เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 152: บทแรกของการลืมตาตื่น (3)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 152: บทแรกของการลืมตาตื่น (3)
< < 114 Sec3 > >
บริเวณสนามของวิทยาลัย
ก้อนสีดำประหลาดลอยขึ้นบนฟ้าเหนือผืนปฐพีไปกว่ากิโลเมตร สิ่งนั้นลอยทับกับดวงจันทร์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดิ่งลงพื้นและม้วนตัวอยู่บนพื้นกว่าสิบครั้งก่อนที่ก้อนสีดำจะคลายเป็นรูปร่างของหญิงสาวผู้เลอโฉม ที่สำคัญเธอคือสาวแว่น
หญิงสาวคนนี้มีนามว่า ‘บิลเซบับ’ เป็นหนึ่งในปีศาจเจ็ดมหาบาป คือจุดสูงสุดของปีศาจทั้งมวล ทั้งอย่างนั้นเธอกลับลอยปลิวกลิ้งไปมาอย่างน่าอนาถเช่นนี้ เป็นเพราะอะไรกันนะ? ..คำตอบคือเพราะเด็กหนุ่มตรงหน้า
เรเซอร์ ดราแคล์ เด็กวัยรุ่นไฟแรงได้จับบิลเซบับเหวี่ยงไปมาอย่างกับของเล่น เขาไม่ได้พูดอะไรทำเพียงเล่นงานบิลเซบับและหาจังหวะเล่นงานแอสโมเดียสต่อตลอดเวลา แต่เพราะบิลเซบับเก่งด้านการถ่วงเวลาเธอเลยหยุดเรเซอร์คนนี้ไว้ได้ แต่ว่า ..จิตใจไม่มีทางแข็งแกร่งดั่งหินผาอยู่แล้ว
“เจ็บบบบบบบบบ!!!!!!”
บิลเซบับร้องโฮออกมาทุกครั้งที่โดนเรเซอร์จับทุ่มจับโยนจับเหวี่ยง เธอกลิ้งไปมากับพื้นทั้งน้ำตา โดยที่มีน้องชายที่รักส่งสายตาเป็นห่วงมาจากข้างหลัง
“พี่ครับ!!!!”
“อะ แอสโมเดียส แอสโมเดียส! รีบใช้ภาพลวงตาเร็—อ๊ะ”
ไม่ทันจะได้ทำอะไรก็โดนพุ่งมาซัดอีกรอบ บิลเซบับโดนซัดจนเลือดพุ่งออกจากปาก
“พี่!!!”
แอสโมเดียสวิ่งเข้าใส่เรเซอร์—
“ถึงจะเป็นหวานใจของท่านจอมมาร แต่มาทำกับพี่ของผมตั้งขนาดนี้ อภัยให้ไม่ได—-ด้ายยยยยย!!!”
แอสโมเดียสลอยฟ้าไปอย่างที่บิลเซบับเป็นก่อนหน้า บิลเซบับยกมือขึ้นฟ้าพยายามจะคว้าแอสโมเดียสไว้
“ไม่น้าาา!!!!”
เรเซอร์ซัดบิลเซบับหนึ่งครั้งส่งผลให้บิลเซบับวูบชั่วขณะและล้มลงกับพื้นในที่สุด
“..ไม่..ไม่ไหวแล้ว”
ต่อให้ถ่วงเวลาเก่งแค่ไหน แต่ทุกคนย่อมมีขีดจำกัด ยิ่งกับเรเซอร์ที่มีพลังต่างกันมาก ถ่วงเวลาได้เกือบๆนาทีก็บุญโขแล้ว ..ใช่ ทั้งสามพึ่งเริ่มสู้กันรอบที่สองได้ไม่ถึงนาทีเพียงเท่านั้น
บิลเซบับหมดสภาพแล้ว
“พี่!!!!!!!”
แอสโมเดียสร้องขณะที่ร่างกำลังดิ่งลงพื้น เรเซอร์รอรับด้วยความเป็นมิตร
“—หยุดเถอ—อั้ก!!!”
