เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 166: ส่งต่ออะไรบางอย่าง
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 166: ส่งต่ออะไรบางอย่าง
< < 120 > >
“..”
ตรงหน้าผมคือเบลลามีที่ต่างไปจากทุกที จากที่มีผมสีดำตอนนี้ผมของเธอได้แปรเปลี่ยนเป็นสีขาว ให้พูดก็ดูพิลึกแต่เบลลามีไม่ว่าจะมีผมสีอะไรก็ดูงดงามไปเสียหมด ..ถึงกระนั้นผมกลับไม่พอใจผมสีขาวที่เป็นอยู่ตอนนี้ ทั้งๆที่เธอไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบไหนก็ดูงดงามแท้ๆ แต่เธอเวลานี้ผมกลับไม่สามารถยอมรับได้
ทำไมกันนะ?
“เรเซอร์ ..ขอโทษนะ”
เบลลามี–ยื่นมือมาทางผม คล้ายตั้งใจจะยื่นมือมาให้แต่ไม่ใช่ มือนั่นไม่ได้ยื่นมาให้ผมคว้าเอาไว้ หากแต่ยื่นมาเพื่อทำให้ตัวตนของผมสูญสิ้น
เปลวเพลิงสีขาวพุ่งออกจากปลายฝ่ามือ พุ่งใส่หน้าผมและเผาร่างกายจนหมอด
เป้าหมายคือฆ่าผม ทั้งอย่างนั้นแววตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า …!!!
“…เบลลามี!!!!”
…เอ๊ะ
ผมได้สติก็หันไปรอบๆห้องและพบว่าตัวเองอยู่ในห้องสีขาว ..ใช่ หากให้บรรยายโดยย่อมันคือห้องที่มีสีขาวอยู่ซะส่วนมาก ถึงจริงๆแล้วจะไม่ใช่ห้องสีขาวซะทีเดียวก็เถอะ–ผมก้มหน้ามองตักของตัวเองที่ห่มไว้ด้วยผ้าสีห่มราคาแพงสีขาว
“ที่นี่ ..”
โรงพยาบาลสินะ?
ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น ..แบบนี้นี่เอง จะว่าไปก่อนหน้านี้
เรน จอมมาร เทียนหลง เทพดาบ—-เรื่องราวต่างๆนานาไหลเข้ามาในสมองภายในเวลาอันสั้น มันมากมายจนแอบคิดไปเลยว่าสมองอาจจะระเบิดซะตรงนี้เลยก็เป็นได้ แต่เหมือนว่าจะไม่
พวกเรนและเทพดาบพากันบุกเกาะวาเรอร์ ผมและวินต้องช่วยกันสู้กับเทพดาบจนรอดมาได้ ในจังหวะเดียวกันเทียนหลงก็ปรากฏตัว และ..ปีศาจมหาบาปทำให้จอมมารลืมตาตื่นในร่างของเบลลามี ผมช่วยไว้ไม่ทันและต้องเจอกับจอมมารอีกคน
สู้กับจอมมารอย่างดุเดือด และสุดท้ายก็ ..ชนะ?
อา บอกเต็มปากว่าชนะไม่ซะที่ไหน ..โซล่าคนหนึ่ง ..ตอนนี้เป็นยังไงก็ไม่รู้
ผมมองฝ่ามือที่แม้จะหนาแค่ไหน นี่คือมือของชายที่แม้จะพยายามยกระดับตัวเองแค่ไหนก็ไม่เพียงพอ ลำพังแค่มือนี้ไม่สามารถทำอะไรได้มาก
..อ่อนแอจังเลยนะ ตัวผมเนี่ย ต่อให้มีวินหรือหนิงคอยช่วย ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิด ต่อให้รู้มากมายแค่ไหนก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่รู้จนต้องเต้นตามฝ่ามือของอีกฝ่าย สุดท้ายก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย ถ้าตอนนั้นไม่ได้โชคดีว่าผมคือข้อผิดพลาดของโลกอะไรนั่น คงจะจบเห๋แล้วล่ะ
ล้มเหลวในฐานะผู้เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงเลย ….ผมกำหมัดแน่น ขบริมฝีปากเข้าหากัน จังหวะนั้นเองผ้าที่คอยกั้นรอบตัวผมไว้ก็เปิดออก
“โย้ว ตื่นปุ๊บก็ร้องหาแฟนสาวเลยเนอะ”
คนที่โผล่มาคือ ‘วิน’ นั่นเอง เธออยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนตามเดิม แต่วันนี้ไม่ได้ไว้ทรงโพนี่เทล จะมีก็แค่ผมที่ปล่อยยาวโดยไม่ได้มัดยางอะไรอย่างที่เคย
“ดูสุภาพขึ้นนะ”
“มีปัญหาอะไรกับโพนี่เทลเราเปล่าเพื่อนเลิฟ?”
ผมหยักไหล่ตอบวินนด้วยรอยยิ้ม ..
“ดูอารมณ์ดีจังนะ”
…
“ไม่ขนาดนั้นหรอก แล้วมีอะไรล่ะ นึกว่าเธอจะรีบหนีออกจากเกาะแล้วซะอีก งานในฐานะสายลับจบแล้วนี่?”
“ชู่วๆ ไม่ต้องพูดๆ ถ้าคนอื่นได้ยินมาจะทำไง”
“ไม่ใช่เรื่องของฉันนี่ ยังไงเธอก็เป็นคนจากอาณาจักรอื่นอยู่แล้วไม่มีผลได้ผลเสีย”
“เห็นแก่หน้าเพื่อนเถอะน่า! อุตส่าห์ร่วมผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน เรื่องคราวนี้ฉันให้เป็นอันดับต้นๆของเหตุการณ์ละทึกในชีวิตเลยนา” วินยกขาให้ผมดู “ขาขาดไปไม่รู้ตั้งกี่รอบวันก่อน! ไหงจะต้องฝืนตัวเองทำนู่นทำนี่อีก เฮ้ออออ นรกชัดๆ พวกเราในฐานะสหายร่วมรบอุตส่าห์ผ่านร้อนหนาวขนาดนนี้เชียวนา?”
