เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 176
< < 125 > >
ภายในห้อง VIP ของขบวนรถไฟที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองข้างเคียงกับอาณาจักรฟัฟนิร์ บนขบวนรถไฟแห่งนั้น ..แองเจลิน่ากำลังมองส่งน้องชายของตนที่ลงในเมืองชันไม แทนที่จะเป็นเมืองใกล้อาณาจักรฟัฟนิร์อย่างที่เธอหรือว่านักเรียนคนอื่นทำกัน
ไม่ใช่แค่เรเซอร์ เคียวยะ เบลลามี ยูจิ เรย์ และหนิงเองก็ตามเรเซอร์ไปด้วย
สัมภาระที่มีมากพอจะอยู่ได้เป็นเดือนสองเดือนสบายๆ ทำให้ไม่จำเป็นต้องกลับไปเตรียมตัวอะไรให้เสียเวลา ทุกคนเลือกจะไปเมืองชันไมอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในฐานะคนเป็นพี่เช่นแองเจลิน่าก็ปลื้มใจอยู่หรอกที่น้องชายมีสหายที่ไปไหนไปกันมากขนาดนี้ แต่ก็ชักเป็นห่วงน้องชายตัวเองที่หาเรื่องใส่ตัวตลอดเวลาไม่ได้ ..คิดแล้วก็เครียด แองเจลิน่าถอนหายใจเฮือกโตพลางหันไปมองอัลเบิร์ดและ—เอเธอร์ซึ่งนั่งอยู่ในห้อง VIP ด้วย
เอเธอร์กำลังชงชาอย่างปรานีต ..เขาตั้งใจจะชงชาให้อัลเบิร์ด เป็นธรรมเนียมของเอเธอร์ที่จะชงชาให้กับคนที่อยากสนิทด้วย กลับกัน หากไม่ใช่คนที่เอเธอร์แคร์ เขาจะเมินทันที
“คุณแองเจลิน่าสนใจรับด้วยรึเปล่าครับ”
“ไม่ละค่ะ วันก่อนก็พึ่งจะ ..ดื่มไป แถมเยอะมากๆด้วยค่ะ ตอนนี้รู้สึกว่าท้องรับมากกว่านี้ไม่ได้แล้วน่ะค่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นเอเธอร์ก็ทำหน้าเสียดาย
“เป็นคนเบื่อง่ายสินะครับ”
“เบื่อง่ายนี่ก็ ..คือต่อให้อร่อยยังไง แต่กินวันละสิบแก้วก็ไม่ไหวนะคะ ฮะ ฮะ ฮะ”
แองเจลิน่าหัวเราะแห้งๆ—เอเธอร์หาได้สนไม่ เมือชงชาเสร็จเขาก็ยื่นให้อัลเบิร์ดทันที
“เชิญครับ”
“คะ ครับ”
อัลเบิร์ดสีหน้าย่ำแย่สุดๆ ..แทนที่จะบอกว่าทำความรู้จัก เรียกว่าทรมานคู่สนทนาดูจะเข้าท่ากว่า
ไอ้การชงชาให้ชาวบ้านทุกๆสามสิบนาทีเนี่ย ..วันนี้เขาก็ยังคงทำเรื่องแปลกประหลาดในสายตาชาวบ้านอีกเช่นเคย—ชายผู้ได้รับการขนานนามว่าแข็งแกร่งที่สุดคนนี้
“รับคุกกี้ธัญพืชหน่อยไหมครับ?”
