เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 194
ตอนนี้ผมได้ทำการเปลี่ยนชื่อของตัวราชามังกรนะครับ จาก กิโดร่า ไปเป็น กลอเลียส คิงดรากอนที่สอง
รวมๆก็ประมาณนี้เลยครับ ขออภัยทุกคนที่ต้องมาจำชื่อใหม่ด้วยนะครับผม
++++++++++++++++
< < 133 Sec1 > >
ราชามังกร ‘กลอเลียส’ หรือ ‘คิงดรากอนที่สอง’ เป็นชายตัวสูงและใหญ่ระดับที่พอๆกันกับราชาแห่งแซร์อิซราลันเต้ นอกจากนั้นปริมาณกล้ามเนื้อก็เหมือนจะน้อยกว่าเล็กน้อย เขามีผิวตัวสีขาวซีด มีผมยาวสีทองประหนึ่งว่ากำลังเลืองแสง เช่นเดียวกันกับดวงตาของเขาด้วย
เมื่อกลอเลียสได้ขึ้นมาบนเวที ทุกคนก็พลันเงียบลงทันที
กลอเลียสมองราชาจากทุกอาณาจักรเพียงแค่การปราดตาครั้งเดียว เมื่อเห็นว่าทุกอย่างพร้อมแล้วกลอเลียสก็ทำการ—เริ่มงานประชุม ในหัวข้อเรื่องของ ‘ภัยพิบัติ’ ละลอกต่อไปของโลก
****
เหมือนว่างานประชุมจะเริ่มแล้ว
เสียงประกาศจากราชามังกร แม้จะเบามากหากฟังจากผนังอีกฝากหนึ่ง แต่เพราะการตัดมิติทำให้ผมได้ยินทุกอย่างชัดแจ๋วเลย
“..ดำเนินไปได้ด้วยดีสินะ”
“ดำเนินไปได้ด้วยดี?”
วินเทียยืนงงกับสิ่งที่ผมพูด
“ไม่มีอะไรหรอก”
“นั้นเหรอคะ? จะว่าไป ..ท่านเรเซอร์รู้จักคนๆนั้นหรือเปล่าคะ?”
คนนั้นมันใครกันล่ะ
ผมหันไปตามทางที่รินเทียส่งสายตาไปให้ แล้วพบกับ มนุษย์ยักษ์? ผู้หญิงร่างยักษ์ ขนาดตัวพอๆกับผมแต่สูงกว่าราวสิบเมตรได้ ว่าโดยง่ายเธอคือผู้หญิงที่สูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตร นอกจากส่วนสูงที่น่าตะลึงแล้วก็คงเป็นรูปลักษณ์ประหนึ่งว่าเป็นนางงามมาจากไหน
เลือนผมสีทองราวกับส่องแสงตลอดเวลา ดวงตาก็เช่นเดียวกัน ผิมสีขาว ผิวสีขาวซีดที่ดูเข้ากับสีผมและสีตาอย่างน่าประหลาด ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการแต่งกายที่อย่างกับหลุดมาจากภาพยนตร์นักรบสาวอย่างไรอย่างนั้นเลย
เธอสวมใส่ชุดสีทองคำขาวที่มีดีไซน์คล้ายครึงกับชุดเกราะนักรบสาววัลคิรี่ เรียกได้ว่าแต่งแบบจัดเต็มปาก
ผมเผลอมองตาค้างอย่างไม่ตั้งใจ ว่าไงดี นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมพบเห็นได้บ่อยๆ นักรบโดยส่วนใหญ่จะไม่ได้แต่งตัวดูดีนัก และจำนวนนักรบที่เป็นผู้หญิงก็มีน้อยมากด้วย ยิ่งทำให้เห็นนักรบที่แต่งตัวดีๆแถมเป็นผู้หญิงได้ยาก แล้วก็สำคัญที่สุดเลย ตัวเธอมันเหมือนว่าหลุดมาจากหนังแนวนักรบรึเทพ บลาๆ จำพวกนี้เลยแหละ
ทำให้อดสนใจไม่ไหว
เพราะจ้องนานจนเกินไป ทำให้เจ้าหล่อนสังเกตุเห็นผมและเดินเข้ามา
“ว่าไงพวกมนุษย์ เห็นจ้องข้าเสียตั้งนานมีอะไรรึเปล่า”
“ทะ ท่านเรเซอร์ระวังตัวไว้นะคะ!”
