เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 168
< < 121 Sec1 > >
โลกถูกย้อมไปด้วยเพลิงนรก ท้องฟ้าไร้ซึ่งแสงสว่าง ผืนดินเหี่ยวแห้งยากจะให้สิ่งมีชีวิตอยู่ บ่อน้ำระเหยจนเหลือแต่ซากสิ่งมีชีวิต ภายใต้สถานการณ์สุดเลวร้าย หญิงสาวค่อยไปทางเด็กสาวผู้มีเลือนผมสีขาวสง่างามได้ยืนอยู่บนโบราณสถาน
“พอใจแกแล้วหรือยัง ออโรโบรอส”
หญิงสาวส่งสายตาอาฆาตไปทางแขกผู้มาเยือน ..ชายหนุ่มรูปงามในชุดผ้าคลุมสีขาวไร้สิ่งมัวหมอง
ชายหนุ่มตอกกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยอารมณ์
“พอใจเหรอ? ขอโทษด้วยนะ ไม่ใช่ว่าเจ้าหรือไงที่พรากทุกอย่างไปจากข้า การที่ข้าจะขอถวงคืนสิ่งที่เสียไปมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างไร”
“พราก? น่าขัน ผู้ที่ถูกพรากอิสระไปอย่างเราจำเป็นต้องเห็นใจด้วยรึ? แต่ก็นั่นสินะ ก็ถูกของแกอยู่บ้าง ทวยเทพเช่นแกคงเห็นพวกเราเป็นเพียงข้ารับใช้ที่ว่างเปล่า การถูกข้ารับใช้ที่สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองทรยศจะเจ็บใจก็ไม่แปลก แล้วยังไงต่อ? การที่มนุษย์จะแสวงหาอิสรภาพคือเรื่องที่ผิดหรือ? หากจะโทษก็จงโทษพวกเจ้าที่สร้างพวกเรามาสิถึงจะถูก”
“เห็นแก่ตัวอะไรขนาดนี้ ..สมกับเป็นจอมมารเลยนะ จอมมาร ไม่ข้าก็เจ้า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องไม่ได้อะไรเลย และจมลงสู่ความมืดมิด”
“ซึ่งนั่นไม่ใช่เรา”
“แน่นอนว่าคงไม่ใช่ข้าด้วย”
ทั้งสองจ้องหน้ากัน ก่อนที่หญิงสาวจะหัวเราะออกมา
“เอาเถอะ ทั้งแกและเราตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้มาก ข้ารับใช้ของเราต่างตายกันหมดแล้ว ข้ารับใช้ของแกเองก็ด้วย ทั้งอย่างนั้นประตูสู่แดนสวรรค์ยังไม่เปิดออก” หญิงสาวถอนหายใจ “เพราะฉะนั้น.. เรื่องทะเลาะวิวาทของเราคงต้องไปสานต่อในอีกหลายพันปี”
“ข้าจะรอคอยวันนั้น”
“แหม่ น่ายินดีเหลือเกินที่มีคนมาคอยรอด้วย ถ้านั้นก็—ทำงานเสีย [กฏแห่งวิญญาณระดับเทพ]”
จอมมารได้เพิ่มกฏของวิญญาณระดับเทพเข้าไปในโลก และค่อยๆสลายไปพร้อมกับแสงสีขาว ทิ้งให้ออโรโบรอสยืนอยู่คนเดียวบนโลกที่ล่มสลาย
“..ข้าเองก็ต้องไปเหมือนกันสินะ ..สู่การต่อสู้ในยุคต่อไป”
กล่าวจบร่างของออโรโบรอสก็สลายตามไปด้วย
****
เพียงแค่สามวัน เรื่องราวบนเกาะวาเรอร์ก็ถูกเผยแพร่ไปที่คนใหญ่คนโตของอาณาจักรมหาอำนาจทั้งหลาย ไม่ว่าจะสี่อาณาจักรมหาอำนาจหรือจักรวรรดิราชามังกรต่าง ระดับผู้นำต่างได้ข่าวสารจากหน่วยข่าวกรองของตัวเอง และได้เริ่มการประชุมใหญ่ครั้งใหญ่ขึ้นในที่สุดตามแต่ล่ะที่