“..เอ่อ”
“เหลืออีกเยอะเลยนะครับ ผมคงกินคนเดียวไม่หมดแน่ๆ”
“…ครับ นิดหนึ่ง”
เอเธอร์ยื่นให้อัลเบิร์ดทีเดียวสิบชิ้น อัลเบิร์ดถึงกับหน้าซีดเผือกและหันมามองแองเจลิน่า
แน่นอนว่าโดนเมินใส่ แองเจลิน่าไม่อยากยุ่งกับของกินของเอเธอร์อีกแล้ว เธอเข็ดตั้งแต่วันสองวันก่อนแล้ว เพราะอยากรับน้ำใจเอเธอร์เลยตกคำรับของทุกอย่างจากเอเธอร์
ผลคืออะไรรู้ไหม? แองเจลิน่าและอัลเบิร์ดในหนึ่งวันต้องกินชาของเอเธอร์ถึงยี่สิบแก้ว ขนมธัญพืชก็โดนยัดมาให้วันละสามสิบชิ้น
วันแรกพอทน วันสองใกล้ตาย วันสามลาขาด มีแค่อัลเบิร์ดที่ปฏิเสธใครไม่เป็นเท่านั้นที่ต้องโดนทรมานต่อ ตราบใดที่ไม่กล้าปฏิเสธวัฐจักรยัดของกินก็ไม่มีที่สิ้นสุด กว่าจะถึงเมืองข้างเคียงอาณาจักรฟัฟนิร์ก็ใช้เวลากว่าสิบวัน กว่าจะถึงตอนนั้น อัลเบิร์ดได้ท้องแตกตายก่อนแน่
เอเธอร์ควรจะรู้ดี แต่ก็หาได้สนไม่
“เชิญครับ คุณแองเจลิน่าเองก็เอาด้วยมั้ยครับ สักชิ้น”
“กะ..เกรงใจค่ะ ขอรับไว้แค่น้ำใจนะคะ”
ถ้ารับมาหนึ่งชิ้น ชิ้นสองสามสี่ห้าจะตามมาแน่นอน เธอรู้ดี
“น่าเสียดายนะครับ ผมอุตส่าห์ทำเอาไว้ตั้งหลายชุด”
“..เอาเวลาไหนไปทำหรือคะ”
แองเจลิน่าแอบสงสัยเล็กน้อย เรื่องพื้นที่เก็บน่ะไม่มีปัญหา เพราะเอเธอร์เรียนรู้เวทย์กระเป๋าของอัศวินเวทมนตร์ไว้ด้วย แต่ที่น่าสงสัยคือเอเธอร์เอาเวลาไหนไปทำขนมต่างหาก แถมยังจำนวนที่เยอะมากๆด้วย
“ในช่วงแวะพักเมืองต่างๆผมก็อาศัยเช่าครัวของร้านขนมเอาน่ะครับ”
“..จำไม่ผิด พักแต่ละเมืองแค่ครึ่งชั่วโมงเองนะคะ”
“เวลาแค่นั้นก็มากพอจะทำขนมธัญพืชกว่าร้อยชิ้นแล้วครับ”
หา??? คนๆนี้ก็รู้อยู่หรอกว่าไม่ธรรมดาในหลายความหมาย แต่แบบนี้มันไม่เกินขีดจำกัดธรรมชาติไปหน่อยเหรอ? บ้ารึเปล่าเนี่ย? ได้ไง?
“เพราะอย่างนั้นไม่ต้องเกรงใจครับ เชิญรับได้เลยครับ”
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ ยังอิ่มอยู่เลย ว่าแต่คุณเอเธอร์ไม่ลองกินเองบ้างเหรอคะ?”
“ไม่เอาหรอกครับ กินไปผมก็ไม่ได้มีความสุขอะไรด้วย”
…
…อัลเบิร์ดมองเอเธอร์ด้วยแววตาที่สิ้นหวัง แองเจลิน่ามองอย่างหดหู่ ในหัวทั้งสองคิดเหมือนกันเลยว่า—ถ้าเอ็งกินแล้วยังไม่มีความสุข เหตุใดจึงยัดเยียดให้พวกตูหว่า?
ในขณะที่ในใจเต็มไปด้วยความเคลืองแคลงใจนั้นเอง
“ลิ้นของผมไม่รับรสน่ะครับ”
แบบนี้นี่เอง–ทั้งสองถอนหายใจโล่งอก
มีเหตุผลรองรับที่เข้าใจได้ ..
“แทนที่จะให้ผมผู้ไม่รู้คุณค่าของอาหารรับประทาน เลือกเอาไปให้ผู้ที่สามารถเข้าใจถึงสเน่ห์ได้อย่างแท้จริงจะเป็นการดีกว่าครับ”
“คุณเอเธอร์ ..ว่าแต่รับรสไม่ได้แท้ๆแต่ยังชงชาเก่งได้อีกนะคะ”
“ผมสมมุติรสชาติในหัวเอาครับ”
..ไม่ได้โกหก แต่ที่พูดนี่มันก็ยังไงๆอยู่–เอาเถอะ
แองเจลิน่าเลือกจะปล่อยวางเหตุผลต่อหน้าชายประหลาดคนนี้
“จะว่าไปคุณเอเธอร์ไม่ไปกับพวกเรเซอร์ด้วยหรือคะ?”
