เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 155: บทแรกของการลืมตาตื่น (6)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 155: บทแรกของการลืมตาตื่น (6)
< < 114 Sec6 > >
(มุมมอง เรย์)
“..ช่วยอธิบายหน่อยจะได้รึเปล่า”
ทันทีที่ตื่นจากการหลับใหล ฉันก็พบกับ—แกนน่อน หรือเทพดาบในตำนาน ผู้ที่เป็นผู้ช่วยฝึกซ้อมให้ฉันตลอดการฝึกฝนบนเกาะวาเรอร์ ..ทั้งอย่างนั้น ตอนนี้เธอกลับมองมาที่ฉันด้วยแววตาที่แสนจะเย็นชาต่างกับปกติ
ก่อนหน้านี้ แม้ว่าแกนน่อนจะปากเสีย แต่เธอไม่ใช่คนไม่ดี เธอช่วยฉันและเตือนฉันเรื่องวิทีดาบตลอด แม้ว่าฉันจะไม่ต้องการ แต่ที่พูดคือเธอหวังดีกับฉัน
แต่ตอนนี้ต่างกับทุกครั้ง ส่วนเหตุผลก็คงจะเป็น ..ร่างไร้วิญญาณที่นั่งอยู่ข้างๆฉัน
เกรย์ตายไปแล้ว อาจารย์ที่ช่วยชี้นำทางให้ฉันมาตลอด เขาตาย–ด้วยน้ำมือของฉันเอง
ฉันมองใบหน้าของเกรย์ที่ตายังเปิดอยู่ และยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้ม
ในวาระสุดท้ายก็ยังยิ้ม ..เป็นคนที่มีอารมณ์ขันต่างกับแกนน่อน
ฉันลุกขึ้นยืนและหยิบดาบมังกรเหล็ก ‘บรามุนต์’ ข้างตัวออกมาชี้ใส่หน้าแกนน่อน
“..ขอโทษนะแกนน่อน แต่ว่าฉันจะตายตอนนี้ไม่ได้”
ใช่แล้ว คำสัญญากับเกรย์ คำขอของเขามันยังไม่บรรลุเลย ..
“ฉันจะต้องโค่นเธอให้ได้ก่อนที่จะตาย เพราะฉะนั้นตอนนี้จะยังตายไม่ได้”
“ทำอะไรเกินตัวจริงๆ ต่อให้มีดาบเล่มนั้น เจ้าหนุ่มก็ไม่มีทางโค่นข้าได้หรอก ..” แกนน่อนยื่นมือมา “ดาบเล่มนั้นไม่คู่ควรกับเจ้า เอาคืนมาซะ”
“..ต่อให้คนที่ให้ฉันจะเป็นตัวอาจารย์เกรย์เองเหรอ”
เป็นครั้งแรกที่แกนน่อนมีท่าทางตกใจ ไม่คิดว่าผมจะได้สืบทอดดาบเล่มนี้ต่อ ..
“แต่เดิมไม่มีทางที่เจ้าหนุ่มจะชนะเกรย์ได้อยู่แล้ว”
คงจะอย่างนั้น ตลอดการต่อสู้เกรย์อ่อนให้ฉันตลอด ไม่คิดจะฆ่ากันจริงๆเลย และที่แพ้ก็แพ้เพราะสภาพร่างกายที่โรยราแล้วด้วย ..อย่างน้อยถ้าร่างกายไม่มีปัญหา ต่อให้สู้เป็นวันฉันก็คงไม่ชนะ ไม่มีทางชนะได้
ฝีมือต่างกันเกินไป พอมองแบบนั้นก็บอกได้ว่า–ฉันไม่คู่ควรกับดาบมังกรเหล็กที่แสนงดงามนี่เลย
ดาบเล่มนี้เหมาะกับคู่ถือครองที่สง่างามเช่นเดียวกับมัน ไม่ใช่เด็กอย่างฉัน ..แต่ว่า
ฉันกำด้ามจับของดาบมังกรเหล็กแน่น
