< < 117 > >
“..หลับให้สบายอะไรกันฟร้ะ”
“หือ?”
เปลวเพลิงพุ่งเข้าใส่จอมมาร และแน่นอนว่าถูกปัดได้ง่ายๆด้วยดาบแห่งโซโลม่อน ทว่า–จอมมารก็ต้องกระโดดถอยหลังหนีเพราะเธอสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาเคลื่อนที่ และตามคาด เรเซอร์พุ่งมาบังยูจิด้วยความเร็วเหนือกว่าจอมมารเล็กน้อย ..จอมมารยืนดูเชิงห่างกับเรเซอร์เพียงไม่กี่เมตร
“ยังไม่ตายอีกเหรอ”
ไม่สิ สภาพตอนนี้ก็..ย่ำแย่น่าดู
เรเซอร์อยู่ในสภาพที่เสื้อเชิ้ตขาดไปครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นร่างกายฝั่งขวา กางเกงยังอยู่ดีก็จริงแต่ก็มีรอยใหม้ประปราย และแย่ยิ่งกว่าคือร่างกายของเรเซอร์นั้นเต็มไปด้วยรอยไหม้และบาดแผลฉกรรจ์ กล่าวว่าอยู่ในสภาพชุ่มเลือดได้เลยล่ะ ด้วยสภาพที่เป็นอยู่เรเซอร์ควรจะได้รับการรักษาโดยเร็วซึ่งในสถานการณ์ตอนนี้ไม่สามารถทำได้
“..ข้อผิดพลาดของโลก..คืออะไรกันแน่”
“คือการเอาตัวเองไปอยู่นอกกฏของโลก”
“อ่า–แค่ดูเหมือนตาย ไม่ได้หมายความว่าฉันจะตายสักหน่อย”
จอมมารหรี่ตาลงคล้ายจะคิดอะไรบางอย่าง ไม่นานเธอก็ได้ข้อสรุปและหัวเราะขึ้นมา
“แบบนี้นี่เอง ก็ว่าทำไมเพลิงของเราถึงอยู่นานหนัก นี่เล่นแทรกแซงเพลิงของเราเลยหรือเนี่ย หลักแหลมไม่เบา ในเวลาสั้นๆแต่ก็ตีความข้อผิดพลาดได้ขนาดนี้ ถึงจะมีเราเป็นตัวอย่างแต่ก็ใช้ได้เลย”
“ถ้าไม่ฉลาดสักหน่อยคงอยู่ข้างเธอไม่ได้หรอก”
….จอมมารอึ้งเล็กน้อย เธอทำเสียง “หืม” พลางหันหน้าหนีไปทางอื่น
“เข้าใจใช้คำหยอกด้วยเหรอเนี่ย”
“หยอกอะไร ใจจริงต่างหาก”
“ใจจริงสินะ ..ถ้ารักกันขนาดนั้นจริงคงไม่คิดเล่นตุกติกอย่างการชวนคุยแล้วแอบย่นเวลาในการใช้งานยูนาหรอกนะ”
“ก็แหม่ เวลาคุยกับเธอถ้าไม่มียูนาคอยเป็นไกด์มันก็ลำบากล่ะน้า แบบว่าน่าอายชะมัด”
เรเซอร์พูดทั้งรอยยิ้มในขณะที่หน้าเปื้อนไปด้วยเลือด ทั้งรอยยิ้มที่ไม่จริงใจ ทั้งแววตาที่เจ้าเล่ห์ แล้วยังวิธีพูดที่กะล่อนนั่นอีก ยากจะเห็นได้จากเรเซอร์เวลาคุยกับเธอ พอเอาทั้งหมดไปรวมกับใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นทุนเดิมแล้ว ..จอมมารกระแอ่มเบาๆปรับอารมณ์
“มาแปลกจังนะ จริงๆเราก็อยากลองคุยกับเรเซอร์ตอนนี้อยู่หรอก แต่ไม่มีเวลา ..”
