< < 115 > >
บนฟ้าของเกาะวาเรอร์ราวกับเรื่องราวในโลกแฟนตาซี—ไม่สิ มันก็แฟนตาซึนั่นแหละ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันยังแฟนตาซีแม้แต่ในโลกที่มีเวทมนตร์และวิชาดาบบ้าพลังทั้งหลาย นั่นก็เพราะว่าตอนนี้ได้เกิดปรากฏการณ์ที่เกาะวาเรอร์ส่วนหนึ่งถูกยกขึ้นฟ้า ราวกับเป็น ‘เกาะลอยฟ้า’
ผมควงการาวิเทีย ต้นเหตุที่ทำให้เกิดเกาะลอยฟ้าไปมาเพื่อเป็นการวัดระยะและสร้างความเคยชิน
ตัวคทาต้องบอกเลยว่าธรรมดามาก ประสิทธิภาพเข้าขั้นบัดซบเลยหากเทียนกับคทาราคาถูกทั่วไปสมัยนี้ แต่–จุดเด่นคือมันมีพลังในการจ่ายมานาเพื่อควบคุมแรงโน้มถ่วงอยู่ แถมมานาที่ต้องใช้ก็ไม่ได้มากมายอะไรด้วย ให้อธิบายโดยย่อมันคือคทาสวะที่มีความสามารถติดตัวขี้โกง แค่นั้นแหละ
แต่ความสามารถของมันเข้ากับสถานการณ์ตอนนี้สุดๆ ผมมีหน้าที่ถ่วงเวลาจอมมาร การที่ควบคุมแรงโนมถ้วงได้ก็นับว่าเป็นทางเลือกยอดเยี่ยมในการยื้อเกม เพราะจอมมารไม่สามารถตัดการควบคุมแรงโน้มถ้วงได้ง่ายๆ
ให้อธิบายก็คือการควบคุมแรงโนมถ้วงมันมาจากตัวคทา ดินที่เกาะด้วยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ต่างกับตัดมิติหรือหักล้างที่เป็นการใช้ดาบและหัตถ์ในการพุ่งไปจู่โจม ซึ่งระยะใกล้ไม่พอยังเป็นรูปร่างที่ตัดได้อีก ถ้าต้องเจอกับดาบบัดซบตรงหน้าคือเสียเปรียบเห็นๆ ..พอพูดอย่างนี้ทุกคนก็คงสงสัยว่านั้นยูจิทำอีท่าไหนถึงชนะจอมมารได้
ผมก็จะบอกตรงๆเลยว่า–ยูจิชนะจอมมารทั้งๆที่ตัวเองแพ้ทางนั่นแหละ
ผมชี้การาวิเทียใส่จอมมาร—เธอไม่รอช้ารีบพุ่งเข้าใส่ก่อนจะได้ทำอะไร
“[กิก้า—บีม]”
เสียงแหกปากของหนิงหลังขึ้นจากข้างหลัง พร้อมกับบีมยักษ์ที่ลอยมาข้างหลัง แม้จะไม่โดนผมแต่ไอร้อนก็เสียดผมไปจนรู้สึกทรมานประหนึ่งโดนเผา ไม่อยากนึกถึงความรู้สึกของจอมมารที่ต้องปะทะกับบีมตรงๆเลย
“[ดราก้อนบัสเตอร์] [ดราก้อนเฟลม]”
หนิงปล่อยก้อนเพลิงออกจากแขนทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งเป็นก้อนพลังที่ตรงออกไปประหนึ่งเลเซอร์ อีกข้างเป็นเพลิงขนาดยักษ์ของมหามังกร
ลูกเล่นเยอะไม่ใช่น้อย ก็อยากบอกแบบนี้อยู่หรอกแต่หลักๆก็แค่ท่ายัดพลังใส่ตรงๆตามฉบับพวกบ้าพลัง
‘ถ้าพูดถึงมหามังกรอย่างฟัฟนิร์ แซร์อิซและเกรลล้วนเป็นพวกบ้าพลังแบบหนิงหมดค่ะ เป็นพวกน่ารำคาญที่ทำเป็นแค่แหกปากปล่อยท่าใหญ่โดยไม่สนอะไร’
ไม่พูดถึงเนลยอนแปลว่ายกเว้นสินะ
‘ใช่ค่ะ เนลยอนจะว่าไงดี ..เป็นคนที่อ่อนแอที่สุดแต่ใช้พลังของตัวเองได้มีประสิทธิภาพที่สุด ว่าง่ายๆเป็นคนที่ฉลาดที่สุด’
ชัดแจ๋วเลยแฮะ
ทั้งบีม ทั้งบัสเตอร์ ทั้งเพลิง ต่างๆนานาพุ่งเข้าใส่จอมมารอย่างบ้าคลั่ง ต่อให้เป็นจอมมารที่ถือดาบขี้โกงเอาไว้ก็ยากที่จะปัดทั้งหมดที่เล่นกระหน่ำใส่ทั้งหมดได้ยาก
นอกจากใช้ดาบก็ต้องใช้เพลิงสีขาวมาช่วยด้วยตลอด จะบอกว่าหนิงกดดันจอมมารได้ก็ไม่แปลกเลย แต่ต้องชมการาวิเทียด้วย เพราะมันเลยทำให้จอมมารเคลื่อนไหวได้ลำบาก จากที่จะหนีได้ก็ดันโดนลากไปจุดที่หนิงกระหน่ำก้อนพลังใส่ทำให้ต้องอยู่ในสภาพตั้งรับอย่างเดียว
“ตายซะะะะะ!!!!!!!”