เกรย์มอบมันให้ฉันแล้ว ไม่ใช่แค่ดาบ แต่รวมถึงเจตจำนงศ์ด้วย ตัวฉันจะไม่ยอมปล่อยเจตจำนงศ์ของเกรย์ไปเด็ดขาด ต่อให้ตัวจะตาย
“โง่เขลาจริงๆนะ ..ทั้งเกรย์ ทั้งเจ้าหนุ่ม”
แกนน่อนขมวดคิ้วเข้าหากัน กัดฟันกรามแน่นและมองฉันด้วยแววตาที่อย่างกับจะฆ่ากันซะตรงนี้เลย
“ยึดติดแต่กับเรื่องไร้สาระ และตายไปพร้อมกับความไร้สาระที่ตัวเองยึดถือ ข้าเกลียดคนประเภทนี้ที่สุด”
“กลับกัน คนประเภทนี้ที่เธอไม่ชอบน่ะ ชอบเธอสุดๆเลยนะ ..” ฉันยิ้มให้แกนน่อน “อาจารย์น่ะ รักเธอมากเลยนะ”
แกนน่อน ถึงวิธีพูดจะเหมือนคนแก่ แต่ฉันเห็นเธอเป็นแค่เด็กอายุเท่ากันนี่แหละ ต่อให้อายุจริงๆจะปาไปไม่รู้กี่พันปีแล้วก็เถอะ
“รัก ..นั้นเองเหรอ ในวาระสุดท้ายนั่นคือสิ่งที่เกรย์ยึดติดสินะ”
“อ่า เป็นดาบที่ยอดเยี่ยมมาก”
“ไม่ได้ถามเรื่องดาบเสียหน่อย”
ฉันหัวเราะแห้งๆ ถึงตอนนี้สายตาของแกนน่อนก็อ่อนลงแล้ว ทำให้วางใจได้เปราะหนึ่งว่าอย่างน้อย–ก็คงไม่โดนฆ่าเร็วๆนี้
แกนน่อนเดินไปนั่งข้างๆเกรย์และปิดตาของเขาลง ..ก่อนจะลูบหัวเกรย์อย่างเอ็นดู
“เกรย์ได้พูดอะไรก่อนตายรึเปล่า”
“เขาบอกว่าฉันชนะแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นแกนน่อนก็หัวเราะ—ใช่ เธอหัวเราะออกมา เป็นแค่การหัวเราะเบาๆแต่ว่ายากจะได้เห็นจากแกนน่อนคนนี้
จะว่าประทับใจก็ได้ แกนน่อนพอยิ้มแล้วเนี่ยน่ารักสุดๆ
“ถ้าเกรย์บอกว่าชนะก็คือชนะจริงๆ เข้าใจแล้ว ..จะให้เจ้าหนุ่มเหวี่ยงดาบเล่มนั้นตามใจก็ได้ เพราะผู้ชนะได้รับสิทธิ์โดยชอบธรรมจะใช้มัน”
คำว่า ‘ชนะ’ ระหว่างแกนน่อนกับเกรย์น่าจะมีอะไรบางอย่างอยู่แฮะ รู้สึกสงสัยจัง อยากรู้จัง แต่ว่าเกรย์ตายไปแล้ว ไม่มีคนให้คำตอบให้ฉันได้ เพราะถึงถามแกนน่อนไปเธอก็คงไม่ตอบ
“..เข้าใจแล้ว ขอบใจนะ”
“แต่ว่าถ้าเจ้าทำให้ดาบเล่มนี้เสื่อมเสียชื่อเมื่อใด ข้าจะตามไปคิดบัญชีแน่นอน”
ได้ยินอย่างนั้นก็ขนลุกขึ้นมาเลย แกนน่อนเธอพูดจริงตลอด ถ้าเผอิญฉันอ่อนเกินจนทำให้เธอไม่ถูกใจเข้า วันดีคืนดีอาจโดนเชือดโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
น่ากลัวจริงๆ
“แล้วเธอจากนี้จะทำอะไรต่อเหรอ?”
ตั้งใจจะบุกรุกต่อรึเปล่า ..แกนน่อนส่ายหัวให้
“ไม่มีเหตุผลให้ข้าร่วมมือกับเรนแล้ว ที่ทำก็เพื่อยืดอายุขัยของเกรย์ก็เท่านั้น ในเมื่อเกรย์ตายไปแล้วจึงไม่มีส่วนได้เสียกับเรนอีก”
“แปลว่า?”
