< < 130 Sec4 > >
ทั้งๆที่อยู่ในห้องขนาดยักษ์แท้ๆ แต่เพราะบรรยากาศที่แสนจะจริงจังที่อัลเบโด้ส่งออกมา ทำให้ห้องทั้งห้องดูแคบไปอย่างน่าพิศวง
ตรงหน้าผมคืออัลเบโด้และมิร่า ราชาและเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรฟัฟนิร์
และข้างๆผมมีหนิงและยูจินั่งอยู่ ส่วนเอเธอร์ยืนเฝ้าจากข้างหลัง
“ก่อนอื่น ..ไม่ได้เจอกันนานนะ หนิง”
“ยังไงก็ช่างมัน”
คำตอบที่แสนประชดประชันของหนิงทำให้อัลเบโด้ชะงักไปนิดหน่อย
“เหรอ.. ว่าแต่ ยูจิสินะ”
“ครับ”
“..บรรยากาศเปลี่ยนไปนะ”
…
…
“ช่างเถอะ ได้เวลาเข้าเรื่องแล้ว”
เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมแล้วก็จำเป็นที่จะต้องไปประเด็นสำคัญกันต่อ
“ที่ติดต่อพวกนายทุกคนก็ตามเนื้อความที่อัลเบโด้นำไปให้เลย ฉันต้องการยืมพลังของพวกนายทุกคน” อัลเบโด้โค้งศรีษะให้ “อาณาจักรฟัฟนิร์ต่อจากนี้จำเป็นต้องพึ่งพวกพวกนาย”
มิร่ามีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยเมื่อเห็นอัลเบโด้ยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเอง เพื่อขอร้องพวกผม
ช่างเป็นวิวทิวทัศน์ที่ดีอะไรเยี่ยงนี้ คนที่เคยเกลียดขี้หน้ากัน ตอนนี้กลับมาก้มหัวขอร้องผม
“ยังจำสัญญาเมื่อตอนอยู่ที่ ‘เทล่าเทล’ ได้หรือไม่”
สัญญาบนประสาทลอยฟ้าเทล่าเทล? อ่า เป็นสัญญาระหว่างผมกับอัลเบโด้ที่สำคัญทีเดียว
“แน่นอน ไม่มีทางลืมอยู่แล้ว ..ข้อแรก ห้ามให้หนิงออกจากอาณาจักรฟัฟนิร์”
ผมหัวเราะพึมพำ
“ถึงจะไม่ได้ตกลงกันก็เถอะ แต่กรณีที่ฉันไม่ได้อยู่อาณาจักรฟัฟนิร์ด้วย จะพาหนิงออกไปก็คงได้สินะ?”
ผมทั้งพาหนิงไปเกาะวาเรอร์ ทั้งพาไปป่ามหาภูต มันผิดข้อตกลงยับๆเลยนี่นะ
“แน่นอน ย่อมมีข้อยกเว้นอยู่แล้ว กฏข้อนั้นถือซะว่าไม่เคยมีก็ได้ ..ยังไงซะ ตัวฉันในตอนนี้ก็ไม่ได้ครอบครองเจ้าหญิงมังกรอีกต่อไปแล้ว”
ว่าโดยง่าย อาณาจักรฟัฟนิร์ไม่ใช่เจ้าของของเจ้าหญิงมังกรอีกต่อไปแล้ว
ผมพูดทวนต่อ
“ข้อสอง หลังจบการศึกษา จงเข้าร่วมกับกองทัพอาณาจักรฟัฟนิร์ซะ” ผมพูดต่อ “ข้อสาม ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินจงเรียกใช้หนิงให้เต็มที่”
ก็ประมาณนี้
“ครั้งนี้ที่เรียกมาไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่สัญญาไว้หรอก แต่มันจะช่วยให้พวกนายพัฒนาขึ้นก่อนจะทำตามสัญญาในอนาคตแน่นอน แล้วก็จะบอกว่านี่คือสถานการณ์ฉุกเฉินก็ไม่ผิดด้วย”
เรียกมาเพื่อเตรียมตัวให้ผมพร้อมสำหรับสัญญาข้อที่สอง และขอยืมตัวหนิงตามข้อที่สามสินะ
“เรเซอร์ ดราแคล์ ..อย่างที่บอกนี่ไม่ใช่การทวนสัญญา แต่เป็นการขอร้อง ได้โปรด–ให้ฉันยืมพลังด้วย”
อัลเบโด้กล่าวด้วยแววตาที่แสนจะจริงจัง ผมอยากจะตอบกวนประสาทอยู่หรอก แต่อย่างน้อยๆผมก็เป็นคนมีกาลเทศะ
“สัญญาพวกนั้นมีแค่กับฉันและหนิง ยูจิไม่เกี่ยว”
“ก็จริง ..แต่เป็นไปได้ฉันก็อยากจะทาบทามคนนิดหน่อย” อัลเบโด้หันไปมองทางหนิง “ยังไงซะก็เป็นคนที่หนิงรู้สึกสนใจ ในอนาคตอาจจำเป็นต้องฝากฝังเธอไว้ให้กับนาย”
…
พริบตาเดียวใบหน้าของหนิงก็แดงแปร๊ดขึ้นมา—ผมสัมผัสได้ถึงลางมรณะจึงเอาหน้าก่ายหน้าผากแบบหน่ายใจ
“ยะ อย่าไปบอกตรงๆสิ!!”