เดี่ยวๆ ให้ตายไม่ได้นะ ถ้าจอมมารตายเบลลามีก็ตายไปด้วยสิ!
“ย๊ากกกกกก!!!”
แต่ก็ไม่คิดขัดอะไรเพราะรู้ว่าจอมมารไม่มีทางตายกับแค่นี้อยู่แล้ว และปล่อยให้หนิงแหกปากระบายไปเรื่อยก็ทำให้ตัวหนิงรีดพลังออกมาได้ง่ายขึ้นด้วย
ผมใช้การาวิเทียเต็มพิกัด พร้อมกับเตรียมตัวใช้ตัดมิติเผื่อสถานการณ์ฉุกเฉินตลอดเวลา
****
“นั่นการาวิเทียสินะ”
อีกด้านหนึ่ง ทางโซล่าและหนิงที่คอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังก็มองการต่อสู้ข้างบนไปด้วยพลางเร่งเตรียมการณ์ตามที่เรเซอร์ขอ
ระหว่างที่สร้างวิชาไสยศาสตร์อยู่วินก็เอ่ยถามโซล่าอย่างสงสัย
“ใช่ค่ะ”
“ไม่ใช่ของเลียนแบบหรือโดนหลอกขายมาอีกทีนะ?”
“ก็ค่ะ ของแท้เก็บได้จากดันเจี้ยนที่แซร์อิซเลย หากข้องใจก็ดูได้จากประสิทธิภาพเลยค่ะ”
วินพยักหน้ารับเมื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ของการาวิเทียที่เล่นยกเกาะวาเรอร์ไปถึง 1/4
“..ทำไมพกของระดับตำนานแบบนั้นเดินไปมาล่ะเนี่ย บางทีคุณเทพธิดาผู้สร้างก็ทำอะไรแปลกๆเยอะไปหน่อยนะ” วินยิ้มเจื่อนๆ
“อันนั้นฉันเก็บได้เองน่ะค่ะและรู้ด้วยว่าถ้าบอกคนอื่นคงโดนยึด เลยแอบๆเอาไว้เพราะตั้งใจจะมอบให้สามีในอนาคต”
“แบบนี้นี่เอง คิดจะใช้ติดสินบนเรเซอร์เขาสินะ”
“ถ้าจำเป็นนะคะ ..หุหุ” โซล่าหัวเราะอย่างชั่วร้าย “แต่ถ้าใช้ไม้นั้นฉันคงได้แต่งงานกับคุณเรเซอร์แค่วันเดียว จากนั้นก็โดนขอหย่อแล้วแน่ๆค่ะ เพราะฉะนั้นคงได้แค่คิดแหละ”
“พะ เพื่อนเลิฟฉันไม่ได้เลวขนาดนั้นสักหน่อย”
“ล้อเล่นค่ะ อันนั้นเป็นแค่ความคิดตอนยังไม่ได้เจอกับคุณเรเซอร์”
“นี่ตราหน้าคนอื่นว่าเป็นสวะตั้งแต่แรกเลยสินะเนี่ย”
โซล่ายิ้มออกมาและมองไปที่อะไรบางอย่างซึ่งไม่ได้อยู่ตรงนี้
“นั่นสินะคะ ในความฝันฉัน คุณเรเซอร์เขาดูเลวสุดๆเลย แต่ก็”
ยังรักอยู่ดี ..เพราะฝันโซล่าถูกช่วยเอาไว้—โดยเรเซอร์ที่แสนเลวคนนั้นนี่แหละ
****
เรื่องราวในฝันมันราวกับโลกที่ต่างออกไป แปลกจากเหตุการณ์ในปัจจุบัน ราวกับว่าคือโลกในอีกเรื่องราว
ตัวฉันในช่วงเวลาเดียวกัน กำลังนั่งสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์ตามที่จักรวรรดิสั่ง ..บอกตามตรงว่ามันน่าเบื่อมาก ไม่มีความสุขเลยสักนิดเพราะฉันถูกบังคับ แต่ไม่มีทางเลือก ฉันต้องทำต่อไปตามที่จักรวรรดิต้องการเพราะเร็วๆนี้มันจะเกิดสงครามระหว่างจักรวรรดิกับอาณาจักรเกรลขึ้น
