เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 195
< < 133 Sec2 > >
สัมผัสบางอย่างแว็บเข้ามาในหัว มันคือสัญชาตญาณของตัวผมที่รับรู้ได้ถึงการสะเทือน—-ผมหันไปที่จุดๆหนึ่ง ซึ่งเป็นทางเดียวกับที่ยูจิเดินไปประจำที่
“มีอะไรเกิดขึ้นนั้นรึ”
ราเมียร์ บุตรสาวคนเดียวของราชามังกรเอ่ยถาม ในขณะที่ผมและรินเทียกำลังนำทางหล่อนไปส่งที่ทางเข้างานประชุมโลก
“โทษทีนะ ฉันขอตัวก่อน พอดีมีเรื่องที่อยากตรวจสอบนิดหน่อย เดี่ยวให้รินเทียช่วยนำทางเธอต่อเอา”
“เรื่องที่ว่าสำคัญรึเปล่า?”
“ค่อนข้างสำคัญเลย ยิ่งกับตัวฉันในฐานะองค์รักษ์ด้วยแล้วน่ะนะ”
ราเมียร์พยักหน้ารับและโพล่งอย่างองอาจ
“ให้ข้าไปด้วยสิ ในฐานะเจ้าภาพข้าไม่สามารถปล่อยให้เกิดเรื่องใหญ่ในงานได้”
“เข้าใจแล้ว ถ้านั้นก็”
จากนั้นผมก็รีบตรงไปกับทิศทางที่สัมผัสได้ถึงการต่อสู้
****
ในขณะเดียวกัน งานประชุมโลกยังดำเนินต่อไปได้อย่างไม่มีอะไรติดขัด
“วาระการประชุมทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้”
เมื่อกลอเลียสกล่าวจบแล้วก็มีชายสวมแว่นคนหนึ่งเดินขึ้นมาบทเวที เขาคือเสนาธิการประจำจักรวรรดิราชามังกร เขาเปิดจอเวทมนตร์ขนาดยักษ์เพื่อให้ทุกคน ณ งานประชุมสามารถมองดูรายละเอียดในวาระการประชุมนี้ได้
“ต่อไปจะทำการสรุปหัวข้อประชุม ทั้งหมดเจ็ดหัวข้อนะครับ”
หกข้อแรกเป็นหัวข้อทั่วๆไป อย่างปัญหาเรื่องเขตุแดน เรื่องผู้ก่อการร้าย หรือเรื่องการทะเลาะกันจนอาจจะเกิดสงครามได้ระหว่างสองรึสามอาณาจักร ทั้งหมดแม้จะเป็นเรื่องใหญ่แต่หากเทียบรัศมีกับเรื่องสุดท้ายแล้วก็เป็นได้เพียงเรื่องเล็ก
ทุกคนในที่นี้ต่างรู้ดีกันหมดว่าปัญหาจริงๆที่มากถึงขนาดต้องจัดงานประชุมโลกคืออะไร
“ต่อไปหัวข้อสุดท้าย ..” ชายสวมแว่นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนโพล่งขึ้น “ทุกอาณาจักรมีความเห็นยกระดับความอันตรายของ อาชญากรโลก ‘เรน’ ให้ขึ้นเป็นระดับ ‘ภัยพิบัติ’ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่จบงานประชุมนี้”
ทุกๆฝ่ายต่างพนักหน้าพึงพอใจกับคำประกาศ แต่ก็มีอาณาจักรบางส่วนที่ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรแอบบ่นในใจ
‘ก็แค่พวกผู้ก่อการร้าย ดันให้ค่าซะเยอะ’
‘พวกอาณาจักรมหาอำนาจไม่กลัวเกินไปหน่อยหรือไง’
‘พวกนี้เป็นพวกชั้นต่ำที่แค่พวกแกยกธงเขียวก็โดนกวาดเรียบหมดแล้วไม่ใช่เรอะ’
‘ตื่นตูมกันเกินไปแล้ว’
นอกจากอาณาจักรเล็กๆแล้วก็ยังมีคนใหญ่คนโตที่ดันไปผสมโรงคิดแบบเด็กน้อยด้วย
ราชาแห่งเกรล จูเลียสนั่งมองพื้นพลางคิดในใจอย่างหน่ายใจ
‘..ได้เวลาทำผลงานแล้ว กับแค่พวกอาชญากร แค่อาณาจักรเกรลเพียงอาณาจักรเดียวก็เพียงพอต่อการบดขยี้ ต่อให้เป็นอาณาจักรมหาอำนาจตกอับไปแล้วก็ตาม ..แต่ไหวแน่ๆ ได้เวลากู้คืนชื่อเสียงของอาณาจักร และชื่อเสียงของตัวฉันแล้ว’
จูเลียสกำหมัดอย่างแน่วแน่ ทว่าก็ถูกขัดไว้เสียก่อนโดยลูกชายแท้ๆของตัวเอง
“ท่านพ่อไม่ได้อ่านรายงานที่ผมส่งไปเลยหรือครับ”
“..รายงาน?”