“จะถอนตัวจากเกาะวาเรอร์เดี่ยวนี้แหละ ..ฝากเผาศพของเกรย์ด้วย”
ฉันยืยงงสักพัก ..คิดว่าเธอจะขอศพของเกรย์ไปเผาเองซะอีก
“ข้าใช้เวทมนตร์ไม่ได้ เจ้าหนุ่มเป็นนักเรียนจากวิทยาลัยเวทมนตร์นี่ ต่อให้เป็นนักดาบก็คงใช้เวทย์ได้บ้างเล็กน้อย”
เทพดาบใช้เวทมนตร์ไม่ได้? ก็ควรอย่างนั้นแหละ แต่แปลกใจหน่อยแฮะ นึกว่าระดับเทพดาบจะทำทุกอย่างได้ในระดับสูงแต่วิชาดาบมันเกินมาตรฐานไปหน่อย ..อย่างสองสัตว์ประหลาดที่ฉันรู้จัก นักเวทย์บางใครมันใช้ดาบชนะนักดาบขั้นสูงได้ฟร้ะ แล้วก็นักดาบบ้านใครมันซัดกับมหามังกรด้วยมือเปล่าได้ฟร้ะ
เป็นพวกสัตว์ประหลาดเช่นเดียวกับแกนน่อน จนเผลอคิดไปว่าแกนน่อนเองก็คงเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ ..แกนน่อนธรรมดากว่าที่คิด ไม่ใช่ผู้สูงส่งอะไร ก็แค่คนที่ใช้ดาบเก่งคนหนึ่ง
“..เข้าใจแล้ว ที่เหลือให้ฉันจัดการเอง–แล้วก็แกนน่อน”
ก่อนที่แกนน่อนจะไป มีเรื่องต้องบอกก่อน
“ล้างคอรอได้เลย ..สักวันฉันจะชนะเธอให้ได้”
ด้วยดาบที่เกรย์ฝากมานี่แหละ ..แกนน่อนหัวเราะขึ้นจมูก
“จะรออย่างไม่คาดหวัง”
อะไรล่ะนั่น ปากเสียจริงๆ
“แค่รอกันก็ดีใจแล้วล่ะ”
“..”
แกนน่อนตั้งใจจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่พูด เธอเดินจากไปทั้งที่ไม่ได้พูดอะไรเลย ..ครั้งหน้าที่เจอกัน ไม่สิ ขอเป็นหลังจากชนะเธอได้ ฉันจะถามว่าตอนนี้เธออยากจะพูดอะไรกันแน่ ..แบบนี้ดูโรแมนติกดีเนอะ?
ฉันค่อยๆล้มตัวนอนพิงกับต้นไม้ ถึงจะได้สติแล้วแต่ร่างกายขยับไม่ไหว ..คงช่วยทุกคนมากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ
ฉันหันไปมองเกรย์ ..แต่ถ้าร่ายเวทย์ขั้นเริ่มต้นนิดหน่อยก็ไม่มีปัญหา
“…ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
..
“[ไฟเยอร์]”
****
แกนน่อนเดินไปตามทางเดินบนเกาะวาเรอร์ เป้าหมายคือบริเวณท่าเรื่อของเกาะ ที่นั่นมีเรือของเธอจอดอยู่ ไม่มีเหตุผลต้องอยู่ที่นี่แล้ว เลยจะไปตั้งแต่ตอนนี้เลย ไม่จำเป็นต้องรีรอแต่อย่างไร นั่นก็เพราะ ..เกาะวาเรอร์ได้กลายเป็นพื้นที่สงครามขนาดย่อมแล้ว–แกนน่อนแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มีแสงเพลิงของฟัฟนิร์กับเพลิงสีทองของเทียนหลงพุ่งชนใส่กัน และ–ท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว
กำลังพลของเรนกว่าร้อยคนเป็นหน่วยซัพพอร์ต เพราะนี่คือสงครามที่มีแต่พวกตัวประหลาดสู้กัน ทำให้พวกระดับรองๆมีหน้าที่สนับสนุนอย่างเดียว
การที่พวกแกร่งเกินสามัญสำนึกเข้าสู้กัน มันไม่ต่างกับสงครามที่มีคนเป็นพันคนเข้าร่วม แต่นี่ไม่ใช่แค่คนสองคน แต่มีมากกว่านี้ ลำพังแค่คู่ต่อสู้ที่แกนน่อนต้องสู้ด้วยก็มีผู้ใช้วิญญาณระดับเทพถึงสองคน ยังไม่รวมผู้ถือครองสายเลือดฟัฟนิร์ เทียนหลง และเอเธอร์อีก
เพราะเป็นนักฆ่าที่ผ่านประสบการณ์มหาสงครามมาได้ เธอจึงรู้จักประมาณตนเอง และประเมินสถานการณ์ว่าไม่ใช่ที่ที่จะพักอยู่ต่อได้แม้แต่วิเดียว ต้องรีบหนีตั้งแต่มันยังไม่ขยายวงกว้างไปมากกว่านี้
แน่นอน เธอคงนั่งเรือไปได้สักพักก่อนเรือจะแตก แต่ก็ไม่มีปัญหา เธอว่ายน้ำข้ามฝากไหวอยู่
“..จะว่าไป”
ยังไม่ได้ไปบอกเรนเลยว่าจะขอตัว แต่ว่า ..ไม่จำเป็น เรนจะเป็นหรือตายยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเธอ คนพรรค์นี้ตายๆไปได้ก็ดี ถ้าไม่มีผลประโยชน์มาเกี่ยว แกนน่อนไม่คิดจะเสวนากับเรนหรอก
คิดได้ไม่ทันใดก็มาเลย–แกนน่อนคิดเช่นนี้
เรนเดินมาหาเธอด้วยสภาพร่างกายที่โทรมสุดๆ เสื้อผ้าบริเวณแขนขวาแขนซ้ายมันขาด ทำให้คิดได้ว่าก่อนหน้านี้คงผ่านศึกหนักระดับที่ทำให้ตัวตนชั้นสูงอย่างเรนสูญเสียแขนขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ..ตรงหัวก็มีรอยขาดเล็กน้อยด้วย
หากเป็นสนามรบปกติ เธออาจแปลกใจว่าใครกันที่ทำเรนเป็นได้ขนาดนี้ แต่ท่ามกลางการต่อสู้ชั้นสูงนี้ แกนน่อนไม่ตั้งคำถามถึงสภาพของเรนเลย
“ลำบากแย่เลยนี่”
“..อา..แกนน่อนนี่เอง ..พอดีเลย”
เรนเดินมาหาแกนน่อนด้วยรอยยิ้มที่โล่งอก
“ช่วยไปสมทบทางสโนว์กับปีเตอร์ที เจ้าพวกนั้นกำลังยื้อจอมมารไว้อยู่ ถ้าได้เธอไปช่วยต้องชนะได้แน่ๆ”
จอมมาร? ..นั้นเองเหรอ
“หมอกสีขาวบนท้องฟ้าคือของจอมมารนี่เอง ..ไม่ใช่ว่าจอมมารร่วมมือด้วยหรือไง”
“..คิดผิดน่ะ คิดผิดสุดๆเลย ..เพราะมันแท้ๆ ผมถึงได้ขายหน้าขนาดนี้” เรนขยี้ผมตัวเองสุดแรงด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยโทสะ “ไอ้เวรเรเซอร์นั่น! บังอาจมากที่เอาศิษย์พี่ไปจากผม แล้วยังจะมาวางท่าใหญ่โตใส่กันอีก ..จะฆ่าให้ได้เลยคอยดู แกนน่อนช่วยฆ่ามันทีสิ!! ถ้าฆ่าเรเซอร์ให้ได้ ผมจะช่วยยืดอายุไขให้เกรย์มากกว่าเดิมสองเท่าเลย!!”
“เป็นข้อเสนอที่ดี”
“ใช่มั้ยล่ะ? เธอเนี่ยคุยง่ายจริงๆ! ไม่ต้องสนเอเธอร์นะ หมอนั่นคงจะติดอยู่ในโลกจำลองของผมสักพักเลยกว่าจะออกมาได้ ศัตรูมีแค่เรเซอร์กับจอมมาร แถมทางผมยังมีมหามังกรเทียมคอยช่วยอีกตั้งสามคน ไม่ใช่งานยากอะไรเลยใช่มั้ยล่ะ!?”
เรนแสยะยิ้มทั้งๆที่ในปากเต็มไปด้วยเลือด แต่ว่าก็ยิ้มได้ไม่นาน
“เป็นข้อเสนอที่เอื้อกันมาก แต่ขอปฎิเสธ”
“..หา?”
เรนถึงกับหน้าเหวอ รอยยิ้มพลันแข็งไปด้วยในทันที
“ข้าจะถอนตัวจากเกาะวาเรอร์แล้ว”
“..เดี่ยวสิ ทำไมล่ะ ไม่ใช่ว่าตกลงกันแล้วรึไง!? จะปล่อยให้เกรย์ตายนั้นเหรอ!?”
แกนน่อนหันหลังให้เรน เธอไม่สนใจอะไรแล้ว–ที่ยอมสละเวลาคุยกับเรนก็เพื่อเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดเท่านั้น เพราะนั้นเลยหมดธุระจริงๆแล้ว
“นั้นเหรอ จอมมารสินะ ดูท่าโลกจะเข้าสู่มหาสงครามในเร็ววันนี้ ..คงต้องหาอาณาจักรดีๆเข้าร่วมแล้วสินะ” แกนน่อนพึมพำกับตัวเอง “ให้ตายสิ โลกใบนี้เมื่อไหร่มันจะสงบกันนะ”
“เดี่ยวสิ!!!!”
