< < 129 Sec 1 > >
รถไฟได้หยุดตรงหน้าพวกผม หลังจากที่เกิดเสียงสั่นของตัวเครื่องได้สักพักประตูก็เปิดออกอย่างช้าๆ ผู้ที่โผล่มาคนแรกและคนเดียวก็คือ ‘เอเธอร์’
ผู้ชายรูปงาม ทั้งผมและตาเป็นสีเทา ผิวตัวเป็นสีขาวซีด ทั้งยังสวมชุดสูทสีขาวไทค์สีทองอีก ..รวมๆแล้วเขาเป็นผู้ชายที่ดูประหลาดไม่พอยังแต่งตัวประหลาด ถึงกระนั้นด้วยรูปร่างหน้าตาที่เข้าขั้นเทพบุตรทำให้ไม่ได้ดูแย่อะไร ทุกอย่างกลับกันเลย ยิ่งเป็นชายผู้ได้รับฉายาว่า ‘แข็งแกร่งที่สุด’ ด้วยแล้วน่ะนะ
ผมโบกมือทักทายเอเธอร์
“ไม่ได้เจอกันนานนะ”
“เช่นกันครับ ทางเรเซอร์เป็นยังไงบ้างเหรอ ..หนิงแล้วก็ยูจิด้วย”
..เอเธอร์เมินใส่เทียนหลง แต่เจ้าตัวเทียนหลงก็ไม่ได้เดือดอะไรเท่าไหร่ ถ้าเป็นผมหรือเคียวยะทำมีวีนใส่จนน่ารำคาญแล้วไม่ใช่หรือไงนะ
หรือว่าเพราะเป็นเอเธอร์เลยไม่กล้าทำเก๋า? อะไรฟร้ะนั่นยัยนี่ เป็นถึงมังกรสวรรค์ซะเปล่าๆ
“อย่างที่เห็นพวกฉันสบายดี”
“แข็งแรงทะลุจุดเดือนเลยแหละ”
“ไม่มีปัญหาครับ”
ได้ยินการตอบกลับที่แสนหลากหลาย เอเธอร์ก็ยิ้มอย่างไร้ความรู้สึกให้
“เช่นนั้นเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ..ไปกันเถอะครับ”
เอเธอร์เดินลงจากรถไฟ และกระโดดลงจากสถานี ..
“..เดี่ยวสิ รถจะออกแล้วนะ”
ถ้ารถออกเมื่อไหร่ต้องรออีกสามวัน ซึ่งไม่ทันไปงานประชุมโลกแน่นอน
“เอเธอร์!”
พร้อมกันกับที่ผมตะโกน รถไฟก็ได้ออกตัว ..ในกรณีนี้ต้องให้หนิงช่วยบินไปส่งแทนสินะ?
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปครับ พวกเราถูกเชิญไปในฐานะแขกของราชาแห่งอาณาจักรฟัฟนิร์นะครับ ไม่มีทางที่จะเดินทางตามปกติอยู่แล้ว”
“เหรอ แล้วจะเดินทางยังไงบอกฉันหน่อยสิ”
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะนั่น ไอวิธีที่เดินทางดีกว่านี้น่ะ ..เอเธอร์หยิบนกหวีดขึ้นมาและเป่า—ทันใดนั้นก็ปรากฏเปลวเพลิงสีทองขึ้นตรงหน้า มันค่อยๆกลายร่างกลายเป็นรถม้าขนาดบรรจุคนได้ราวเจ็ดคน
เมื่อบวกลบกับสัมภาระดูแล้วก็พอดีกับจำนวนคนเลย
“จะให้รถม้าไปจริงๆดิ? ไม่เอาอ่ะ ระบมก้นหมด”
หนิงบ่มอุบอิบ เอเธอร์ได้ยินจึงพยักหน้ารับความเห็น
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ รถม้าตัวนี้สามารถไปถึงจักรวรรดิราชามังกรได้ในครึ่งวัน”