“..จะกลัวอะไรกัน ตัวเธอนั้นเพียบพร้อมด้วยหน้าตาและความสามารถอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะมัดใจชายไม่ได้หรอก”
“ถ้าได้มันได้ไปนานแล้วย่ะ! ยะ ยูจิใจเย็นๆนะ
มิร่าเห็นภาพตรงหน้าก็กุมขมับเหมือนกับผม
“เจ้าหญิงมังกรคนนั้น ..”
หล่อนพึมพำเช่นนั้นไปมา ผมเข้าใจดีเลย ภาพลักษณ์ของหนิงที่มีต่อมิร่าคงจะเป็นแนวผู้สืบทอดสายเลือดมังกรเท่ๆกระมัง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย หล่อนเป็นผู้สืบทอดสายเลือดมังกรสายแฟชั่นจัดต่างหาก ติดเที่ยวติดเล่นด้วย เป็นพวกที่เสพสุขกับชีวิตที่สุดคนหนึ่ง
“ไม่ได้นั้นรึ”
“ไม่ได้สิ!”
ต่างกับทั้งสองที่ต่อปากต่อคำกันไม่หยุด ยูจิมีงงสุดๆ ดูเหมือนจะไม่เข้าใจความรู้สึกของหนิงที่มีให้ตัวเอง
สมกับเป็นพระเอก ซื่อชะมัด
“ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอกครับ แต่ถ้ามันเป็นภาระที่ผมต้องแบกรับละก็ ..ผมรับไว้ครับ”
…
หนิงตัวแข็งทื่อทันที แน่นอน ต่อให้เป็นยูจิแต่พูดแบบนี้มันก็ไม่ใช่—
“ยะ ยูจิเต็มใจยอมรับฉัน!”
“หล่อนควรตกใจกับที่เขาคิดว่าหล่อนเป็น ‘ภาระ’ นะ เอาเถอะ ก็เข้าใจว่าความรักมันบังตา”
“เอ๋!!? ไม่จริงใช่มั้ย ไม่ได้คิดว่าฉันเป็นภาระจริงๆใช่มั้ย!!?”
“..”
ท่ามกลางการต่อล้อต่อเถียงตามพะสาเด็กๆ อัลเบโด้มองภาพเหล่านั้นและยิ้มออกมา ..