ก็พอเข้าใจอยู่ล่ะนะ ..วินตั้งใจพูดให้ดูตลกแต่เหตุการณ์ตอนนั้นมันขำไม่ออกเลย จะเป็นจะตายห่างกันแค่นิดเดียวเท่านั้น ถ้าพลาดมีแต่รอบเดียวไม่ผมก็วินได้ตายไปคนหนึ่งแน่ และหากไม่มีใครสักคนก็คงไม่ได้ช่วยแบกกันจนรอดได้
เลเวลของเทพดาบกับจอมมารสูงเกินไปล่ะนะ
“พอๆ ไม่ต้องพูดแล้ว นึกถึงตอนนั้นแล้วทางนี้ก็กลัวไปด้วยเหมือนกันเลย”
“รู้แล้วน่า เอาเป็นว่าเงียบไว้อย่าบอกใครล่ะกัน นะ นะ”
วินทำท่าเซ้าซี้ใหญ่เอาเป็นเอาตาย พอเจอขนาดนี้ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนจะเปลี่ยนสายตาจ้องวินเขม็ง
“แต่ก่อนอื่น ช่วยบอกเป้าหมายให้ฟังทีจะได้รึเปล่า สหายร่วมรบเอ๋ย”
“..เอ่อ”
“ติดใจอะไรในตัวฉันกัน?”
“อ๊ะ..ก็รู้เป้าหมายอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?”
“อยากได้ฟังจากปากของสหายน่ะนะ”
..วินทำแก้มป่องใส่ และโพล่งอย่างหงุดหงิด
“เออ ใช่แล้ว โดนเนลยอนสั่งมาให้ตามสืบเรื่องของผู้ใช้ยูนา แค่นี้แหละ!”
“แบบนี้นี่เอง มีความไปได้ที่ฉันจะเป็นตัวอันตรายกับเนลยอนสินะ ..นั้นตัดไฟตั้งแต่ต้นลมดีกว่ามั้ยนะ? หมายถึงทางฉันนะ”
ถ้าเรื่องของผมไปถึงหูเนลยอนล่ะก็–วินสลายบรรยากาศผ่อนคลายประจำตัวทิ้งทันทีที่ได้ยิน เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าวและดูเชิง
“..เรเซอร์ ..นี่นาย”
…พอแค่นี้ดีกว่า
“ล้อเล่นน่า ไม่เห็นต้องทำหน้าอย่างนั้นเลย แค่พูดเล่นเอง”
“มะ เมื่อกี้ไม่ได้ชวนให้รู้สึกว่าล้อเล่นเลยนะ บ่องตง”
“ฉันไม่ใช่พวกที่ชอบกัดมั่วหรอก เอาเป็นว่าอยากจะบอกเนลยอนยังไงก็แล้วแต่เลย แต่ขออย่างเดียว เรื่องของเบลลามีและทุกคนช่วยเก็บไว้ที ถ้าสัญญาได้ทางนี้จะปล่อยไป”
“งะ!! ก็แค่ตั้งเงื่อนไขเองนี่หว่า! ..” วินเอามือก่ายหน้าผากคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “..ถ้ามีแค่นายทางฉันก็อยากลองเสี่ยงฝ่าด่านอยู่นะ คิดว่าถ้าสู้กันจริงๆฉันมีโอกาสชนะอยู่”
อะไรล่ะนั่น มั่นหน้ามั่นโหนกเหลือเกิน ทางผมเองก็ไม่คิดจะแพ้ให้วินเหมือนกัน แต่ก็นั่นสินะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ในการต่อสู้ การที่ผมจะแพ้คนอื่นหรือผมจะชนะใครได้มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
“จะลองดูก็ได้นะ”
“แต่ปัญหาคือเอเธอร์นี่สิ ขืนยุ่งกับนายมากเกินไปฉันได้โดนเอเธอร์เก็บแหงๆ แล้วก็”
บางทีอาจจะพอๆกับเทพดาบไม่ก็จอมมารเลยแหละ ตัวประหลาดที่ไม่สามารถคิดหาวิธีชนะได้นั่นน่ะ
“ ..คิดว่าไม่ได้ง่ายพอจะเสี่ยงเท่าไหร่ เพื่อนเลิฟเองก็ใช่ว่าจะนิ่ม ทั้งตัดมิติและทวนสายฟ้าที่มีความเร็วในการออกผลสูง ฉันค่อนข้างแพ้ทาง ถ้าห้าวเกินไปทางฉันนี่จะซวยเอง”
นั่นสินะ ตัดมิติค่อนข้างได้เปรียบในการต่อสู้หลายๆครั้งเลย
“เข้าใจก็ดี ฉันไม่อยากมีเรื่องกับสหายร่วมรบเหมือนกัน”
“ใช่มั้ยล่ะ!? นั้นมาดีกันเถอะ!”
วินยื่นมือให้ผม–ผมตอบกลับเธอโดยการจับมือทั้งรอยยิ้ม
พอจับมือกันแล้ว ผมก็ลุกขึ้นออกจากเตียง และพึ่งจะสังเกตุว่าชุดผมถูกเปลี่ยนเป็นชุดคนไข้สีขาวลายสีฟ้าเสียแล้ว
“ตอนนี้อยู่ไหนกันแล้ว”
“เกาะวาเรอร์น่ะ เพื่อนเลิฟหลับไปประมาณหนึ่งวันเต็มๆได้ ตอนนี้ก็ยังมืดๆของวันใหม่อยู่เลย”
ยังอยู่เกาะวาเรอร์นี่เอง คงอีกวันสองวันได้กว่าทางอาณาจักรจะส่งเรือมารับ ทางผมยังอยากตรวจสอบอีกหลายอย่าง ..โดยเฉพาะเรื่องเทียนหลง
“อ่าว จะไปไหนล่ะ?”
“ว่าจะหาทุกคนหน่อย ..ฉันไม่แน่ใจน่ะว่าตอนนี้คนอื่นเป็นยังไงบ้าง”
และสำคัญที่สุดคือทุกคน ..บางทีอาจมีสักคนที่…
“ไว้คุยกันทีหลังวิน ถ้าอยากคุยกับยูนาฉันก็จะให้คุยด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก อาจารย์คุยกับท่านวีรสตรีจนอิ่มแล้วล่ะ ตอนที่นายหลับฉันก็มานั่งคุยด้วยบ่อยๆ”
ยูนา …? ..เห้ ยูนา
ทำไมไม่พูดอะไรเลย?