ระวังตัว—เพราะมัวร์แต่สนใจรูปลักษณ์การแต่งกายของเธอตรงหน้า ทำให้ผมลืมการวิเคราะห์อีกฝ่ายไป
พอมองดูดีๆแล้ว ..
“มังกร?”
“ก็ตามนั้น แล้ว? มีปัญหาอะไรกับเผ่าพันธ์ของข้ารึเปล่า?”
นัยน์ตาของมังกร และปริมาณกล้ามเนื้อที่มากเกินกว่าที่มนุษย์จะมีได้ นอกเสียจากว่าเป็นพวกตัวประหลาดอย่างเอเธอร์รึเรลันต้า แล้วสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือกลิ่นอายของมังกรที่สามารถรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณสิ่งมีชีวิต
รินเทียเองก็เป็นคนมีฝีมือ เธอจึงสามารถมองตัวจริงของอีกฝ่ายได้
แต่ว่ามังกรที่แปลงกายเป็นมนุษย์ได้นั้นเหรอ? อยู่ระดับสูงพอตัวเลยแฮะ
อนึ่งลำดับขั้นมังกรบนโลกเราจะแบ่งดังนี้
1. ‘มังกรธาตุ หรือมหามังกร’ สิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลก พลังชีวิตไร้ขีดจำกัดเลยกลายเป็นอมตะโดยปริยาย มีทั้งหมด 4 ตน ได้แก่ แซร์อิซ(มหามังกรวายุ) ฟัฟนิร์(มหามังกรเพลิง) เนลยอน(มหามังกรวารี) และเกรล(มหามังกรปฐพี)
2. ‘มังกรมีนาม’ จำพวกนี้คือมังกรที่มีสติสัมปชัญญะเหมือนกับสิ่งมีชีวิตทั่วๆไป จุดเด่นอีกอย่างคือมีความแข็งแกร่ง และมานาที่มหาศาล ทำให้อยู่ยืนนานได้เป็นพันๆปี บางตนอยู่มานานกว่ามังกรธาตุ หรือแกร่งกว่ามังกรธาตุก็มีเท่าที่บันทึกเอาไว้ แต่หากว่าตามลำดับแล้วจะด้อยกว่า เพราะไม่ได้เป็นอมตะ และมีมานาไร้ขีดจำกัดดั่งเหล่ามหามังกร อีกทั้งความแข็งแกร่งก็ไม่ได้บาลานซ์กันเท่าไหร่ด้วย
ให้ยกตัวอย่างตามที่ผมเคยพบเจอก็คือ ‘เทียนหลง’ ที่วัดแค่ความแข็งแกร่งอยู่ระดับเดียวกับมหามังกรเลย แต่พวกมังกรมีนามไม่ได้แข็งแกร่งอย่างนี้ทุกตน
3. ‘มังกรมีธาตุ’ เป็นมังกรซึ่งสามารถปล่อยมานาออกมาจากลำคอได้ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ น้ำแข็ง สายฟ้า แสง และความมืด ความแข็งแกร่งเป็นรองแค่สองตนข้างต้นก็จริง แต่ความต่างของพลังมากระดับที่อยู่กันคนละชั้นเลย ให้ยกตัวอย่างมังกรมีธาตุต้องใช้ทหารราวหนึ่งร้อยและนักเวทย์สิบคนในการฆ่า แต่พวกมังกรมีนาม อย่างต่ำก็ใช้นักรบมากกว่าร้อยและใช้นักเวทย์จำนวนที่ไม่สามารถตีค่าได้ เพราะเป็นมังกรที่มีสติปัญญาสูงยิ่งกว่ามนุษย์ ทำให้สามารถเลือกรูปแบบการต่อสู้ได้อิสระ
4. ‘มั่งกรทั่วๆไป’ อาทิเช่น ไวเวริ์น และต่างๆนาๆเท่าที่จะมีให้ ทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่งมีให้ประปราย แต่ส่วนใหญ่ไม่มีทางเก่งเกินมังกรมีธาตุ และสามารถถูกนักผจญภัยระดับธรรมดาเพียงปาร์ตี้เดียวสังหารได้ หากวางแผนกันมาดีๆ
แต่จากทุกๆขั้น มังกรที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้มีเพียงแค่ ‘มังกรมีนาม’ และ ‘มังกรธาตุหรือมหามังกร’ เท่านั้น ทำให้อนุมานได้ว่าหล่อนคือมังกรมีนาม และจากประสบการณ์ของผม ..สามารถบอกได้ว่าสายเลือดมังกรของเธอตรงหน้านั้น–ค่อนข้างเอาเรื่องเลย
มีความใกล้เคียงกับราชามังกรสูงมาก
“..ยืนจ้องอะไรเสียตั้งนาน”
เสียงทักของเธอทำให้ผมต้องจำใจยิ้มตอบเจ้าตัว
“โทษที แค่แปลกใจนิดหน่อย ..ว่าไงดี”
“รักแรกพบนั้นรึ? นั่นสินะ ตัวข้าเดิมทีก็มีผู้ชายมาติดเป็นเบือเลยแหละ” เธอแสยะยิ้ม “ทำหน้าแบบนั้น หรือว่าเจ้าเองก็อยากเป็นหนึ่งใน ‘ฮาเร็ม’ ของข้าด้วยกัน?”