หัวเรื่องคือ—อาชญากรโลก ‘เรน’
ตามที่ทุกแห่งเข้าใจกัน ที่เกาะวาเรอร์จอมมารและเทียนหลงไม่ได้ปรากฏขึ้นอย่างที่รู้กัน ทุกคนเข้าใจกันว่าเรนตั้งใจจะปลุกเทียนหลงด้วยวิธีแปลกๆจนเกิดการต่อสู้กับทหารภายในเกาะ เพราะมีเอเธอร์อยู่ด้วยทำให้เรนไม่สามารถทำตามที่ต้องการได้ง่ายๆ และต้องล่าถอยในที่สุด
ทว่า
หลายรายงานกล่าวไว้ว่ามีการต่อสู้ที่เกินขอบเขตุทำลายล้างของเอเธอร์ไปมาก และคาดกันว่าอาจจะเป็นเทียนหลงก็เป็นได้ ซึ่งตอนนี้ก็ยังหาตัวเทียนหลงไม่เจอ เป็นเพียงคำรายงานที่ไร้การยืนยันเป็นรูปเป็นร่าง แต่จากหลายๆหลักฐานรวมกัน ทำให้อนุมานได้ว่าเทียนหลงคงจะปรากฏตัวแล้ว
ด้วยความเสียหายมากมาย จากจุดเริ่มต้นซึ่งมาจากเรน ทำให้ต้องมีการประเมินเรนใหม่
อาจจะไม่ใช่ด้วยพลังของตัวเองคนเดียว แต่หากรวมกับกำลังทั้งหมดที่มี รูปเหตุที่เกิดขึ้นก็บ่งบอกได้ว่าเรนมีพลังมากพอจะยื้อเอเธอร์ไว้ได้โดยที่ต้องรับมือกับทหารบนเกาะวาเรอร์นับร้อยชีวิต ยังไม่รวมเทียนหลงหรือปัจจัยอื่นๆอีก ไม่ทราบด้วยว่าเรนเสียหายแค่ไหน บางทีทุกอย่างอาจเป็นไปตามแผนเลยก็ได้ เอเธอร์อาจจะได้แค่ยื้อชีวิตตัวเองแต่แพ้ด้านเป้าหมายก็ได้ ..แค่หนีรอดจากเอเธอร์ได้ก็นับว่าน่าเหลือเชื่อ
ด้วยปัจจัยข้างต้น การประเมินจึงได้รับการเปลี่ยนแปลง
เรนไม่ใช่แค่อาชญากรโลกแล้ว บักนี้เรนได้รับการประเมินใหม่ในฐานะ ‘ภัยพิบัติ’ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ระดับภัยพิบัติมีบันทึกไว้เพียงแค่ช่วงสี่มหามังกรอาละวาดเพียงเท่านั้น มันคือความเสียหายระดับล้างโลกได้โดยไม่ต้องพึ่งสงคราม ..เรนคือตัวตนที่มีความเป็นไปได้จะให้เกิดเรื่องราวดั่งยุคสี่มังกรธาตุ จึงนิ่งเฉยไม่ได้อีกแล้ว
แม้จะยังไม่เป็นทางการ แต่หลายอาณาจักรก็ประเมินไว้ดังนี้แล้ว การเปลี่ยนแปลงจึงกำลังจะตามกันมา เหมือนดั่งในทุกๆยุคสมัยในช่วงผลัดเปลี่ยน ไม่ว่าจะ–
ยุคโบราณ (0-10,000 ปี) ‘ยุคแห่งจุดเริ่มต้น’
ยุคมหาสมุทร(11,000-13,700 ปี) ‘ยุคแห่งการสำรวจ’
ยุคมังกรธาตุ(13,700-14,000ปี) ‘ยุคแห่งหายนะ’
ยุคแย่งชิงอำนาจ(14,000-15,000ปี) ‘ยุคแห่งสงคราม’
ยุคผู้กล้า(15,000-16,000 ปี) ‘ยุคแห่งวีรบุรุษ’
และสุดท้ายยุคปัจจุบัน ชื่อเรียกของยุคต้องฝากไว้ที่คนรุ่นหลัง
ด้วยเหตุนี้เอง ..โลกจึงกำลังจะเข้าสู่ความวุ่นวายอีกหน
สงคราม? หายนะ? กำเนิดวีรบุรุษ? ข้างต้นคือสิ่งที่จะตามมา