จังหวะกระแทกศอกลงล็อคอย่างน่าเหลือเชื่อ เสียงกระแทกแรงดีจนแอบคิดว่าคนที่โดนน่าจะลาโลกแล้วแหงๆ แอสโมเดียสล้มตัวนอนไม่ไกลจากบิลเซบับมาก ..เขาพยายามจะยกร่างตัวเองขึ้นแต่ก็ไม่ไหว สุดท้ายก็สลบเหมือนกับบิลเซบับ
“ท่าน ..จอมมาร”
บิลเซบับพึมพำขึ้น
“ถึกกันจริงๆนะพวกสมุนจอมมารเนี่ย ..”
พูดจบเรเซอร์ก็ถอนหายใจเฮือกโตและเดินตรงไปหาเบลลามี ทว่า
“หยุดเลยนะ!!”
“..”
“ถ้าจับตัวกันก่อน มันจะผิดผี!”
..เบลลามีแก้มแดงขึ้นมาอีกครั้ง ต่างกับเรเซอร์ที่มีเส้นเลือดปูดขึ้นบนหัว บอกได้แค่ว่าไม่ตลกกับสถานการณ์ตอนนี้เรเซอร์ไม่มีอารมณ์มาตลกรึโวยวายเสียงดังอย่างที่พวกบิลเซบับทำเลย
ตอนนี้หงุดหงิดจนเด็ดหัวบิลเซบับทิ้งซะก็ไม่รู้สึกผิดอะไรเลยล่ะ
“อยากตายมากสินะ ไปเกิดใหม่สักรอบดีมั้ยหะ? ปีศาจอย่างพวกแกตายจนชินแล้วนี่?”
“ยะ อย่านะ! จากที่อ่อนแออยู่แล้วถ้าไปเกิดใหม่ฉันก็อ่อนกว่าเดิมอีกสิ! คิดว่ากว่าจะกินมิโนทอร์ได้พวกฉันตัวขาดกันไปกี่รอบน่ะ ต่อให้เป็นหวานใจของท่านจอมมาร แต่ก็ควรรู้ขอบเขตุบ้างนะ! รู้มั้ย!!?”
ยังจะเถียงด้วยน้ำเสียงที่ดูน่ารำคาญอย่างนั้นอีก—ดูเอาแต่ใจตัวเองไปหน่อย แต่เรเซอร์หงุดหงิดบิลเซบับที่กลัวแบบโปกฮาสุดๆ ไม่ใช่แค่นั้น พอนึกถึงลูซิเฟอร์ที่กวนประสาทก่อนหน้านั้นก็ยิ่งทวีคูณความโกรธ พอนึกถึงแอสโมเดียสที่แหกปากหาแต่พี่ตัวเองไม่พอยังชอบตบมุกมั่วๆอีก รึหนักสุดตอนนี้อย่างบิลเซบับที่โวยวายมันทุกอากัปกิริยาทั้งๆที่ภายนอกดูสุขุมแท้ๆ ทั้งหมดหลอมรวมมาเป็นความหงุดหงิด
ทำเอาเหมารวมปีศาจมหาบาปทุกตนไปเลยว่า—เป็นพวกน่ารำคาญที่ควรลงนรกไปให้หมด
“…”
เรเซอร์ไม่พูดพร่ำเดินตรงใส่บิลเซบับทันที เพราะพลังฟื้นฟูของปีศาจพวกนี้สูงทำให้ลุกขึ้นมาสู้ได้ทุกเมื่อ ทางที่ดีควรฆ่าทิ้งซะก่อน เบลลามีพยายามจะรั้งไว้แต่ก็ทำไม้ลง ..เพราะเธอเองก็สับสนอยู่ว่าควรจะเลือกทางไหนดี ระหว่างตามบิลเซบับไปหรือไปกับเรเซอร์
เบลลามีเหมือนกับเรเซอร์ที่ไม่มีอารมณ์ขันในตอนนี้ แต่ทางบิลเซบับไม่ใช่ ไม่สิ หล่อนก็ไม่มีอารมณ์ขันหรอก เพียงแต่ ..