“โทษที แต่ขอผ่าน”
แต่เดิมตัวผมที่มีฮาเร็มอยู่แล้วจะไปเป็นสมาชิกฮาเร็มคนอื่นได้อย่างไร
“เหรอ แล้วสงสัยอะไรในตัวข้า”
“แค่แปลกใจน่ะ นอกจากราชามังกรแล้วยังมีมังกรมีนามคนอื่นด้วยเหรอเนี่ย”
เธอพยักหน้ารับความเห็นของผมอย่างสนอกสนใจ
“หวาดกลัวข้าในฐานะมังกรนั้นรึ?”
“นั่นสินะ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้”
แน่นอน ผมสามารถฆ่ามังกรได้ไม่ยาก อย่างเทียนหลงหรือราชามังกรก็คิดว่าตัวเองในตอนนี้สามารถชนะได้ ถึงจะตึงมือหน่อย แต่ผมคือมนุษย์ มีขีดจำกัดอยู่ ต่อให้เก่งกว่าแค่ไหน ขีดจำกัดร่างกายก็ไม่ถึงขนาดพวกมังกร
มีโอกาสที่ผมจะโดนตบจนตัวขาดครึ่งได้ไม่ยากเลย–ก็ว่าไป ไม่มีทางที่ผมจะไม่มีทางรับมืออยู่แล้ว พวกที่เข้าประชิดผมแล้วสามารถฆ่าผมได้บนโลกน่าจะมีแค่พวกระดับมหามังกรเท่านั้นแหละ
“ถอยออกจากท่านเรเซอร์ซะ!”
รินเทียที่เข้าใจเรื่องความแข็งแกร่งของมังกรดีรีบวิ่งเข้ามาขวางไว้
“ไม่ได้จะเข้ามาทำอะไรสักหน่อย ถึงจะชอบแอ่มพวกผู้ชายแต่ข้าไม่ได้นิยมการขืนใจผู้คนหรอกนะ”
มังกรสายล่าเนื้อสินะ?
ถึงจะพูดหยอกล้อมาแต่รินเทียก็ไม่ได้วางหอกในมือลงเลย ทำให้หล่อนถอนหายใจอย่างหน่ายใจ
“ก็ได้ๆ บอกก็ได้ว่าข้าเป็นใคร” เธอเท้าสะเอวพูด “นามของข้าคือ ‘ราเมียร์’ บุตรสาวของ ‘ดรากอนที่สอง’”
..เอ๊ะ
ผมกับรินเทียพากันตัวแข็งทื่อ
ไม่ใช่ว่าเป็นผู้ชายหรอกเหรอ—-เห็นว่าเป็นพวกตัวสูงเขาดี และชอบแอ่ม(เซกส์นั่นแหละ)ชาวบ้านเป็นชีวิตจิตใจแบบไม่สนเพศ แล้วจากหลายๆที่ก็บอกว่าเป็นผู้ชาย ..ลูกของกลอเลียสมีคนเดียวด้วย
“ตามนั้นนะ ข้าไม่ใช่คนน่าสงสัยแต่อย่างไร”
“ขะ เข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้มแล้ว ว่าแต่ท่าน ..เอ่อ ท่านราเมียร์ไม่คิดจะไปร่วมงานประชุมด้วยเหรอ?”