ภายในห้วงเวลาที่แสนว่างเปล่านั้น ..คุณเรเซอร์ก็ได้เดินเข้ามา
เขาคือผู้ทรยศจากอาณาจักรฟัฟนิร์ เห็นว่าไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตของฟัฟนิร์เข้าจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาที่นี่
ทันทีที่เจอหน้ากันเข้าก็
“ทำอาวุธที่ทรงพลังมาให้ฉันคนนี้ซะ”
..จู่ๆก็วางท่าขอให้ฉัน ..อา คนๆนี้ไม่ไหว
เขาก็แค่เด็กเอาแต่ใจจากอาณาจักรฟัฟนิร์ ไม่รู้ว่าจักรวรรดิรับมาทำไมเหมือนกัน แล้วยังส่งมาให้ช่วยสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์อีก ขอทีเถอะ คนแบบนี้มีแต่จะทำให้งานแย่ลงนะ
ด้วยเหตุนั้นเลยแจ้งขอเปลี่ยนตัว แน่นอนว่ามันมีระยะเวลาทำการ ระหว่างนั้นฉันต้องทนอยู่กับผู้ชายเอาแต่ใจคนนี้
“โซล่า เลนนอน จำไม่ผิดถูกเรียกกันว่า ‘เทพธิดาผู้สร้าง’ สินะ เป็นคนดังในแวกวงอุปกรณ์เวทมนตร์ ถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการสร้างอาวุธให้ฉัน เอาล่ะ–ทำตามที่สั่งได้แล้ว”
“ชื่อคุณเรเซอร์สินะคะ? คือว่านะ ตอนนี้คุณอยู่ในฐานะลูกจ้างที่ต้องช่วยฉันทำงาน ถ้าอยากให้ฉันทำของให้ก็ส่งเงินแล้วก็วัตถุดิบมา ..แต่ถึงจะบอกอย่างนั้นฉันก็ไม่มีเวลามากหรอกนะคะ ไปขอให้คนอื่นช่วยสร้างให้เถอะ”
“หา? กล้าขัดฉันคนนี้สินะ ทั้งแกก็ดี—ทั้งยูจิมันก็ดี ไม่ว่าหน้าไหนก็ชอบมีปัญหากับผู้สูงส่งอย่างฉันเหลือเกินนะ”
..ยูจิ
จะว่าไป..ชื่อนี้ก็เคยได้ยินมาก่อน แต่เมื่อลืมตาตื่นชื่อที่แสนคุ้นเคยนี่ก็จะหายไปทันที
“เฮ้อ เอาเป็นว่าถ้าช่วยฉันทำงานสักหน่อย ฉันจะซึ้งพระคุณมาก อาจจะช่วยสร้างคทาให้คุณสักอันก็ได้นะคะ”
“พูดแล้วนะ”
กล่าวจบเขาก็เดินสะบัดตูดหนีไปทำงาน ..และต้องแปลกใจกับความสามารถในการทำงาน ว่าตามตรงเขาคือคนที่มีความสามารถคนหนึ่งเลย อาจจะไม่ถึงขั้นเป็นผู้นำได้แต่ก็เป็นลูกมือที่ดี
พอทำงานชิ้นนี้เสร็จแล้วเขาก็โดนมาทวงของ ด้วยความรำคาญเลยบอกปัดๆไปว่า
“พอดีคิวเต็มน่ะค่ะ เดี่ยวจะจองไว้ให้คิวสุดท้าย ถ้าอยากได้ของเร็วๆก็ช่วยขยันทำงานหน่อยนะคะ”
“ก—อย่ามาล้อเล่นนะเฟ้ย! คิดว่าฉันมาที่นี่ทำไมฟร้ะ!?”