“ท่านจอมมาร!! ท่านจอมมารช่วยด้วย!! ช่วยลืมตาตื่นทีเถอะค่ะ ช่วยสั่งสอนหวานใจของท่านหน่อยนะคะ!!”
“พี่!! หนีไป!!”
แอสโมเดียสพุ่งมาบังไว้
“ถ้าท่านจอมมารน่ะไม่ต้องเป็นห่วงหรอกพี่ พวกเราวางคำสาปไว้แล้ว ถ้าไม่โดนขัดซะก่อนอีกไม่นานก็คงลืมตาตื่นแล้ว! แค่ต้องถ่วงเวลาอีกสักสองสามนาที!”
“เจ้าบ้า จะพูดออกมาทำไมเนี่ย!? หวานใจท่านจอมมารรู้ไต๋หมดแล้วสิ!”
“อ๊ะ? นั่นสิเนอะ!!”
“พวกแก!!!!!”
เรเซอร์พุ่งเข้ามาด้วยความเดือดดาลพอรู้ว่าร่างกายเบลลามีถูกกระทำ บิลเซบับกับแอสโมเดียสสะดุ้งแบบพร้อมเพรียงกัน ยังดีที่บิลเซบับกินสิ่งมีชีวิตที่มีพลังป้องกันสูงไว้มากันเรเซอร์ได้ คงจะถ่วงเวลาได้แค่ไม่กี่วิแล้วพวกตนก็จะตายภายในพริบตาเดียวติดๆกัน—สุดท้ายก็คือแพ้
ทั้งสองรู้สถานการณ์ทั้งหมดชัดเจน
“—–พี่”
“แอสโมเดียส อภัยให้ด้วย!”
กล่าวจบบิลเซบับก็ลุกขึ้นยืนและใช้ก้อนสีดำที่เป็นอำนาจมหาบาปกัดเข้าที่ไหล่ขวาของแอสโมเดียส …
“..เอ๊ะ?”
ก้อนสีดำงับไหล่ขวาแอสโมเดียสด้วยท่าทางที่ดุ๊กดิ๊กน่ารัก ขัดกับเลือดที่ไหลออกมาจากไหล่อย่างน่าสยอง ..เจ้าก้อนสีดำอ้าปากกว้างและงับแขนแอสโมเดียสหายไปทั้งดุ้นเลย
“โคตรเจ็บ!!!!!! ทำอะไรเนี่ยพี่!!?”
“เพื่อที่จะเอาชนะชายผู้นั้น ฉันจำเป็นต้องได้พลังที่แท้จริงกลับมาเสียก่อน ถ้าเกิดได้กินตัวตนชั้นสูงอย่างเธอต้องได้กลับมาหมดแน่ พลังทั้งหมดกลับมาคืนอย่างสมบูรณ์แน่ ถึงจะเอาตัวตนในยุคโบราณที่กินไว้มาไม่ได้ แต่ขีดจำกัดร่างกายจะเพิ่มขึ้นเท่าสมัยนั้น ถ้ามีขนาดนี้ก็พอต่อกรได้แน่นอน ใช่ เพราะนั้นแหละ.. ช่วยมาเป็นสารอาหารให้ฉันทีนะ ช่วยเป็นสัตว์เลี้ยงของฉันทีนะ แอสโมเดียส”
“ตะ ตะ แต่ว่า แต่ว่านะพี่ ถ้าทำอย่างนั้นไอ้ผมจะไม่มีทางเก่งขึ้นอีกแล้วนะ จะโดนสต๊าฟไว้ตลอดเลยนะ ไปเกิดไม่ได้ด้วยจนกว่าพี่จะตาย”
“ไว้ค่อยคุยกัน ก่อนหน้านั้นเป็นอาหารให้ ‘บิมบัม’ ก่อนนะ”
“ชื่อก็น่ารักอยู่หรอก! แต่น่ากลัวชิบ มันพึ่งกินแขนผมไปเองนะ–อ๊ะ ลามมาตรงคอละ—-”