“นั่นสินะครับ ผมเองก็อยากไปด้วยอยู่หรอก แต่เกรงว่าตัวผมมีธุระต้องไปพูดคุยกับราชาอัลเบโด้เสียก่อน”
อัลเบิร์ดพยักหน้ารับที่เอเธอร์กล่าว
“ท่านราชาเรียกท่านเอเธอร์ไปคุยด้วยครับ”
“ถ้าหากธุระเสร็จเร็ว ผมจะรีบตามไปครับ ..” เอเธอร์ยิ้ม “ไม่มีความจำเป็นต้องเป็นห่วงเรเซอร์หรอกครับ ถึงจะอายุยังน้อย แต่ความสามารถที่เขามีใช่ว่าจะโดนเล่นงานได้ง่ายๆ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงก็ต้องเตรียมใจที่จะเป็นฝ่ายตายแทนครับ”
“เข้าใจค่ะ แต่ฉันมีสถานะไม่ต่างกับผู้ปกครอง ..”
แองเจลิน่าพูดจบก็หันไปมองนอกหน้าต่าง ซึ่งเรเซอร์ได้หายไปจากระยะสายตาแล้ว–เธอหรี่ตาลงอย่างเศร้าใจ
“..ต่อให้รู้ว่าไม่เป็นไร ..ในใจฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่เป็นไรนะคะ ให้คลายกังวลเฉยๆน่ะทำไม่ได้หรอกค่ะ”
…
“ว่าแล้วเชียว—เข้าใจยากจังเลยนะครับ ความสัมพันธ์พี่น้องเนี่ย”
****
“พวกเราโดนทิ้งซะแล้วนะคะ”
ไอริสพึมพำเบาหวิวเมื่อพบว่าทุกคนเดินหายไปแล้ว ..โซเฟียและกอรี่ที่นั่งเงียบตลอดตอนแยกกันจู่ๆก็ลุกขึ้นโวยวาย
“อะไรฟร้ะน้านนนนน!!!!!!? พึ่งกลับมาแท้ๆแต่ก็ไปอีกแล้ว!!? เจ้าพวกนั้นชอบเที่ยวขนาดนั้นเลยเหรอฟร้าาาาาา บัดซบเอ้ยยย รู้งี้น่าจะไปขอทางบ้านก่อน ฉันเองก็อยากนอนค้างคืนกับพวกแกเหมือนกันนะเฟ้ย ไอ้เวรเอ้ย!!”
“คุณกอรี่โปรดอยู่ในความสงบด้วยค่ะ นั่นไม่ใช่พฤติกรรมของคนดีนะคะ”
ว่าแล้วกอรี่ก็นั่งนิ่ง
“..บัดซบจริงๆ ฉันโมโหสุดๆแล้วนะ แต่ก็ไม่อยากโวยวายสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น แล้วจะให้ไประบายกับอะไรกัน โธ่เอ้ย อยากกลับไปหาคุณแม่แล้ว”
โซเฟียบ่นแทนกอรี่ เพราะเธอก็รู้สึกแบบเดียวกัน–ไอริสยื่นกระดาษและดินสอมาให้
“วาดรูปเล่นไปนะ”
“เอ๋!? เอามาด้วยเหรอ!? ขอบคุณนะคะ!”
โซเฟียเลิกเก็กท่านักเลงและนั่งวาดรูปอย่างกับเด็ก
“แล้วฉันละ?”
“รับกล้วยหน่อยไหมคะ?”
“โอ้วววว ของโปรดเลยเว้ย!!”
..ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ไอริสจะต้องมาเป็นพี่เลี้ยงให้สองคนนี้ ปกติไม่เรเซอร์ก็เบลลามีจะเป็นคนดูแล แต่พอทั้งสองไม่อยู่หน้าที่นั้นก็ตกเป็นของไอริสแทนอย่างไม่ตั้งใจ
พอเห็นทั้งสองมีความสุขกับของที่ตัวเองเตรียมไว้ให้ ไอริสก็แสยะยิ้มออกมา ..
‘นี่เรากำลังทำอะไรอยู่กันนะ’
ทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร มาเป็นพี่เลี้ยงเด็กแล้วมันได้อะไร? งานก็ใช่ว่าจะง่ายๆด้วย
กอรี่ หมอนี่เนี่ยตัวปัญหาเลย วันๆก่อแต่เรื่องแล้วอ้างว่าเป็นคนดี ทุกเรื่องไม่ได้เจตนา แต่ความเสียหายสุดยอดมาก ต้องคอยดูแลอย่างดีไม่ให้ก่อเรื่องและสอนวิธีเป็นคนดีที่ถูกต้อง พอเรเซอร์ไม่อยู่ก็ไม่มีคนมาหยุดกอรี่ได้ทันถ่วงที ..
โซเฟีย ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรเลย กลับกันสร้างประโยชน์ด้วยซ้ำ แต่ขี้บ่นและเธอเครียดบ่อยๆด้วยเลยต้องไปคอยดูแลสภาพจิตใจโซเฟียเป็นครั้งคราว ตอนแรกก็คิดว่าไม่กี่ครั้ง รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นเพื่อนคุยเล่นทุกเวลาเสียแล้ว
พอไอริสนึกถึงเรื่องราวหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทั้งหมด เธอก็ถึงกับคอตก
“..ได้เจอกับเคียวยะแค่นิดเดียวด้วย ไม่คุ้มค่าเสียเวลาเลยนะคะ อุตส่าห์ช่วยดูแลเด็กให้ตั้งหนึ่งเดือน ..”
ไอริสพิงกับเบาะนั่งและแหงนหน้ามองเพดานรถไฟ พลางนึกถึงคำพูดที่เคียวยะพูดกับตัวเองก่อนลงจากรถไฟ
‘..รักษาตัวเองด้วย’
พูดแค่นั้นก็จริง แต่นับว่าเป็นก้าวแรกได้รึเปล่านะ? ก็เคียวยะคนนั้นนะ เคียวยะที่ชอบวางมาดไม่ชอบหน้าคนอื่นตลอดเวลาคนนั้น
พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วไอริสก็หน้าแดงโดยไม่สนเลยว่าตัวเองอาจจะแค่มโนไปเอง ..เรื่องผู้หญิงคนอื่นก็พอทำเมินได้ หากเคียวยะยกให้ตัวเองเป็นที่หนึ่ง–ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ไอริสรู้สึกแบบนี้กับเคียวยะ
ตัวเธอไม่เคยสงสัยในความรู้สึกของตัวเองเลย จะนับว่านั่นเป็นข้อดีก็คงได้ ..
ขณะที่ไอริสกำลังฝันหวาน
“นี่ๆ รุ่นพี่ไอริส”
“..มีอะไรคะ”
จู่ๆโซเฟียก็พึมพำขึ้นมาโดยที่ในมือก็วาดรูปไปด้วย
“รู้รึเปล่าว่าทำไมพวกเรเซอร์ถึงต้องรีบไปเมืองชันไมกันขนาดนั้นด้วย ..แทนที่จะกลับไปอาณาจักรฟัฟนิร์กันก่อน” โซเฟียถอนหายใจ “ทางนี้อุตส่าห์คิดถึงมากแท้ๆ”
“คงจะมีธุระที่สำคัญมากๆค่ะ”
รายละเอียดไอริสก็ไม่ทราบ แต่เธอเดาได้จากท่าทางหรือสีหน้า ..เรื่องที่เจอมันใหญ่มากไม่ผิดแน่ เพราะบรรยกาศดูตึงเครียดยิ่งกว่าตอนตกลงบุกประสาทเทล่าเทลเสียอีก