“ทำเอานึกถึงเรื่องเมื่ออดีตเลยนะ”
(ตอนที่พวกเราสามคนยังเด็ก ..ไอเน่(แม่แท้ๆของหนิง) คาลอส ..หนิงที่พวกนายสองคนให้ความรัก ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรแล้วจริงๆด้วยละ)
อัลเบโด้ตบมือเพื่อให้ทุกคนเงียบ
“เข้าใจแล้ว ขอเข้าเรื่องหน้าที่ของพวกนายที่งานประชุมเลยนะ”
ภายในงานประชุมโลก จะมีอาณาจักรทั้งหมด 97 อาณาจักรเข้าร่วม สี่จากทั้งหมดเป็นอาณาจักรมหาอำนาจอย่าง ฟัฟนิร์ เนลยอน แซร์อิซ และเกรล ส่วนเจ้าภาพของงานก็คือจักรวรรดิราชามังกร
เพราะอย่างนั้นงานประชุมครั้งนี้จะเต็มไปด้วยทหารและองค์รักษ์จากหลายๆที่ อย่างอาณาจักรเนลยอนก็เห็นว่าพา ‘ไรเดน อาคาสะ’ มาด้วย และมีความเป็นไปได้ที่ ‘วิน’ ก็จะมาด้วย
อาณาจักรอื่นก็พาคนใหญ่คนโตมาเช่นกัน อาณาจักรแซร์อิซพา ‘ผู้กล้า แอสทอเรียส’ มา อาณาจักรเกรลพา ‘เซียน’ มา
อาณาจักรฟัฟนิร์ ‘เอเธอร์’
แต่ละอาณาจักรต่างพาไปผู้ที่แข็งแกร่งเป็นลำดับต้นๆหรือแกร่งที่สุดมาด้วย เพื่อช่วยคุ้มครองคนสำคัญของอาณาจักร และเป็นการประกาศอำนาจกลายๆ
จากที่อัลเบโด้อธิบายในเชิงลึก ผู้ครอบครองวิญญาณระดับเทพนอกจากผมและวินและยูจิก็มาด้วยในฐานะองค์รักษ์
‘สมองพระเจ้า มาเจล’ จากอาณาจักรเกรล ไม่ทราบวิญญาณระดับเทพ ปัจจุบันเป็นนักเวทย์ขั้นสูงพิเศษ
‘นักดาบอมตะ เวฟ’ จากอาณาจักรแซร์อิซ ไม่ทราบวิญญาณระดับเทพ เป็นนักดาบขั้นบรรลุและปัจจุบันก็ครอบครอง ‘ดาบโลหิต’ ไว้อยู่ด้วย
ไอคนที่ชื่อมาเจลผมไม่รู้วิญญาณระดับเทพหรอก เพราะไม่เคยเจอ แต่เวฟนี่สิ นักดาบอมตะ วิญญาณระดับเทพของเวฟนั้นเดาได้ง่ายๆเลย—ว่าคือ ‘บู๋เซี่ยว’ ผู้ใช้วิชาไสยศาสตร์ ผู้บรรลุศาสตร์แห่งการเป็นอมตะ หรือก็คือเป็นจุดที่เรนไม่สามารถไปถึงได้นั่นเอง
พลังของบู๋เซี่ยวถูกเรียกว่าอมตะก็จริง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ แค่กึ่งอมตะเท่านั้น มีวิธีแก้ทางอยู่บ้าง แต่หากไม่มีของหรือความสามารถสำหรับแก้ทาง ผมก็กล้าพูดเลยว่าพลังของบู๋เซี่ยวนั้นน่ากลัวที่สุดในหมู่วิญญาณระดับเทพด้วยกัน ..แต่น่าแปลกแฮะ จำไม่ผิดคนที่ถือครองบู๋เซียวไม่น่าใช่คนที่ชื่อเวฟอะไรนั่น ในนิยายต้นฉบับ ผู้ครอบครองไม่ใช่เวฟ เพราะกว่าที่ยูจิจะเจอบู๋เซี่ยวก็ปาไปช่วงปีสามแล้ว คงจะเกิดการเปลี่ยนคนแล้วกระมัง
แน่นอนอาจจะลืมไปแล้ว พลังของบู๋เซี่ยวก็จะตกเป็นของยูจิในอนาคตเช่นกัน ตามนิยายต้นฉบับน่ะนะ
นอกจากสองคนนี้ก็คือ ‘วิน’ ก็รู้ๆกันดีความสามารถของเธอ ไม่ใช่วิญญาณระดับเทพที่หวือหวาแบบบู๋เซี่ยวก็จริง แต่ความสามารถที่ราชาไสยศาสตร์มีมันรอบด้านมาก หากสู้ในเงื่อนไขที่ต่างฝ่ายต่างรู้จุดอ่อนของกันและกันรึสู้แบบดูเชิงกก็นับว่าเป็นคนที่สู้ยากที่สุดเลย แม้แต่เอเธอร์ถ้าต้องสู้ในสถานการณ์จำพวกนั้นก็คงลำบาก และนั่นแหละคือเหตุผลที่บู๋เซี่ยวผู้เป็นผู้ใช้วิชาไสยศาสตร์ไม่อาจขึ้นเป็นราชาไสยศาสตร์ได้
ไอศาสตร์อมตะเก๋ที่บู๋เซี่ยวถือครองน่ะ–มันถูกทำลายโดยราชาไสยศาสตร์นี่นะ
