เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 173
< < 124 Sec2 > >
อีกด้านหนึ่งบนเรือไอน้ำ ในห้องใต้เรือที่มีไว้สำหรับการฝึกฝนโดยเฉพาะ ใช่ เรือของตระกูลดราแคล์ไม่ใช่แค่มีที่พักพอจะรับคนได้หลายร้อย แต่ยังมีสวนสาธารณะจำลองชั้นบน และที่ฝึกฝนดาบและเวทมนตร์โดยเฉพาะชั้นล่างสุดด้วย
ภายในห้องกระจกที่มีน่านพลังบาเรียร์คอยยับยั้งความเสียหายที่กันได้จนถึงระดับ Bเทียร์(ระดับความคงทนในโลก เรียกจาก Dเทียร์ ไป Aเทียร์) ในห้องนั้นมีเด็กหนุ่มผมสีม่วงกำลังหัวเสียอยู่ ..เคียวยะนั่นเอง
“..บัดซบเอ้ย!!”
เคียวยะเหวี่ยงแขนใส่กำแพงตัวเรือจนสั่นสะเทือน และหรี่ตามองมือที่เต็มไปด้วยผาดแผลจากเวทมนตร์ต่างๆนานา
“ยังไม่ดีพอ ..แค่นี้ยังใช้ไม่ได้ ช้าเกินไป รูปร่างห่วยแตก การควบคุมไม่ได้เรื่อง แบบนี้ก่อนที่จะได้ทำอะไรได้โดนเจ้าบ้านั่นฆ่าตายก่อนแน่”
เจ้าบ้านั่นที่เคียวยะพูดถึงคือ ‘ลูซิเฟอร์’ บาปแห่งความเย่อหยิ่งที่โชคชะตานำพาทั้งสองมาประมือกันอยู่บ่อยครั้ง ..สำหรับเคียวยะ การแพ้ลูซิเฟอร์มันก็เหมือนการแพ้ตัวเอง ไม่มีเรื่องใดที่น่าเจ็บใจไปกว่าการแพ้ผู้ได้รับบาปแห่งความเย่อหยิ่งอีกแล้ว
ไม่ใช่แค่นั้น
การพ่ายแพ้ต่อลูซิเฟอร์ ณ งานเทศกาลโลหิตมังกร หรือบนเกาะวาเรอร์ก็ต่างมีนัยยะสำคัญที่ย้ำเตือนถึงความอ่อนแอของตัวเอง
เคียวยะมักคิดเสมอว่า-
ถ้าหากว่าแกร่งกว่าลูซิเฟอร์ ทุกคนคงไม่ต้องลำบากเสี่ยงตายบุกไปชิงตัวหนิงกัน
ถ้าหากแกร่งกว่าลูซิเฟอร์ เมอันคงจะไม่ต้องโดนเรนลากกลับไป
ถ้าหากแกร่งกว่าลูซิเฟอร์ ทุกอย่างคงจะดีมากกว่านี้
ทั้งหมดเป็นเพราะตัวเอง เคียวยะคิดเช่นนั้น และปวดใจกับความอ่อนแอของตัวเองมาโดยตลอด ..แล้วก็โดยไม่รู้ตัว เคียวยะหลงใหลในความแข็งแกร่งของลูซิเฟอร์ขนาดที่หมกมุ่นอยากจะก้าวข้ามไปให้ได้
กล่าวได้ว่า–เวลานี้ เคียวยะได้นับลูซิเฟอร์คือคู่แข่งอันดับหนึ่งไปแล้ว โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเองเลย
และมีหรือที่คนที่จะเกลียดความพ่ายแพ้ดั่งเคียวยะจะยอมให้คู่แข่งอันดับหนึ่งเหนือกว่าตัวเอง—ไม่มีทาง
ทั้งเรื่องที่ทุกอย่างจะดีกว่านี้ถ้าตัวเองแกร่งกว่านี้ ทั้งเรื่องที่แพ้ให้กับลูซิเฟอร์อย่างไม่รู้จบ ทุกๆเรื่องทำให้สภาพเคียวยะไม่ต่างกับซอมบี้กระหายชัยชนะที่พอไม่ได้ดั่งใจก็จะทำร้ายตัวเอง …ไม่ใช่นิสัยที่ดี แต่นั่นแหละเคียวยะ
ไม่ใช่คนดีแต่แรกอยู่แล้ว
“..ขออนุญาติครับ”
เสียงที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับเสียงเปิดประตูกระจก
เคียวยะหันไปมองทางเจ้าของเสียง และสบตาเข้ากับยูจิ พระเอกของโลกใบนี้
ยูจิมองเคียวยะที่ในมือเต็มไปด้วยบาดแผลจนเลือดอาบ
“ฝืนตัวเองไม่ดีนะครับ”
ยูจิเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แม้จะเย็นชาแต่ก็แฝงด้วยความอ่อนโยนเหมือนทุกที
“ไม่ใช่เรื่องของแก”
“นั่นสินะครับ แต่อย่างน้อยให้ผมช่วยรักษาเถอะครับ”
“..”