อีกไม่กี่นาทีเกาะวาเรอร์จะจมลงแล้ว ต้องรีบทำทั้งหมดให้เสร็จและหนีออกจากเกาะ แล้วยังจะต้องรีบตามไปเก็บลูซิเฟอร์คืนจากเรนด้วย ไหนจะต้องเผื่อเวลาวางแผนไม่ให้เอเธอร์ตามมาทันอีก
ดูได้เปรียบก็จริงแต่ยังมีอีกหลายอย่างที่จอมมารต้องทำ อยู่ในสถานการณ์บีบบังคับเช่นกัน
“อีกสิบวิ ยูนาจะใช้ได้สินะ เรเซอร์”
เรเซอร์ยิ้มแห้งๆตอบและกระโดดถอยหลังไป ขณะเดียวกันจอมมารก็วิ่งเข้าใส่
เรเซอร์ร่ายเวทย์ในระยะสั้นๆ
“— [เสริมโชค] [เสริมประสาทสัมผัส] [เสริม–”
ทั้งหมดคือเวทย์ที่คนปกติใช้ไม่ได้–จอมมารแสยะยิ้มออกมา
“ขโมยกันหน้าด้านๆเลยนะ”
จอมมารเร็วกว่าเพราะอยู่ในจุดยืนที่ได้เปรียบ–ดาบแห่งโซโลม่อนกำลังจะทะลวงทุกเวทมนตร์แล้ว แต่ว่า
“ไสยศาสตร์ [ย้อนกลับ]”
ร่างของจอมมารถูกรีกลับไปจุดเดิมกับที่วิ่งเข้ามา
วิชาไสยศาสตร์ที่โผล่มาในจังหวะไม่ทันตั้งตัว วิชาไสยศาสตร์คือศาสตร์ที่ต้องใช้เวลาในการเตรียมการณ์ ไอ้ของพรรค์นั้นไม่มีทางที่จอมมารจะจับสัมผัสไม่ได้หรอก เว้นเสียว่าผู้ใช้จะเป็นผู้มือฝีมือในระดับสูงอย่างเช่น ‘ราชาไสยศาสตร์’
วินยกนิ้วโป้งให้เรเซอร์ในสภาพที่ตัวขาดครึ่ง
“แฮะแฮะ ..ทางนี้ยัง–฿&#@#@*#@ (อ้วกเป็นเลือด)”
“ช่วยได้มากเลย [เอิร์ธฟิลด์]”
จอมมารสะบัดดาบแห่งโซโลม่อนเพียงครั้งเดียง เอิร์ธฟิลด์ก็แหลกเป็นผง
“ว่าแล้วเชียว”
“เวทมนตร์ไม่ใช่ของที่เชื่อมต่อโดยตรงจากผู้ใช้ ทันทีที่มันออกมามันจะไม่ใช่ของใครทั้งนั้น ไม่นั้นคงไม่มีเทคนิคแทรกแซงเวทมนตร์มาหรอก”
แต่ก็เอาเถอะ ถึงจะแค่นิดเดียวแต่ก็ถ่วงเวลาได้เล็กน้อย
ไม่ทันที่จะได้ขยับเท้า ตรงพื้นก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนที่ ถ้าเป็นเวทย์ก็ตั้งใจจะตัด แต่ว่าตัดไม่ได้
คำตอบคือการาวิเทีย
“การาวิเทีย? ยังอยู่ในมืออีกเหรอเนี่ย”
จอมมารถูกลากไปบนฟ้าอีกครั้ง พื้นดินรอบๆลอยขึ้นไปรวมอยู่บนฟ้าอย่างมหาศาลทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้จอมมารได้หลุดออกมาได้
“..”
