐจักร นั่นน่ะเหรอต้นกำเนิดที่แท้จริงของยูจิ—บรรยากาศน่าหยะแหยงชะมัด’
ยูจิที่รับพลังของออโรโบรอสมา สามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดทุกอย่างของโลกได้ เพราะอย่างนั้นแล้ว—ยูจิจึงร่ายเวทย์ออกมาด้วยความรวดเร็ว ระดับที่ลำแสงของบลาซไม่สามารถสร้างความลำบากให้ยูจิได้เลย
เวลานี้ สมองและร่างกายของยูจิ สามารถตอบสนองต่อกระสุนแสงของบลาซได้แบบง่ายๆ พร้อมกับเตรียมการเวทมนตร์ใหญ่ออกมาภายในเชี่ยววิเดียว
ยูจิดีดนิ้ว และพูดขึ้น เป็นอันเปิดการใช้งานเวทมนตร์—-
“[อาณาจักรแห่งความมืด]”
เมื่อได้ยินบลาซก็ถึงกับหน้าเหวอ—ตระกูลอาณาจักรเวทมนตร์มีเพียงสี่ธาตุเท่านั้น ได้แก่ แสง น้ำ ลม น้ำแข็ง ทว่ายูจิกลับใช้เวทมนตร์ตระกูลอาณาจักรซึ่งไม่ใช่ของสี่อาณาจักรนี้ กล่าวคือ—ยูจิได้สร้างเวทมนตร์ที่สร้างได้ยากที่สุดขึ้นมาใหม่ ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที กลับกัน บลาซใช้เวลาสร้างถึงสิบปี พร้อมผู้ช่วยนับร้อยชีวิต
อาณาจักรแห่งความมืดได้กลืนกินอาณาจักรแห่งแสงไปราวๆครึ่งหนึ่ง เกิดเป็นเขตุแดนเวทมนตร์ที่มีอยู่สองซีกของธาตุ จากคริสตัลสีขาวได้แปรเปลี่ยนเป็นก้อนหิน จากพื้นที่เป็นสีครีมได้แปรเปลี่ยนเป็นพื้นหญ้าแห้งแร้ง สีของท้องฟ้าในอาณาจักรเวทมนตร์เองก็ต่างกันคนละขั้วสีเลย ระหว่างดำกับขาว
เพียงพริบตาเดียว กระสุนความมืดก็พุ่งมาปะทะกับกระสุนแสงในจำนวนที่เท่ากัน ทำให้ยูจิไม่มีภาระใดๆต้องแบกรับ
ยูจิมองบลาซด้วยแววตาสีทองของทวยเทพ
“..ฮะ..ฮ่า..ฮ่าๆๆ..นี่มันบ้าอะไรกัน ทำไมล่ะ? เธอถนัดเวทมนตร์ธาตุน้ำที่สุดนี่ ทำไมถึงสร้างอาณษจักรแห่งความมืดมาได้ ..ทำไม อย่างน้อยๆ..ถ้าเป็นเวทย์ที่เธอถนัด..ฉันคงจะตกใจน้อยกว่านี้”
สติของบลาซแทบจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กลับกัน ยูจิในตอนนี้ใจเย็นเอามากๆ อาจจะเป็นเพราะสถานการณ์ที่ได้เปรียบ ไม่ก็—เพราะพลังของทวยเทพที่ยูจิได้เปิดใช้งาน
“..เพราะมันเป็นธาตุที่ชนะทางแสงสว่างยังไงครับ”
สร้างเวทมนตร์ที่ยากที่สุดและตัวเองไม่ถนัด โดยคิดเพียงแค่ว่า–ธาตุนี้ชนะทางธาตุแสง
ทั้งๆที่ตามสามัญสำนึก ยูจิควรสร้างอาณาจักรเวทมนตร์ที่ตัวเองถนัดที่สุดอย่างธาตุน้ำแท้ๆ ยังไงธาตุน้ำก็ง่ายกว่ามากมาย เพราะมันเคยมีมาแล้ว ..แต่กลับเลือกทางที่ยากที่สุด
บลาซ..ยกคทาเวทย์เดอะไลท์ขึ้นมาชี้ใส่ยูจิ คล้ายจะขู่ แต่แขนที่สั่นของบลาซทำให้ยูจิไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด
“..ทำได้ยังไง”
“..ผมอาศัยความเข้าใจในธาตุทั้งแปดของ ‘ผู้สร้าง’ ความเข้าใจในเวทมนตร์ของ ‘มหาปราชญ์’ แล้วก็ความเคย เพื่อสร้างมันขึ้นมาครับ”
ลำพังแค่มหาปราชญ์ในตำนานไม่สามารถสร้างสิ่งนี้ได้ แต่ยูจิสามารถจับเอาพลังของบุคคลผู้อยู่ในจุดสูงสุดของโลกมาผสมกันได้อย่างอิสระ ทำให้ไม่ใช่เรื่องยากอะไรในการสร้างเวทมนตร์ตระกูลอาณาจักรขึ้นมา เพราะ—คลังความรู้ ความสามารถทั้งหมดบนโลก ทุกอย่างบรรจุอยู่ในตัวของยูจิแล้ว
ไม่จำเป็นต้องวิจัย ไม่จำเป็นต้องค้นคว้า ไม่จำเป็นต้องฝึกฝน ไม่จำเป็นต้องทดลอง ทั้งหมดเกิดขึ้นในหัว เหลือเพียงแค่—ใช้มันออกมาเท่านั้น
“ผมอยู่ในร่างนี้ได้เพียงแค่สองนาทีครับ หลังจากหมดเวลา ร่างกายผมจะพังจากการใช้งาน [ออโรโบรอส] ..แต่ว่าแค่นั้นก็มากพอแล้ว สำหรับการชนะอาจารย์โดนไม่ต้องฆ่า”
หากต้องการจะฆ่า ในร่างนี้เพียงวิเดียวก็เกินพอแล้ว ต่อให้เป็นตัวยูจิที่ไม่ได้ใช้พลังของเทพก็สามารถโค่นบลาซได้แล้วแท้ๆ แต่เพราะไม่อยากฆ่า เพราะเป้าหมายคือชนะโดยไม่ฆ่า เรื่องมันถึงต้องยุ่งยากขนาดนี้
บลาซทนไม่ไหวกับความเอาแต่ใจของยูจิ ..
“..ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งกันยูจิ—ว่าอ่อนหัดเกินไปแล้วน่ะ!”
ต่อให้มีพลังมากมายแค่ไหน แต่ยังไงยูจิก็คือมนุษย์ แม้จะดูไม่เหมือนมนุษย์เข้าไปทุกที แต่ว่า—ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ดี ก็แค่มนุษย์ที่ถูกสร้างมาพิเศษกว่าทุกคนเท่านั้น
อาณาจักรความมืดและอาณาจักรแสงได้ปะทะเข้าหากัน พร้อมกันกับที่ผู้ใช้งานได้เข้าห้ำหั่นกัน
หากให้นิยามการต่อสู้นี้ง่ายๆ มันช่างเหมือนกับ—การต่อสู้ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่