จังหวะนั้นเทียนหลงก็เดินเข้ามา และจ้องเคียวยะด้วยแววตาสุดดุดันจากข้างหลัง
“ตามใจ”
“ถ้านั้นก็”
ยูจิเดินเข้ามาและใช้หักล้างรักษาบาดแผลให้เคียวยะ
“สมกับเป็นท่านยูจิ ควบคุมท่านอลันได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยค่ะ”
“ยังห่างไกลครับ ถ้าเทียบกับการควบคุมวิญญาณระดับเทพของคุณเรเซอร์”
เมื่อรักษาเสร็จแล้วยูจิก็เริ่มฝึกฝนของตัวเอง ยูจิหงายมือและพึมพำเบาหวิว ทันใดนั้นก็ปรากฏบอลเพลิงขนาดยักษ์ที่มีรูปทรงเป็นธนู เมือได้เห็นเคียวยะก็ถึงกับอึ้งตาค้าง
“..บ้าอะไรวะเนี่ย นี่แกยูจิ แกทำแบบนั้นได้ยังไง บีบบอลเพลิงในสภาพนั้นให้มันไม่ระเบิดเนี่ยนะ!?”
ทักษะการควบคุมเวทย์ดีมาก อาจจะไม่ถึงขั้นเรเซอร์ที่เป็นเป้าหมายของเคียวยะ แต่นี่อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบแล้ว
“..ก่อนหน้านี้ผมได้สัญชาตญาณหลายอย่างมาน่ะครับ เกี่ยวกับการใช้พลังและการต่อสู้ เวทมนตร์หรือวิชาดาบที่ไม่รู้จักบางอย่างมันไหลเข้ามาในหัวเอง อย่างกับว่าครั้งหนึ่งเคยใช้มันมาก่อน ..ทักษะการควบคุมนี่ก็ได้มาจากเหตุการณ์นั้นครับ แต่ยังไม่ถึงจุดที่น่าพึงพอใจครับ”
ยูจิวินิจฉัยทั้งหมดโดยละเอียด จนเคียวยะแปลกใจเล็กน้อย เพราะยูจิดูจะไม่ใช่คนที่จริงจังกับการฝึกฝนด้านพลังเลย
“ถ้าเทียบกับคุณเรเซอร์ สิ่งนี้ยังห่างไกลนักครับก็แค่ละครปาหี่”
พูดจบยูจิก็สลายเวทย์ทิ้งและทำการร่ายใหม่ด้วยความรวดเร็ว ..
“ไม่มีดวงตามหาปราชญ์แต่ทำได้ขนาดนี้ ..มีเทคนิคอะไรสอนมาให้หมดซะ”
“..เรื่องนี้ถามคุณเรเซอร์น่าจะดีกว่านะครับ”
“ไอ้บ้านั่นบอกแค่ว่าลองทำเรื่อยๆก็พอ แล้วก็ถ้าฝึกทำตั้งแต่วงจรเวทย์ไม่สมบูรณ์ มันจะทำให้ชินกับการควมคุมได้ง่ายขึ้น ซึ่งฉันไม่มีทางย้อนกลับไปทำได้แล้ว ฉันไม่สามารถเลียนแบบการพัฒนาของมันได้ เข้าใจมั้ย?”
“เจ้ามนุษย์ อย่าได้วางท่าอย่างนั้นใส่ท่านยูจิเป็นอันขาด หากเจ้าทำอีกรอบ ข้าจะลงมือสังหารเจ้าเสีย”
“หา?? เป็นแค่ลิ่วล้อก็อยู่ในส่วนลิ่วล้อไป”
“ไอ้ชั้นต่ำนี่!”
เทียนหลงจะพุ่งไปซัดเคียวยะแต่ยูจิก็เดินมาขวางไว้ก่อน
“อย่าถือสาเค้าเลยครับ เทียนหลง ..ก่อนอื่น เทคนิคสินะครับ ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี”
ยูจิพยักหน้ารับคำถามเคียวยะพลางลูบคางครุ่นคิด
“ที่เราต้องทำคือการตีความครับ”
“ตีความ?”