“เพระโดนไล่จนไม่มีที่ซุกหัวนอนรึเปล่าคะ?”
“อันนั้นก็มีส่วน ..แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”
“น่าสงสารจังเลยนะคะ เอาเป็นว่าถ้ายังอยากมีที่อยู่ก็ตั้งใจทำงานเข้า”
“..สัญญาแล้วนะที่ว่าจะทำให้คิวสุดท้ายน่ะ”
“แน่นอนค่ะ”
พูดจบฉันก็ทำงานต่อ—ยังไงซะคิวสุดท้ายที่ว่าก็ไม่มีหรอก เพราะงานของฉันมันไม่มีที่สิ้นสุดยังไงล่ะ
หลังจากวันนั้นคุณเรเซอร์ก็ทำงานโดยไม่บ่นอะไร เขาพยายามศึกษางานและตามฉันให้ทันตลอดจนในไม่ช้าเขาก็กลายเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมที่สุดในหน่วย
ผ่านไปหลายวันความสัมพันธ์ของพวกเราก็เริ่มดีขึ้น จากที่ไม่ค่อยชอบหน้าก็กลายเป็นไม่ได้รังเกียจอะไร
“เขียนค่าผิดไปหนึ่งตัวไม่ใช่รึไง”
คุณเรเซอร์เดินมาทักฉันพร้อมกับเอกสารข้อมูลที่ฉันเขียนไปผิด ..เพราะไม่ได้นอนมาสามวันติดแล้วล่ะมั้งทำให้วิสัยทัศน์มันแคบลง
“ขอโทษนะคะ เดี่ยวจะแก้ไข”
“ไม่ต้องหรอก ฉันทำเอง งานแค่นี้ไม่จำเป็นต้องถึงมือหล่อนหรอก ที่สำคัญเอาเวลาไปนอนไป”
พูดจบเขาก็โบกมือไล่ฉันอย่างกับหมูกับหมา เห็นแล้วก็หงุดหงิดนิดหน่อยแต่ก็ต้องเก็บอารมณ์เอาไว้ เพราะถ้าทะเลาะกันงานจะไม่เดิน ..ใช่ ฉันจำเป็นต้องเก็บอารมณ์เอาไว้ตลอด เพราะถ้าปล่อยตัวไปตามใจคนรอบตัวจะพากันเอาปัญหามาให้
ถ้าฉันบ่น ไอลูกแหง่ในกลุ่มก็จะลากผู้ปกครองมาช่วยคุยทำให้เสียเวลางาน
ถ้าฉันร้องว่าอยากพัก คนรอบตัวก็จะลำบากกันหมด เลยงอแงไม่ได้เลย
แม้แต่นอน ถ้านอนมากเกินไปลูกน้องก็จะซวยอีก เพราะงานที่ฉันทำมีแค่ฉันเท่านั้นที่ตามทำ พวกลูกน้องมีหน้าที่แค่ทำเรื่องเล็กๆน้อยๆคอยซัพพอร์ต หากฉันไม่อยู่งานจะไม่เดินเลย
รู้ตัวอีกทีชีวิตก็ถูกผูกมัดไว้เสียแล้ว–แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบนะ การสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่รักที่สุดด้วย—แต่ก็อยากจะงอแงบ้างเหมือนกันนะ
“ถ้าจะไล่ไปนอนก็ไม่เห็นต้องมาบอกก็ได้นี่ค่ะ ช่วยแก้ไปตามเหมาะสมเลย”
“ทำอย่างนั้นได้ที่ไหน หล่อนวางท่าเป็นผู้คุมใหญ่ไม่ใช่เรอะ? ถ้าจู่ๆเปลี่ยนเองเดี่ยวก็มาบ่นอีก”
“ไม่บ่นหรอกค่ะ ถ้าพลาดก็คอยแก้ไขเอา”
ถ้าบ่นเดี่ยวก็งอแงกันอีก ยิ่งกับคนเอาแต่ใจอย่างคุณเรเซอร์
“แล้วก็ฉันยังไม่นอนหรอกนะคะ ไว้อีกสี่วันให้หลังค่อยนอน”
เพราะต้องจดจำเนื้อหาทั้งหมดไว้ ถ้านอนมันอาจจะลืมและต้องมารื้อใหม่ทำให้งานช้าขึ้น ..
“ก็แล้วแต่”
“ค่ะ ..”