แน่นอนว่าหลายชีวิตยังไม่พร้อมต่อภัยพิบัติ แต่มันคือเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใช่ ช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่มันก็เป็นเช่นนี้เสมอ ทุกอย่างคือเรื่องช่วยไม่ได้
****
เรือไอน้ำขนาดใหญ่กำลังมุ่งไปที่อาณาจักรเนลยอน อีกเพียงไม่นานคงจะถึง เพราะสามารถมองที่ตัวอาณาจักรได้จากบนเรือ
อาณาจักรที่งดงามและเต็มไปด้วยงานศิลปะ ตั้งอยู่กลางแม่น้ำจนไปถึงริมทะเล นั่นคืออาณาจักรเนลยอน หนึ่งในสี่มหาอำนาจแห่งโลก โดยมีชื่ออิงมาจากสี่มังกรธาตุในตำนาน ที่แห่งนี้บอกไว้ว่าเป็นสถานที่ที่ต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิต ด้วยงานศิลป์ที่แฝงไว้ทุกแห่งในเมืองไม่ว่าจะตึกบ้านเมืองหรือว่าทางเดิน แล้วบ้านเมืองยังเต็มไปด้วยเทคโนโลยีเวทมนตร์ที่ก้าวหน้า ตัวเมืองทุกจุดถูกสร้างอย่างปราณีตต่างกับอาณาจักรมหาอำนาจอีกสามแห่งลิบลับ (ตัวเมืองจะคล้ายกับเมืองญี่ปุ่นในยุคเอโดะ แต่จะอลังการกว่าเพราะมีเทคโนโลยีเวทมนตร์ และมีประยุกต์ศิลปะจากหลายอาณาจักรด้วยเล็กน้อย โทนของเมืองจะออกไปทางสีฟ้าอ่อน)
จุดเด่นคืออาณาจักรตั้งอยู่กลางทะเลไปจนถึงชายฝั่ง และมีเสายักษ์ที่ใช้ช่วยกางบาเรียร์รอบอาณาจักรทั้งหมดแปดจุด บาเรียร์จะช่วยป้องกันน้ำทะเล คลื่น และภัยอันตรายต่างๆมากมายได้ แม้แต่มหามังกรก็ไม่อาจทำลายบาเรียร์ได้โดยง่าย
ไม่ใช่แค่ประสิทธิภาพ แปดเสาที่ช่วยกางบาเรียร์ก็มีความสวยงามเช่นเดียวกับภายในอาณาจักร แม้จะถูกสร้างไว้นับพันปีแล้วก็ตาม
เสาทั้งแปดรู้จักกันในชื่อ ‘เบ็นไซเทน’ เพราะผู้คิดค้นหลักๆมาจากตระกูลเบ็นไซเทนอันเป็นตระกูลอัศวินเก่าแก่ของอาณาจักร
อนึ่งในอาณาจักรเนลยอนจะแตกต่างกับอาณาจักรอื่นค่อนข้างมาก ระบบขุนนางของที่แห่งนี้ ยศอัศวินจะเป็นยศเฉพาะของตระกูลเก่าแก่ โดยมีตระกูลหลักๆทั้งหมด 5 ตระกูล ได้แก่
‘เบ็นไซเท็น’ ตระกูลอัศวินที่ขึ้นชื่อด้านการประดิษฐ์
‘เท็งงุ’ ตระกูลอัศวินที่มีขีดจำกัดสายเลือดในการบิน
‘เอบิซึ’ ตระกูลอัศวินที่ถูกกล่าวขานว่าเชี่ยวชาญการต่อสู้ในมหาสมุทรสุดบนโลก
‘อินาริ’ ตระกูลอัศวินผู้เชี่ยวชาญวิชาไสยศาสตร์กับสัตว์
‘บิชามอนเทน’ ตระกูลอัศวินอัจฉริยะแห่งการต่อสู้
ตระกูลอัศวินทั้งหมดคือตระกูลที่ต้องรับใช้อาณาจักรโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองภายใน กล่าวคืออัศวินไม่มีสิทธิ์เลือกเจ้านายดังที่ขุนนางทำได้ ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินจะต้องแต่งงานเข้าสักตระกูลหนึ่งถึงจะเรียกตนเองว่าอัศวินและแบกสกุลในตำนานทั้งห้าได้
ที่แห่งนี้ราชาหรือตระกูล ‘อามาเทราซึ’ จะไม่ใช่ผู้ปกครองหลัก แต่เป็นรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐมนตรีจะมีอำนาจการตัดสินใจสูงที่สุด โดยที่ข้อเสนอต่างๆต้องผ่านการเห็นชอบจาก ‘ราชา’ ‘ประชาชน’ และ ‘ขุนนาง’ เสียก่อน
ไม่ใช่เพียงตัวเมืองที่สวยงาม ระบบการปกครองของอาณาจักรเนลยอนก็ดูดีกว่าที่อื่นๆ สามารถบอกได้เต็มปากเลยว่าอาณาจักรเนลยอนคืออาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลก หากไม่สนมหาอำนาจที่อื่น
“ทั้งๆที่เป็นอาณาจักรชั้นยอดแท้ๆ แต่ดันมีแต่ผู้นำน่ากุมขมับที่ชอบใช้งานลูกน้องโดยไม่ใส่ใจความรู้สึก”
..ผู้โดยสาร
‘วิน’ บ่นขณะที่กำลังโดยสารในเรือไอน้ำ เธอทำแก้มป๋องและบ่นเกี่ยวกับหัวหน้างานของเธอไม่หยุด แน่นอนว่าไม่ได้บ่นคนเดียว เธอบ่นให้คนข้างๆฟัง
“นี่ ฟังนะๆๆ”
“พอทีเถอะ บ่นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก”
ชายข้างๆตอบกลับวิน ทำให้วินหน้ามุ๋ยเล็กน้อย
“ลุงพาโวนี่นะ”
‘พาโว’ คือชื่อของชายคู่สนทนาของวิน เขาเป็นชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบทหารเนลยอนสีดำและสวมหมวกแก๊ปทหาร(เยอร์มัน)สีโทนเดียวกับชุด ประดับตกแต่งด้วยลวดลายสีเงินตราอินทรีย์ตามสไตล์ของอาณาจักรเนลยอน
ตัวสูงร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตร บนใบหน้ามีรอยแผลขนาดใหญ่ลากจากใต้ตาไปลำคอ ไว้ผมสั้น เส้นผมมีผมหงอกขึ้นมาบ้างบางจุด มีผิวสีเข้ม
อย่างที่รู้กันดีจากชื่อ ‘พาโว ซี มารีน’ นักดาบชื่อดังแห่งอาณาจักรเนลยอน ปัจจุบันอายุราวๆสี่สิบปี มีฉายาว่า ‘ดาบนกยูง พาโว’ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในเจ็ดคาปสมุทรที่ยืนยันได้ว่ามีชีวิตอยู่
“แทนที่จะบ่น เก็บแรงในตอนนี้ให้ได้มากที่สุดจะดีกว่า ..ยังไงซะเธอก็เป็นคนสำคัญของอาณาจักร จะให้เธอพักคงไม่ได้หรอก ที่สำคัญไม่ใช่ว่าเธอควรตระหนักรู้สถานะของตัวเองตั้งแต่แรกแล้วหรือวิน”
มนุษย์ทดลองเพื่อรับวิญญาณระดับเทพโดยเฉพาะ หนึ่งในอาวุธของอาณาจักรเนลยอน ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ลืมตาตื่น ชีวิตของวินก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ..ทั้งอย่างนั้นทางอาณาจักรก็ยังใจดี รับปากว่าจะดูแลน้องสาวต่อหลังจากที่เธอตาย