ไหนจะเรื่องความสัมพันธ์ที่แปลกไปของยูจิกับทุกคน หรือว่าหนิงที่ดูซึมนิดหน่อย เธออาจจะไม่ได้เปิดเผยเท่าไหร่ แต่ไอริสสังเกตุท่าทางของหนิงได้ เพราะแรกเดิมไอริสก็คอยดูแลหนิงมาตลอด
ที่สนใจขนาดนี้ก็ไม่ใช่อะไร ยังไงซะ หนิงก็คือคนที่ไอริสเคราพในวัยเด็ก ..เรื่องราวความประทับใจในตัวหนิงของไอริส เธอไม่เคยบอกใครมาก่อนเพราะมันน่าอาย แต่ก็อย่างที่รู้กันว่า—หนิงคือคนที่ทำให้ไอริสอยากจะเปลี่ยนแปลงอาณาจักรแห่งนี้
เด็กอัจฉริยะ และ เจ้าหญิงมังกร ทั้งสองพบกันครั้งแรกในงานสานสัมพันธ์งานๆหนึ่ง เป็นการพบกันโดยบังเอิญของแท้
ตอนนั้นหนิงคงจำไอริสไม่ได้ แต่ไอริสไม่มีทางลืม
ตอนนี้ท่าทางของหนิงดูแปลกไป ไม่ใช่เพราะยูจิ แต่เพราะเรื่องบางอย่างที่ได้พบบนเกาะวาเรอร์
อย่างไรก็ช่าง ไอริสไม่คิดจถามหรือเดา เธออยากได้ยินจากปากของหนิงเองในสักวัน ..พอคิดๆดูแล้วไอริสก็อดนึกถึงเรื่องในวันนั้นไม่ได้เลย
ใช่ มันคือช่วงฤดูหนาวที่—
“กะว่าจะคุยเรื่องความคืบหน้าระหว่างเรเซอร์ซะหน่อย แต่เบลลามีดันชิงไปก่อนซะได้ น่าเศร้าจัง”
—น่าเศร้าของแท้ที่คนข้างๆเอาแต่พูดไม่หยุด จนไอริสหมดอารมณ์ย้อนความหลัง
ถึงกระนั้นเธอก็ยังยิ้มแม้ว่าบนหัวจะมีรอยปูดกากบาทขึ้นมาแล้วก็ตาม
****
ณ เมืองชันไม—-มีสองมหามังกรอยู่สองตน ได้แก่ ‘ฟัฟนิร์’ มหามังกรเพลิงดั่งเดิม และ ‘ชินดร้า’ มหามังกรเพลิงผู้ได้รับการหยิบหยื่นพลังมาให้
หากว่ามีใครคนใดคนหนึ่งตาย อีกคนที่รอดจะได้ขึ้นเป็นมหามังกรเพลิงเพียงหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้นสถานนะของทั้งสองจึงเปรียบได้กับมหามังกรของแท้เลย แค่แบ่งครึ่งตำแหน่งกันเฉยๆ
อย่างไรก็ช่าง
เวลานี้ทั้งสองกำลังเดินอยู่ในตัวเมือง โดยที่ฟัฟนิร์ในมือเต็มไปด้วยของย่างเสียบไม้ เธอกินทุกไม้อย่างตะกละ ไม่สนภาพลักษณ์ของตัวเองเลยสักนิด นั่นทำให้ชินปวดหัวขึ้นมา
“ท่านฟัฟนิร์กินเยอะไปแล้วนะขอรับ”
“เอาเถอะน่าๆ มีเงินสนับสนุนเหลืออีกตั้งเยอะ กินอีกนิดจะเป็นไรไป ต้าวชินอย่าบ่นมากเลยน่า ข้าไม่ชอบนะ คนขี้จุ๊น่ะ”
“ท่านฟัฟนิร์ ..กระผมไม่อยากไปทำงานพิเศษหาเงินนอกรอบนะขอรับ ที่พักในเมืองชันไมก็แพงด้วยสิ ไม่รู้ว่าเงินจะพอรึเปล่าอีกนะครับ”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องนอนโรงแรมเลย ทำเหมือนทุกที ผลัดกันนอนในป่าก็ได้ไม่ใช่หรือไง”
ชินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจเฮือกโต
“ฮ่าๆๆๆๆ เรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ได้ ต้าวชินได้รับอำนาจมหามังกรเพลิงของข้าไปจริงๆรึเปล่าเนี่ย!?”