เรเซอร์ถอนหายใจเฮือกโตและยิ้มออกมา
“ครบเวลาแล้ว ..กลับมาแล้วสินะ ยูนา”
****
‘ไม่ได้พบกันนานนะคะ มาสเตอร์’
นานอะไร แค่นิดเดียวเอง
‘ท่ามกลางเวลาที่ว่างเปล่า ฉันรู้สึกว่ามันนานเป็นอย่างยิ่งค่ะที่ไม่ได้ยินเสียงของมาสเตอร์ คิดว่ามาสเตอร์อาจตายแล้วด้วยซ้ำ’
จริงๆก็เกือบไม่รอดแล้วล่ะ กลับไปเปลี่ยนชื่อว่าบุญรอดท่าจะดี ..เอาล่ะ ยูนา
‘คะ?’
เอาอีกครั้ง
‘เข้าใจแล้วค่ะ’
..สมาธิ ตั้งสมาธิ นึกถึงรูปของดาบแห่งโซโลม่อนดูสิ
แก่นแท้ของมันคืออะไร? สิ่งใดที่ให้กำเนิดมัน? เงื่อนไขคืออะไร?
แก่นแท้คือดาบที่ทลายได้ทุกอย่าง
กำเนิดจากการรวมกันของวิญญาณปีศาจแห่งโซโลม่อน
เงื่อนไขคือ–จำเป็นต้องอาศัยคนอื่นในการใช้
สำหรับเราต้องต่างกัน ทำเหมือนกันไม่ได้ แต่ต้องได้ประสิทธิภาพตามที่ต้องการ
เริ่มจาก
ต้องการอะไร
สิ่งที่สามารถแก้สถานการณ์ตอนนี้ได้ พลังที่ครอบคลุมได้ทั่วทั้งเกาะวาเรอร์–พลังที่เปลี่ยนแปลงผลของการต่อสู้ทั้งหมดได้
ช่วยเบลลามี และปกป้องทุกคน นั่นคือสิ่งที่ต้องการในเวลานี้
ถ้านั้นล่ะก็—จงออกมาซะ
“[ดาบสะบั้นมิติ ยูนา]”
จำเป็นต้องใช้การตัดมิตินับล้านในคราเดียวยังไงล่ะ!
บนมือเกิดประกายแสงสีม่วงขึ้น มันค่อยๆเปลี่ยนรูปกลายเป็นดาบและเกิดรูปลักษณ์ขึ้น
ดาบคาตะนะสีขาวลวดลอยสีทองที่มีออร่าสีม่วง คือรูปร่างของ [ดาบสะบั้นมิติ]
แปลงตัดมิติมาเป็นดาบ ..มันคือการเล่นนอกฏไม่ผิดแน่ นี่น่ะเหรอผลลัพธ์ของการใช้ข้อผิดพลาดให้เป็นประโยชน์ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันต่างกับพลังของยูจิ การใช้มีเงื่อนไขและขีดจำกัดอยู่ ..ผมมองดาบสะบั้นมิติที่ถือไว้ในมือ
ผมไม่รู้เงื่อนไขที่แน่ชัดเพราะยูนาเป็นเจ้าของพลัง แต่ว่าก็อดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่ามันมีเงื่อนไขที่โหดหินอยู่ไม่ผิดแน่
การจะได้พลังมามันต้องมีเงื่อนไขอยู่แล้ว สำหรับตัวตนที่ไม่ใช่เทพเจ้าน่ะ
อย่างดาบแห่งโซโลม่อนกว่าจะได้มาก็ต้องแลกกับการตายของพวกพ้องและการลองผิดลองถูกนับไม่ถ้วนถึงได้มา แล้วดาบเล่มนี้ล่ะ? ดาบที่สามารถหยุดการจมของเกาะได้ในฉับเดียวพร้อมกับการโค่นจอมมารในฉับเดียว ดาบที่ไม่ว่าสิ่งใดก็สามารถลบให้หายไปได้ มันคือดาบ ไม่สิ มันคือการโจมตีที่รุนแรงที่สุดแน่นอน หากตั้งใจผมสามารถแยกโลกใบนี้ออกอีกสี่ส่วนยังได้เลยในการฟาดเพียงครั้งเดียว
กับพลังที่มหาศาลขนาดนี้เงื่อนไขย่อม ..