“…”
“นั่นสินะคะ ปกติเป็นธรรมเนียมที่เจ้าหญิงจะต้องเข้าร่วมด้วย”
รินเทียช่วยเสริม ถึงตรงนี้ฝ่ายที่ตัวแข็งทื่อดันเปลี่ยนเป็นราเมียร์
ราเมียร์เกาหัวตัวเองก่อนจะยิ้มให้
“คือว่า–ข้าหลงทางอ่ะ”
…
…
หากมองตามตรรกะแล้ว
ที่นี่ไม่ต่างกับบ้านหล่อนเลยไม่ใช่เรอะ?
****
อีกด้านหนึ่ง
ในขณะที่ยูจิกำลังยืนแอบฟังโดยมีอัศวินคอยดูแลหนึ่งคนอยู่ ยูจิก็ได้พบกับคนคุ้ยเคย
“..ท่านผู้นั้น”
อัศวินผู้ดูแลเอ่ยถามอย่างสงสัย
“อาจารย์บลาซ”
“บลาซ? นักเวทย์อัจฉริยะบลาซคนนั้นน่ะเหรอครับ?”
ยูจิพยักหน้าให้ท่าทางที่ตื่นเต้นของอัศวินผู้ดูแล
“ไม่ได้เจอกันนานนะ ยูจิ”
เหมือนว่า ‘บลาซ’ อาจารย์ที่สอนเวทมนตร์ให้ยูจิในโรงเรียนเวทมนตร์ก็จะอยู่ ณ งานประชุมโลกด้วย
บลาซคือตัวตนในฐานะนักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเขา เพราะบลาซเป็นผู้มีอิทธิพลในแวดวงนักเวทย์ทั่วทั้งโลก เป็นบุคคลสำคัญด้านเวทมนตร์ในยุคปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นผู้ได้รับเลื่อนขึ้นเป็น ‘นักเวทย์ขั้นบรรลุ’ เพียงคนเดียวในรอบหลายปีมานี้
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เบื้อหลังของโลก บลาซยังเป็นตัวละครสำคัญในนิยายต้นฉบับ เขาคืออาจารย์ที่คอยช่วยพัฒนาฝีมือให้พระเอก จนไปถึงจุดที่แกร่งกว่าตัวเองแล้ว บลาซก็ยังมีบทบาทในการสั่งสอนพระเอกอย่างยูจิอีกมาก
แม้แต่ในปัจจุบันนี้ บลาซก็เป็นคนที่ช่วยสอนยูจิในหลายๆอย่างไม่ต่างกับนิยายต้นฉบับเลย จึงถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ
“ไม่ได้เจอกันนานนะครับ ว่าแต่”
“มาทำอะไรที่นี่สินะ อืม ฉันมาในฐานะองค์รักษ์ของราชาจอมเวทย์น่ะนะ” บลาซโชว์ปลอกแขนให้ดู “ว่าก็ว่าเถอะ ที่น่าสงสัยมันทางเธอมากกว่าไม่ใช่รึไง ยูจิ”
พูดแล้วก็ถูก
“มาโผล่ที่งานประชุมโลกได้ยังไง?”