“เอาตามที่ท่านฟัฟนิร์สบายใจเลยขอรับ กระผมจะไม่ยุ่งแล้ว”
“อืม!! เข้าใจก็ดี เอ้านี่ ต้าวชินเอาไปสามไม้”
“ขอบคุณครับ ..”
ชินรับไก่ย่างสามไม้ไว้ก่อนจะหยุดเดินตรงหน้าน้ำพุกลางเมืองชันไม
..ที่แห่งนี้
คือที่ที่เรเซอร์กล่าวถามสภาพของชินอย่างอ่อนโยน จะบอกว่าเป็นก้าวแรกที่ทำให้ทั้งสองสนิทกันก็ได้
‘..ท่านเรเซอร์ ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ เห็นว่าไปเกี่ยวข้องกับเรนแล้วก็ราชาอัลเบโด้มาด้วยสิ ..’ ชินหรี่ตาลง ‘แต่ก็ผ่านมาได้ในทุกๆเรื่อง ว่าแล้วเชียว ท่านเรเซอร์เนี่ยแข็งแกร่ง ตอนนี้อาจจะแกร่งกว่าผมจนมิอาจเทียบได้แล้วก็เป็นได้ ต่อให้ผมจะมีพลังมหามังกรหรือว่าดาบที่วิเศษขนาดไหนก็ไม่คู่ควรจะยืนเคียงข้างท่านเรเซอร์ ..’
ชินค่อยๆเบิกตามองบริเวณหน้าน้ำพุร้อน และเห็นภาพซ้อนทับเป็นตัวเองกับเรเซอร์เมื่อห้าปีก่อน และอดอมยิ้มไม่ได้
“ถึงจะสงสัยก็เถอะว่าผมมีอะไรให้เลือก ..แต่ผมดีใจจริงๆนะที่เลือกผม”
..
‘สุดยอดนายบ่าวรักเดียวใจเดียว’
..
“..ท่านฟัฟนิร์”
“ว่ามาเลยต้าวชิน”
“ผมอยากจะช่วยท่านบรรลุเป้าหมายให้โดยเร็วขอรับ”
“มีอะไรรึเปล่า”
“..ผมอยากเจอท่านเรเซอร์ให้เร็วที่สุดครับ”
อัศวินของเรเซอร์จะต้องเป็นตัวเองเท่านั้น จะไม่ยอมให้ใครเป็นบ่าวผู้รักเดียวใจเดียวไปก่อนแน่นอน—ทว่า
“อยากเจอก็ไปเจอเลยสิ ไม่ได้ห้ามสักหน่อย”
“เอ๊ะ? แต่ว่า คือ ไม่ใช่ว่าไม่ว่างเหรอครับ”
“ฟังนะต้าวชิน พวกเรามีเวลาอีกสองเดือนก่อนเริ่มงานประชุมโลก เวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดต้าวชินใช้ได้เต็มที่เลย อยากเจอก็ไปแวะหน่อยมั้ยละ ที่อาณาจักรฟัฟนิร์น่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นชินก็พยักหน้ารัวๆ
“เข้าใจแล้วครับ ไปกันเถอะ”
“ฮ่าๆๆๆๆ ข้าเองก็อยากพูดคุยกับต้าวเรเซอร์เหมือนกันน่ะนะ คงเติบโตได้อย่างยอดเยี่ยมไม่ผิดแน่ ตั้งตารอเลย”
“นั่นสินะครั—หืม”
ท่ามกลางฝูงชนที่เดินผ่านกันไปนับร้อย ชินสังเกตุเห็นใครไม่รู้ที่เดินผ่านไป ..ช่างคุ้นเคยแม้ว่าจะจากกันมานาน จนภาพลักษณ์เปลี่ยนไป แต่กลิ่นอายยังเหมือนเดิม
ทว่า
ก็ยังจางเกินไปอยู่ดี
“คิดไปเองกระมัง”
กล่าวจบชินก็เดินตามฟัฟนิร์ไป
นี่ยังไม่ใช่เวลาที่ทั้งสองควรเจอกัน—อีกสองเดือนให้หลัง ทั้งสองจะไปที่งานประชุมโลกเช่นเดียวกัน