“รูปทรงของเวทมนตร์ผลิกผันไปตามสูตรเวทย์ ไฟเยอร์บอล บับเบิ้ล วินด์ชิลด์ ธันเดอร์ช็อต ทั้งหมดมีสูตรตายตัวครับ เพียงแค่จำสูตรได้ มีมานาพอ วงจรเวทย์ถึงขั้น เราก็สามารถใช้ได้แล้ว และหากเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็จะใช้ได้ดียิ่งขึ้นไปอีก แต่เราไม่สามารถบิดงอเวทมนตร์ได้ครับ เพราะทุกอย่างคือสูตรตายตัว การจะเปลี่ยนทรงของก้อนมานาจึงเป็นไปได้ยาก”
“ใช่แล้ว เพราะอย่างนั้นนั่นแหละเลยไปไม่ถึงไหนสักที่”
“ครับ เพราะอย่างนั้นผมเลยคิดว่าเราจำเป็นต้องเข้าถึงแก่นแท้ของมานาครับ ..เข้าใจต้นกำเนิดของเวทมนตร์ ถ้าไปถึงจุดนั้นได้ เราจะไม่ใช่เพียงผู้ใช้เวทมนตร์หรือผู้สร้าง แต่จะเป็นเจ้าแห่งมานาครับ–จุดนี้ ผมไม่มีทางไปถึงได้แน่ ตัวผมไร้ซึ่งดวงตาที่มองไปถึงแก่นแท้ได้ คุณเรเซอร์ก็ด้วย พวกเราไม่มีทางไปถึงจุดนั้นได้” ยูจิยิ้มให้ “แต่คุณเคียวยะมีดวงตามหาปราชญ์ ดวงตาที่สามารถมองแก่นแท้ของโลกได้ ถ้าเป็นคุณเคียวยะจะต้องไปถึงจุดเดียวกับเจ้าแห่งมานาได้แน่นอนครับ ..หากไปถึงพื้นที่นั้นได้ คุณเคียวยะจะต้องแข็งแกร่งอย่างก้าวกระโดดแน่นอนครับ”
เคียวยะยืนนิ่งมองใบหน้าของยูจิ รอยยิ้มที่เปลี่ยนไปแต่ก็ยังแฝงสิ่งเดิมๆไว้อยู่ของยูจิทำให้เคียวยะผ่อนคลายลง
“เข้าใจแล้ว ..ก่อนอื่น ทางนี้คงต้องนั่งวิเคราะห์แก่นแท้ของเวทมนตร์ก่อนสินะ”
“ตามที่คุณเคียวยะเห็นว่าดีครับ”
“ตามนั้น”
เคียวยะเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาผาดกับไหล่และเดินออกจากห้อง แต่ก่อนหน้านั้น
“ช่วงนี้ทะเลาะกับเรเซอร์มันอยู่เรอะ”
“ทะเลาะ ..เรียกว่าทะเลาะได้ไม่เต็มปากหรอกครับ แค่เว้นระยะห่างกันหน่อยน่าจะดีต่อผมและเขามากกว่า”
“เรื่องเว้นระยะห่างนี่รวมหนิงไว้ด้วยรึ”
ไม่ใช่แค่กับเรเซอร์ ยูจิยังเว้นระยะห่างกับหนิงและเรย์เป็นพิเศษ ..
“..ฝากคุณหนิงไว้กับคุณเรเซอร์จะดีกว่าครับ”
“ก็ตามใจ ฉันไม่ใช่พ่อพระที่จะมานั่งสวดเรื่องมิตรภาพบ้าบออะไรให้แกฟังอยู่แล้ว คิดจะทำอะไรก็ทำไปซะ ทางนี้ไม่คิดห้าม ..แต่ถ้ามีอะไรก็เรียกฉันละกัน ถือว่าตอบแทนบุญคุณในคราวนี้”
ผู้ชายปากแข็งที่แค่พูดว่า ‘มีอะไรก็บอกได้’ ยังต้องทำเก็กพูดแบบอ้อมๆ นั่นคือเคียวยะ ..ยูจิยิ้มตอบกลับ แต่ไม่ได้ขานรับอะไร ไม่ได้ตกลงว่าจะรับความช่วยเหลือหรือขอบคุณ มันไม่ต่างกับการตอบอ้อมๆว่า ‘ไม่จำเป็น’
เคียวยะหัวเราะขึ้นจมูกใส่หนึ่งทีก่อนจะเดินออกจากห้องซ้อมไป
สุดท้ายในห้องก็เหลือเพียงยูจิและเทียนหลง
เทียนหลงที่ยืนฟังทั้งสองคุยกันเริ่มเอ่ย
“ให้คำแนะนำแก่พรรคพวกของ เรเซอร์ ดราแคล์ จะดีหรือคะ?”