‘ผลลัพธ์คือการตัดมิติพร้อมกันหลายล้านครั้งภายในดาบเดียว และเงื่อนไขคือทุกครั้งที่ใช้ต้องแลกกับอายุขัยมาสเตอร์ หากให้ฉันประเมิน ในสองครั้งแรกที่ใช้มาสเตอร์จะไม่รู้สึกอะไร พอใช้ครั้งที่สามร่างกายจะเริ่มมีปัญหาและพอใช้ครั้งสุดท้าย มาสเตอร์จะหมดอายุขัยและตายไปค่ะ’
เงื่อนไข..แค่นั้นเองเหรอ? กับพลังที่มากมายขนาดนั้นแลกกับชีวิตคนๆหนึ่งน่ะเหรอ?
‘…ใช่ค่ะ เป็นอย่างนั้นเลย’
อะไรกัน ..คุ้มค่าสุดๆเลยนี่นา
ถ้านั้นก็จัดเลยเลยยูนา
‘เข้าใจแล้วค่ะ–มาสเตอร์’
หืม?
‘ฉันคิดว่าฉันได้เป้าหมายอย่างอื่นนอกจากการฆ่าเรนแล้วล่ะค่ะ’
อะไรเหรอนั่น ถ้าอยากได้อะไรเดี่ยวฉันหามาให้เอง
‘ฉัน..อยากให้มาสเตอร์มีความสุข’
..
‘เพราะคนสำคัญรอบตัวฉันไม่สามารถมีความสุขได้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะซากุระ ไม่ว่าจะเรนหรืออาจารย์แรกซ์ ไม่ว่าใครก็ต้องจมอยู่กับความโศกเศร้า ..เพราะฉะนั้นครั้งนี้ฉันเลยอยากให้มาสเตอร์มีความสุข ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ต่อให้ฉันต้องหายไปฉันก็จะต้องช่วยให้มาสเตอร์ไปถึงฝั่งฝันของชีวิตที่สงบสุข’
ยูนา ..เธอเป็นอะไรไปเนี่ย แปลกจากเดิมนะนั่น แล้วก็ต่อให้หายนี่อะไร? เธอเป็นวิญญาณระดับเทพไม่ใช่หรือไง ไม่มีทางหายไปอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
‘ฉันว่าฉันรู้แล้วว่าการก้าวข้ามอดีตของฉันคืออะไร’
..ยูนา
สิ่งที่เธอแสวงหามาตลอด สิ่งที่เธอต้องจมปักอยู่กับมันมาตลอด ..คำตอบของสิ่งนั้นไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่เลย เธอก็แค่–
‘มันคงเป็นความปารถนาที่จะให้คนสำคัญมีความสุข ..ช่วยใช้ชีวิตให้มีความสุขด้วยนะคะ มาสเตอร์ ..สำหรับฉัน ..มาสเตอร์คือครอบครัวที่เหลือเพียงคนเดียว’
..นี่น่ะเหรอสิ่งที่ยูนาตามหามาตลอด แค่อยากเห็นผมมีความสุขเนี่ยนะ นี่น่ะเหรอการก้าวข้ามอดีต ช่างเรียบง่ายและไร้ซึ่งความอลัง แต่สำหรับผมการที่ยูนารู้ว่าการก้าวข้ามอดีตของตัวเองคืออะไรคือความสุข เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดในวันนี้
เหมือนกับยูนา ยูนาเองก็เป็นคนในครอบครัวของผมเหมือนกัน–กับเธอ ผมเองก็อยากให้มีความสุขพร้อมไปกับผม
“แน่นอนอยู่แล้วสิ ทั้งฉันและเธอจะไปสู่จุดจบที่แสนสุข และโกบโกยความสุขให้ได้มากที่สุดจนกว่าจะตาย เธอเองก็รอรับความสุขต่อจากฉันด้วยล่ะกัน”
‘จะเชื่อนะคะ ยังไงซะมาสเตอร์ก็ไม่ใช่พวกชอบพูดปด’
พวกเราชนหมัดกันทางจิตใจ และไม่รู้ทำไมแต่ผมสัมผัสได้ว่ายูนากำลังยิ้มอยู่
ยิ้มให้กับความตายของผมเหรอ? ยิ้มให้กับตัวเองเหรอ?