ลีออนทนไม่ไหวถึงกับถอนหายใจออกมา–หากให้เดา พ่อของตนวันๆคงจะเอาแต่เล่นกับชู้รักแล้วเที่ยวเล่นไปทั่ว ไม่เอางานเอาการไม่พอยังไม่คิดจะตามข่าวสารให้ทัน
บางทีพ่อของตัวเองอาจจะมางานประชุมแบบพึ่งเตรียมตัวตอนเช้ากระมัง?
“ช่วยใส่ใจอาณาจักรของตัวเองหน่อยไม่ได้หรือไงครับ”
“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกันลีออน ถึงยังไงฉันก็ยังเป็นพ่อของแกนะ หัดให้เกียรติกันหน่อย”
จูเลียสป็นคนที่ใจสู้แค่กับคนที่อยู่ระดับต่ำกว่าอย่างชัดเจน หรือไม่ก็ลูกของตัวเองเท่านั้น
“ขออภัยด้วยครับ แต่ถ้ายังไงก็ช่วยฟังการสรุปงานของท่านเสนาธิการด้วยครับ”
..จูเลียสกลืนน้ำลายให้กับท่าทีที่แสนเย็นชาของลีออน บางที อีกไม่นาน เขาคงจะหวาดกลัวกระทั่งลูกตัวเองไปด้วยแล้วก็เป็นได้
‘จะบ้าตาย ..ไม่ว่าใครหน้าไหน มันก็พร้อมใจกันดูถูกฉันไปหมด สายตาแบบนั้นมันอะไรกัน ..ฉันเป็นพ่อแท้ๆของแกนะลีออน’
ลีออนไม่ได้สนใจความรู้สึกของผู้เป็นพ่อเลยแม้แต่น้อย เขาสนเพียงแค่–อนาคตความเป็นไปของอาณาจักรเกรลที่เขารัก
“หวังว่าในหมู่พวกเราจะไม่มีไอบ้าที่กล้าพอเสนอตัวจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียวนะ”
ราชาแห่งแซร์อิซ การันเต้ เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง และสิ่งที่เขาพูดก็ทำให้จูเลียสสะอึกชั่วขณะ
“นั่นสินะครับ จากข้อมูลที่สืบมาแล้ว ..ลำพังแค่อาณาจักรเดียส ไม่อาจลากหัวพวกอาชญากรลงมาได้แน่นอน”
นายกรัฐมนตรีของเนลยอน ฮิโรชิ เสริม และหันไปหาราชาแห่งฟัฟนิร์ อัลเบโด้ด้วย
“มีความเห็นอย่างไรบ้างหรือครับ ท่านอัลเบโด้”
“ถ้าหากเป็นการเผชิญหน้าตรงๆไม่คิดว่าแพ้หรอก แต่..นั่นสินะ ถ้าหากเป็นเกมไล่จบ คงยากที่จะตามจับให้ได้โดยเลี่ยงความเสียหายที่มหาศาลเอาไว้” อัลเบโด้หรี่ตาลง “จากที่เอเธอร์เล่าให้ฟัง พวกมันมีกำลังรบที่น่าหวาดกลัว แต่กองกำลังไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดจะชนกับกองทัพของมหาอำนาจได้ตรงๆหรอก”
เรื่องนี้เป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว ทุกคนต่างรู้ดี ทว่าเป้าหมายไม่ใช่การสู้บนสนามรบกับอีกฝ่าย หากแต่เป็นจับกุมตัวต่างหาก จึงเป็นเรื่องยาก ต่อให้อาณาจักรมหาอำนาจจะร่วมมือกันก็ตาม ถ้าหากไม่เป็นอย่างนี้ เรนคงถูกจับตัวได้ตั้งแต่พันปีก่อนแล้ว
“ข่าวลือที่ว่าเอเธอร์แพ้เป็นความจริงนั้นรึ”
ทุกสายตาในบริเวณเล็กๆของสี่มหาอำนาจพากันจับจ้องมาที่เอเธอร์
ข่าวที่ว่าเอเธอร์ฝ่ายแพ้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้พอๆกับการบอกว่าอาณาจักรเกรลจะมีหิมะตก ว่าง่ายๆคือ ‘เป็นไปไม่ได้’ อย่างน้อยก็ถ่วงเวลาจนต้องถอยกลับไปอย่างที่เผชิญกับไรเดนบ่อยๆ
“ผมเป็นฝ่ายชนะนะครับ เพียงแต่”
เอเธอร์ยิ้มอย่างสดใส
“ถ้าเกิดอีกฝ่ายไม่ประมาท ผมก็คงเป็นฝ่ายแพ้ครับ”
….