เสียงของแอสโมเดียสตัดไปพร้อมกับก้อนกลมๆอะไรสักอย่างที่หล่นลงพื้น ซึ่งไม่สามารถบอกตรงๆได้ว่ามันคือส่วนใหญ่ของอวัยวะ แต่ก่อหน้านี้แอสโมเดียสโดนกัดตรงลำคอไม่ผิดแน่ ..เสียงกินจ้วบๆดังสนั่นไม่เกรงใจใคร เสียงโวยวายของแอสโมเดียสหายไปแล้วเพราะสภาพร่างกายตอนนี้ไม่เอื้อต่อการพูด
บิลเซบับมองภาพที่สัตว์เลี้ยงของตัวเองกินน้องชายอย่างเอร็ดอร่อยก็กุมขมับ
“ยกโทษให้ด้วย คิดซะว่าทำเพื่อท่านจอมมาร”
อย่างน้อยก็จะไม่มองวาระสุดท้ายที่แสนรันทดนี้ …เพียงไม่นานก็กินจนหมด เหลือเพียงแค่ส่วนกลมๆเท่านั้น
เหมือนว่ามันจะไม่อยากกิน แค่นี้ก็เพียงพอต่อการกลืนกินแล้ว แต่ว่า—การที่ต้องเห็นสิ่งนั้นอยู่บนพื้นมันชวนอนาถใจพิลึก
“กินเถอะ”
ก้อนสีดำกินก้อนกลมตามที่สั่ง
ตู้ม!!!!!!!
สัตว์ประหลาดที่แกร่งด้านการถ่วงเวลาโดนทำลายจนหมด ถึงจะวุ่นวายมากแต่ก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการทะลวงมาถึงบิลเซบับ
บิลเซบับปัดแขนของเรเซอร์ออกด้วยแรงกายที่มากกว่าเดิมจนผิดแปลกไป
“—-ออกมาซะ!”
ก้อนสีดำกลายร่างเป็นแอสโมเดียสที่เหมือนเดิมทุกประการ จะมีก็แค่ใบหน้าที่เหมือนปลาตายเท่านั้นที่ต่างจากเดิม
“เออะ?”
ยังงงๆอยู่
“จัดการมันเลย แอสโมเดียส!”
“ถามจริงพี่ ผมเก่งเท่าเดิมนะ—อ้าา!!! ว่าแล้วไง”
แอสโมเดียสโดนซัดจนกลายเป็นผงซะแล้ว บิลเซบับอึ้งตาค้าง
“บอกไว้ก่อนนะ เรเซอร์ ดราแคล์ หวานใจท่านจอมมาร ตัวฉันตอนนี้ร่างกายแข็งแกร่งทัดเทียมกับในยุคโบราณ ใช่ นี่คือตัวฉันที่เข้าห่ำหั้นกับทวยเทพอย่างสูสี—-อ๊ากกกกกก!!!!!”
เรเซอร์กระแทกหน้าบิลเซบับหนึ่งครั้งและจิกหัวหล่อนแบบง่ายๆซะอย่างนั้น
“..ที่เข้าห้ำหั่นกับเทพน่ะ มันพลังของเธอต่างหากไม่ใช่ตัวเธอ ต่อให้ร่างกายแกร่งเท่าตอนนั้นแล้วมันจะทำไม? ร่างกายเปล่าๆของเธอน่ะมันกระจอกซะยิ่งกว่าพวกอาร์คเดม่อนซะอีก ถ้าไม่ได้ฟาร์มพลังมหาบาปมา เธอมันก็แค่สวะ”
การที่สามารถเรียกสิ่งมีชีวิตออกมาสู้แทนได้โดยที่ไม่มีพลังส่วนไหนหายไป เป็นพลังที่ดูโกงก็จริง แต่ถ้าไม่ได้เตรียมตัวไว้มันก็เหมือนพลังไร้ประโยชน์ ในกรณีที่เจอคู่ต่อสู้อย่างเรเซอร์รึระดับท็อปโลกคนอื่นๆ แค่มิโนทอร์หรือปีศาจมหาบาปที่พลังมีไม่ถึงหนึ่งในสิบไม่มีทางต่อกรกับตัวตนชั้นบนๆไหว