ไม่ใช่
เรื่องนั้นมีแค่เธอที่รู้
ผมตั้งท่าดาบ และเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ดินทั้งหมดถูกกลืนกินโดยหลุมดำ
จอมมารดิ่งลงพื้นอีกครั้ง เธอยืนอยู่ตรงหน้าผม
“จนได้สิ ในที่สุดก็มาถึงขั้นนี้แล้วเหรอ”
มาถึงขั้นนี้? พอโดนทักก็พึ่งรู้สึกตัว
ตอนนี้ผมรู้สึกไม่มีแรงเลย มานาเหมือนจะหมดเกลี้ยง แค่นั้นไม่พอรู้สึกว่าสติใกล้จะหายไปอยู่ล่ำไล
สภาพแบบนี้แค่วิ่งหน่อยเดียวก็คงไม่ไหวล่ะมั้ง ..แต่ว่า
นิดเดียว ขอแค่ได้ซัดจอมมารครั้งเดียวก็พอ
‘เลเวลเบรกเกอร์’ เป็นคำพิเศษในทวีปแซร์อิซ มีความหมายว่าการทำอะไรเกินขีดจำกัดของตัวเองได้ อย่างเช่นมานาหมดแต่ก็ยังใช้ได้อยู่ ไม่ใช่เพราะร่างกายเรามีมานาเหลืออยู่แต่เป็นเพราะเราใช้มานารอบๆในสภาวะที่ร่างกายไม่มีมานาเลย
มันคือกลไกของมานาที่อธิบายได้ยากอีกทั้งยังเกิดขึ้นได้ยาก แต่มันก็มีโอกาสเกิดขึ้นอยู่มันถึงมีคำว่า ‘เลเวลเบรกเกอร์มา’
ในที่นี้ไม่ได้จำกัดแค่มานา ยังมีพวกวิชาดาบหรือการทำงานเกี่ยวกับร่างกายที่เกิดได้ง่ายกว่าภาวะมานาอีก
ซึ่งตอนนี้ผมตั้งใจจะทำมันทั้งสองอย่างเลย
“[เลเวลเบรกเกอร์]!!!!!!!”
ผมออกวิ่ง เสมือนว่าแรงกายกลับมาเท่าเดิม ในใจรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ไหวแล้วแท้ๆ นั่นแหละคือการ ‘เลเวลเบรกเกอร์’
มีวลีหนึ่งที่นิยมในหมู่นักผจญภัย เขาว่ากันว่า ‘ผู้ที่ทำเลเวลเบรกเกอร์ได้คือผู้ที่มีค่าโชคเกินกว่ามาตรฐาน’
สำหรับเรื่องนั้น—คงจะจริงไม่น้อยเลย สำหรับผมที่รอดตายติดๆกันได้หลายครั้งน่ะ!
มือข้างหนึ่งถือ [ดาบสะบั้นมิติ] เอาไว้ มืออีกข้างยื่นไปหาจอมมาร ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่หยุดวิ่งเข้าใส่ ผมเองก็ด้วย
เพียงอีกก้าวเดียวก็จะเข้าสู้ระยะโจมตีแล้ว–มาถึงตอนจบแล้ว
ผมยิ้มให้จอมมารและโพล่งออกมา
“ไสยศาสตร์ [ย้อนกลับ]”
“!!?”