หนึ่งในโรคเกี่ยวกับมานาบริสุทธิ์ ฝาแฝดที่ถูกแยกส่วน วินจะได้เพียงจิตแต่ไร้ซึ่งร่างกายที่จะใช้ชีวิตได้ แฝดอีกคนจะได้ร่างกายที่สมบูรณ์และแข็งแรงกว่าเท่าตัวแต่ไร้จิต
สภาพเดิมของวินไม่ต่างกับก้อนเนื้อน่าหยะแหยงเลย จนกระทั่งได้รับการปลูกร่างและพลังของราชาไสยศาสตร์มา มันคือช่วงชีวิตที่น่าเศร้าที่สุดของเธอ…พอพาโวยกเรื่องส่วนตัวขึ้นมาพูด วินเลยทำหน้าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่
“รู้แล้วน่า งานก็คืองาน ถึงจะบ่นแต่ฉันก็ทำอยู่ดี ลุงไม่ต้องห่วงหรอก ทางนี้แค่อยากบ่นแก้เครียดเอง”
“เข้าใจก็ดี เธอเองก็คือหนึ่งในทหารของอาณาจักร อย่างน้อยก็ควรเคราพนายเหนือหัว”
“..จริงจังตลอดเลยนะ คุณไรเดนกับเจ้าหญิงโทมิเลียยังไม่เป็นอย่างลุงเลยนา”
ลุงไรเดน หรือ ‘ไรเดน อาคาสะ’ นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักร
โทมิเลีย หรือ ‘อามาเทราซึ โทมิเลีย’ เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรเนลยอน
“หัดผ่อนคลายบ้างเถอะ”
“ผ่อนคลายนั้นเหรอ ..เรื่องนั้นไว้หลังความปารถนาของฉันเป็นจริงล่ะกัน”
“ความปารถนา? อ๋อ ที่บอกว่าจะเป็นนักดาบที่แกร่งที่สุดเหรอ? ฮ่าๆๆๆ ไม่ไหวหรอกๆลุง กลับไปเลี้ยงหลานเถอะ”
วินพูดโดยไม่คิด เพราะพอนึกถึงเทพดาบแล้วความทรงจำสุดโหดก็ลอยเข้ามาในหัว—อ๊ะ
วินพึ่งรู้สึกตัวก็ปิดปากตัวเอง เธอค่อยๆหันไปมองพาโว
“ขะ..ขอโทษนะคะ”
“ไม่มีปัญหา ที่พูดคือความจริงไม่ใช่รึไง” พาโวยิ้มออกมา “ที่สำคัญช่วยบอกระยะห่างของฉันตอนนี้กับท่านเทพดาบทีสิ”
“..ประมาณคุณไรเดนกับลุงพาโวล่ะมั้ง?”
ได้ยินอย่างนั้นพาโวก็เบิกตาโพงกว้าง ก่อนจะค่อยๆข่มตาลง
“แบบนี้นี่เอง ต่อให้พยายามอีกร้อยปีก็ไม่มีทางเป็นไปได้นี่เอง ช่างตลกร้ายเสียจริง”
“วิชาดาบของเทพดาบมันเกินวิชาดาบปกติไปแล้วล่ะ ..ให้ไปสู้ด้วยครั้งที่สองไม่เอาแล้ว”
“ทำให้ผู้ถือครองวิญญาณระดับเทพที่แข็งแกร่งที่สุดกลัวได้ขนาดนี้ แค่ร้อยปีคงจะเป็นไปไม่ได้ ..อีกสักพักปีอาจจะใกล้เคียง”
…
“..”
จู่ๆบรรยากาศรอบตัวของพาโวก็เปลี่ยนไป วินรู้สึกกลัวพาโวเล็กน้อย
“ยังไงก็เถอะ วิน กว่าจะถึงคงอีกไม่กี่ชั่วโมง พักผ่อนซะตอนนี้เลย”
“ว่าจะกลับไปนอนบนเตียงนิ่มๆน่ะค่ะ”
“ไม่มีเวลาหรอก พักซะ ..ทันทีที่ถึง จะมีเรียกประชุมรวมเลย และบางที—เร็วๆนี้อาจจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่ในรอบสิบปีก็เป็นได้”
วินเอียงคอฉงน คิดสักพัก..ก่อนจะหน้าซีด
“หะ ให้ได้พักบ้างเถอะ!!!!!!”