แต่เดิมร่างกายของบิลเซบับก็ไม่ได้ดีอะไรอยู่แล้วด้วย จัดว่าอ่อนสุดในหมู่ปีศาจมหาบาปเลยล่ะ ทั้งอย่างนั้นกลับคิดว่าถ้าร่างกายกลับไปเต็มร้อยตัวเองจะสู้ไหว? ไม่มีทาง สู้ไปหามอนสเตอร์อ่อนๆกินมาช่วยสู้ยังมีประโยชน์กว่าเยอะเลย
เรเซอร์ในฐานะคนที่รู้ความสามารถของปีศาจมหาบาปดี เขาให้นิยามบิลเซบับไว้ว่า—-ปีศาจมหาบาปที่อ่อนกว่ามาตรฐานปีศาจมหาบาป ต่อให้ได้พลังที่แท้จริงมาก็ยังอ่อนอยู่ดี เพราะพลังของบิลเซบับจะรีเซ็ตทุกครั้งที่ตัวเองตาย หมายความว่าไม่สามารถเอาลูกน้องของทวยเทพเก่งๆสมัยก่อนที่กินไว้มาใช้ได้ ต้องเริ่มใหม่จากศูนย์อีกทั้งถ้าเกิดพลาดตายสักรอบ การฟาร์มตลอดเวลาที่ผ่านมาก็จะศูนย์เปล่า ต่อให้ไปกินมังกรสุดแกร่งมาได้แต่ถ้าตายก็จบกัน
แน่นอนถ้าบิลเซบับเผอิญได้กินพวกเทพเข้านั่นล่ะบรรลัย เพราะข้อดีของอำนาจมหาบาปคือตัวตนที่กินไว้จะไม่มีทางหมดแรงตราบใดที่บิลเซบับส่งมานาไปเลี้ยงไหว ซึ่งบิลเซบับจัดว่าเป็นคนที่มีมานาเยอะเป็นถังเลย ให้เลี้ยงมังกรเป็นร้อยเธอก็เลี้ยงไหว ทว่าต่อให้บิลเซบับจะกินตัวเทพไปเยอะ แต่ก็มีวิธีจัดการบิลเซบับอยู่หลายวิธี
อย่างในเนื้อเรื่องต้นฉบับ จะมีฉากหนึ่งที่ยูจิไม่รู้จะจัดการบิลเซบับยังไง เขาก็ใช้ลูกธนูอัดพลังเวทย์ยิงเข้าใส่บิลเซบับดับคาที่ ทำให้พวกเทพๆที่สะสมไว้หายไปหมด บิลเซบับมาเกิดใหม่ท่ามกลางสนามรบก็เป็นได้แค่ตัวไร้ประโยชน์ที่ต้องวิ่งหาศพกิน
สภาพของบิลเซบับในนิยายต้นฉบับ มันเหมือนกับ ..ตัวกระสอบทรายประจำกลุ่มตัวร้ายมากกว่า ตอนได้กินพวกเทพก็ชอบประมาทจนพลาด ตอนอ่อนแอก็เอาแต่โวยวายไม่ได้ความ
ต่อให้รู้ว่าบิลเซบับได้พลังกลับมาครบก็ยังเป็นแค่ตัวกระจอกในกลุ่มอยู่ดี แอบคิดด้วยซ้ำว่าหล่อนขึ้นมาเป็นปีศาจมหาบาปได้ยังไง
“เอาเป็นว่า–ตายซะ”
เรเซอร์ยกแขนขึ้นฟ้าคิดจะเผด็จศึกบิลเซบับซะตรงนี้—-บิลเซบับร้องโฮ
“หยุดนะ!!!”
แต่นั่นสินะ บิลเซบับขึ้นเป็นปีศาจมหาบาปได้ยังไงนะ? เรเซอร์นึกถึงเรื่องสมัยก่อนและเอะใจได้ว่าคงจะเป็นเพราะ ‘ดวง’ กระมัง?
“ท่านจอมมารรรรรรรร!!!!”