ผมย้อนตัวเองกลับมาข้างหลังหนึ่งก้าว
หนึ่งในวิชาไสยศาสตร์ที่เรียนไว้แบบงูๆปลาๆใครจะคิดล่ะว่าจะได้ใช้ในสถานการณ์หวาดเสียวขนาดนี้
ที่เกิดขึ้นมันเกินกว่าที่จอมมารคิดไว้ ผมก้าวเท้าเข้าใส่และเป็นคนที่เข้าถึงระยะออกดาบคนแรก
ผมเหวี่ยง [ดาบสะบั้นมิติ] จากต่ำสุดไปสูงสุด อีกแค่นิดเดียว ใช่ อีกแค่นิดเดียว
จอมมารเอียงตัวหลบได้โดยที่เฉียดเส้นผมไปหน่อยเดียว
พอตั้งใจจะฝืนเหวี่ยงดาบอีกครั้ง แรงกายก็หมดซะก่อน
[ดาบสะบั้นมิติ] หลุดออกจากมือ เพียงแค่มันแตะพื้นมันอาจจะช่วยหยุดไม่ให้เกาะจมได้ แต่–ไม่สามารถช่วยเบลลามีได้อยู่ดี
สุดท้าย ต่อให้โชคช่วยหรือพยายามมากมายแค่ไหน ผมลัพธ์ก็ยังไม่เปลี่ยนนั้นเหรอ??
ความจริงที่กำลังจะปรากฏทำให้ผมข่มตาหลับ อยากจะหนีความจริงทั้งหมด ทว่าก็ต้องกลับมาเบิกตาโพลงกว้างซะก่อน ก็เพราะว่า–บิลเซบับวิ่งเข้ามาข้างหลัง
ท่าทางและสีหน้าต่างจากบิลเซบับที่แสนเยาะแยะคนเดิม เธอพุ่งตัวไปหา [ดาบสะบั้นมิติ] และคว้ามันเอาไว้บนมือ จากนั้นก็
..ฟันใส่หลังจอมมาร?
“เอ๊ะ”
การเคลื่อนไหวที่ผิดจากที่คำนวณไว้—คือการที่บิลเซบับทรยศจอมมารด้วยอีกคน จอมมารตกใจเช่นเดียวกับผม แต่ไม่ทันที่จะได้หันไปมองร่างของจอมมารก็ล้มลงกับพื้น พร้อมกับดาบแห่งโซโลม่อนที่สลายไป
“บิลเซ—บับ?”
ร่างของจอมมาร ..ร่างของเบลลามีลงไปนอนกับพื้น ..
เพล้ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เสียงกระจกแตกอันเป็นเอกลักษณ์ของการตัดมิติดังไล่กันมา
รอยแยกมิติเกิดขึ้นทั้งทั้งเกาะวาเรอร์ ท้องฟ้าถูกเปลี่ยนเป็นสีม่วงกับขาวปนกันไป ทุกที่บนเกาะวาเรอร์เกิดรอยกระจกแตกขึ้น การสั่นสะเทือนของเกาะพลันหยุดนิ่งไปทันทีที่มิติบนเกาะวาเรอร์ได้ถูกตัด
ราวกับโลกในจิตนาการ เกาะวาเรอร์ตอนนี้ประหนึ่งกับโลกกระจกแต่กำลังล่มสลาย ..
ผมมองเห็นอะไรไม่ชัดเลย ..แต่ก็พอเดาได้ว่าตรงหน้าผมคือบิลเซบับ
“สัญญากับฉันได้รึเปล่าคะ..ว่าจะทำให้ท่านจอมมารมีความสุขน่ะ ถ้าสัญญาได้ฉันจะไว้ชีวิตคุณเอง”
เป็นเรื่องที่อวดดีสำหรับบิลเซบับ แต่ตามสถานการณ์ตอนนี้..เธอมีสิทธิ์จะพูด
“..เรื่องนั้นตั้งใจจะทำตั้งนานแล้ว”
“..เรเซอร์ ดราแคล์ ขอฝากท่านจอมมารไว้กับคุณด้วยนะคะ”
กล่าวจบบิลเซบับก็เดินออกจากที่แห่งนี้ ทางผมก็..หมดเรี่ยวแรงแล้ว ร่างกายกำลังจะทิ้งตัวลงกับพื้นเองแล้ว แต่ก่อนที่จะหมดสติผมหันไปทางเบลลามีและคว้ามือของเธอเอาไว้
..