****
ณ อาณาจักรเกรล ภายในปราการลอยฟ้าอันเป็นที่อยู่ของราชวงศ์
‘เลออน อัลเบียล’ เจ้าชายแห่งอาณาจักรเกรล ปัจจุบันอายุเพียง 14 ปี แต่มีสถานะไม่ต่างกับผู้ปกครองประเทศเต็มตัว เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีราวกับพระเจ้าปั้นเองกับมือ ขณะนี้เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เคลื่อนที่ และอ่านรายงานที่จั่วหัวไว้ว่า ‘เกาะวาเรอร์’
เมื่อใช้สมาธิอ่านจนจบ เลออนก็วางรายงานกว่าสิบแผ่นไว้บนโต๊ะทำงาน ก่อนจะถอนหายใจออกมาและหันไปมองทางขวามือซึ่งเป็นทางสู่ทางเข้าและทางออกในห้อง
บริเวณประตูที่ตกแต่งอย่างสวยงามตามฉบับห้องส่วนตัวของเจ้าชาย มีชายคนหนึ่งยืนพิงประตูอยู่
เขาเป็นชายตัวสูงกว่าสองเมตร สวมชุดจีนโบราณผู้ชายโทนสีเทา มือข้างซ้ายถือร่มสีใสเอาไว้ เขาสเป็นชายรูปงาม ใบหน้าดูสวยและหล่อในเวลาเดียวกัน ไว้ผมยาวสีดำ มีดวงตาสีเหลืองอ่อน ผิวสีขาวราวกับหิมะ
ให้กล่าวสั้นๆเขาคือหนุ่มหน้าสวยที่แผ่ออร่าความฉลาดออกมาเต็มที่
“ลมอะไรหอบให้ ‘ท่านเซียน’ มาแจ้งข่าวนี้ด้วยตัวเองหรือครับ”
ท่านเซียน—ใช่ ชายผู้นี้คือเซียน ตัวตนที่ทรงสติปัญญาที่สุดบนโลก อาศัยอยู่ลับๆที่หุบเขาอาณาจักรเกรล ไม่ได้ทำงานให้อาณาจักรเกรลโดยตรงแต่ก็ไม่ใช่ศัตรูกัน อีกทั้งเขายังช่วยงานเลออนบ้างในบางครั้ง
“ข้ามาเพราะสนใจนิดหน่อย และอยากจะทราบความเห็นของท่านราชาแห่งเกรลผู้ทรงปัญญาด้วย”
ราชา ใช่ เลออนคือเจ้าชายที่มีอำนาจทัดเทียมกับราชา ว่าโดยตำแหน่งเป็นเพียงเจ้าชาย แต่ว่าโดยอำนาจในอาณาจักรเขาเป็นราชาไปแล้ว พ่อของเขา ราชาคนปัจจุบันเป็นเพียงราชาหุ่นเชิดของเขาอีกทีเท่านั้น
“นั่นสินะครับ ..เร็วๆนี้เรนคงจะกลายเป็นตัวตนระดับภัยพิบัติ และคงถูกตามล่าจากทุกอาณาจักรกระมังครับ แน่นอนก่อนหน้านั้นคงต้องสื่อสารกันให้เข้าใจทุกอาณาจักรก่อน”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นสิท่านราชา ที่ข้าสงสัยคือแนวทางชีวิตต่อจากนี้ของท่านต่างหาก–มิใช่ว่าท่านกับเรนคนนั้นกำลังร่วมมือกันอยู่หรือ?”
“..”
“ในวันที่เรนได้ขึ้นเป็นบุคคลอันตรายที่สุดบนโลก ท่านจะทำยังไงต่อ ข้าอยากรู้เหลือเกิน”
เลออนถอนหายใจอีกครั้ง
“ทางนี้ขอรอดูสถานการณ์ไปก่อนครับ จะให้ร่วมมือกับเรนสุดตัวเลยทางนี้จะผลอยซวยไปด้วยหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น”
“แบบนี้นี่เอง เช่นนั้นหากไม่เป็นการเสียมารยาทอะไร ข้าจะขอติดตามท่านสักพักหนึ่งได้หรือไม่”
เซียนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ..เลออนแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติเซียนมักจะยิ้มก็จริง แต่รอยยิ้มของเขาไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรเลย
“ไม่อยากเชื่อเลยนะครับว่ายุคสมัยปัจจุบันที่แสนน่าเบื่อของพวกเรา จะทำให้ท่านเซียนรู้สึกตื่นเต้นได้เนี่ย”
“นอกจากเรื่องของโลกใบนี้ก็มีเรื่องของคนที่ข้าสนใจอยู่บ้าง”
คนที่เซียนสนใจ—เลออนรู้สึกสงสัยจากใจจริง คนที่พอกระตุกหนวดของเซียนได้นี่ต้องเป็นคนยังไงกัน?