บิลเซบับดิ้นไปมาพลางโวยวายจนแว่นกระเด็นออกจากตา พร้อมกันนั้นแสงสีฟ้าอ่อนและสีเหลืองบนท้องฟ้าก็วูบขึ้น
“—-แม่งเอ้ย!!!!!” เรเซอร์สบถพร้อมกับพุ่งตัวออกจากบิลเซบับ
เรเซอร์ชำเลืองมองข้างบนด้วยความตื่นตระหนกพลันยกมือขึ้นฟ้าเตรียมร่ายเวทย์—-สายฟ้าพุ่งเข้าใส่ เรเซอร์หักล้างมันด้วยเวทย์ดิน ทว่าสายฟ้ากลับทำให้เวทย์ดินหล่นใส่หน้าเรเซอร์แทน ทำให้ตัวสายฟ้าพุ่งเข้าใส่ร่างเรเซอร์
เปรี้ยง!!!!!!!!! เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น
“…ฟู่ว”
เรเซอร์เอียงตัวหลบสายฟ้าได้ทัน แต่เมื่อกี้เกือบไปแล้ว ถ้าโดนเข้าไปเต็มๆมีเจ็บแน่ ว่าแต่—-สายฟ้าที่ทะลุผ่านเวทมนตร์ได้? ไม่ใช่ สายฟ้าที่ทำให้เวทมนตร์หยุดทำงานได้?
ให้นึกก็นึกออกอยู่ มีอยู่คนเดียวที่ทำแบบนี้ได้ ..เรเซอร์แหงนหน้ามองฟ้าด้วยใบหน้าที่ไม่สู้ดี
“..มหามังกรเทียมเมื่อตอนนั้น ..มากันตั้งสองคนอีก”
เคยประมือกันมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่มีทางลืมแน่นอน
ไม่ใช่แค่ ‘ปีเตอร์’ มหามังกรเทียมอัสนีที่ส่งสายฟ้าใส่เรเซอร์ แต่ยังมี ‘สโนว์’ มหามังกรเทียมน้ำแข็งอีก ทั้งสองอยู่ในร่างอาภรณ์เทพมังกรและลอยอยู่เหนือพื้น
ร่างที่ปกคลุมด้วยหนังมังกรที่มีสีสันต์สุดสวยงาม ราวกับงานศิลปะที่ปราณีต อาภรณ์ของทั้งสองคือสิ่งที่สวยงามที่สุดบนโลกนี้เลย โดยเฉพาะปีกที่สง่างามราวกับไม่ใช่มังกรปกติ
ใช่ เพราะนี่คือมหามังกร แม้ว่าจะเป็นของเทียมก็ตามที แต่สรรพคุณไม่ต่างกับของจริง
“ไม่ได้เจอกันนานนะคะ คุณเรเซอร์ ดราแคล์ ต้องขอบคุณที่ช่วยดูแลกันเมื่อครั้งก่อนเป็นอย่างมาก”
สโนว์กล่าวทักทายด้วยความสุภาพ ไม่ได้มีความเคียดแค้นแฝงอยู่เลย ต่างกับปีเตอร์
“แกซ่อนเมอันไว้ทีไหน!? เอาเธอกลับมาซะ!”
..เรเซอร์มองกลับด้วยแววตาที่เดือดดาล ทำให้ปีเตอร์สะดุ้งโหยงเพราะออกตัวไว้แรง
“ซ่อนไว้เหรอ ..ซ่อนไว้บ้าอะไร ทางนั้นเป็นคนมาเองแท้ๆ”
เรเซอร์ถุยน้ำลายลงพื้น ในน้ำลายมีเลือดอยู่ด้วย ..ตลอดการต่อสู้ไม่ได้รับบาดเจ็บหนักก็จริง แต่การฝืนใช้พลังติดต่อกันเกินไปในสภาพถลายขีดจำกัดย่อมส่งผลเสียอยู่แล้ว อาจไม่ส่งผลตอนนี้ แต่คาดว่าหลังจบศึก ความเสียหายทั้งหมดจะโถมใส่พร้อมกัน
“คุณบิลเซบับเจรจากับจอมมารเขาแล้วสินะคะ?”