ถึงจุดนี้เรลันต้าก็อดตกใจไม่ได้ เหล่าผู้ติดตามรอบๆก็เช่นกัน โดยเฉพาะไรเดน อาคาสะ อย่างไรซะ คนที่นับถือในพลังอำนาจของเอเธอร์มากที่สุดก็หนีไม่พ้น ไรเดน คนนี้
เอเธอร์คนนั้นเกือบจะแพ้ แม้แต่จูเลียสผู้โง่เขลาก็เข้าใจในจุดนี้
ในห้วงเวลานี้
ฮิโรชิ(นายกรัฐมนตรีของเนลยอน) เรลันต้า(ราชาแห่งแซร์อิซ) อัลเบโด้(ราชาแห่งฟัฟนิร์) โทมิเรีย(เจ้าหญิงแห่งเนลยอน) อาเบล(เจ้าหญิงแห่งแซร์อิซ) มิร่า(เจ้าหญิงแห่งฟัฟนิร์) หรือแม้แต่ผู้ติดตามอย่าง ไรเดน อาคาสะ เอเธอร์ และผู้กล้า ต่างคิดเป็นเสียงเดียวว่าควรจะกำจัดพวกเรนให้เร็วที่สุด ทุกคนพร้อมจะร่วมมือกันในสถานการณ์เช่นนี้
ทว่าอีกฝากหนึ่งนั้น กลับรู้สึกหวาดกลัวจนไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวด้วย
‘ไม่เอาแล้ว ..แม้แต่เอเธอร์ยังชนะไม่ได้ อาณาจักรของพวกเราจะไปเอาไหวได้ยังไงกัน? บ้ารึเปล่า พอกันที ปล่อยให้พวกสามอาณาจักรที่เหลือจัดการเอา ..นี่ไม่ใช่การหนี ใช่มันไม่ใช่การหนี มันคือ–” จูเลียสแสยะยิ้ม ‘ใช่แล้ว ฉันจะฉวยโอกาสขึ้นเป็นใหญ่ในตอนที่พวกมันพักรักษาตัวจากการต่อสู้ ถ้าเป็นแบบนี้อาณาจักรเกรลจะต้องกลับมาเป็นใหญ่ในเวทีโลกได้แน่นอน’
นอกเหนือจากนั้นก็คิดต่างกันไป แต่ที่แน่นอนคือในมหาอำนาจด้วยกันมีเพียงจูเลียสเท่านั้นที่เอาแต่หวาดกลัวและปิดหูปิดตา ไม่คิดหาวิธีรับมือใดๆ
เหตุผลที่อาณาจักรเกรลตกต่ำได้ขนาดนี้ เป็นเพราะชายที่ชื่อว่าจูเลียสไปกว่าครึ่งก็ไม่ผิด
ลีออนสามารถเดาความคิดทั้งหมดของผู้เป็นพ่อได้ เขารู้สึกเอือมระอา แต่อีกใจหนึ่งก็ปล่อยๆพ่อตัวเองไปเถอะ ..ยังไงซะ อำนาจในอาณาจักรเกรลเกือบทั้งหมดก็อยู่ในมือของลีออนแทนแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้จูเลียสเคลื่อนไหวมากกว่านี้อย่างสูญเปล่า ไม่สิ พูดให้ถูก ช่วยอยู่เฉยๆเถอะ
เสนาธิการกล่าวต่อ
“กระผมขอย้อนรอยเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งล่าสุดบนโลก เพื่อย้ำให้ทุกคนเข้าใจตรงกันนะครับ”
จอเวทมนตร์แปรเปลี่ยนเป็นตราสัญลักษณ์ของมหามังกรทั้งสี่ธาตุ ได้แก่ ฟัฟนิร์ แซร์อิซ เนลยอน และเกรล
“เมื่อราวสองพันปีก่อน โลกของเราได้เผชิญกับภัยพิบัติที่มาในรูปแบบของมังกร แม้พวกเราจะไม่ได้พบเจอหรือเห็นภาพเหตุการณ์ด้วยตัวเอง แต่พวกเราก็รับรู้ได้จากเรื่องราวที่ถูกสลักไว้บนหน้าประวัติศาสตร์มนุษย์ดีว่าเรื่องเมื่อตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
..
“ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ ..มันไม่ใช่แค่เรื่องเล่านั้นเรอะ”
“ตอนนี้วิทยการเวทมนตร์ก็พัฒนามากแล้วนะ”
จากนั้นเสียงซุบซิบก็ดังขึ้น คงเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยพบกับเหตุการณ์ที่ราวกับอยู่ในนรกโดยตรง ..แต่นับว่าโชคดีทีเดียว เพราะในที่แห่งนี้มีอยู่คนหรือสองคนที่เคยได้สัมผัสกับ—ห้วงเวลานั้น
หนึ่งในนั้นคือ กลอเลียส—เขาโพล่งออกมาตัดการพูดคุยของทุกคน
“ข้าในฐานะราชา ขอยืนยันถึงความอันตรายของภัยพิบัติ”
..
“น่าจะรู้กันดีไม่ใช่รึ ว่าข้าเป็นผู้ที่เคยผ่านเหตุการณ์เมื่อสองพันปีก่อนมาแล้ว เช่นนั้นข้าจะเล่าให้ฟังเอง” กลอเลียสถอนหายใจหนึ่งจัวหวะและพูดต่อ “เมื่อสองพันปีก่อน มนุษย์มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น เพราะควันหลังการต่อสู้ของมหามังกรทำให้สภาพแวดล้อมบนโลกมันเละไปหมด สภาพอากาศทุกพื้นที่ไม่มีความแน่นอน ทุกชีวิตไม่มีทางเลือกนอกจากกลายพันธ์ุตัวเอง ..มนุษย์ในยุคก่อนภัยพิบัติครั้งนั้น ไม่ได้รู้จักเวทมนตร์ ไม่ได้รู้จักวิชาไสยศาสตร์ ไม่ได้รู้จักการเล่นแร่แปรธาตุ ใช้เป็นเพียงแค่อาวุธ เผ่าพันธ์ุมังกรบางส่วนเองก็เปลี่ยนตัวเองไปใช้ชีวิตอยู่ใต้ทะเลเพื่อหลบหนีการล่มสลายของโลก ..”
“ในยุคมังกรธาตุ มันเป็นยุคที่ราวกับวันสิ้นโลก ทุกชีวิตจักต้องอยู่อย่างหวาดกลัวโดยมิอาจเลี่ยง ผู้ที่แข็งแกร่งต่างตายอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มสาวที่จะเติบโตเป็นแนวหน้าก็ตายก่อนเวลาอันควร ทำให้ทุกอย่างอยู่ในความสิ้นหวัง ไร้ทางเลือกนอกจากต้องดิ้นรนสุดความสามารถ พัฒนาตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก้าวข้ามขีดจำกัดของทุกชีวิต
แม้จะทำขนาดนั้นก็ยังไม่มากพอจะต่อกร พวกเราใช้เวลากว่าร้อยปีเพื่อลุกขึ้นมาต่อกรกับพวกมันอีกครั้ง และแม้จะเตรียมตัวขนาดนั้น ในศึกสุดท้ายพวกเราก็ชนะได้อย่างยากลำบาก”
“..ข้าเองในสงครามก็ได้พ่ายแพ้ให้แก่มหามังกรเพลิงฟัฟนิร์ไป เป็นการต่อสู้ที่ข้ามิอาจเทียบได้ แม้จะยังเยาว์วัยแต่ข้าก็พอแล้วจริงๆ และถึงมีโอกาสให้เจอกันอีกครั้งในร่างสมบูรณ์ของเจ้ามังกรนั่น ..ความมั่นใจที่ว่าสามารถชนะได้ก็ไม่มีในหัวเลย”
คำพูดของกลอเลียสทำให้เหล่าผู้นำที่ไม่ได้ตระหนักถึงภัยพิบัติตื่นรู้
“ภัยพิบัติคือตัวตนที่จะนำพาโลกไปสู่จุดจบ ..ข้าในฐานะสิ่งมีชีวิตที่เคยผ่านช่วงเวลาแห่งวันสิ้นโลกมาแล้ว ย่อมไม่อยากจะนึกถึงหรืออยากให้เกิดเหตุการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้อีก เพราะอย่างนั้น แม้จะดูน่าหัวเราะเยาะที่หวาดกลัวต่ออาชญากร แต่ข้า..ขอยืมแรงของพวกเจ้าทุกคนด้วย”