“หากข้าจำไม่ผิดไป ชายผู้นั้นน่าจะอยู่บนเกาะวาเรอร์ด้วยในช่วงเวลานี้”
“พูดถึงเอเธอร์นั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ครับ เขาคือเด็กที่ข้าพบเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้—ตอนนี้คงเติบโตเป็นชายหนุ่มแล้ว”
เด็ก—เติบโตเป็นชายหนุ่ม
“สนใจคนของอาณาจักรฟัฟนิร์เหรอ แถมยังเป็นนักเรียนอยู่ด้วยสินะ น่าสนใจ พอจะเอ่ยนามของคนๆนั้นให้ผมทราบด้วยจะได้มั้ย”
เซียนพยักหน้า และเอ่ยนามออกมาโดยไม่ได้หวงแต่อย่างไร
“เรเซอร์ ดราแคล์”
เลออนเบิกตาโพงกว้าง
“มีอะไรน่าตกใจหรือ?”
“..เรเซอร์ ดราแคล์ ใช่ผู้ถือครองยูนาหรือเปล่า เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มรายชื่อคนที่ผมระบุไว้ว่ามีโอกาสเป็นผู้ถือครองยูนา”
เซียนพยักหน้ารับ ..เลออนได้ยินก็จับปลายคางครุ่นคิด
“ ..เมื่อสามปีก่อน เรเซอร์ ดราแคล์ได้ออกเดินทาง จากนั้นไม่นานก็ค่อยๆได้เบาะแสเกี่ยวกับพลังของยูนาจากในหลายทวีป เขาคงจะเดินทางไปหลายที่และได้เจอกับท่านเซียน–ตอนนี้ก็ศึกษาอยู่ที่โรงเรียนเวทมนตร์” เลออนหรี่ตาลง “เหตุการณ์บนเกาะวาเรอร์อาจจะไม่ใช่อย่างที่รายงานระบุไว้ซะทีเดียว”
“ข้าเห็นด้วย”
เลออนถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะหันหน้าไปทางเตียงนอนใหญ่เกินจำเป็น ซึ่งมีเด็กสาวร่างเล็กในชุดกาวน์นักวิทยาศาสตร์นอนอยู่
‘เกรล’ มหามังกรปฐพี ขณะนี้กำลังนอนกินคุกกี้ด้วยแขนซ้าย และใช้แขนขวาอ่านนวนิยายเล่นอยู่บนเตียงอย่างไม่สนโลก เธอไม่แม้แต่จะเงี่ยหูฟังบทสนทนาของทั้งสองด้วยซ้ำ
“เกรล”
ทันทีที่ถูกเลออนเรียก เกรลก็ทิ้งคุกกี้และหนังสือลงบนเตียง และกระโดดมาหาเลออนอย่างรวดเร็ว
“ว่าไง”
“เร็วๆนี้อาจจะขอใช้งานเธอหน่อย เตรียมตัวไว้ให้ดี”
“เข้าใจแล้ว จะพยายามเพื่อเลออน”
พูดจบเกรลก็วิ่งเต๊าะแต๊ะไปนอนกินคุกกี้อ่านนิยายบนเตียงต่อ ..
“ในหมู่พี่น้องทั้งสี่ เกรลคงจะเป็นตนที่ขี้เกียจที่สุดสินะ”
“ครับ ..ประมาณนั้นเลย”
เลออนรู้สึกอายเล็กน้อย แต่เรื่องพฤติกรรมของเกรลไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ในตอนนี้เรื่องที่ต้องให้ความสนใจ คือเรื่องหลังจากนี้อีกไม่นานต่างหาก—-