ขณะที่ฉันนั่งพักผ่อนพลางเรียงลำดับข้อมูลในหัวไป คุณเรเซอร์ก็นั่งอ่านเอกสารเหมือนกัน ..พยายามอย่างหนักเหมือนกันสินะ อะไรทำให้เขาพยายามตั้งขนาดนี้นะ? ให้ฉันพูดก็กระไรอยู่แต่ไม่พยายามมากไปหน่อยเหรอ?
“ว่าแต่”
เพราะว่างด้วยผนวกกับการเรียบเรียงลำดับข้อมูลในหัวมันไม่ได้ยากอะไร ฉันเลยชวนคุณเรเซอร์คุยเป็นครั้งแรกโดยที่ไม่เกี่ยวกับงาน
“ทำไมถึงเข้าทำงานที่นี่เหรอคะ?”
“ก็ต้องอยากได้คทาเวทย์ที่เทพธิดาผู้สร้างเป็นคนทำอยู่แล้วสิ”
จะว่าไปก็เคยบอกแล้วนี่นะ ลืมไปเลย ..ดันไปสัญญาอะไรแปลกๆแล้วสิเรา
“คงยังไม่ลืมสัญญาหรอกนะ?”
ลืมไปแล้วล่ะค่ะ
“แน่นอนค่ะ”
แต่ถ้าพูดไปตรงๆคุณเรเซอร์ได้โวยใหญ่แน่
“ฉันแค่นึกสงสัยขึ้นมาน่ะว่าทำไมถึงอยากได้ เห็นคุณเรเซอร์มุ่งมั่นมากๆเลย”
“..เอาเถอะ เล่าให้ฟังคนเดียวก็ไม่มีปัญหา แต่อย่าเอาไปบอกใครต่อล่ะ”
“ทราบแล้วค่ะ”
“ฟังนะ ฉันน่ะ–”
ให้สรุปก็คือ
คุณเรเซอร์มีปัญหากับนักเรียนทุนคนหนึ่งที่วิทยาลัยเวทมนตร์ และเพราะโดนเขาเอาชนะทำให้รู้สึกแค้นและตามติดชีวิตนักเรียนทุกคนนั้นตลอด รู้ตัวอีกทีหายใจเข้าหายใจออกก็คิดแต่เรื่องหาเรื่องเขาจนตัวเองซวยเอง เล่นแรงเกินไปจนทำให้ครอบครัวตัวเองโดนเล่นไปด้วย
รู้ตัวอีกที คุณเรเซอร์ก็เสียทุกอย่างและหนีมาที่จักรวรรดิ ..และเหตุการณ์คราวนี้ก็ทำให้คุณเรเซอร์มีไฟแค้นกับนักเรียนทุกคนนั้นกว่าเดิมเลยอยากได้คทาเวทย์ดีๆไปใช้สู้กันใหม่
..ช่างโง่เขลา ไม่รู้จะพูดอะไรดี เรื่องนี้ต่อให้ฟังในมุมคุณเรเซอร์ก็รู้ดีว่าเขาผิดเอง ผีเข้าหรือไงถึงตามติดชีวิตชาวบ้านขนาดนี้ อยู่ไม่สุขขนาดนั้นเลยเหรอถ้าไม่ได้รังแกคนอื่นน่ะ–ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
“เข้าใจแล้วสินะ”
“ค่ะ ลำบากแย่เลยนะคะ”
หมายถึงทางฝั่งนักเรียนทุน ..ชื่อว่ายูจิสินะ แต่ว่าก็ว่าเถอะ ทางฝั่งคุณยูจินี่ก็โชคดีจังเลยนะ มีทั้งเจ้าหญิงมังกร บุตรสาวขุนนางชื่อดัง คนสำคัญมากมายมาคอยดูแลเนี่ย กลับกัน ทางฝั่งคุณเรเซอร์นี่ไม่มีใครเลยตอนนี้
“..สู้ไปก็ไม่ชนะหรอกนะคะ”
ทางที่ดีตัดใจยอมแพ้ ยอมรับผิด และเริ่มชีวิตใหม่ดีกว่าอีก กับคนมีฝีมืออย่างคุณเรเซอร์ทางนี้อยากจะเก็บเอาไว้อยู่นะ
ทั้งอย่างนั้นเจ้าตัวกลับค้านหัวชนฝา
“ไม่มีทาง”
โวยวายมายกใหญ่และจบด้วยการปฎิเสธอย่างเด็ดขาด ..