“ท่านวีรสตรีฝากบอกน่ะว่าเพราะพลังแปลกๆที่นายใช้ ทำให้เธออยู่ในสภาพหลับๆตื่นๆตลอด ถ้าตอนไหนไม่ตอบคือเธอหลับอยู่ ฝากไว้งี้”
..ผลกระทบสินะ .. แลกกับการที่เราได้พลังซึ่งมากพอจะพลิกเกมได้ในครั้งเดียว [ดาบสะบั้นมิติ] เป็นพลังที่วิเศษก็จริง แต่ข้อเสียค่อนข้างเยอะเลย จากที่ยูนาบอกคือมันจะลดอายุขัยผมทุกครั้งที่ใช้ โดยที่สามารถใช้ได้ทั้งหมดสี่ครั้งหากหักครั้งก่อนไปก็เหลือแค่สามครั้งแล้ว และข้อเสียตอนนี้คือไม่สามารถติดต่อยูนาได้ทุกเวลา
แน่นอนว่ากรรมสิทธิ์พลังเป็นของผม ผมสามารถใช้ได้ตลอดต่อให้ยูนาหลับ แต่มันก็ยังเป็นข้อเสียที่ใหญ่หลวงอยู่ดี
“แล้วก็พวกเราน่าจะไม่ได้คุยกันมากกว่านี้ล่ะ”
..?
“ฉันกำลังจะกลับอาณาจักรแล้วละ อีกไม่นานเรือส่วนตัวของฉันจะมารับ”
“..นั้นเหรอ เดินทางปลอดภัยล่ะกัน”
“ใจจ้า”
ผมเดินผ่านวินและเปิดผ้าม่านออก—รอบๆเตียงผมมีเตียงที่รองรับผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่หลายคน ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองมากกว่าไม่ใช่กลุ่มนักเรียน
เหมือนว่าผมจะอยู่ในโรงพละขนาดยักษ์ที่ใช้เป็นที่รองรับผู้บาดเจ็บชั่วคราว และสามคนจากทั้งหมดก็มีคนคุ้นหน้าอยู่บ้าง
เคียวกับเรย์ สองหน่อนี่กำลังนอนอยู่
เรย์นอนกอดดาบด้วยท่าทางอย่างกับเด็ก จะว่าไปดาบที่ถือนี่คุ้นๆแฮะ?
ทางเคียวยะก็นอนทั้งๆที่ตาบวม ..คงจะร้องไห้ล่ะมั้ง ภายนอกดูเข็มแข็งแต่จริงๆเคียวยะนั้นเปราะบาง ถ้าเจอเรื่องสะเทือนจิตใจเข้าสักหน่อยคงร้องไห้ไม่ก็โวยวายแหงๆเหมือนคราวที่จับได้ว่าเป็นโจร กกน. นึกแล้วก็คิดถึงเลยแฮะ ..
แล้วก็อีกคน ไม่ได้นอนบนเตียงผู้ป่วย แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าประตูเข้าออก
เธอสังเกตุเห็นผม ไม่สิ ต้องบอกว่าจับตาดูผมมาตลอด
ผมตรงไปหาเธอ และโบกมือทัก
“ไง ปลอดภัยดีนี่”
“นายยังไม่ตายอีกเหรอเนี่ย ดวงแข็งจริงๆนะ”
ปากเสียกับผมแบบนี้ มีแค่ ‘หนิง’ นั่นแหละ ทว่าแม้จะทำปากเสียแต่ท่าทางดูห่อเหี้ยวไร้สีสันต์สุดๆ
“..เรเซอร์”
“ว่าไง”
“…ฉันไม่ได้สังเกตุเลย” หนิงชายตามองผู้บาดเจ็บหลายคนในห้อง “หลายคน ..อาจจะได้รับผลกระทบจากฉันก็ได้ ถึงจะไม่รู้ว่ามีใครบ้างแต่ต้องมีแน่ๆ ..อาจจะมีเด็กที่สูญเสียพ่อแม่เพราะฉันก็ได้ เหมือนกับฉันในอดีต”
..
“ถึงจะไม่ตั้งใจ แต่ฉันก็มีส่วนกับโศกนาฏกรรม”
“เธอทำเต็มที่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเธอยื้อเทียนหลงไว้ มันอาจจะเกิดเรื่องที่แย่กว่านี้ขึ้นก็ได้ ..เราไม่สามารถปกป้องได้ทุกคนอยู่แล้ว ได้แต่คิดว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้และจบกัน”
ถ้าเกิดมีคนมาต่อว่าหนิง ผมจะฆ่ามันซะ
“ที่สำคัญตอนนี้ทุกคนเป็นยังไงบ้าง”
นอกจากเคียวยะ เรย์ แล้วก็หนิง คนอื่นที่เหลือสำคัญกว่าเรื่องของคนที่ผมไม่รู้จัก
“..เย็นชาจังเลยนะ”
“แหงอยู่แล้ว สำหรับฉันพวกเธอทุกคนสำคัญที่สุด ..ต่อให้ต้องแลกกับชีวิตทุกคนในเมือง แต่ถ้าช่วยพวกเธอได้ แค่นั้นฉันก็พอใจแล้วล่ะ”
..แน่นอน ผมไม่ได้เย็นชาขนาดนั้น ยังไงซะผมก็คือมนุษย์ ต่อให้พร้อมจะแลกอย่างที่คิดจริงๆแต่ส่วนลึกของจิตใจต้องรู้สึกแย่บ้างแหละ มีคนตายเลยนะ มันไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขนะ ..ความคิดแย่ๆเหล่านี้ในหัว ผมจะถือว่าเป็นตราบาปในชีวิตไปล่ะกัน มันคือราคาที่ผมต้องจ่ายในการเป็นคนเห็นแก่ตัว
“สำคัญที่สุดเหรอ ..ถ้าเกิดฉันไม่มียูจิอาจจะตกหลุมรักแกไปแล้วก็ได้นะเนี่ย”
หนิงพูดหยอกล้อโดยที่พูดไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย
“คิดดูอีกทีไม่ไหว แค่คิดก็ขนลุกแล้ว”
“ทางฉันก็เหมือนกัน ไม่อยากให้ยัยคลั่งรักเข้าขั้นวิตถารแบบหล่อนมาตามติดหรอก”
ระหว่างผมกับหนิงแค่เพื่อนก็พอแล้ว รู้สึกว่าความสัมพันธ์ประมาณนี้คือจุดพอดีของสองเราที่สุด ทั้งผมทั้งหนิงต่างรู้กันดี
….
พวกเรานั่งเงียบ..ต่อให้คุยกันดูเฮฮาแค่ไหน แต่ไร้ซึ่งอารมณ์ขัน—ช่างน่าแปลกใจ
พอไม่มีอะไรจะคุย หนิงก็เริ่มพูดเรื่องที่ผมอยากจะรู้ที่สุดออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยถาม
“ทุกคนปลอดภัยดี ยูจิกับเบลลามี ไม่ได้เป็นอะไรมาก ส่วนเอเธอร์ที่ไม่รู้โผล่ไปไหนก็พึ่งโผล่มาตอนเช้า ..”
หนิงก้มหน้าลง
“ยกเว้นโซล่าคนเดียว”
..ว่าแล้วเชียว
“แพทย์ระบุไว้ว่าอยู่ในสถานะกึ่งตาย ยังมีลมหายใจอยู่แต่ก็ไม่ได้สติเลยล่ะ ถึงพวกคุณหมอจะบอกไว้ว่าแค่กึ่งตายก็เถอะ แต่..”
วิญญาณถูกดาบแห่งโซโลม่อนทำลายไปแล้ว–ไม่มีทางที่จะได้สติกลับมาหรอก เธอไม่ใช่เทพที่มาเกิดใหม่ได้พร้อมความทรงจำ เธอคือมนุษย์ต่อให้เกิดใหม่ก็คงไม่ใช่โซล่าแล้ว
โซล่าตายแล้ว ตายจริงๆเลยแค่กายเนื้อยังอยู่
“ตอนนี้ร่างเปล่าๆนั่นอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะโดนส่งกลับจักรวรรดิอีก จะเข้าไปดูยัยนั่นส่งท้ายก็ไม่ได้..สักวันเธอคงได้สตินั่นแหละ แต่โซล่าที่ได้สติคนนั้นคงไม่ใช่ยัยนั่นคนเดิม ..ความทรงจำ ลักษณะนิสัย ความรู้สึกของโซล่า ทั้งหมดไม่ใช่ของโซล่าอีกต่อไป—โซล่าคนเดิมไม่มีอีกแล้ว ..พูดแล้วก็เหงาๆ พึ่งจะรู้จักกันได้แค่นิดเดียวเอง ”
..คนที่สนิทกับโซล่าที่สุดไม่ใช่ผมที่เธอชอบ ไม่ใช่ยูจิที่คอยไปช่วยบ่อยๆ แต่เป็นหนิงที่คอยคุยกับเธอเยี่ยงเพื่อนสนิท ไม่สิ ทั้งสองคือเพื่อนสนิทแน่นอน ทั้งคุยถูกคอ ทั้งไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แล้วได้ยินว่าตั้งวงปรึกษาปัญหาความรักตลอดด้วยจากเบลลามี
ต่อให้มุมมองคนภายนอกก็รับรู้ได้ว่าสองคนนี้ต้องอยู่ด้วยกันถึงดีที่สุด ..คนที่เศร้าที่สุดไม่ใช่ผมหรอก ผมไม่ได้รู้จักโซล่าขนาดนั้น เพราะอย่างนั้นคนที่เสียใจที่สุดจึงเป็น–หนิง
“พูดตามตรง ฉันอยากคุยกับโซล่าให้มากกว่านี้นะ ..แต่ก็ช่วยไม่ได้ เหมือนกับที่บอก เรื่องของโซล่าก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เหรอ? ต่อให้ถ้าตอนนั้นฉันมีพลังมากกว่านี้ก็จะแก้ไขอะไรได้บ้างก็ช่วยไม่ได้เหรอ?”
“..อ่า..”
ในที่นั้น เวลานั้น
ผมไม่คิดว่าใครในที่นี้จะแก้สถานการณ์ได้ดีกว่านี้แล้ว
หนิงไม่ได้อ่อนแอ หนิงแข็งแกร่ง ด้านพลังความสามารถเป็นถึงมหามังกรตัวเป็นๆ ..เพราะอย่างนั้น..มันเลยช่วยไม่ได้ ทรงพลังขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ไหว อย่างนี้มันช่วยไม่ได้จริงๆ
ทำดีที่สุดแล้ว—ใช่ ทำดีที่สุดแล้ว
“..ฉัน…ยังอยากคุยกับยัยนั่นให้มากกว่านี้”
เสียงพูดที่เบาหวิวของหนิงทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังแหลก คล้ายว่าถูกทุบจนแตกเสมือนกระจก ตอนนี้ตัวเองทำหน้ายังไงอยู่ ผมไม่อยากจะเห็นเลย
…ผม ..ไม่สามารถพูดอะไรได้แล้ว สมองรู้สึกกำลังจะระเบิดของจริงเลย
คิดอะไรไม่ออก มันขาวไปหมด ในอกมัน ..รู้สึก ..เจ็บใจ
“เรเซอร์ช่วยรับนี่ไว้ที่สิ”
หนิงยื่นพวกกุญแจมาให้ผม เป็นกุญแจห้องในหอพัก
“ของทั้งหมดในห้องของโซล่าเป็นของนาย ช่วยรับทั้งหมดไว้ด้วย ..ต่อให้นายจะไม่สามารถรักโซล่าได้ แต่อย่าได้รังเกียจความรู้สึกของเธอเลยนะ”
…
“แน่นอน”
ผมรับกุญแจไว้และเดินออกจากที่พักคนเจ็บไปเงียบๆ
..
พอออกไปข้างนอก ผมก็เจอ ‘ยูจิ’ เลย
ดูจากชุดแล้วน่าจะยังไม่ได้อาบน้ำเลย ที่สำคัญ ..ข้างหลังยูจิมีคนแปลกหน้าอยู่
หญิงสาวผมบลอนด์สีทองที่สูงกว่าร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร มีหน้าอกที่ใหญ่โตมโหฬารและสีตัวที่ขาว รวมๆแล้วเธอคือผู้หญิงที่ดูสูงส่งและไม่อาจแตะต้องได้ เป็นเสมือนกับ ‘หญิงสาวจากสวรรค์’ และสิ่งที่ช่วยยืนยันภาพลักษณ์อันสูงส่งคือเสื้อสูทสีขาวเนคไทค์สีทองเช่นเดียวกับเอเธอร์ที่เธอสวมใส่
ใบหน้าเช่นนี้ผมรู้จักดี ยังไงเสียก็เป็นถึงตัวละครสำคัญในนิยายต้นฉบับ— ‘เทียนหลง’ มังกรสวรรค์ผู้รับใช้ทวยเทพ
“ท่านยูจิ ให้ทำเช่นใดกับจอมมารผู้นี้ดีคะ?”
จอมมาร? ..ผมหันไปมองยูจิและต้องตกใจกว่าเก่า
หน้าของยูจิดูย่ำแย่สุดๆอย่างกับคนที่หมดอะไรตายอยากแล้วในชีวิตเลย
“ห้ามแตะต้องคนๆนี้ครับ”
“..รับทราบค่ะ”
เทียนหลงที่ตั้งตัวเป็นศัตรูทำตามที่ยูจิสั่ง และเดินตามหลังยูจิด้วยท่าทางนิ่งสงบ
“ยูจิ ช่วยอธิบายได้รึเปล่า”
“เพราะเป็นเทพที่กลับมาเกิดใหม่ เทียนหลงเลยสาบานตนว่าจะรับใช้ผมครับ”
ยูจิอธิบายอย่างห้วนๆ แถมยังหลบตาผมด้วย ไม่เหมือนกับยูจิยามปกติที่มักจะสดใสร่าเริงและจ้องตาทุกคนที่คุยด้วยเสมอ
ความจริงใจอันเป็นเอกลักษณ์ของยูจิ ..มันปลิวไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นครับ”
ยูจิยิ้มให้ผม ทั้งอย่างนั้นสายตาคู่นั้นกลับมองไปที่ไหนก็ไม่รู้ เหมือนกับรอยยิ้มของยูจิที่ไม่ใช่ของยูจิอีกแล้ว …
ยูจิเดินผ่านผมไปพร้อมกับเทียนหลง—
“เดี่ยวสิ”
“คุณเรเซอร์อยู่เฉยๆเถอะครับ ..ที่เหลือผมจัดการเอง”
…
“คิดว่าอย่างนี้น่าจะดีกับทุกคนมากกว่าครับ ..ช่วยเชื่อผมด้วยนะครับ”
“..ขอโทษนะ ยูจิ”
ยูจิหันกลับมามองผมด้วยใบหน้าที่แสนจะเบื่อหน่าย
“ฉันฝากอะไรไว้กับตัวนายในตอนนี้ไม่ได้หรอก”
“เรื่องนั้น..ผมก็เหมือนกันครับ”
…
คล้ายว่าอะไรสักอย่างระหว่างพวกเรากำลังเปลี่ยนไป
อะไรบางอย่าง
ใช่
อะไรสักอย่าง
..กำลังจะแตกหัก?
ไม่สิ
มันแตกหักไปแล้วต่างหาก—-ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ผมกับยูจิคงคุยกันเหมือนทุกทีไม่ได้อีกแล้วล่ะ
ยูจิค่อยๆเดินผ่านผมไป แม้จะใกล้แค่ไหน แต่ระยะห่างของพวกเราในตอนนี้มันดูห่างไกลเหลือเกิน ..แค่จะทักจากข้างหลังยังรู้สึกว่าเสียงของตัวเองอาจส่งไปไม่ถึงเลย
ถึงอย่างนั้นก็ตาม–ต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้ยินก็ไม่เป็นไร ขอแค่ผมได้ยืนยันกับตัวเองก็พอแล้ว
“อย่างน้อยก็อย่างหนึ่งที่อยากให้จำเอาไว้”
“…”
“ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ฉันก็จะช่วยนายให้ได้”
“..ผมเหมือนกันครับ” ไร้ซึ่งรอยยิ้มจากใบหน้าของยูจิ “ผมจะช่วยทุกคนเหมือนกัน”
…
เป้าหมายเหมือนกันแท้ๆ แต่ทำไมมันถึงได้ต่างกันขนาดนี้กันนะ?
****
ผมยืนอยู่ที่เดิม อาจจะยังช็อตกับการเปลี่ยนแปลงของยูจิทำให้ไม่มีแรงเดินก็เป็นได้ ..
“เรเซอร์”
เบลลามีทักผม สภาพของเธอย่ำแย่เหมือนกัน ไม่ต่างกับยูจิเลย แต่..ไม่ได้วางท่าเป็นศัตรูเหมือนยูจิสักเท่าไหร่ เพราะอย่างนั้นล่ะมั้งเลยไม่คิดว่าพวกเราอยู่ห่างไกลกัน
ผมเดินไปหาเบลลามีและกอดเธอไว้ …เบลลามีเองก็ไม่ขัดขืนอะไร เธอกอดผมกลับ
“ขอโทษนะ ..เราขอโทษ”
เบลลามีกำลังร้องไห้อยู่รึเปล่า? ผมไม่รู้เลย ..เพราะตอนนี้ผมทำได้เพียงแค่กอดเธอให้มากที่สุด คิดว่ามันคือวิธีที่ดีที่สุด
****
ถึงจะไม่ได้เห็นตรงๆ แต่เบลลามีร้องไห้ไม่ผิดแน่ ..เพราะหลังจากตรงนั้นได้สักพัก ผมก็พาเบลลามีที่ไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อวานมาส่งในห้องพัก และนั่งข้างๆเธอ คอยพูดปลอบ คอยพูดคุยกับเธอจนกว่าจะยอมหลับไปเอง ..ความทรงจำของจอมมารที่เข้าทำร้ายพวกผมคงจะถูกสลักไว้ในหัวของเบลลามี เพราะอย่างนั้นสภาพจิตใจจึงย่ำแย่ไม่ผิดแน่
ผมมองใบหน้าของเบลลามีที่หมดสติจากความล้าสะสมตลอดสองวัน
..ผมยิ้มออกมา
“หลับสักทีนะ”
ผมปัดผมที่เข้าปากของเบลลามีออก ก่อนจะลุกออกจากเตียงและออกจากห้องไป
ผมเดินไปตามทางปกติในหอพักของผู้หญิง ไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของโซล่า
‘604’ คือหมายเลขห้องของเธอ ผมไขล็อคและผลักประตูเข้าไป
ทันทีที่เข้าสู่โลกของโซล่า กระดาษสีขาวก็ลอยผ่านหน้าผมไป—ผมรีบคว้ามันไว้และพุ่งตัวเข้ามาในห้องพร้อมกับปิดประตูห้องทันที เพราะรีบมากทำให้เสียงกระแทกประตูมันดังก้องหอพัก
“..อะไรเนี่ย”
ผมเปิดกระดาษดูและต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น
“สตอกเกอร์ชัดๆ”
บนกระดาษคือรูปวาดเสมือนของผม ซึ่งเหมือนสุดๆ เหมือนจนรู้สึกกลัวขึ้นมาเลย
ยิ่งไปกว่านั้น
พอผมจุดไฟด้วยเวทย์เพลิงเสร็จ ทิวทัศน์ทั้งหมดในห้องก็เข้าสู่สายตาของผม
ห้องของสตอกเกอร์ พูดอย่างนี้ก็ไม่เกินจริงเลย
มีแต่รูปเสมือนของผมเต็มไปหมด มีหลากหลายท่าทาง ดีหน่อยที่ไม่มีอะไรที่มันเรทสิบแปด แล้วก็ไม่ได้โชว์เนื้อหนังอะไรด้วย แต่ว่าตามตรงก็น่ากลัวอยู่ดี
“ก็สมกับที่เป็นเพื่อนยัยหนิงได้ล่ะนะ ..ให้ตายสิ”
ผมไล่เดินดึงรูปเสมือนที่แปะตามกำแพงมากองไว้รวมกันบนโต๊ะ
ทุกภาพล้วนสวยงาม เป็นภาพเสมือนที่อยู่ในระดับเดียวกับนักวาดอาชีพเลย ถ้าทั้งหมดนี่วาดเองก็อยากชมอยูู่หน่อยเหมือนกัน ต่อให้หล่อนจะเป็นสตอกเกอร์ก็เถอะ
เมื่อจัดภาพเสมือนที่เลี่ยลาดทั้งบนพื้นและบนกำแพงเรียบร้อยแล้ว ผมก็หันความสนใจไปที่ .. ‘การาวิเทีย’ ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
ผลึกสีเขียวและตัวคทาที่ทำจากไม้เก่าๆ ..อาวุธในตำนานที่ช่วยให้ผมรอดตายมาได้ มันคือสมบัติของโซล่าที่สัญญาไว้ว่าจะให้คืน
“..”
ผมเมินการาวิเทียและเปิดใต้เก๊ะของโซล่า
ตามคาด เต็มไปด้วยกองกระดาษประหลาดๆที่เขียนเรื่องน่ากลัวมากมายเอาไว้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันมีสมุดบันทึกราคาแพงที่โดดเด่นสุดอยู่ บนปกเขียนไว้ว่า ‘บันทึกรักกับคุณเรเซอร์’ ทำเอาอยากปาทิ้งเลย ..ถ้าอยู่ในอารมณ์ปกติล่ะนะ
ผมหยิบตัวสมุดขึ้นมาและลงไปนั่งอ่านบนเตียง
‘ฉัน โซล่า เลนนอน เป็นเพียงหญิงสาวทั่วๆไปค่ะ’
อยากจะขำ คนที่ได้รับฉายาว่าเทพธิดาผู้สร้างผมไม่นับว่าเป็นผู้หญิงปกติหรอก
ถึงขัดใจอย่างไรแต่ผมก็อ่านต่อ ว่าไงดีมันแอบ..ตลกนิดหน่อยล่ะมั้ง เพราะเธอเขียนช่วงแนะนำตัวอย่างกับนิยายขายฝันเลย–ผมไม่อยากคิดเลยว่าคนอย่างผมจะมีวันที่ได้เป็นพระเอกในนิยายให้คนอื่น
‘ตลอดชีวิตของฉันมีแต่การประดิษฐ์อุปกรณ์เวทมนตร์ ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้น บางทีก็คิดว่าชีวิตตัวเองคงมีแค่สิ่งนี้สิ่งเดียวเท่านั้น บางครั้ง แค่บางครั้ง จะแอบรู้สึกกลัวชีวิตที่แสนว่างเปล่าเหล่านี้บ้างก็ไม่แปลก..จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันได้ฝันถึงคุณเรเซอร์’
..ฝันนั้นเหรอ
‘ในฝัน ..ครั้งแรกที่ฉันได้เจอกับคุณเรเซอร์ในฝัน นั่นสินะ ให้นึกก็ลำบากหน่อย แต่จะพยายามนึกล่ะกัน
มันเป็นวันที่ฉันกำลังสร้างอุปกรณ์เหมือนกับทุกๆวัน แต่ว่าช่วงนั้นคือช่วงสงคราม ฉันต้องทำงานอย่างหนักและอดหลับอดนอนหลายวันติดต่อกัน—ในห้วงเวลาที่แสนน่าเบื่อนั้น คุณเรเซอร์ก็ได้เดินเข้ามา’
…
‘แรกเริ่มฉันเกลียดเขานะ แต่ไปมาๆพวกเราดันสนิทกันเฉยเลย เวลาว่างๆพวกเราก็มักจะคุยเรื่องสนุกๆด้วยกัน อย่างนินทาหัวหน้าที่ชอบสั่งงานแบบไม่เกรงใจคนอื่นหรือพูดบ่นรีวิวนิยายที่อ่านกัน นับตั้งแต่ที่ได้เจอกับคุณเรเซอร์—ทุกวันก็สนุกจนน่าเหลือเชื่อเลยล่ะ!’
ราวกับตัวเองถูกดูดไปในเรื่องราวของโซล่า ราวกับผมได้รู้จักกับโซล่าตัวจริง
เรื่องราวในกระดาษที่ถูกบันทึกไว้กว่าร้อยแผ่น ผมอ่านมันอย่างกับว่ามีแค่สองสามหน้า …
ตัวผมในความฝันของคุณโซล่า และคุณโซล่าพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาต่างมีความสุขและต่อให้ผมในฝันจะเลวร้ายแค่ไหนแต่ในส่วนลึกน่าจะยอมรับซึ่งกันและกัน ..แม้ว่าเรื่องราวในช่วงสุดท้ายมันจะย่ำแย่แค่ไหนก็ตาม
‘ทำเรื่องที่เลวร้ายสุดๆไปแล้ว ฉันทรยศต่อความไว้ใจที่คุณเรเซอร์มีให้ ฉันทำอะไรลงไป เลวที่สุดเลยตัวฉัน ..ต้องรีบตามไปขอโทษแล้ว ต้องยอมรับความจริงและขอให้เขารออีกสักหน่อย ไม่ว่ายังไงฉันก็อยากรักษาเขาเอาไว้’
…
‘ไม่ทันแล้ว ฉันในฝันตามคุณเรเซอร์ไม่ทันเลย’
..
‘สุดท้ายก็หนีไปมีลูกมีเมียแล้วเหรอเนี่ย รู้สึกเสียใจนิดหน่อยนะ ..แต่พอได้ยินว่าเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้วเนี่ยก็–รู้สึกยินดีด้วยแฮะ สำหรับฉัน ต่อให้ไม่สมหวังก็ไม่เป็นไร ..แม้จะเป็นแค่เรื่องราวในฝันแต่ก็ยังไม่สมหวังก็ไม่เป็นไร ..อย่างน้อยคุณเรเซอร์ก็ได้มีความสุขที่เขาไม่สามารถมีได้เสียที’
…
‘..เจอแล้ว เจอแล้ว เจอแล้ว! คุณเรเซอร์ในฝันมีตัวตนจริงๆล่ะ!!!’
ปฐมบทความรักของเด็กสาวได้เริ่มขึ้นแล้ว
‘หา!!? แกว่าไงนะ จะไม่ให้ฉันไปอาณาจักรฟัฟนิร์เหรอ? ก็เอาสิ ถ้าไม่ให้ไปฉันจะโดดตึกตายให้ดู’
..หัวดื้อและเอาแต่ใจ ทั้งหมดก็เพื่อจะได้พบกับคนที่ตัวเองรัก
‘ในที่สุดไอ้พวกเบื้องบนก็ปล่อยฉันไปสักที เอาล่ะๆ คุณเรเซอร์กำลังจะไปหาเดี่ยวนี้นี่แหละค่ะ!’
มากล้นด้วยพลัง
‘อะไรของคุณเรเซอร์เนี่ย ..ชิงมีภรรยาไปตั้งสองสามคนแล้วแบบนี้นี่ ..น่าหงุดหงิดจริงๆ แต่ไม่เป็นไร สักวันเราจะต้องชิงเขามาให้ได้ เราจะสอนให้เขารู้ถึงรักแท้เอง!’
…..
‘หน๊อยยยยยยย ทำยังไงถึงจีบให้ติดล่ะเนี่ย!!? กาดแข็งไปแล้วคุณเรเซอร์!? ฉันไม่มีดีขนาดนั้นเลยเหรอ!!? แล้วก็ยัยเบลลามีอะไรนั่น!!! ..เอ่อ ก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอกนะคะ แต่ โธ่เว้ยยย!!! ยังไงก็เถอะ ยังดีที่มีคุณยูจิมาคอยช่วย’
…
‘ยะ ยัยหนิงนั่นปากเสียสุดๆ ทำไมถึงพูดกับฉันแบบนี้ได้เนี่ย’
เรื่องราวการพบกับเพื่อนรัก
‘จริงๆแล้วหนิงก็ไม่ได้แย่อะไรหรอกนะ แค่น่ารำคาญนิดหน่อย แต่เห็นว่าอยากคุยกับฉันด้วยก็จะคุยด้วยนิดหน่อย ..แต่ทั้งหมดก็เพื่อศึกษาคุณเรเซอร์หรอกนะ เพราะเห็นว่าสนิทกับเขานิ ใช่ๆ ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนหรืออะไรด้วยสักนิดเดียว’
..โกหก
‘อา ยัยหนิงนั่นพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย แค่ตัวมันเองยังเอาตัวรอดไม่ได้ ..ช่างเถอะ ช่วงนี้เริ่มคุยกับคุณเรเซอร์ได้แบบปกติแล้ว ส่วนเบลลามีก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรนะ—บางทีถ้าขอดีๆ…อา ไม่ไหวๆ’
…
‘..เริ่มท้อแล้วสิ …เมื่อไหร่เขาจะเข้าใจความรู้สึกของฉันกันนะ?’
…
‘ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปล่อก็—ต้องพยายามมากกว่านี้’
เนื้อหาในบันทึกจบเพียงแค่นี้ เพราะโซล่าไม่สามารถลุกมาเขียนต่อได้แล้ว ..
ผมพับสมุดบันทึกลงและจังหวะนั้นก็มีกระดาษที่ถูกพับไว้ตกลงบนตัก ..ผมวางสมุดบันทึกไว้ข้างๆตัวและคลี่กระดาษนั้นออกมาอ่าน
‘อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับคุณเรเซอร์ Ver.สมบูรณ์’
…ผมไล่สายตามองชื่อของโปรเจ็คคทานี่
“..’เรลันดาฟ’ ..คทาเวทย์ของชายที่มีนามว่า เรเซอร์ ดราแคล์” ผมอ่านอย่างจริงจัง “มันคือคทาที่นำผลึกของการาวิเทียมารวมกับผลึกของคทาเวทย์ที่มีพลังทำลายล้างมากที่สุดในโลก ..ซึ่งไม่ได้คิดไว้ว่ามันต้องเป็นผลึกของคทาเวทย์ชนิดใด แต่คิดไว้ว่ามันต้องเป็นคทาที่ยอดเยี่ยมไม่ผิดแน่ หากให้ใกล้เคียงก็ต้องเป็น ‘เซปเตอร์เดธ’ ของราชาจอมเวทย์ ..อะไรล่ะนั่น วัตถุดิบแต่ล่ะอย่าง”
…
‘เรลันดาฟเป็นคทาที่สามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงได้ซึ่งทำให้เคลื่อนที่ได้อย่างสะดวกสบาย มันจะช่วยให้คุณเรเซอร์สู้ได้สะดวกขึ้นมาก ไม่ว่าจะเอาตัวเองหนีหรือขัดการเคลื่อนไหวของศัตรูก็ทำได้หมด แค่นั้นไม่พอเรลันดาฟจะต้องมีพลังทำลายล้างที่มหาศาล แรงขึ้นสิบเท่า ร่ายได้พร้อมกันสิบบท เร็วขึ้นสิบเท่า ..ไม่ว่าจะเป็นใครที่เก่งมาจากไหนก็ไม่มีทางหลบจากการโจมตีของเรลันดาฟได้ มันจะเป็นคทาเวทย์ที่ทั้งแรงและรวดเร็วที่สุด อีกทั้งยังเป็นคทาที่ช่วยปกป้องผู้ใช้ได้ไปในตัว คทาที่ทรงพลังขนาดนี้บนโลกไม่มีทางมีแน่นอน แต่ก็นั่นแหละ ฉันจะสร้างมันขึ้นมาให้กับคุณเรเซอร์เอง’
…
“ป.ล.เพราะเห็นว่าคุณเรเซอร์ใช้ถุงมือเวทย์ด้วย”
‘ฉันว่าฉันสามารถจัดเต็มกับความเร็วและแรงของเวทมนตร์ได้เต็มที่กว่าเดิม เพระาอย่างนั้นคงต้องคิดถุงมือใหม่ให้คุณเรเซอร์ด้วย ..ต้องเป็นถุงมือที่ทนผลกระทบจากการใช้งานเรลันดาฟได้ อีกทั้งยังต้องเป็นถุงมือที่พลิกแผลงได้หลายสถานการณ์ ใช่ๆ อย่างเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานเรลันดาฟเป็นคทาสุ่มโจมตีโดยการนำถุงมือไปประกอบกับเรลันดาฟ และเอาเรลันฟาดตั้งลงกับพื้นใช้ยิงเอา แบบนี้น่าจะช่วยให้คุณเรเซอร์สู้ได้หลากหลายขึ้นแน่ๆ’
คทาเวทย์ที่ขี้โกงนั่นมันอะไร ..ของหลุดโลกขนาดนั้นคู่ควรกับผมหรือ?