เรนวิ่งจะจับไหล่ของแกนน่อน แต่ว่า—ไม่ทันที่จะได้แตะ แขนของเรนก็หลุดออกจากร่างก่อน
“…อะ อ๊ากกกกก!!!!”
เรนลงไปนั่งขดตัวกับพื้น และกรีดร้องอย่างน่าสมเพช
“..แกนะแก ..แกนะแ—”
ร่างของเรนถูกสะบั้นเป็นสองท่อน
“…บัด..ซบที่สุด”
แกนน่อนลงมือปิดฉาก แทงหัวใจของเรนทิ้งทำให้เรนตายไปทั้งอย่างนั้น ..
“เงียบได้เสียที”
จากนั้นเธอก็เดินต่อ ไม่ได้แคร์เรนหรือแคร์มือตัวเองที่เปื้อนเลือดเลย
สำหรับแกนน่อน–ใช่ สำหรับเธอ การฆ่าคือเรื่องปกติในชีวิต เหมือนกับการหายใจที่ไม่จำเป็นต้องรู้สึกอะไรมากมาย
..
..
หลังจากที่เทพดาบเดินไปจนไกลจากระยะสายตาแล้ว ร่างของเรนก็ค่อยๆหลอมรวมเข้าหากันอย่างแปลกประหลาด ราวกับไม่ใช่ร่างเนื้อ ราวกับว่าเรนคือก้อนดินที่ปั้นได้
เรนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ในร่างของเรน แต่เป็นร่างของหญิงสาวผู้งดงามคนหนึ่ง
“..แม่งเอ้ย ไม่ว่าจะหน้าไหนก็เหมือนกันหมด ..ผิดแผนไปหมดเลย” เรนลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ถึงที่สุด “ยิ่งกว่านั้นยัง”
เรนแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ฝากหนึ่งปกคลุมด้วยหมอกสีขาว อีกฝากหนึ่งปกคลุมด้วยแสงสีแดงกับทองที่ทำให้เกาะวาเรอร์สั่นตลอดเวลา
“..คงต้องถอนตัวแล้วสินะ”
พูดจบเรนก็สัมผัสใบหน้าของตัวเอง–เปลี่ยนหน้าตัวเองกลับมาเป็นหนุ่มรูปงามคนเดิม รวมถึงสรีระร่างกายด้วย
“..ตายได้อีกแค่แปดครั้งแล้วสิ”
บนฝ่ามือของเรนมีตัวเลขบอกจำนวนไว้อยู่ มันคือจำนวนครั้งที่เรนสามารถตายได้ทั้งหมด โดยที่หญิงรูปงามก่อนหน้านี้คือเหยื่อที่เรนชิงชีวิตของเธอมาเป็นของตัวเองเพื่อยืดอายุขัยตัวเอง แน่นอนว่าเหยื่อที่สังเวยต้องเป็นตัวตนที่มีคุณสมบัติพิเศษ เพื่อที่จะเพียงพอต่อการเป็นเครื่องสังเวยให้เรน
อย่างไรก็ตามมันคือวิธีนอกรีตไม่ผิดแน่ ต้องมีกี่ชีวิตต้องตายเพื่อให้เรนมีชีวิตอยู่ต่อ? ต้องมีกี่ชีวิตที่ถูกสังเวยพลาดและตายฟรีไป? การจะมีครั้งแรกที่สำเร็จได้ก็ต้องมีครั้งก่อนหน้าที่ล้มเหลว ช่วงเวลานั้นมีคนตายไปกี่คน? มีกี่คนที่ตายแบบไม่รู้อิโหน่อีเหน่ เพียงเพราะมีคุณสมบัติที่เรนต้องการเลยต้องตาย มีคนกี่คนที่ต้องตายด้วยเหตุผลไร้สาระพรรค์นี้? ยังไม่รวมการที่เรนไล่jทำลายองค์กรเพื่อโลก ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ชิงตัวเผ่าใกล้สูญพันธ์มาทดลองหรือทดลองอะไรต่างๆนานาอีก
มีกี่ชีวิตแล้วที่ต้องดับสูญเพราะเรน? อาชญากรสูงสุดของโลกคือคำที่ใช้นิยามเรนทั้งหมด
“..ยังไม่จบแค่นี้หรอก มันยังไม่จบ ..จะไม่ยอมให้จบแค่นี้หรอก ..ฉันจะต้อง–เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้”
เรนพูดตัดเพ้อกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้าเกินทน มันไม่ใช่ประโยคที่ผู้พรากชีวิตคนอื่นเป็นว่าเล่นอย่างเรนจะพูดได้ ..