“ถ้าจะบังคับให้ฉันเลิกตามล่าหัวไอ้ยูจิ สู้ฆ่าฉันให้ตายซะตอนนี้ดีกว่า”
“ฉันไม่มีสิทธิ์ไปฝืนใจคุณเรเซอร์หรอก ..แค่แปลกใจนิดหน่อย”
คุณเรเซอร์จะว่าไงดี ..ทั้งเอาแต่ใจ ทั้งปากเสีย ทั้งอีโก้สูง ทั้งไร้เหตุผล เป็นคนที่ข้อเสียมีเยอะสุดๆ แต่ถ้าให้พูดถึงข้อดีก็คงเป็นความพยายามละมั้ง ถึงยังไงก็ยังไร้เหตุผลอยู่ดี ..เขาทำตัวอย่างกับ ‘ตัวร้ายโหลยโท่ย’ ในนิยายเลย เป็นตัวละครขยะสุดๆ
แต่ ..
“พูดถึงเรื่องแปลกใจฉันเองก็สงสัยเกี่ยวกับหล่อนอยู่เรื่องหนึ่ง”
“อะไรหรือคะ? ถ้าไม่เป็นการล่วงเกินกันก็พอตอบได้อยู่”
“ทำไมหล่อนถึงชอบเก็บอารมณ์เอาไว้ล่ะ?”
..ถึงจะถามอย่างนั้นก็เถอะ
“เป็นเพราะมันรบกวนการทำงานละมั้งค่ะ”
“ไร้สาระ”
..ฉันล่ะแปลกใจมากกว่าว่าทำไมคุณเรเซอร์ถึงพูดทุกอย่างที่คิดออกมาได้กันนะ
กับคนแบบนี้ต่อให้โดนพูดอะไรใส่ก็คง ..คิดแบบนี้เสียมารยาทจริงนะ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้
“…ถ้ายังไง ..อยากลองฟังฉันบ่นดูมั้ยคะ?”
“เอาสิ”
จากนั้นฉันก็เริ่มบ่นสิ่งที่ไม่ชอบในชีวิตให้ฟัง
กว่าครึ่งเป็นเรื่องของคนที่ทำงานด้วย
“หึ สมแล้วล่ะ ไอ้พวกนั้นมีแต่พวกสวะ ทำได้มากสุดก็แค่ลิ่วล้อเลเวลต่ำๆ”
คนที่ฉันบ่นด้วยก็มีคุณเรเซอร์อยู่ในนั้นด้วยแท้ๆแต่กลับวางท่าสูงส่งแบบไม่สะทกสะท้าน
“ในนั้นพูดถึงคุณเรเซอร์ด้วยนะคะ”
“จะพูดอะไรก็พูดไป ที่มีปัญหามันก็แค่หล่อนคนเดียวแหละ”
..คนๆนี้นี่นะ
“ค่ะ ค่ะ เข้าใจแล้ว”
“ไว้ถึงเวลาพักแล้วจะมานั่งบ่นกันอีกมั้ยล่ะ ทางนี้ก็มีเรื่องอยากบ่นเจ้านายแบบหล่อนเหมือนกัน”
“..”
ฉันจ้องคุณเรเซอร์ที่เก๊กหน้าเข้มหลังจากเอ่ยปากชวนฉัน
“..ฉันไม่ได้คุยกับคนอื่นแบบนี้นานแล้วล่ะ ..ถ้าเธออยากบ่นก็มาบ่นกับฉันคนนี้สิ”
ทำเป็นอ้างถึงฉัน ที่แท้ก็แค่อยากคุยเองนี่ ..แต่ก็ยังเก๊กอีกนะ
ฉันยิ้มอย่างเหนื่อยใจ แต่ก็ไม่ได้เกลียดอะไร บางทีการมีคนที่มานั่งบ่นให้ฟังได้มันก็ดีเหมือนกัน
หลังจากวันนั้นเวลาเดิมของทุกวัน ฉันจะไปนั่งคุยกับคุณเรเซอร์ในหลายๆเรื่อง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นทั้งสองฝ่ายต่างพูดบ่นเรื่องชีวิตประจำวันมากกว่า ตั้งแต่เรื่องคนที่ทำงานยังเรื่องที่เจอในอดีตและไม่ชอบ พวกเราเล่าทั้งหมดให้กันและกันอย่างไม่ปิดบัง ไม่ใช่เพราะไว้ใจอีกฝ่าย แต่เพราะติดผลระหว่างคุยเลยเล่ามันซะหมดก็อกเลย