บู๋เซี่ยวถูกฆ่าโดนราชาไสยศาสตร์ ยุคของผู้แข็งแกร่งที่สุดจึงถูกส่งต่อให้ราชาไสยศาสตร์แทน ส่วนบู๋เซี่ยวก็ขึ้นเป็นวิญญาณระดับเทพหลังจากตายไป ..สุดท้ายระบบวิญญาณระดับเทพก็เป็นระบบที่เต็มไปด้วยปริศนาอยู่ดี ที่บอกว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดจะได้ขึ้นเป็นวิญญาณระดับเทพ มันก็แค่การเดาเท่านั้น
นอกจากวินก็ ‘ยูจิ’ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆกับผม วิญญาณระดับเทพอลัน เป็นหนึ่งในสามวิญญาณระดับเทพที่แข็งแกร่งที่สุด ความแข็งแกร่งของอลันก็คือหัตถ์ที่หักล้างได้ทุกอย่าง ด้วยหัตถ์ของอลัน มันสามารถที่จะแยกท้องฟ้าออกจากกัน หรือแยกภูเขาออกจากกันได้ง่ายๆเพียงใจต้องการ
ข้อดีคือพลังทำลายล้างที่ไม่สนพลังป้องกันใดๆ แต่ข้อเสียคงเป็นระยะที่สั้นนั่นแหละ หากเป็นการต่อสู้ที่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ไต๋กัน พลังของอลันสามารถที่จะทำให้ยูจิชนะอีกฝ่ายในพริบตาเดียวเลย
แน่นอน ต่อให้พลังของวิญญาณระดับเทพหลายตนจะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ว่า–ยูนาคือที่สุด
ไม่แน่บางที ในเหตุการณ์งานประชุมโลก ยูจิอาจจะได้วิญญาณระดับเทพเพิ่มก็เป็นได้
“ก็ประมาณนี้ บุคคลที่จำเป็นต้องระวังเอาไว้”
หลักๆคือตัวบิ๊กของแต่ละอาณาจักร รองลงมาก็คือผู้ใช้วิญญาณระดับเทพและผู้ติดตามอื่นๆ
“ทางพวกเรานอกจากเอเธอร์แล้วก็ยังมี ‘ราชาจอมเวทย์’ ด้วย”
คนๆนั้น..มางานประชุมด้วยเหรอเนี่ย
ในนิยายต้นฉบับราชาจอมเวทย์เป็นชายแก่ที่เกียจงานพิธีหรือธรรมเนียมที่ลีลาเป็นที่สุด เขาเป็นตาแก่หัวสมัยใหม่นั่นแหละ เป็นผู้แสวงหาในจุดสูงสุดของเวทมนตร์ ในด้านของเวทมนตร์เขาคือที่สุดบนโลกในปัจจุบันนี้
บนโลกนี้ ไม่มีจอมเวทย์คนไหนที่เก่งได้เท่าเขาอีกแล้ว ..หากพูดถึงข้อเสียเดียวก็คงเป็นพรสวรรค์เริ่มต้นที่ไม่มากพอกระมัง?
ธรรมเนียมของราชาจอมเวทย์ ผู้ได้รับเลือกจะได้รับมอบ ‘มณีอัคคี’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ ‘เจ้าผู้ครองเปลวเพลิง’
ราชาจอมเวทย์แม้จะได้ถือครองมณีอัคคี แต่เขาก็ไม่อาจใช้งานมันได้ เพราะเหตุผลง่ายๆที่ว่าไม่ใช่ผู้คู่ควร ต่อให้จะพยายามฝึกยังไงก็ไม่มีทางเปิดใช้งานมณีอัคคีได้ เนื่องจากพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดไม่ตรงเงื่อนไข ..ด้วยเหตุนั้น ทำให้เขาไม่อาจไปถึงจุดสูงสุดได้จริงๆดั่งใจต้องการ เป็นไปได้ผมก็อยากจะได้มณีอัคคีมาไว้กับตัวมากกว่า
ช่วงที่ไปป่ามหาภูตครั้งแรก เซเนียเคยบอกไว้ว่าผมเป็นผู้คู่ควรกับมณีอัคคีและมีสิทธิ์จะเป็นเจ้าผู้ครองเปลวเพลิงอย่างแท้จริง สิ่งที่ราชาจอมเวทย์ใช้ไม่ได้ผมสามารถใช้ได้ ผมย่อมอยากจะได้มาอยู่แล้ว แต่..ให้ชิงของสำคัญจากราชาจอมเวทย์เนี่ย ทำไม่ได้หรอก ก็ตามสถานะแล้ว–ผมอยู่ฝ่ายเดียวกับอาณาจักรฟัฟนิร์ ซึ่งถือว่าเป็นฝ่ายเดียวกับราชาจอมเวทย์ด้วยนี่นะ
หากราชาจอมเวทย์เป็นคนจากอาณาจักรอื่น ผมอาจจะทุ่มสุดตัวเพื่อชิงมันมาก็เป็นได้
“มีทั้งเอเธอร์และราชาจอมเวทย์อยู่ด้วยขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องมีพวกฉันก็ได้มั้ง”
“คิดซะว่านี่คือการฝึกงานก็ได้ แล้วคำตอบล่ะ?”
“..แน่นอน” ผมยิ้มให้ “ใครมันจะไปปฏิเสธกัน”
ผมจำเป็นต้องไปพัวพันกับเหตุการณ์ระดับโลก—เพื่อที่จะหาแนวทางในการกำจัดเรน เพื่อการนั้นจึงต้องรู้สถานการณ์ทั้งหมดโดยละเอียด จะได้ไม่เดินเกมพลาดอีก
“เรื่องหน้าที่ก็อย่างที่รู้ ฉันเชิญมาในฐานะองค์รักษ์ พวกนายทั้งสามจะต้องแยกกันไปจับคู่กับอัศวินที่ฉันเตรียมเอาไว้ เรื่องงานหรือสิ่งที่ต้องทำ มันเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ จงถามอัศวินที่เตรียมไว้ให้เสีย ถ้าหากเกิดเหตุฉุกเฉินจริงๆก็ตัดสินใจด้วยตัวเองตามสมควร”
“เข้าใจแล้ว”
เรื่องที่คุยก็คงมีแค่นี้–ทว่าอัลเบโด้หันหน้าไปหายูจิและพูดด้วยต่อ
“เรื่องสุดท้าย เรื่องของนาย”
“..ครับ”
“เหมือนกับเรเซอร์ หลังจากจบการศึกษา สนใจจะเป็นกำลังให้อาณาจักรฟัฟนิร์หรือไม่” อัลเบโด้ยื่นมือมาให้ “ฉันสัญญาว่าจะให้ความปลอดภัยแก่หนิงเต็มที่ จะมอบรางวัลให้ตามที่นายต้องการเลย”
…
ยูจิเบิกตาโพงกว้าง เพียงไม่นานก็ตั้งสติและหรี่ตาลงได้
“ให้เป็นกำลังรบของอาณาจักรฟัฟนิร์เหรอครับ”
“ใช่ ตามนั้น”
“..?
“ลังเลสินะ”
ยูจิเบือนหน้าหนี เลี่ยงที่จะตอบคำถาม อัลเบโด้เห็นจึงได้แต่ถอนหายใจ
“เช่นนั้นไว้ให้คำตอบทีหลังก็ได้”
****
การประชุมจบลงแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนในที่ของตัวเอง ยกเว้นยูจิที่ยืนตามลมอยู่นอกหน้าต่างสาธารณะ ในเวลานี้ไม่มีเทียนหลงมาคอยเฝ้า มีแค่ยูจิคนเดียวเท่านั้น ผมจึงเข้าไปทักได้โดยไม่ต้องตะหงิดใจอะไร
“เป็นไงบ้าง”
ผมเดินเข้ามาจากข้างหลัง ไม่รู้ทำไม ยูจิถึงทำท่าทางระแหวงใส่
“ไม่เห็นต้องกลัวกันเลย”
“..นั้นเหรอครับ”
ท่าทีของยูจิผ่อนลงมานิดหน่อย
“แล้วเป็นไงบ้างที่อัลเบโด้พูด”
“เข้าใจง่ายดีครับ ..หน้าที่ของตัวเอง คนที่ต้องระวัง ถ้ารู้ถึงขนาดนี้คงไม่มีอะไรต้องกังวลมากแล้วครับ”
“หมายถึงเรื่องที่หมอนั่นทาบทามนายต่างหาก” ผมยิ้มให้ “คิดยังไงบ้างล่ะ ทำไมถึงลังเล”
…ยูจิกำลังจะอ้าปากพูดแต่ก็ปิดปากไว้ก่อน
“..ไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย”
“พักนี้ห่างเหินจังเลยนะ”
“…”
ยูจิหลบหน้าผม หวาดกลัวผม ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าตรงๆ
ต้นเหตุของความรู้สึกคืออะไรกัน?