“ถ้าเขาถาม ผมก็มีหน้าที่คือตอบ เรื่องมันก็แค่นั้นครับเทียนหลง”
“ท่านยูจิไม่อ่อนข้ากับศัตรูในอนาคตไปหน่อยหรือคะ มีจอมมารถึงสองคนไม่พอ ยังมีมหามังกรที่เกิดจากความตายของท่านเทียแมธ ..เจ้าพวกมนุษย์พวกนั้น ข้า..ข้าน่ะ..” เทียนหลงกัดฟันกรามแน่น เปลวเพลิงผุดขึ้นรอบตัว “ข้าไม่มีทางให้อภัย–”
หักล้างพุ่งไปทำลายเพลิงของเทียนหลงก่อนที่มันจะโดนตัวเรือ นั่นทำให้เทียนหลงได้สติด้วยว่าตัวเองทำเรื่องเสียมารยาทต่อหน้ายูจิอยู่
“ที่ผิดน่ะไม่ใช่พวกเขาหรอกครับ”
“..”
“โลกใบนี้ต่างหากที่ผิด เป้าหมายผมไม่ใช่การโค่นพวกคุณเรเซอร์ หากแต่เป็นการทำลายตัววุ่นวายที่จะเข้ามาทำลายโลกต่างหาก ไม่ใช่คุณเรเซอร์หรือคุณเบลลามี ..ศัตรูมีแค่เรนครับ”
ยูจิหรี่ตาลง
“แน่นอน ถ้าพวกคุณเรเซอร์คิดจะเข้ามายุ่ง ผมจะหยุดพวกเขาเอง พวกเขาแค่นั่งพัก ใช้ชีวิตอย่างที่ควรก็พอแล้ว หน้าที่ทั้งหมดมันคือความรับผิดชอบของผม”
..
“เพื่อการนั้น ผมจำเป็นต้องมีพลังที่มากกว่านี้ พลังที่มากพอจะโค่นเอเธอร์ ไม่สิ ยิ่งกว่านั้น ที่ผมต้องการพลังที่ไม่ใช่แค่โค่นแกร่งสุดบนโลกได้ ไม่ใช่แค่เหนือกว่าจอมมารหรือเหนือกว่าพลังที่ออร่ามอบให้ผม ที่อยากได้จริงๆคือพลังที่มากพอปกป้องโลกใบนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว ..เป้าหมายแรกคือการเหนือกว่าคุณเรเซอร์ด้วยตัวผมเองก่อนครับ”
ยูจิถอดเสื้อนอกออก และหันมาทางเทียนหลงพร้อมกับดาบไม้บนมือ
“เพราะอย่างนั้นเทียนหลง–ช่วยเป็นคู่มือให้ผมทีสิ”
****
ทุกคนกำลังพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว มีทางที่ตั้งไว้ มีจุดเส้นชัยชัดเจน
บางทีแค่เดือนเดียว ผมอาจจะโดนแซงแล้วก็ได้ เรย์ที่คิดว่ายังไงก็ไม่มีทางมาถึงจุดเดียวกับผมได้ ตอนนี้ก็ชักจะไม่แน่ใจแล้ว ..ผมใกล้จะตกกระป๋องแล้วสินะ?
ก็ว่าไป—การที่พวกเขาแข็งแกร่งได้คือเส้นชัยของผมอยู่แล้ว
ผมคิดกับตัวเองเช่นนั้นขณะที่กำลังมองดวงจันทร์อยู่ ..ผมเช็ดเหงื่อที่ไหลจากการดวลกับเรย์กว่าสิบรอบ และนั่งชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนบนสวนจำลอง
ที่สวมตอนนี้มีเพียงเสื้อยืดบางๆเท่านั้น พอโดนเหงื่อผมก็มีแก็บเห็นผิวตัวได้ จุดนี้ว่าตามตรงรู้สึกแปลกๆ สำหรับชายฉกรรจน์ที่เสพสื่ออนิเมมามากมาย คิดว่าแก็ปนี้มีไว้ให้ผู้หญิงอย่างเดียวเสียอีก แต่ไม่ใช่ โลกใบนี้กว้างใหญ่กว่านั้น
ผู้ชายเองก็ใส่เสื้อบางแล้วเซอร์วิสได้เหมือนกัน ..แต่ให้ผู้ชายด้วยกันมาดูก็รู้สึกแปลกๆแฮะ แล้วก็พอเป็นผู้ถูกกระทำนี่ก็อดอายไม่ได้เลย
นี่สินะความรู้สึกของเหล่านางเอก
พอคิดแล้วนางเอกก็มาเลย
หนิงเหรอ?