‘..แล้วก็มันต้องเป็นคทาเวทย์ที่สามารถร่ายเวทย์ค้างไว้ได้ด้วย อยากใช้ตอนไหนก็แค่ปล่อยมันออกไปเลยจบ อืม แล้วก็จุดเด่นดั้งเดิมของเดธเซปเตอร์ที่คนที่โดนโจมตีจะไม่สามารถรักษาร่างกายตัวเองได้ ..อ๊ะ ตายล่ะ ถ้าคิดแบบนี้มันก็จะล็อคเซปเตอร์เดธไว้สิ ต่อให้เป็นฉันก็ไม่คิดว่าจะเอาคทาของราชาจอมเวทย์มาเป็นวัตถุดิบได้–อืม เอาเป็นว่าละไว้ก่อนละกัน ประมาณนี้ โอเคร นี่แหละเรลันดาฟ!!! คทาเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุด!!’
“คทาเวทย์ที่เอาอาวุธในตำนานสองชิ้นมาดัดแปลงเพื่ออาวุธชิ้นเดียวนี่มัน ..บ้าไปแล้ว คนที่คิดอะไรแบบนี้ออกมาได้บ้ายิ่งกว่าอีก” ผมยิ้มออกมา “แต่ก็ไม่ได้เกลียดเท่าไหร่”
ผมวางเอกสารคทาเวทย์มโนในใจของโซล่าที่อธิบายตั้งแต่ขั้นตอนแรกไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายการสร้าง
โซล่า เลนนอน เธอเป็นคนที่คล้ายกับผม อย่างน้อยจุดเริ่มต้นของพวกเราก็คล้ายกัน
เธออยากจะช่วยผมที่มอบสิ่งที่ตัวเองไม่มีให้ ผมอยากจะช่วยเบลลามีที่มอบสิ่งที่ผมไม่มีให้กับผม
..พวกเราเหมือนกัน ได้ความทรงจำที่ไม่ควรมีและตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง แม้ว่าจุดจบมันจะเลวร้ายแต่ก็พยายามถึงที่สุด ..แม้ว่าสุดท้ายเธอจะไม่สามารถสร้างคทาที่ตัวผมในฝันต้องการในอดีตให้ได้แล้วก็ตาม
ถึงอย่างนั้น ..ก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกขอบคุณในความรักที่โซล่ามีให้กับผม ..ขอบคุณ
“ถ้าเราได้เจอกันเร็วกว่านี้สักหน่อยก็คงจะดี
ที่พูดคือความเสียใจที่ผมมีให้แก่โซล่า—-สิ่งเดียวที่ผมจะตอบแทนเธอได้ คงมีแค่การทำให้ฝันของเธอเป็นจริง
“ฉันขอรับ ‘เรลันดาฟ’ ไปนะ โซล่า”
มันคือสิ่งเดียวที่ผมจะตอบแทนเธอได้
ท่ามกลางแสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่องมา ผมได้สาบานกับโซล่าไว้ในใจ และเดินหน้าต่อไปสู่จุดจบชองเรื่องราวบทต่อไป
เรื่องราวคราวนี้ ผมได้สูญเสียอะไรบางอย่างไป ที่เสียอาจเป็นความเป็นมนุษย์? หรือว่าจิตใจ? แต่กลับกันผมก็ได้รับหลายอย่างกลับมา ผมทั้งสูญเสียทั้งได้รับไปในตัว ..นั่นล่ะคือชีวิต ชีวิตไม่ได้ง่ายขนาดที่ผมจะได้รับอย่างเดียว ผมจำเป็นจะต้องสูญเสีย ..เพื่อที่จะเรียนรู้เส้นทางสู่ชัยชนะ
เคียวยะได้เจอกับความพ่ายแพ้อีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่อย่างน้อยสักครั้งเขาจะต้องชนะ
เรย์ได้พบเป้าหมายในชีวิต ได้สาบานกับตัวเองและมุ่งหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว
หนิงพบเจอกับความสิ้นหวัง ความผิดหวัง ..แต่กลับกัน เธอก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากเพื่อนของเธอ
เบลลามีเจอแต่ความผิดพลาดของตัวเอง ได้พบกับตราบาปในชีวิต ..แต่เธอก็ได้สติ อย่างน้อยเธอก็จะไม่ทำผิดซ้ำสอง
และสุดท้าย ยูจิ ..บางที เขาอาจจะได้เจอแต่ความสิ้นหวัง อาจจะกำลังจมเข้าไปในที่ๆหนึ่งและ—อาจจะไม่สามารถดึงตัวเองกลับมาจุดเดิมได้อีกแล้วก็เป็นได้