“ “ “..” ” ”
ก็รู้แหละว่ามันไม่ใช่ม้าธรรมดา ก็ดูสิ ม้าที่ไหนเท้ามีไฟติดอยู่ แต่ครึ่งวันถึงเนี่ยต้องเร็วขนาดไหนกันนะ? ไม่ใช่ว่าเร็วพอๆกับผมตอนใช้ตัดมิติสุดตัวรึมหามังกรร่างจริงเลยเหรอ? ถ้าอย่างนั้นนี่เป็นม้าที่สุดจะเทพเลย
ยากจะเชื่อ แต่–เอเธอร์ไม่มีทางโกหกได้อยู่แล้ว
“เข้าใจแล้ว นั้นฝากด้วยนะ เซกธาวน์”
ผมถือวิสาสะตั้งชื่อให้ม้าและขึ้นไปนั่งก่อนใครเพื่อน หนิงเห็นลังเลนิดหน่อยก็ขึ้นตามมา ยูจิกับเทียนหลงก็ด้วย จบท้ายด้วยเอเธอร์
เมื่อเห็นว่าทุกคนและสัมภาระขึ้นมาอยู่ในรถม้าแล้ว เอเธอร์ก็ดีดนิ้ว จากนั้นรถม้าก็ค่อยๆลอยขึ้นฟ้าและบินแทนที่จะวิ่ง
ผมรู้สึกตื่นต้าตื่นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแต่ก็เก็บอารมณ์ตัวเองเอาไว้อยู่ ทำให้ไม่ได้เผลอทำท่าทางราวกับเด็กน้อยออกมา
“อะไรกันเนี่ย อย่างเจ๋ง!!”
หนิงเก็บอาการไม่อยู่ ผมเข้าใจเลย เข้าใจดีเลย
ม้าเพลิงที่สามารถบินบนฟ้าได้เนี่ย–เท่โคตร แถมยังเร็วเว่อร์อีก ถ้าให้คนกลัวโรคความสูงมาอยู่น่าจะมีอ้วกแตกชุดใหญ่กันบ้างแหละ
“..ขะ ขอโทษนะครับ คุณเอเธอร์..พอมีถุงอะไรให้ผมหรือเปล่า”
ยูจิกำลังกุมอกตัวเองและมีสีหน้าที่ซีดเผือกคล้ายกับคนขาดอากาศหายใจ ..พูดถึงคนกลัวความสูงนี่ก็ยูจินี่หว่า?
“ท่านยูจิแข็งใจไว้นะคะ โปรดอย่าเป็นอะไรไปเลยนะคะ”
แทนที่จะบ่นช่วยเขาหาถุงสิเห้ย
“น่าเสียดายนะครับ ผมไม่ได้เตรียมไว้เลย แต่อย่าได้ห่วงไป ต่อให้อ้วกมาผมก็ไม่สามารถสัมผัสกลิ่นได้หรอกครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงไป”
เอ็งสัมผัสไม่ได้แต่ทางนี้สัมผัสได้นะเห้ย
“อ้วกของยูจิ ฉันไม่รังเกียจหรอกนะ”
“ข้าก็ด้วย!”
“นี่พวกหล่อนช่วยอย่าปลุกรสนิยมแปลกๆในตัวเองมาได้มั้ยฟร้ะ? เอ้านี่ ถุง”
ผมโยนถุงให้ยูจิ ถ้าถามว่าทำไมถึงเตรียมไว้ก็ง่ายๆเลย เพื่อยูจิ
ยูจิแพ้อะไรต่างๆที่ชอบหมุนไปมาหรือพุ่งไปด้วยความเร็วจนเกินไป แม้จะแค่รถไฟรางมันก็มากพอทำให้ยูจิรู้สึกคลื่นไส้จางๆแล้ว เพราะอย่างนั้นผมเลยเตรียมเผื่อไว้ให้น่ะนะ
“ขอบคุณมากครั–”
จากนั้นยูจิก็ปล่อยของที่ไม่น่าดูออกมา ผมให้ความเคราพแก่ยูจิโดยการไม่จ้องสภาพตัวยูจิในตอนนี้