แต่นั่นก็ดีแหละนะ ..เพราะตัวจริงของ เรเซอร์ ดราแคล์ จอมอวดดีไม่ใช่แค่ตัวร้ายจืดๆ
คุณเรเซอร์ก็แค่เด็กขาดความอบอุ่นคนหนึ่งล่ะ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่เลย มีแค่พี่สาวที่คอยดูแลเขาแต่ว่าพี่สาวก็ชิงตายไปตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนหน้าที่พี่สาวจะตายเขาก็มีอัศวินที่สัญญาไว้ว่าจะกลับมาเจอกันอีกอยู่ แต่สุดท้าย ..อัศวินคนนั้นก็ตายในสงครามในเวลาไล่ๆกับที่พี่สาวตาย
เขาไม่มีใครเลย พ่อแม่ต่างตัดหางปล่อยวัดเขา คนรอบตัวก็มีแต่พวกหวังผลประโยชน์ มีแต่เมดที่ยุยงให้ทำเรื่องชั่วๆกับเมดอีกคนสารพัด สุดท้ายเขาก็เติบโตมาเป็นคนที่ไม่เอาไหน เป็นนักเลงเอาแต่ใจในวิทยาลัยเวทมนตร์ ไม่มีใครคิดจะเข้าใจเขาเลย–แต่ก็โทษใครไม่ได้ เพราะไม่มีใครอยากจะเข้าใจคนไม่ดีอย่างคุณเรเซอร์หรอก คงต้องโทษคุณเรเซอร์ที่ทำตัวไม่ดีมากกว่าด้วยซ้ำ
พอชีวิตไม่เหลืออะไรแล้วก็เอาแต่ยึดติดกับศัตรู ไม่ใช่เพราะเกลียดจนคลั่ง–แต่เพราะชีวิตไม่มีอะไรแล้วต่างหาก ถึงเขาจะไม่ได้บอกมาตรงๆแต่ฉันก็วิเคราะห์ไว้ว่า—
—คุณเรเซอร์คือคนที่ขาดเหตุผลในการมีชีวิตเลยเลือกความเกลียดชังมาใช้เป็นเหตุผลการมีชีวิตแทน
..เป็นคนที่ทั้งน่าสงสารและเกินเยียวยา
แต่ก็ไม่ได้เกลียด เพราะเวลาที่ได้นั่งคุยกับเขามันเหมือนเติมเต็มสิ่งที่ฉันต้องการ
รู้ตัวอีกที ..ฉันก็ตกหลุมรักคนๆนี้ ไม่ใช่เพราะนิสัย แต่เป็นเพราะเขาช่วยเติมเต็มบางอย่างให้ฉันได้
พอเริ่มชอบก็เริ่มอยากจะทำอะไรให้ ..อย่างเช่นการสร้างคทาเวทย์ให้ตามต้องการ แต่—ฉันไม่มีเวลา ฉันเลยเลือกจะซื้อคทาเวทย์ที่แพงที่สุดและเอามาให้คุณเรเซอร์เป็นของขวัญแทน ตอบแทนที่ช่วยทำงานและอยากให้ด้วยความรู้สึกที่ชอบ
แต่นั่นกลับเป็นจุดแตกหักของพวกเรา
“นี่น่ะเหรออุปกรณ์เวทมนตร์ของเทพธิดาผู้สร้าง”
“ค่ะ ฉันว่าเหมาะกับคุณเรเซอร์ดีนะคะ”
“..ขยะ”
…
“เธอจงใจสร้างของขยะๆพรรค์นี้มาให้ฉันสินะ”
ไม่รู้ทำไม แต่เขาโกรธฉันมาก เขาไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่ของที่ฉันสร้าง–บางทีเขาอาจจะเชื่อฉันว่าไม่มีทางโกหกเขา นั่นทำให้ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเพราะฉันเลือกจะโกหกทั้งๆที่เขาเชื่อฉันตั้งขนาดนี้
คุณเรเซอร์บันดาลโทสะโดยการโยนคทาทิ้งและเดินออกจากห้องวิจัยไปทันที
..ฉันเวลานั้นอ่อนแรงเกินกว่าจะไปรั้งเขาไว้ไม่ให้ไป ..