ไม่ใช่
เบลลามีต่างหาก นางเอกของผม
คิดแล้วก็น่าอายแฮะ
เบลลามีเดินมาหาผมในชุดนอนน่ารักราวกับเด็กประถม
“มาทำอะไรตรงนี้เหรอ?”
“อยากพักผ่อนนิดหน่อยน่ะ ..ช่วงนี้เจอเรื่องเครียดเยอะนี่นะ”
ผมชายตามองเบลลามีแล้วรู้สึกโล่งอก
อาการดีขึ้นแล้ว
“..ลำบากแย่เลยนะ ขอโทษนะ”
“ไม่หรอก ..เบลลามี”
“อะไรเหรอ”
“ครั้งนี้เหมือนจะยังไม่หายไปนะ”
“…”
“ยังคิดว่าสักวันตัวเองจะหายไปอยู่รึเปล่า”
เบลลามียิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ดีที่สุดในช่วงหนึ่งเดือนมานี้เลย
ขอบคุณครับ
“..ไม่รู้เหมือนกันสิ บางทีครั้งหน้า–”
เธอไม่ได้พูดจริงจังอะไร แค่พูดเล่นตามสไตล์เบลลามีเท่านั้น แต่ว่า–จะไม่ยอมให้มันเป็นเรื่องตลกเด็ดขาด
การที่เบลลามีจะหายไปในสักวัน มันไม่ใช่เรื่องตลก
“จะไม่มีครั้งหน้า เพราะเธอจะไม่มีทางหายไปอย่างแน่นอน”
“…”
เพราะจู่ๆก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกระมัง เบลลามีถึงได้เงียบไปเลย
ผมค่อยๆผ่อนคลายความตึงเครียดลง และพูดด้วยแบบปกติ
“จะว่าไปเบลลามี แองเจลิน่าได้ทำอะไรเธอบ้างรึเปล่า”
“ไม่เลยนะ ..พี่ของเรเซอร์ใจดีกับเรามาก”
“นั้นเหรอ ดีจังนะ แล้ว ..แองเจลิน่าได้พูดอะไรแปลกๆบ้างมั้ย”
เบลลามีนิ่งไป จ้องตาผมสักพักก่อนจะยิ้มให้
…
…
ไม่ใช่แค่ยูจิที่อยากจะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ ผมเองก็ด้วย
อยากจะได้พลังที่ทุกคนสามารถวางใจให้ผมได้ อยากได้พลังที่มากพอจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้
พลังที่มากพอจะเปลี่ยนความตั้งใจของจอมมาร ทำให้ความพยายามกว่าหมื่นปีของจอมมารเป็นเพียงของไร้ราคา
พลังที่มากพอจะทำให้ความทะเยอทะยานของเรนมันสูญเปล่า
พลังที่มากพอจะฝ่าฝืนทวยเทพทั้งหมด
ไม่ใช่ ‘ทำลาย’ แต่เป็นการ ‘เปลี่ยนแปลง’
นั่นล่ะคือพลังที่ผมปารถนา
เพื่อการนั้นแล้ว ..ผมพร้อมจะคว้าทุกอย่าง ข้อผิดพลาดของโลก ความรักของโซล่า ผมจะใช้ทุกอย่างที่มีแปรเปลี่ยนมาเป็นพลังที่มากพอจะ ..มากพอจะ—ปกป้อง
****
ตั้งแต่ถือกำเนิด เรเซอร์ ดราแคล์ก็ปารถนาในความรัก
อายุ 12 ปี ได้ลืมตาตื่น
อายุ 15 ปี ออกเดินทาง
นั่นคือเส้นทางชีวิตของชายที่ชื่อว่า ‘เรเซอร์ ดราแคล์’
เขาคือผู้ไม่รู้จักพอใน เป็นคนโลภ เป็นตัวตนที่ขัดต่อตัวตนของทวยเทพทั้งมวล
“เอาล่ะ วันนี้อากาศดีทีเดียว”
เรเซอร์ ดราแคล์ เดินออกจากตัวเรือ และจ้องมองท่าเรือที่อยู่ห่างไกลแต่ยังอยู่ในระยะสายตา รับสายลมและแสงแดดยามเช้าตรู่
…เรเซอร์ ดราแคล์ในปัจจุบันน่ะเหรอ?
‘อายุ 17 ปี กำลังไขว่คว้าหาพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง’