เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 164: จบการต่อสู้
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 164: จบการต่อสู้
< < 118 > >
“..เห้ ลูซิเฟอร์–”
เสียงแรกปริศนาดังอย่างไร้รูปร่างภายในหูของลูซิเฟอร์
“..อือ”
เปลือกตาค่อยๆเปิดออก เสียงที่ไร้ร่างค่อยๆปรากฏตัวตน
ลูซิเฟอร์ตื่นจากความตาย และพบเรนที่ใช้ขาเตะหน้าเขาเพื่อเรียกสติ ข้างตัวเรนก็มีอลิซาเบธเดินตามติดตลอด …
“เกิดอะไรขึ้น”
“จู่ๆตัวก็ระเบิดไปเองน่ะสิ ลำบากแย่เลยนะในการรักษาให้ทันก่อนแกไปเกิดใหม่น่ะ”
โดนระเบิด ..อ๊ะ
ลูซิเฟอร์พึ่งสังเกตุว่าตัวเองตอนนี้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เนื้อตัวที่มีกล้ามเป็นหมัดๆกับแผลเป็นหลายจุดตามร่างกาย–ลูซิเฟอร์สัมผัสร่างที่เปลือยเปล่าก่อนจะยิ้มออกมา
“สัมผัสแบบนี้ ไม่ผิดแน่ ท่านจอมมารระเบิดข้า”
“ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ โดนนายที่ตัวเองรักระเบิดรู้สึกยังไงบ้างล่ะ”
“น่ายินดี”
เรนทำหน้าแหยงใส่
“ไม่สิ..ก่อนอื่นเหตุใดถึงต้องใช้ขาในการเรียกสติข้าด้วยล่ะ”
ลูซิเฟอร์มองแรงใส่ นั่นทำให้เรนเกิดป็อดชั่วขณะ แต่ก็นึกได้ทีหลังว่าตัวเองพวกเยอะจึงทำเป็นกอดอกเก็ก
“ผมมีความทรงจำไม่ค่อยดีกับการจับคนเรียกสติเท่าไหร่น่ะนะ ครั้งล่าสุดที่ทำผมโดนไอ้บ้านั่นตัดแขนและวิ่งไล่ผมที่แขนขาดเป็นชั่วโมง ..ชิ” เรนเดาะลิ้นไม่พอใจ เขาไม่ชอบให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองอ่อนแอเท่าไหร่ “ตื่นแล้วก็ดี ช่วยอธิบายหน่อยได้มั้ย? เรื่องคราวนี้มันเป็นความผิดของนายนะที่คุมไอ้จอมมารนั่นไม่ได้น่ะ”
“ข้าไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ”
“แล้วเอาไงต่อ? จะกลับไปเข้าพวกกับจอมมารรึเปล่า?”
ลูซิเฟอร์ส่ายหัวตอบ
“ไม่มีเหตุผล ..เป้าหมายของท่านและเป้าหมายของข้ามันใกล้กัน จำเป็นต้องลงเรือลำเดียวกับท่าน”
“ก็ดี แล้วอย่าสะเออะทรยศผมเหมือนไอ้เวรจอมมารด้วยล่ะกัน”
“ได้ประสบการณ์เฉียดตายแบบนี้บ้างก็ไม่เลวนี่?”
“ไปตายซะ”
พูดจบเรนก็เดินหนีเข้าไปภายในตัวเรือพร้อมกับอลิซาเบธที่คอยเดินข้างตัวตลอด ..ลูซิเฟอร์นั่งเงียบ พลางนึกถึงสายตาสุดท้ายของจอมมารที่ส่งมาให้เขา
“…ท่านจอมมาร”
ลูซิเฟอร์เหม่อลอยเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่แสนเลวร้าย
เด็กสาวผู้มีเลือนผมสีขาวสลับดำก็เดินมาหาพร้อมกับบนอกที่อุ้มแมวสีดำตัวน้อย ‘อาซาเซล’ มาด้วย กระนั้น แม้แต่เสียงฝีเท้าใกล้ๆเขายังไม่ได้ยินจนต้องให้อีกฝ่ายต้องเอ่ยทัก
“..พี่ลูซิเฟอร์”
ทันทีที่ได้สติ ลูซิเฟอร์ก็จับสัมผัสอาซาเซลได้และหันไปมองอาซาเซลตัวน้อย ใบหน้าของลูซิเฟอร์ก็ผ่อนคลายลง
อาซาเซลตัวน้อยกระโดดลงจากอกและวิ่งเข้าไปเกาะอกของลูซิเฟอร์ ด้วยแรงปริศนาทางจิตใจร่างของลูซิเฟอร์ก็ถูกดันลงไปนอนบนพื้น ทั้งๆที่ลำพังแรงของแมวตัวน้อยไม่น่าผลักปีศาจมหาบาปได้แท้ๆ
“..อาซาเซล”
เมี๊ยว ..เสียงร้องที่แสนไพเราะนั่นทำให้ลูซิเฟอร์เผลอกอดอาซาเซลโดยไม่รู้ตัว อาซาเซลแทนที่จะดิ้นแต่ไม่ เจ้าตัวน้อยกลับคลอเคลียไปมาข้างคอของลูซิเฟอร์
เพียงแค่นี้จิตใจที่เจ็บปวดจากการที่โดนจอมมารมองเยี่ยงขยะก็หายไป พลังใจในการต่อสู้ของลูซิเฟอร์ได้รับการเติมเต็มเป็นที่เรียบร้อย
“หิวรึยัง สหาย”
เมี๊ยว
“เช่นนั้นไปหาอะไรกินกันเถอะ ..ขอบพระคุณมากนะ ท่านเมอัน”
“..ค่ะ”
เมอันผงกหัวตอบด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งความสดใส และเดินออกจากจุดนั้น
เด็กน้อยเดินตามทางเดินไปเรื่อยๆตามสัญชาตญาณโดยที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองผู้คน ..
เธอมาหยุดอยู่ที่ห้องพักของ ‘มหามังกรเทียม’
“อ่าว เมอันไม่ใช่เหรอ”
สโนว์ ผู้เปรียบได้กับพี่สาวในหมู่มหามังกรเทียม เธอเดินเข้าหาเมอันด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับ ปีเตอร์ ที่เป็นพี่ชายปากเสียแต่ใจดี
ทั้งสองแสดงสีหน้าเป็นมิตรให้กับเมอัน ..
“..”
“เป็นอะไรไป?” ปีเตอร์ถาม
“..พี่ชอบที่นี่รึเปล่าคะ”
“เกลียดสุดๆเลยล่ะ” ปีเตอร์ทำหน้าขยาด
“อืม ไม่มีทางชอบหรอกก็พ่อน่ะออกจะนิสัยเสีย” สโนว์หัวเราะแห้งๆ
…
“..ทำไมถึงไม่หนีเหรอคะ”
เมอันกัดริมฝีปากของตัวเอง ในหัวของเธอนึกถึงใบหน้าของคนที่ยื่นมือมาให้เธอ ..ถึงกระนั้นเธอก็ยังปฎิเสธไปด้วยความหวาดกลัว
ทำไมน่ะเหรอ?
“ก็เพราะหนีไม่ได้น่ะสิ ..” สโนว์ยิ้มให้ “แต่พี่คิดว่าลำพังพี่ก็พอหนีได้อยู่นะ”
“ถ้านั้นทำไมถึงไม่หนี ..”
“ก็ ..ให้ทิ้งพวกเธอสองคนไว้ได้ที่ไหน”
…เมอันเงยหน้ามองสโนว์ผู้ที่จะยิ้มให้เธอตลอดไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน
“เมอัน อยากจะหนีเหรอ?”
“..ไม่ได้อยากค่ะ”
ต่อให้อยากก็คงทำไม่ได้–เมอันคิดเช่นนั้น
“นั่นสินะ เมอันยังเด็กอยู่ คงจะทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้หรอก บางทีอาจคิดด้วยตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ” สโนว์ลูบหัวเมอัน “เริ่มจากซื่อตรงกับตัวเองก่อน จากนั้นสักวันหนึ่งลองบอกพี่ดูนะ พี่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเธอเอง ..”
กล่าวจบสโนว์ก็วางมือลงและเดินเข้าไปในห้องพัก เพื่อที่จะเข้าไปในแคปซูลฟื้นฟูมานา ปีเตอร์ก็เดินตามไปด้วย
“ไปพักผ่อนได้แล้ว”
“..ค่ะ”
****
ทันทีที่เขาหลุดจากโลกแห่งความว่างเปล่าได้ เขาก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ถูกย้อมด้วยสีม่วง ราวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทั้งๆที่ไม่ใช่ ทั้งหมดเป็นเพราะความกลมกลืนของแสงสีม่วงแลรอยกระจกแตกที่คลุมทั้งเกาะ–เอเธอร์มองภาพเหล่านั้นด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม
“พัฒนาไปอีกขั้นแล้วสินะครับ ลางสังหรณ์ของผมไม่ผิดไปจริงๆด้วย ..หืม?”
เอเธอร์หันไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอสวมชุดกิมิโนสีขาว และมีใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก ข้างตัวเหน็บดาบคาตะนะสั้นเอาไว้
ไม่รู้ทำไม แต่..เอเธอร์รู้สึกคุ้นเคยกับเธอเล็กน้อย จึงเดินไปหาตามใจตัวเองและพบว่าเธอกำลังมีปัญหากับเรือขนาดเล็กข้างๆท่าเรือ เหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจกลไกการทำงานสักเท่าไหร่ เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ สำหรับเอเธอร์ที่ทำได้ทุกอย่างเวลาเขาเห็นใครสักคนทำบางอย่างไม่ได้ เขาจะรู้สึกสงสารเล็กน้อย
“ลำบากแย่เลยนะครับ”
“ใครกัน ..หืม?”
เมื่อหันมาสบตากับเอเธอร์ หญิงสาวก็แสดงสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“คุณคือ?”
“..แกนน่อน”
“แกนน่อน อ๋อ เทพดาบสินะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ไม่จำเป็นต้องชักถามอะไร เพียงแค่ได้เห็นมือของแกนน่อนเอเธอร์ก็รู้ได้ทันทีว่าเธอคือผู้ที่ใช้ดาบได้ยอดเยี่ยมสุดบนโลก เมื่อทราบว่ามีชื่อเดียวกับเทพดาบก็ปักใจเชื่อทันทีว่าเธอคือเทพดาบ ..ทั้งหมดเป็นเพราะเอเธอร์ช่วยตัวเองที่สุดอย่างไร้ข้อกังขา
เอเธอร์ยื่นมือมาจะทักทาย แต่แกนน่อนกลับสะบัดหน้าใส่ เธอนั่งหมุนกลไกบนเรือไปมา
“ไม่มีเหตุผลต้องจับมือเสียหน่อย ในเมื่อเคยเจอกันแล้ว อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ว่างถึงขนาดเป็นเพื่อนคุยหรอก”
“เคยเจอกันแล้วสินะครับ ช่างน่าเศร้าที่ตัวผมจะเสียความทรงจำตลอด แต่เหมือนว่าในยุคก่อนๆผมก็เคยออกมาท่องโลกแล้วเช่นกัน ..หากไม่รังเกียจ ช่วยเล่าเรื่องของผมช่วงก่อนยุคนี้ให้ฟังหน่อยจะได้รึเปล่าครับ”
“ไม่มีเหตุผล ข้ากับเจ้าหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว”
…
“ดูเหมือนว่าตัวผมจะเคยสร้างความลำบากใจให้ไม่น้อยเลยนะครับ”
“ก็ไม่น้อยเลย มาขอให้ฝึกวิชาดาบให้พอหมดธุระก็พูดจาไม่ดีใส่และทิ้งข้าไว้เลย เป็นปกติที่จะต้องโกรธบ้าง ..นึกแล้วก็อยากหั่นเจ้าเป็นชิ้นๆเลยล่ะ”
แกนน่อนนำมือไปสัมผัสที่ฝักดาบ ที่พูดนี่มาจากใจจริงทั้งนั้น—
“แหม่ น่ากลัวจังเลยครับ ถ้าเป็นดาบของเทพดาบในตำนาน บางทีอาจจะทำให้ผมแขนขาดได้ราวสองรอบนะครับ แต่ก็ไม่คิดว่าจะชนะผมได้หรอก”
“..วิธีพูดที่ชอบยกตัวเหนือแบบไม่รู้ตัวนั่นเอง เจ้าเนี่ยกวนประสาทเหมือนแต่ก่อนไม่มีผิดเลยนะ แล้วยุคนี้ใช้นามว่าอะไรล่ะ”
เทพดาบผละมือออกจากดาบ จริงอย่างที่เอเธอร์ว่า เธอไม่มีทางชนะเอเธอร์ได้ ความจริงนี่ทำให้เธอพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ถึงกระนั้นก็ไม่ได้เมินใส่ บ่งบอกว่าเธอยังอยากสนทนาบ้างแม้จะเล็กน้อย
“ ‘เอเธอร์’ ครับ ไม่ทราบว่าตัวผมที่คุณรู้จักชื่อว่าอะไรหรือ”
“ไม่บอกหรอก เสียเวลา—ชิ เจ้าเครื่องบ้านี่มันเรื่องมากเหลือเกิน” แกนน่อนมีปัญหากับตัวเรือซะแล้ว “ทีเกรย์ทำนิดเดียวก็ขยับแล้ว ทำไมกับข้าถึงทำไม่ได้ล่ะ”
“เกรย์เทพดาบคนปัจจุบันตามที่ทุกคนทราบสินะครับ จริงอย่างที่ไรเดนเคยบอกเลยว่าเทพดาบไม่เคยเปลี่ยนคน ส่วนเกรย์นี่ก็คงจะเป็นลูกศิษย์ ..จะว่าไป เห็นบอกว่าผมเคยขอฝึกวิชาด้วยสินะ ไม่ทราบว่าตอนนั้นผมมีชื่อเสียงว่าอย่างไรหรือครับ ถูกเรียกขานว่าเทพดาบเหมือนกันหรือไม่ เผื่อจะนำไปคาดเดาได้บ้าง”
“..นามของเจ้าตอนนั้นอยู่เหนือเทพดาบอย่างข้าเสียอีก”
เอเธอร์ลูบคางครุ่นคิด
“เหนือกว่าเทพดาบแต่ยังเกี่ยวข้องกับดาบนี่มีไม่กี่อย่างหรอกนะครับ แถมยังเป็นลูกศิษย์เทพดาบอีก”
มีแค่คนเดียวนี่แหละในหน้าประวัติศาสตร์ ตำนานที่มีชื่อกว่าเทพดาบและถูกระบุไว้ว่าเคยเป็นลูกศิษย์ของเทพดาบ
“..แบบนี้นี่เอง ช่างน่าสนใจจริงๆ หากเป็นจริงอย่างที่คิดล่ะก็ ผมก็พอเข้าใจความไร้เหตุผลในจิตใจแล้วสิ”
“ยังมีเรื่องไร้เหตุผลที่ว่าเหมือนเดิมสินะ”
“ใช่ครับ บางทีมันอาจจะเป็นโชคชะตาของผม”
“โชคชะตาเหมือนเดิมเลย เจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ ชักรำคาญแล้วสิ รีบๆไสหัวไปได้แล้ว เสวนากับเจ้าที่ไรข้าอยากอ้วกตลอด”
“ตามประวัติศาสตร์ที่ผมทราบ ผมเคยทะเลาะกับแกนน่อนด้วยสินะครับ เรื่องคราวนั้นคงทำให้คุณไม่พอใจมากทีเดียว ..เอาเป็นว่าผมไม่ขอโทษแทนตัวผมหรอกนะครับ เพราะผมคิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมันดีอยู่แล้ว สัญชาตญาณบอกมาน่ะครับว่าผมไม่ผิด”
“ก็บอกว่ารำคาญไง!! ไสหัวไปได้แล้ว!!”
“คุณเองก็ช่วยมอบรอบๆให้ดีกว่านี้หน่อยสิครับ ผมจะได้ไม่ต้องจำใจพูดเรื่องไม่ดี ผมรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คนไร้เหตุผลนะครับ”
“…ลองพูดมากกว่านี้ดูสิ ข้าจะไม่สนแล้วว่าตัวเองจะเป็นตายร้ายดียังไง แต่อย่างน้อยข้าอยากจะซัดเจ้าให้แขนขาดสักสามรอบอย่างต่ำ”
“แบบนี้นี่เอง จงใจทำให้เกินกว่าที่ผมคาด หากทำได้ผมคงเจ็บใจไม่น้อยเลย ยอดเยี่ยมมากครับ สมกับเป็นเทพดาบ”
เทพดาบหันมามองเอเธอร์อย่างจริงจัง …เข้าโหมดอยากฆ่าคนทิ้งแล้ว
“…”
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิครับ ผมแค่คิดว่าผมยังไม่ได้ตอบแทนคุณที่ช่วยไขข้อสงสัยให้ผมเลย” เอเธอร์ยิ้มให้ “ถ้ายังไงเดี่ยวให้ผมอธิบายการทำงานของเรือนี่ได้รึเปล่าครับ ดูจากสถานการณ์แล้วคนที่คอยช่วยแกนน่อนมาตลอดน่าจะไม่สะดวก”
“..เฮ้อ เข้าใจแล้ว รีบๆอธิบายแล้วไสหัวไปได้แล้ว”
บรรยากาศผ่อนคลางลงเล็กน้อย เอเธอร์เดินมานั่งอธิบายให้แกนน่อนฟังราวห้านาทีเป็นอันเสร็จ
“แค่นี้เองหรือ”
“ผมอธิบายแค่เบื้องต้นน่ะครับ ยังไงซะเรือนี่ก็คงไปได้ไม่ถึงฝั่งอยู่แล้ว”
“แล้วไปได้ราวกี่ชั่วโมงล่ะ”
“สามชั่วโมงน่าจะจมครับ”
“แค่นี้พอแล้ว เดี่ยวข้าว่ายน้ำต่อเอง”
เอเธอร์พยักหน้ารับและผละตัวออกจากแกนน่อนอย่างงดงาม เขาเคลื่อนไหวอย่างไม่สะดุดตาเพื่อไม่ให้แกนน่อนของขึ้นอย่างไม่จำเป็น
“เช่นนั้นก็เชิญออกเรือเลยครับ”
“เข้าใจแล้ว เรื่องคราวนี้ข้าจะถือไว้ว่าเป็นบุญคุณ”
“ทราบแล้วครับ ขออวยพรให้เดินทางโดยสะดวกนะครับ”
“จำไว้เสีย..เจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ข้าเกลียดที่สุด”
แกนน่อนส่งท้ายจบก็ออกเรือ ..เอเธอร์หันหลังให้โดยไม่ใส่ใจอะไรกับที่ผู้เป็นอดีตอาจารย์พูด
“เรื่องตัวผมก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่เหมือนว่านี่จะไม่ใช่เวลาที่ควรเสียเท่าไหร่”
พูดจบเอเธอร์ก็เดินไปตามทางบนเกาะวาเรอร์ซึ่งตอนนี้เละเทะจากการต่อสู้ของสัตว์ประหลาด สภาพต่างจากเดิมจากหน้ามือเป็นหลังมือและบางที ..ตัวเมืองของเกาะอาจได้รับความเสียหายจนถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตบ้างแหละ