****
ณ ท่าเรือของอาณาจักรเนลยอน กำลังจะมีเรือหลักและเรือย่อยนับสิบกว่าลำของอาณาจักรเนลยอนออกจากฝั่ง ..ในที่แห่งนั้นมีชายผู้หนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ เพราะเขานั้นยืนอยู่เคียงข้างเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรเนลยอนอย่าง
เขาคือชายอายุราวๆสามสิบปี สูงถึง 190 กว่าๆ ซ.ม. ร่างหนาตึก เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมากมาย ระดับที่เป็นร่างกายที่สมบูรณ์แบบที่สุดของนักรบ มีเลือนผมสีขี้เถ้า เป็นคนผิวดำ มีดวงตาสีน้ำตาลที่ดูน่าเกรงขาม สวมชุดมีปกคอคล้ายกับชุดข้าราชการชาย แต่เพราะมีลวดลายที่แตกต่างกันมาก ทำให้รู้ว่าเป็นคนล่ะชุดอย่างชัดเจน
และเป็นกรณีพิเศษที่ชายผู้นี้มีเครื่องประดับทองคำติดอยู่บนตัว
“นี่ ไรเดน”
ชายผู้ส่งออร่าน่าเกรงขามผู้นี้มีนามว่า ‘ไรเดน อาคาสะ’ นักรบที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะมีได้ ..ปัจจุบันเขารับหน้าที่เป็นองค์รักษ์ให้เจ้าหญิงแห่งเนลยอน–เจ้าหญิงโทมิเรีย หรือ‘อามาเทราซึ โทมิเรีย’
โทมิเรียคือเด็กสาวอายุราวๆสิบเจ็ดปี ถึงกระนั้นร่างกายก็ดูเด็กกว่าวัยเดียวกันราวๆสองปี ว่าโดยง่ายเธอคือผู้หญิงร่างเล็ก มีจุดเด่นที่ใบหน้าที่งดงามกับเลือนผมสีฟ้าอ่อน และใบหน้าที่ดูอ่อนโยนสมชื่อเจ้าหญิงต่างกับเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรมหาอำนาจแห่งหนึ่ง
ขณะนี้โทมิเรียก็สวมชุดของเจ้าหญิงเก่าแก่ตามตระกูลอามาเทราซึของตัวเอง ด้วยภาพลักษณ์ที่สมเป็นเจ้าหญิงผนวกกับชุดของเจ้าหญิงโดยเฉพาะ ทำให้รีดสเน่ห์ของโทมิเรียออกมาได้อย่างมหาศาล
เหมือนกับเจ้าหญิงมังกรของฟัฟนิร์ โทมิเรียก็ถูกขนานนามว่าผู้หญิงที่งดงามที่สุดบนโลกคนหนึ่งเช่นกัน
“วินหายไปไหนหรือคะ?”
อนึ่งเจ้าหญิงโทมิเรียนั้นสนิทกับวินเป็นอย่างมาก แม้จะโดนข้ารับใช้หลายคนคัดค้านความสัมพันธ์แบบเพื่อนของทั้งสอง แต่ก็ไม่มีใครสามารถห้ามเจ้าหญิงโทมิเรียได้
“วินอยู่เรืออีกลำครับ อย่าได้เป็นห่วงไปเลย”
“นั้นเหรอ ..”
การสนทนาจบเพียงแค่นั้น โทมิเรียหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอย่างจริงจัง ส่วนไรเดนก็ทำหน้าที่คุ้มกันอย่างจดจ่อ ..