“ทำไมถึงเลี่ยงให้คำตอบล่ะ”
“ทำไมต้องมายุ่งกับผมด้วย …ปล่อยไปทีเถอะ ขอร้อง..ถ้ายุ่งเกี่ยวมากกว่านี้” ยูจิกัดฟันกรามแน่น “มีแต่จะลำบากนะครับ”
“เรื่องนั้น”
ผมตัดสินใจจะลำบากตั้งนานแล้ว
“ก็ไม่ใช่เรื่องของนายนี่นะ”
แต่เพราะอยากหยอกล้อยูจิจึงเลือกที่จะตอบเช่นนี้–ยูจิมองมาทางผมด้วยใบหน้าที่อ่อนล้า
“ยังไงทางนี้ก็ปล่อยให้นายลำบากคนเดียวไม่ได้หรอกนะ เหมือนกับทุกครั้งนั่นแหละ ..ฉันจะคอยช่วยนายไปตลอด”
แน่นอนไม่ใช่แค่ยูจิ เบลลามี หนิง เรย์ เคียวยะ ทุกคน ผมจะช่วยให้หมดนั่นแหละ—การช่วยทุกคนมันคือความเห็นแก่ตัวสูงสุดของผม เป็นความเห็นแก่ตัวของ ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ ยังไงละ
การช่วยทุกคนช่างย้อนแย้งกับความเห็นแก่ตัว แต่นั่นแหละที่เป็นความเห็นแก่ตัว เพราะผมพร้อมจะแลกทุกอย่างเพื่อคนเพียงไม่กี่คน ..
“..คุณเรเซอร์เป็นแบบนี้ตลอดเลยนะครับ ..คุณน่ะไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะเผชิญปัญหาอย่างเข็มแข็งเสมอ” ยูจิยิ้มแบบตัดพ้อ “ถ้าผมเป็นแบบคุณอะไรๆก็คงง่ายไปหมด”
ง่าย..สินะ
“กลับกัน ถ้าฉันมีพรสวรรค์แบบนาย ฉันคงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้น่ะนะ”
ยูจิปารถนาในจิตใจของผม เรื่องนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ..ผมกลายเป็นตัวตนที่น่านับถือสำหรับยูจิตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ไม่เคยรู้เลย
“ยูจินายอาจจะไม่รู้นะ แต่ไม่ใช่แค่เรื่องพรสวรรค์หรอกที่ฉันเคยอยากมีเหมือนกับนาย”
พลังผู้ที่ยืดหยัดด้วยรอยยิ้มเสมอ นั่นคือยูจิที่ผมรู้จัก
ในโลกใบเก่า ไม่ใช่แค่เบลลามีที่มอบความกล้าให้ผม คนอื่นเองก็มอบแรงใจให้ผมมากมาย หนึ่งในนั้นที่ขาดไม่ได้เลยก็คือยูจินี่แหละ
จากพระเอกแสนจะธรรมดาที่ผมไม่ชอบหน้า ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขากลับกลายเป็นตัวตนที่น่านับถือในสายตาผมไปแล้ว
อย่างที่รู้ ชีวิตของผมเผชิญกับปัญหา ได้แต่โศกเศร้าและพยายามต่อไปอย่างไร้ความหมาย ..นั่นเป็นวิทีชีวิตที่ต่างกับยูจิอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าจะเจออะไร ยูจิก็จะผ่านมันไปได้เสมอ ที่ทำให้เป็นอย่างนั้นได้ไม่ใช่แค่พลัง แต่จิตใจก็มีส่วนสำคัญ
ผมอิจฉาในตัวยูจิตั้งแต่โลกใบเก่าแล้ว ..สำหรับผมยูจิดูสูงส่งมาโดยตลอด
จนกระทั่งได้รู้จักยูจิจริงๆนั่นแหละ
พระเอกผู้เข้มแข็งเหรอ? บ้าบอ
“นายมันก็แค่คนธรรมดา อย่าจองหองไปหน่อยเลย”
ทั้งหมดที่เคยอิจฉาก็แค่อดีต ผมแค่เคยรู้สึกก็เท่านั้น
วิทีชีวิตของยูจิมีอะไรให้น่าอิจฉากัน พรสวรรค์เหรอ? แลกมากับอิสรภาพที่ต้องทำเพื่อโลกเนี่ยนะ จิตใจที่เข็มแข็ง? ยูจิที่แสนอ่อนแอตรงนี้มันใครกัน?