****
ไม่นานหลังจากที่เรเซอร์สามารถช่วยเบลลามีไว้ได้ ..
“โกหกเก่งจังเลยนะ ท่านวีรสตรีเนี่ย”
..
“รู้ด้วยเหรอคะ?”
ยูนาปรากฏตัวออกมาในร่างวิญญาณทันทีที่วินทัก เธอนั่งอยู่ข้างๆเรเซอร์ และกลับกัน ตรงหน้าวินแรกซ์เองก็นั่งอยู่ด้วยในรูปแบบเดียวกับยูนา
ทั้งสองสามารถคุยกันได้ด้วยพลังของวิน หากตั้งใจก็สามารถให้วิญญาณระดับเทพทั้งสองฝั่งสนทนาได้ตามความสมัครใจของตัววิญญาณระดับเทพ
“ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก แต่จารย์ช่วยอธิบายให้ฟังน่ะนะ ..[ดาบสะบั้นมิติ] อะไรนั่นน่ะ สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนไม่ใช่อายุขัยของเรเซอร์สักหน่อย”
“…”
ยูนาเงียบไม่ตอบอะไร แรกซ์เห็นก็ถอนหายใจ
“เธอตอนถูกจับได้ว่าโกหกชอบเงียบใส่ตลอดเลยนะ ต่างกับเซเนียที่ชอบโวยวายสู้”
“ฉันเป็นผู้หญิงฉลาดต่างกับเซเนียค่ะ โวยวายมีแต่จะโดนหาว่าเถียงและยั่วโมโหคู่กรณีโดยใช่เหตุ”
“เอาเถอะ ก็ไม่คิดจะว่าอะไรหรอก ยังไงซะมันก็คือสิทธิ์ของเธอที่จะปิดบังมัน แต่ปิดบังวิญญาณระดับเทพด้วยกันไม่ได้ก็แค่นั้น ..ลำพังชีวิตของคนๆหนึ่ง ค่าตอบแทนในการเรียกดาบเล่มนั้นออกมามันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว”
ยูนาหรี่ตามองเรเซอร์ และค่อยๆนำมือไปลูบหัวอย่างเอ็นดู ..
“..เป้าหมายของฉันคือการทำให้มาสเตอร์มีความสุข มันแน่นอนอยู่แล้วที่จะต้องปิดเงียบเอาไว้” ยูนายิ้มออกมา “เพราะขืนบอกมาสเตอร์ไปตรงๆได้โดนเขาโวยวายใส่จนน่ารำคาญแน่ๆค่ะ”
“ต่อให้ทำอย่างนั้น ในตอนจบเธอก็จะไม่ได้ไปเจอกับซากุระในโลกหลังความตายหรอกนะ ยูนา ..การลบตัวตนออกจากโลกน่ะคือการหายไปตลอดกาลจากโลกใบนี้ วิญญาณของเธอจะไม่ได้ไหลเวียนสู่โลกแต่จะถูกลบหายไป—คิดดีแล้วเหรอ?”
“เตรียมใจไว้แล้วค่ะ ทันทีที่ดาบเล่มนั้นปรากฏให้เห็น ชีวิตของฉันก็มีเวลาจำกัดแล้ว—แต่ก่อนที่ฉันจะหายไป ..ฉันต้องส่งมาสเตอร์ให้ถึงฝั่งฝันก่อน เรื่องมันก็แค่นั้น”
…
ทันทีที่ [ดาบสะบั้นมิติ] ได้โผล่ออกมา การมีอยู่ของยูนาก็ไม่ใช่นิรันดร์อีกต่อไป และทุกครั้งที่ใช้งานมันชีวิตก็จะถูกจำกัดเวลาขึ้นเรื่อยๆ
สี่ครั้งไม่ใช่ขีดจำกัดของเรเซอร์ แต่เป็นขีดจำกัดของยูนา ..มันคือการลงดาบสุดท้ายของยูนา
ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีความเสียใจแม้แต่น้อยในใจของเธอ ..
MANGA DISCUSSION