****
แกร่งที่สุด เป็นคำที่แสนเรียบง่าย นิยามของมันไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งเลย มันเป็นไปตามตัวอักษรทุประการไม่มีตื้นหนาบาง ทั้งอย่างนั้นมันกลับเป็นนามที่มีแค่ไม่กี่คนที่ได้รับ
หากถามผู้คนที่อาณาจักรฟัฟนิร์ เขาจะตอบว่า ‘เอเธอร์’
หากถามผู้คนที่แซร์อิซ เขาจะตอบว่า ‘ผู้กล้า’
หากถามผู้คนที่เกรล เขาก็จะตอบว่า ‘ปราการลอยฟ้า’
และหากถามผู้คนที่เนลยอน แน่นอนคำตอบก็คือ ‘ไรเดน อาคาสะ’
ต่างสถานที่ย่อมต่างความเห็น แต่ที่เหมือนกันคือในแต่ล่ะที่จะมีผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดได้แค่ผู้เดียวเท่านั้น
ทว่า
หากพูดถึง ‘นักรบที่แข็งแกร่งที่สุด’ ต่อให้เป็นสถานที่ที่ต่างกัน แต่คำตอบก็ต่างเหมือนกันหมด—ชายที่ทำให้ทั่วทั้งโลกยอมรับได้ในฐานะนักรบมีเพียงผู้เดียว คนๆนั้นก็คือ ‘ไรเดน อาคาสะ’ ตำนานที่ยังมีลมหายใจ
หากกล่าวถึงภูมิประวัติของไรเดน อาคาสะ ผู้คนต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่าชายผู้นี้ไม่ธรรมดา ตั้งแต่ต้นกำเนิดยังชีวิต ณ ปัจจุบัน ไม่มีอะไรที่ธรรมดาเลย ทุกอย่างราวกับหลุดมาจากตำนานวีรบุรุษ
ไรเดน อาคาสะ เกิดในตระกูลขุนนางชั้นสูงของเนลยอน เขามีความสามารถด้านเวทมนตร์ ไสยศาสตร์ เล่นแร่แปรธาตุ และวิชาดาบในระดับสูงทุกขั้น ว่ากันว่าไม่มีอาจารย์คนใดเก่งพอจะสอนไรเดน อาคาสะได้เลย อีกทั้งอาจารย์ที่สอนเขายังพลอยเสียความมั่นใจกันไปเอง
กล่าวได้ว่าตัวของไรเดนนั้น คือมนุษย์พรสวรรค์
เมื่ออายุได้ 10 ขวบ ตระกูลของไรเดนถูกทำลายจากคู่อริทางการเมือง ซึ่งในช่วงนั้นทั้งสองฝั่งได้ต่อสู้กันหรือที่เรียกว่า ‘สงครามแย่งชิงอำนาจภายใน’ ระหว่างฝ่ายสนับสนุนระบบรัฐมนตรี กับฝ่ายที่สนับสนุนระบบราชวงศ์ สุดท้ายฝ่ายราชวงศ์ก็ชนะ ตระกูลของไรเดนที่ต่ำต้อย พอจบสงครามก็โดนกวาดล้างจนสิ้น
ส่งผลให้ไรเดนในวัยเด็กได้กลายเป็นเชลยให้ฝ่ายที่ชนะ
ทันทีที่ไรเดนกลายเป็นเชลย เขาก็ถูกส่งไปร่วมสนามรบที่อาณาจักรคู่อริของเนลยอนอย่าง ‘อาณาจักรฟัฟนิร์’ ณ ตอนนั้นสถานการณ์ระหว่างสองอาณาจักรไม่ค่อยดีนัก ทำให้เกิดสงครามขึ้นในทุกๆวัน พร้อมกันหลายสถานที่
สนามรบแรกของไรเดน—เขาเป็นผู้ที่เด็ดหัวแม่ทัพอีกฝ่าย และทำให้อาณาจักรเนลยอนเป็นฝ่ายชนะในพื้นที่นั้นไป
หลังจากนั้นไม่นาน ในการต่อสู้ติดต่อกันในแต่ล่ะเขตุ ไรเดนก็สร้างผลงานอย่างมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการโค่น ‘นักดาบขั้นบรรลุ’ ด้วยตัวคนเดียว หรือการสังหาร ‘จอมมารขั้นสูงพิเศษ’ ไปกว่าสิบกว่าคน