หลังจากวันนั้นฉันก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย แต่ฉันก็ยังเฝ้าคิดถึงเขาอยู่ตลอดแม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม แม้จะผ่าน ‘มหาสงคราม’ อันเป็นสงครามระหว่างจอมมารกับวีรบุรุษยูจิมาแล้ว ฉันก็ยังไม่ได้ยินชื่อของเขา ทั้งๆที่หากพูดถึงคนที่ชื่อยูจิก็ต้องมีคุณเรเซอร์ไปเอี้ยวด้วยแท้ๆ ..ไม่อยากจะนึก แต่ฉันคิดว่าคุณเรเซอร์น่าจะตายแบบไม่มีใครจดจำในสนามรบนั่นแหละ ชื่อของเขาเลยไม่ลอยผ่านหูมาเลย
..จากนั้นหลายปีต่อมาก็ได้ข่าวว่าเขาตายในเมืองชันไม หมายความว่าเขาเลิกตามตอแยคนที่ชื่อยูจิแล้ว แต่ก็ไม่พ้นตายด้วยเงื้อมมือคนอื่นแทน
ฉันไปงานศพของเขา และพบว่า ..รักแรกของฉันเหมือนจะแต่งงานมีลูกแล้วล่ะ
ภรรยาชื่อ ‘ลีน่า ดราแคล์’ เป็นคนที่นิสัยดี ซึ่งไม่เข้ากับคุณเรเซอร์เลยสักนิด ..พูดตามตรงฉันค่อนข้างอคติ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีเท่าไหร่น่ะนะ
ส่วนคนลูกนั้นยังเด็กมาก พึ่งคลอดเอง..แต่ก็ต้องแยกจากกับพ่อซะแล้ว
ฉันรู้สึกสงสารทั้งสองคนเลยคิดจะรับมาดูแลด้วย แต่เจ้าตัวก็ปฎิเสธและพอคุยไปคุยมาฉันก็ดันพลาดโดยล้วงข้อมูลทำให้รู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมงานเก่าของคุณเรเซอร์
คุณภรรยาพอรู้อย่างนั้นก็ถามถึงคุณเรเซอร์สมัยก่อน พวกเราคุยไปหัวเราะไป เรเซอร์สมัยก่อนนี่แย่สุดๆเลยต่างกับตอนที่อยู่กับคุณภรรยาลิบลับ ทำเอารู้สึกน้อยใจนิดหน่อย
พวกเราคุยกันนานหลายชั่วโมง แต่สุดท้ายก็ต้องแยกกันเพราะฉันมีงานต้องทำอีกมาก
ฉันผละตัวออกมา และเดินเล่นในป่ามหาภูต
ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ..เขาโชคดีจริงๆนะที่ได้ภรรยาที่ดี เธอดีถึงขนาดที่เปลี่ยนคุณเรเซอร์คนนั้นได้—ซึ่งฉันไม่มีทางทำได้แน่นอน
“..”
กับคุณเรเซอร์ไม่มีอะไรค้างคาใจเลย–นอกจากเรื่องเดียว
ถ้าเกิดว่าตอนนั้น ถ้าเกิดฉันไม่ได้โกหกเขา ..ถ้าเกิดฉันเลือกจะสร้างอาวุธให้เขาจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างรึเปล่านะ?
อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาขอ—อา ใช่
ถึงตอนนี้ก็พึ่งคิดได้ เหมือนว่าฉันจะได้ความฝันใหม่มาแล้วล่ะ..
****
เรื่องราวในฝันมันแสนเลืองลาง ชื่อคน ลำดับเหตุการณ์ ฉันไม่สามารถเรียบเรียงได้เลย..แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่มีทางลืม มันคือความปารถนาสูงสุดของฉันต่อคุณเรเซอร์ เป็นดั่งการแก้คำสาปในความฝัน ..
“ฉันอยากจะสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดให้คุณเรเซอร์ล่ะ”
ฉันพูดกับคุณวินที่อยู่ใกล้ๆอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“..การาวิเทียจะเป็นหนึ่งในส่วนประกอบ จากนั้นก็จำเป็นต้องมีวัตถุดิบอีกหลายอย่างซึ่งแบบร่างฉันสร้างไว้หมดแล้ว เหลือแค่หาวัตถุดิบมาให้ครบ–ฝันของฉันก็จะเป็นจริง
“เพราะอย่างนั้นเลยขอให้คุณเรเซอร์คืนการาวิเทียกลับมาด้วย เพราะกะอีแค่การาวิเทียมันไม่คู่ควรกับคุณเรเซอร์เลย”
“เอ่อ จู่ๆเป็นอะไรไปเนี่ย”
“ไม่มีอะไรค่ะ—แค่เลือดในประดิษฐ์ของฉันมันพลุ่งพล่าน!”
ฉันภวนาขอให้คุณเรเซอร์ไม่ตาย ..เพราะฉันยังไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้เลย
MANGA DISCUSSION