สิ้นสุดคำกล่าวของกลอเลียส ..เสียงตบมือก็ดังขึ้นทั่วทั้งโคลอสเซียม เหล่าผู้นำมหาอำนาจพากันตบมืออย่างพร้อมเพรียงกัน
เสียงตบมือดังอยู่เช่นนั้นไปกว่าหนึ่งนาทีถึงจะหยุดลง ..ทันทีที่เสียงฝ่าตบมือดับไป เสียงตบมือใหม่ก็ดังขึ้นเพียงแค่จุดๆเดียว เสียงนั่นค่อยๆเข้าใกล้บนเวทีขึ้นไปเรื่อยๆ เพียงไม่นานทุกคนก็สามารถมองเห็นร่างของเจ้าของเสียงตบมือได้
คนๆนั้นคือผู้หญิง
นักบวช? ไม่ใช่ แม้ชุดจะคล้ายแต่ก็ไม่ใช่ นอกจากจุดเด่นอย่างชุดขนาดใหญ่ที่คล้ายชุดนักบวชแล้วก็คือหน้าตาที่สวยเข้าขั้นถล่มเมือง และดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์กับความปารถนาอันแรงกล้า
สายตาของหญิงสาวคนนี้ได้สะกดทุกคนให้มองมาที่เธอเพียงผู้เดียว
“อาจจะมาช้าไปหน่อย แต่ขอเข้าร่วมงานประชุมโลกด้วยคนนะ”
….
“ทางผมมีข้อโต้แย้งครับ ดรากอนที่สอง”
แม้จะเป็นผู้หญิงแต่เธอแทนตัวเองว่า ‘ผม’
“..ข้อโต้แย้งนั้นรึ” กลอเลียสหรี่ตามอง “ไหนลองบอกมาหน่อยสิ”
“ลำดับแรก สิ่งที่ผมยื่นให้ไม่ใช่ ‘ภัยพิบัติ’ หากแต่เป็น ‘สรวงสวรรค์’ ต่างหาก!”
…เพียงแค่นั้น ทุกคนก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของหญิงสาวผู้นี้
กลอเลียสพุ่งเข้าประชิดอย่างรวดเร็ว
ไรเดน อาคาสะ ชักดาบออกมาตั้งท่า
ผู้กล้าจับด้ามจับของดาบ เตรียมจะจัดชุดใหญ่เพียงแค่ได้สัญญาณ
เอเธอร์ยื่นมือออกไปพร้อมกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มผุดอยู่จางๆ
แค่เสี่ยววิเดียว ชีวิตของเรนก็ก้าวเข้าสู่เส้นแบ่งความเป็นความตาย
“เรน? ไม่ใช่ ใบหน้านั้นไม่ใช่หน้าของเรน”
ไม่เหมือนกับใบหน้าของเรนที่อยู่ในประกาศจับเลย
“แล้วก็อย่าริอาจเอาตัวผมไปเทียบกับพวกมังกรสวะพวกนั้นด้วย พวกมันก็แค่สัตว์เดรัจฉาน ต่างกับผมผู้เปรียบได้ดั่งผู้ปลดปล่อย ..เข้าใจน—-อั้ก!!!”
ไม่ทันจะได้พูดจบเรนก็ปลิวไปด้วยแรงกระแทกจากหมัดของกลอเลียสจนตัวไปติดกับกำแพง และเกิดรูขนาดยักษ์ขึ้นพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนทั่วทั้งโคลอสเซียม
เรนดีดร่างตัวเองออกจากกำแพง จากนั้นร่างกายของสาวสวยก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นร่างดั่งเดิมเหมือนในใบประกาศจับของตัวเอง
“เจ็บ เจ็บเป็นบ้า นี่สินะหมัดของราชันมังกร สมแล้วละ คิดไว้แล้วเชียวว่าต่อให้แก่หงำเหงือกแล้วก็ยังอันตรายอยู่ดี ” เรนสังเกตุถึงสายตาเอเธอร์ที่มองมา “..ชิ”
เรนทำเสียงไม่พอใจใส่เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคราวก่อน
“ทหารทุกคน—จับกุมเรนซะ!!!!!!”