กำลังหลักของอาณาจักรฟัฟนิร์คือจอมเวทย์ไม่ผิดแน่ และการที่ไรเดนโค่นจอมเวทย์ที่แกร่งที่สุดของอีกฝ่ายได้มากมายขนาดนี้ย่อมเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยม
ว่ากันว่าในหมู่แม่ทัพตอนนั้น ต่างแย่งตัวไรเดน อาคาสะ ไปใช้งานกัน เพราะไรเดนนั้นเก่งทุกๆด้าน ไม่ว่าจะสู้ตรงๆหรือว่าลอบสังหารเขาก็ทำได้อย่างไม่บกพร่อง การมีอยู่ของเขาในสนามรบเปรียบได้ดั่ง ‘ม้าศึก’ ในหมากรุก
แน่นอนว่าในวัยแค่นั้น ไรเดนไม่ได้ไร้เทียมทานเสียทีเดียว
บางครั้งเขาก็ได้เผชิญหน้ากับราชาจอมเวทย์ และต้องพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ หรือพลาดท่าให้กับเวทย์ของอีกฝ่ายจนบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเป็นเรื่องปกติในสนามรบ
แต่ที่น่าแปลกคือ ไรเดนสามารถรอดตายได้ทุกเมื่อ แม้ว่าจะเจอกับคู่ต่อสู้ที่อยู่กันคนล่ะระดับ และด้วยความที่ยังเยาว์วัยและพรสวรรค์ที่รอบด้าน ทำให้ไรเดนแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดระหว่างต่อสู้ จนรู้ตัวอีกทีเขาก็กลายเป็น ‘นักรบที่แข็งแกร่งที่สุด’ ในหลายๆสนามรบแล้ว
เวลานั้นเขาถูกขนานนามว่า ‘ปีศาจแห่งอารันม่า’ จากการที่ไรเดนได้รับหมอบหมายพร้อมกับคนอีกเพียงร้อยคนในการเข้าไปสะกัดกองทัพของฟัฟนิร์กว่าหมื่นคน มันไม่ต่างกับภารกิจฆ่าตัวตาย ไม่ว่ามองทางไหนผู้นำก็ตั้งใจสั่งให้ไรเดนกับอีกร้อยชีวิตไปตายเพื่อยื้อกองทัพอีกฝ่าย
ทั้งอย่างนั้น
ไรเดนกลับยื้ออีกฝ่ายไว้ได้ไม่พอ ยังฆ่าทหารไปกว่าสองพันคนด้วย แม้ว่านอกจากไรเดนที่เหลือจะตายกันหมด แต่ว่า 101 Vs 10,000 คือเรื่องแปลกประหลาดอยู่แล้ว
นั่นคือที่แรก ที่ความสามารถในฐานะนักรบของชายคนนี้ได้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
ด้วยผลงานที่ประจักษ์ให้เห็น ทำให้ไรเดน เมื่ออายุได้ 14 ปีก็ถูกพิจารณาให้หลุดจากการเป็นเชลย และกลายมาเป็นทหารของอาณาจักรเนลยอนเต็มตัว
ทันทีที่ได้กลายเป็นทหาร เขาก็ได้รับติดปีกสีเงินทันที มันคือสัญลักษณ์ของ ‘นักรบชั้นนำ’ แห่งเนลยอน
4 ปี หลังจากนั้น ไรเดนยังคงสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เขาสามารถสู้กับราชาจอมเวทย์ได้อย่างสูสีในทุกสนามรบ และสุดท้ายก็ทำให้ราชาจอมเวทย์ต้องถอยทัพไป
กล่าวก็คือ–เขาชนะราชาจอมเวทย์ได้ก็ไม่เกินจริง
ความแข็งแกร่งที่ราวกับสัตว์ประหวาด ทำให้เวลาต่อมา ไรเดนก็ได้รับรรจุเป็น ‘เจ็ดคาบสมุทร’ กลุ่มทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของเนลยอน
อีกทั้งเขาก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น ‘นักดาบขั้นบรรลุ’ ด้วย ลำพังฝีมือของเขาคงไปถึงขั้นนั้นได้ตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ว่าเขาไม่มีเวลาไปทดสอบจนไม่ได้รับชื่อจริงๆจังๆ กว่าจะได้อายุก็ปาไปยี่สิบปีแล้ว แต่ว่าก็ไม่ได้ดูขี้เล่ห์อะไร กลับกัน ผู้ที่มาถึงขั้นบรรลุได้ทั้งๆที่อายุแค่ยี่สิบคืออัจฉริยะ
ไม่ใช่แค่นักดาบขั้นบรรลุ ไรเดนยังกลายเป็น ‘จอมเวทย์ขั้นสูงพิเศษ’ วิชาไสยศาสตร์เองก็ถูกยอมรับว่าอยู่ในระดับบรรลุในแขนงที่ถนัด วิชาเล่นแร่แปรธาตุก็เช่นเดียวกัน
ไม่ว่าด้านใน ไรเดนก็อยู่ท็อปคลาส แต่หากพูดถึงเอกลักษณ์ของไรเดนก็คงจะเป็น .. ‘ดาบมาร’ คือคำที่ใช้นิยามดาบที่มีพลังนอกรีต
อย่างไรซะ จุดขายของไรเดนคือดาบมาร เขาจึงถูกตั้งชื่อในฐานะนักดาบขั้นบรรลุว่า ‘ราชาดาบมาร’
เรื่องราวของไรเดนดำเนินต่อไป เขาคือนักรบที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเนลยอนแน่นอน แต่ไม่ใช่กับทั้งโลก
แต่แล้วจุดพลิกผลันของเขาก็มาถึง
วันหนึ่งในสนามรบ ในศึกใหญ่ระหว่างสองอาณาจักรที่ท่าเรื่อใหญ่ของฟัฟนิร์ มันคือศึกใหญ่ที่เกิดขึ้นสิบปีครั้ง ด้วยเหตุนั้นเจ็ดคาบสมุทรเลยถูกส่งมาร่วมสนามรบทุกคน
และวันนั้น ..เอเธอร์ได้ปรากฏตัวเป็นครั้งแรก และสร้างปรากฏการณ์ที่ทั่วทั้งโลกไม่สามารถอยู่เฉยได้อย่างการที่–
–เอเธอร์ได้โค่นเจ็ดดาบคาบสมุทรทุกคน
สงครามคราวนั้น อาณาจักรเนลยอนคงจะเป็นฝ่ายชนะไปแล้ว หากเอเธอร์ไม่โผล่มาซะก่อน
หนึ่งในทหารของเนลยอนได้เล่าว่า คืนนั้นพวกตนกำลังจะกำชัยแล้ว แต่แล้วจู่ๆเรือข้างๆก็ถูกระเบิดด้วยเวทมนตร์
กองเรือกว่าสิบลำจึงหันไปตั้งรับคนที่จู่ๆก็โผล่มา ตอนแรกแม่ทัพคิดว่าผู้ที่บุกโจมตีคราวนี้คือราชาจอมเวทย์ไม่ผิดแน่ แต่ไม่ใช่ คนที่โผล่กลางสนามรบกลับเป็นคนไร้ชื่คนหนึ่งเท่านั้น และคนไร้ชื่อที่ว่าก็ถล่มกองเรือไปกว่าครึ่งในเวลาเพียงไม่กี่นาที
เจ็ดคาบสมุทรจึงต้องออกหน้ารับ—-และแพ้กลับมา
‘บลูเบน’ มังกรน้ำถูกเอเธอร์ซัดกระเด็น และกลายเป็นผู้หายสาบสูญในเวลาต่อมา
‘TK HOPE’ นักเวทย์ขั้นบรรลุผู้ใข้งานเกราะมนตรา ได้ถูกฆ่าตายคาชุดในหมัดเดียว
ในศึกนั้นเจ็ดคาบสมุทรตายไปถึงสี่และหายสาบสูญไปหนึ่ง
ผู้รอดชีวิตมีเพียงสองคน
‘พาโว’ ดาบนกยูง เขาดวลดาบแพ้เอเธอร์ ทั้งยังถูกไว้ชีวิตไว้
‘ไรเดน อาคาสะ’ คือคนที่ขับไล่เอเธอร์ออกไปได้ แต่ผลลัพธ์คือแพ้ไม่ผิดแน่ ไม่มีใครกล้าอวยไรเดนว่าคือผู้ชนะเลย เพราะว่าเอเธอร์ที่ล่าถอยไปในสภาพสมบูรณ์กับคนที่ปางตายทั้งๆที่รุมอีกฝ่าย ไม่ว่าใครก็รู้กันดีว่า ..ไรเดนคือฝ่ายแพ้
สุดท้ายอาณาจักรฟัฟนิร์ก็ชนะและยึดท่าเรือไปได้
เจ็ดคาบสมุทรถูกยุบในไม่นาน แม้ว่าเอเธอร์จะไม่ให้ยุบแต่อาณาจักรเนลยอนก็ยุบมันด้วยตัวเอง เพราะมันไม่ใช่ชื่อของเจ็ดนักรบที่น่าเกรงขามอีกต่อไปแล้ว ไม่มีอีกแล้วเจ็ดคาบสมุทรที่ทำให้อีกฝ่ายเสียขวัญทันทีที่เห็น มีแต่นักรบผู้พ่ายแพ้ทั้งเจ็ดเท่านั้น
ชีวิตของไรเดนหลังจากนั้นราวกับช่วงตกต่ำ เขาเข้าต่อสู้กับเอเธอร์นับไม่ถ้วน และแพ้กลับมาทุกครั้ง ผู้คนต่างประนามเขาว่าคือนักรบไร้ค่า
แต่วันหนึ่ง
ไรเดนก็ได้สู้กับเอเธอร์อย่างสูสี ในทุกสนามรบไรเดนคือผู้ที่มีหน้าที่ยื้อเอเธอร์ไว้ เขาทำหน้าที่ได้ลุล่วงทุกครั้ง
หลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี ทั้งสองอาณาจักรก็ลงสัญญาสงบสุข
เวลาได้พิสูจน์ให้ทั่วโลกเห็นแล้วว่าเขาคือนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด ทุกคนต่างยอมรับเขากัน ไม่เว้นแม้แต่ศัตรูคู่ปรับอย่างเอเธอร์
หลังจบสงคราม ไรเดนได้เข้ารับใช้องค์หญิง ‘โทมิเรีย’
จนถึงปัจจุบันไรเดนก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้สมบูรณ์แบบ หลายคนตั้งคำถามว่าเขาไม่ได้แกร่งกว่าเอเธอร์ แล้วทำไมเขาถึงถูกเรียกว่านักรบที่แข็งแกร่งที่สุดล่ะ?
คำตอบก็ง่ายๆ ..เพราะเขาคือหมาก(นักรบ)ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด ไม่ได้เรื่องเยอะอย่างเอเธอร์ ไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรณ์เยอะอย่างปราการลอยฟ้าของเกรล เพียงแค่อาหาร ที่อยู่ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่คนๆหนึ่งพึงจะมีก็เพียงพอต่อไรเดนแล้ว
อีกทั้งความสามารถยังอยู่ในระดับท็อปคลาสทุกสาย ไม่ว่าจะเวทมนตร์ วิชาดาบ วิชายุทธิ์ หรืออาวุธประเภทอื่นอย่างธนูเขาก็ใช้มันได้ดียิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสายซะอีก การต่อสู้ของเขาจะเป็นการประยุกต์ทุกศาสตร์บนโลกเข้าด้วยกันตามแต่คู่ต่อสู้และสถานการณ์
ราชาจอมเวทย์ได้พูดถึงไรเดนไว้ว่า–เขาคือมนุษย์ ใช่ เป็นตัวตนที่อยู่ในขอบเขตุของมนุษย์ แต่ว่าตัวเขาในฐานะมนุษย์นั้นทำได้ทุกอย่างเขาใช้ทุกอย่างในระดับของมนุษย์ได้ในขั้นที่สูงที่สุดทุกอย่าง การสู้กับไรเดนจึงไม่ใช่การใช้ดาบชนกับโล่ หรือหอกชนกับธนู หากแต่เป็นการใช้ดาบชนกับอาวุธทุกประเภทบนโลกต่างหาก
หากคุณใช้ธนู ไรเดนจะใช้หอกฆ่าคุณ หากคุณใช้ดาบ ไรเดนจะใช้ธนูฆ่าคุณ หากคุณใช้หอก ไรเดนจะใช้โล่สลับกับหอก—นี่แหละคือสไตล์การต่อสู้ของไรเดน
ต่อให้ไม่ได้แกร่งที่สุด แต่เขานั้นไร้ข้อเสีย และยังทำได้ทุกอย่างอีก ไม่มีใครแก้ทางเขาได้ กลับกันเขาจะแก้ทางคุณทุกอย่าง เพราะเขารู้จักสิ่งที่คุณใช้ดีกว่าคุณเสียอีก
‘นักรบที่แข็งแกร่งที่สุด’ มีแค่ ‘ไรเดน อาคาสะ’ เท่านั้นที่คู่ควรกับชื่อนี้
MANGA DISCUSSION