ไม่ใช่พระเอก นายก็แค่คนที่โดนยัดบทพระเอกให้เท่านั้น
ตอนที่อัลเบโด้ถาม ยูจิรู้สึกลังเล เขากังวลในอนาคตของตัวเอง นั่นก็เพราะว่า–
“แต่เดิมนายอยากเป็นวิศวกรรมอุปกรณ์เวทมนตร์ไม่ใช่รึไง”
นั่นคือความฝันแรกของยูจิ ตั้งแต่นิยายต้นฉบับแล้ว แต่ไม่รู้ตอนไหนที่ความฝันนี้ค่อยๆละลายหายไป เหลือเพียงแต่หน้าที่ที่ต้อง ‘ปกป้องโลก’ ของยูจิ
พรสวรรค์ที่ได้มามันถูกแลกกับความฝันสูงสุดของเด็กคนหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องน่าอิจฉาเลยสักนิด
ที่ลังเลก็เพราะมันคือก้าวแรกของการทิ้งความฝันตัวเองนั่นแหละ ยูจิรู้สึกหวาดกลัวในการเสียสละของตัวเองเป็นเหมือนกัน
จริงๆแล้วก็ไม่ได้อยากจะทำเลย แต่มันไม่มีทางเลือก เพราะไม่มีทางเลือกถึงได้เลือกที่จะทำ จำเป็นต้องเลือกทั้งๆที่ไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ทำทุกคนก็จะ–ตาย
คิดอย่างนั้นในใจมาตลอด เอาแต่เก็บไว้คนเดียว เหนื่อยล้าในทุกๆวัน รอบๆมืดบอด และทำให้คนรอบตัวเจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว ..ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดีเลย
สภาพตอนนี้คงจะก้าวไปทางที่ไม่ใช่ได้เกินครึ่งแล้วละมั้ง ..ผมมองใบหน้าของยูจิที่เต็มไปด้วยความสับสนมากมาย
“นายปารถนาจะเป็นอย่างฉัน ฉันก็เคยปารถนาจะเป็นอย่างนาย เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนดีนะ” ผมพูดต่อ “แต่สุดท้ายแล้วพวกเราก็เป็นได้แค่ตัวเองนั่นแหละ และนั่นก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด..ยูจิ”
“…”
“ขอให้ ‘ช่วย’ ซะสิ ถ้ากล้าพอจะพูดคำนี้ออกมา ฉันสัญญาว่าจะช่วยนายให้ได้ ขอสาบานด้วยชื่อของ เรเซอร์ ดราแคล์ เลยว่าจะไม่ให้นายต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียว”
เป็นครั้งแรกที่ยูจิสบตากับผมตรงๆ
นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน หลายความรู้สึกปนกัน
“..ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
ยูจิเดินผ่านผมไป
“ผมชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วครับ ..ผมจะตอบตกลง พวกคุณเรเซอร์ช่วยอยู่เฉยๆเถอะครับ พวกคุณไม่จำเป็นต้องมาลำบากเพราะผมอีกแล้ว”
มีหรือจะปล่อยไป
“โง่สินะ นายน่ะ”
พอพูดไปอย่างนั้นยูจิก็หยุดเดินทันที
“คุณต่างหาก”
“ไม่ๆ นายต่างหาก โง่เป็นบ้า”
“ไม่อยากเชื่อว่าคุณเรเซอร์จะโง่ขนาดนี้เลยนะครับ”
“นายมันทั้งบ้าทั้งโง่เลย”
“บ้าสินะ ..คุณเรเซอร์ก็ด้วยครับ มาเถียงแบบเด็กน้อยอย่างนี้เนี่ย”
โดนยูจิสวนตรงจุดแบบนี้ผมก็จุกนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้–ยูจิถอนหายใจเฮือกโต และยิ้มให้กับผม
เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับเมื่อก่อน
“ขอบคุณนะครับ แต่ว่าแล้วเชียว..ที่เหลือให้ผมจัดการเองเถอะครับ”
..
“ขอตัวนะครับ”
ยูจิเดินกลับเข้าโรงแรมไป ปล่อยผมไว้คนเดียว
“..ให้ตายสิ”
ผมพึมพำคนเดียวอย่างเหงาหงอย
MANGA DISCUSSION