หัวหน้าหน่วยทหารตะโกนสั่งการ—ทหารพากันกรูเข้าใส่เรน เหล่าตัวตนระดับสูงต่างรู้ดีว่านั่นเป็นการกระทำที่โง่เขลา และเป็นการสร้างจุดบอดให้พวกตนเข้าไปช่วยไม่ได้ เพราะการปะทะชองตัวตนระดับสูงจะทำให้ทุกชีวิตบริเวณรอบตัวกลายเป็นแค่เศษเนื้อ
เรนยิ้มอย่างพึงพอใจกับภาพที่คาดเดาเอาไว้ จากนั้นก็หยิบขวดยาเข้ามาซีดเข้าที่คอของตัวเอง ทำให้วงจรเวทย์ของเรนส่องแสงตามร่างกาย
จากนั้นจึงผสานมือเข้าหากันและ–ใช้งานวิชาไสยศาสตร์
“โลกเอ๋ย–จงบิดเบือน!!”
[บิดเบือน]
โคลอสเซียม–งานประชุมระดับโลกถูกบิดไปมาจากนั้นก็ม้วนกลับนับร้อยครั้ง ทว่าทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเชี่ยววิเดียว ทำให้เสมือนว่าทุกคนถูกวาร์ปกระจัดกระจายภายในพื้นที่งานประชุมโลกที่แปรเปลี่ยนไป
หลังจากที่ทุกคนถูกส่งออกจากรอบตัวแล้ว บทเวทีที่อยู่กลางโคลอสเซียมยักษ์ เวลานี้เหลือเพียงแค่เวทีเล็กๆที่ถูกอัดไว้ในห้องเล็กๆที่ไร้ซึ่งแสงจากข้างนอก
“..อลิซาเบธ”
ทันทีที่เอ่ยนาม อลิซาเบธ แวมไพร์สาวผู้ปกปิดใบหน้าก็ปรากฏตัวจากข้างหลัง
“ส่งสิ้งนั้นมา”
“รับทราบค่ะ”
อลิซาเบธยื่นรูปสัญลักษณ์ต้นไม้สีขาวที่อยู่ในแคปซูลขนาดเล็กมาให้ เรนรับมาและบีบแคปซูลจนแตก สุดท้ายเรนก็กำสัญลักษณ์สีขาวนั่นและบีบมันหนึ่งครั้ง
ทันใดนั้นต้นไม้ก็เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำ พื้นที่ทั่วทั้งงานประชุมโลกถูกย้อมด้วยสีดำแทน พร้อมๆกันรากไม้ก็ค่อยๆโตขึ้นและมีอยู่ทุกที่..
“จะดีเหรอคะ ใช้งาน ‘ประตูสวรรค์’ เช่นนี้”
“..ถ้าเกิดไม่ใช้ ทางนี้ก็ไม่เห็นหนทางชนะหรอก”
บนรากไม้มีร่างคนหนอกออกมา
“ผมจะใช้ประตูสวรรค์ ..จะใช้ ‘ต้นไม้โลก’ เพื่อกลืนกินทุกอย่างในที่แห่งนี้ ถ้าหากทำสำเร็จ เป้าหมายจะสำเร็จเกินกว่าครึ่ง” เรนมองร่างมนุษย์ที่ทั้งตัวเป็นต้นไม้ “ถึงจะน่าเสียดาย เพราะผมอยากจะใช้สิ่งนี้สังหารเอเธอร์มากกว่า แต่ผมควรเมินเฉยต่อความแค้นของตัวเอง และใช้มันให้เกิดประโยชน์ที่สุด ยังไงซะนี่ก็เป็นพลังที่ดองมาไว้กว่าสองพันปี มีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาละก็”
“…ถ้าพลาดขึ้นมา?”
“สองพันปีของพวกเรา จะสูญเปล่าไปครึ่งหนึ่ง”
หลังจากพูดอย่างจริงจังจบเรนก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ไปกันเถอะ อลิซาเบธ สู่โลกที่พวกเราปรารถนา”
“เข้าใจแล้วค่ะ สู่โลกที่ท่านเรนปรารถนา”