“..เอ่อ..คือ”
“คงมีเหตุผลอะไรสักอย่างสินะ”
“..ครับ”
บลาซส่งสายตาที่แน่วแน่มาทางยูจิ เป็นสายตาที่ถึงจะดูดีแต่ก็น่ากลัวในเวลาเดียวกัน–ยูจิรู้สึกกลัวบลาซตอนนี้อยู่เล็กน้อยในใจ
“นั้นเหรอ นั่นสินะ คงต้องอย่างนั้นแหละ”
บลาซบ่นพึมพำคล้ายกับตัดเพ้อ
“ทำไมเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก ตกใจเฉยๆน่ะ ใช่ ช่วงนี้ฉันตกใจในหลายๆเรื่องจนบางทีสติอาจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วก็เป็นได้ ..อธิบายยังไงถึงจะถูกกันนะ คล้ายว่าตัวเองกำลังเดินไปในทางที่แปลกจากที่หวังไว้ แต่กลับกัน ก็รู้สึกว่าตัวเองใกล้กับเป้าหมายยิ่งขึ้น” บลาซพูดทั้งๆที่จ้องยูจิ แต่เหมือนสายตาจะมองไปที่ๆหนึ่งที่ไม่ใช่ยูจิมากกว่า “พออยู่ใกล้กับความฝันแล้ว มันก็ยิ่งทำให้สติแตกเข้าไปใหญ่ ถึงจะไม่ได้ตื่นเต้น แต่ไม่ผิดแน่ ตอนนี้ฉันท่าจะบ้าแล้วจริงๆด้วย”
…ยูจิกลืนน้ำลาย บลาซกล่าวต่อ
“ก็ประมาณนี้แหละ ก็แค่คนกำลังจะบ้าเท่านั้น ไม่ได้น่าแปลกอะไร”
จุดนั้นต่างหากที่น่าแปลกใจ
“ยูจิเธอมีเรื่องที่กำลังปิดบังอยู่สินะ”
“อาจารย์”
“ถ้ายังไงเล่าให้ฉันฟังก็ได้ จะหาทางช่วยอย่างสุดความสามารถเอง”
“…”
“พวกเราเป็นศิษย์อาจารย์กันไม่ใช่เหรอ?”
บลาซยิ้มออกมา ทว่า—นั่นเป็นรอยยิ้มที่แสนแห้งแล้ง
“ว่าไง”
“..ขอโทษนะครับ” ยูจิโค้งศรีษะให้ “มันคือปัญหาที่ผมต้องจัดการเอง อาจารย์ไม่ได้ผิดหรอกนะครับ ..”
“เหรอ น่าเสียดายนะ”
เมื่อพูดคุยเรื่องนี้จบ ยูจิกับบลาซก็ยิ้มให้กัน
“น่าเสียดายจริงๆนั่นแหละ”
เพียงพริบตาเดียง—คทาเวทย์ ‘เดอะไลท์’ ก็ปรากฏขึ้นบนมือของบลาซ เขาชี้มันเข้าใส่ยูจิ
“ตายซะเถอะ”
แสงพุ่งออกจากปลายคทา—เร็วมาก แต่ยูจิสามารถตอบโต้ได้ทันโดยการหักล้างการโจมตีนั่น
บลาซกระโดดถอยหลังไป พร้อมกันกับที่อัศวินผู้คอยดูแลยูจิได้พุ่งเข้าใส่บลาซ
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่ทันที่ใครจะได้พูดตอบโต้อะไร ก็มีคนตายจากการต่อสู้แล้ว
แสงทะลุผ่านร่างของอัศวินผู้ดูแลไป เพียงพริบตาเดียวก็เหลือเพียงแต่ร่างไร้สติและวิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่าง–ยูจิกัดฟันกรามแน่น ข่มจิตใจของตัวเอง และเข้าไปจะช่วยอัศวินผู้ดูแล แม้จะมีเรื่องที่ข้องใจอยู่มากมาย
ทว่าก็ถูกสะกักการเคลื่อนที่ไว้โดยบลาซ
“อึก!!”
เวทย์แสงนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ยูจิ ถึงจะปัดป้องทั้งหมดได้แต่ก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปช่วยได้เลย
สุดท้าย–อัศวินผู้ดูแลก็สิ้นใจไปอย่างสมบูรณ์ในสภาพบริเวณท้องเป็นรูขนาดยักษ์
ยูจิมองภาพของคนตายอย่างอดสู่ ก่อนจะหันไปมองทางบลาซด้วยแววตาที่คล้ายจะร้องไห้
“..ทำไม”
“ขอโทษด้วยนะ แต่มันไม่มีทางเลือก”
บลาซกระซากเข็มบางอย่างออกจากกระเป๋าของตัวเองและซีดเข้าไปในตัว เพียงพริบตาเดียวร่างกายของบลาซก็เลือนแสงสีขาวและวูบดับไป ปรากฏเพียงแค่วงจรเวทย์ที่เลืองแสงอยู่ตลอดเวลา
“ฉันจะต้องฆ่าเธอเสียตั้งแต่ตอนนี้”