“ค่ะ ถือว่าเป็นไปตามแผน”
บิลเซบับตอบกลับด้วยสีหน้าที่มั่นใจโดยที่มืออีกข้างหยิบแว่นที่ปลิวไปกลับมาใส่
“จะว่าไป ..คุณแอสโมเดียสหายไปไหนหรือคะ?”
“…กินไปแล้วค่ะ”
สโนว์น็อตหลุดไปชั่วขณะ ทางปีเตอร์ก็ควันขึ้นหัวเลย
“ยัยบ้าเอ้ย!!!! โง่รึไงหะ!!? นี่แกเป็นมือขวาของจอมมารจริงๆเหรอเนี่ย!?”
“ทะ โทษทีน่า ครั้งนี้พลาดไปก็จริง แต่ก็ทำตามแผนแล้ว ต้องบอกว่าแผนสำเร็จตามเป้าแล้วด้วยซ้ำ ..อีกไม่นานท่านจอมมารก็คงลืมตาตื่น หายห่วงเลย”
“ถ้าพวกฉันไม่มาเธอก็จบเห๋แล้วแท้ๆ มาถูกแผนบ้าอะไรหะ!?”
“..ขอโทษค่ะ”
ภาพผู้ใหญ่ที่โดนเด็กตัวเปี๊ยกดุดูน่าเศร้าเล็กน้อย ..เนื้อในเป็นคนอายุหลักร้อยแต่ยังไงพวกบิลเซบับก็มีอายุเป็นหมื่นปี โดนเด็กดุแบบนี้ต้องบอกว่าไม่จืดเลย
ภาพลักษณ์ปีศาจมหาบาปหายไปจนหมด
“..!!!”
เรเซอร์พุ่งเข้าไปหาเบลลามีแต่ก็ถูกขัดไว้ด้วยน้ำแข็งของสโนว์
“ครั้งนี้ไม่ประมาทหรอกนะคะ”
ทั้งสโนว์และปีเตอร์เอาจริงเอาจังอย่างที่บอก เล่นทีเผลอแบบครั้งก่อนน่าจะใช้ไม่ได้แล้ว ..มีแต่ต้องชนตรงๆ
แต่ว่า ..เวลาจะพอจริงๆเหรอ?
เหลืออีกกี่นาที เหลืออีกกี่วินาที ต้องเคลื่อนไหวกี่ครั้งถึงจะผ่าไปถึงเบลลามีได้ ..คำตอบเหล่านั้นมันยากที่จะหาคำตอบเหลือเกิน
เรเซอร์กัดฟันกรามแน่น เบิกตาโพลงกว้าง เร่งขีดจำกัดร่างกายถึงขีดสุดก็พุ่งออกไป
ท่ามกลางทั้งสาม บิลเซบับหมดบทบาทโดยสมบูรณ์
****
ราวกับเวลาได้หยุดนิ่ง ทุกอย่างมันเคลื่อนไหวได้ช้าสุดๆ
ผมวิ่งผ่าอากาศและถูกสายฟ้าของปีเตอร์ผ่าเข้าปลายข้อมือ เลือดกระเซ็นออกจากมือ ความเจ็บปวดที่ควรจะมีกลับไม่มี ..ไม่สิ มันมีนั่นแหละ แต่ว่าตอนนี้ผมไม่ได้สนมันแล้ว ที่เหลืออยู่ตอนนี้มีแต่ความรู้สึกที่ผลักดันตัวเองให้วิ่งไปข้างหน้าเพียงเท่านั้น
“ย๊ากกกกกก!!!!”
ผมพุ่งหลบสายฟ้าและสะเก็ดน้ำแข็งที่โหมใส่อย่างบ้าคลั่ง และเหวี่ยง [ทวนสายฟ้า] พุ่งไปบนฟ้า ไม่ใช่แค่อันสองอัน แต่ผมเหวี่ยงมันออกไปพร้อมๆกันเป็นสิบอัน
เพราะไม่มีถุงมือเวทย์ ทำให้ทุกครั้งที่เรียกทวนสายฟ้าออกมามันสุดจะแสบ ราวกับมือถูกเผาในทุกๆครั้ง แต่นี่ตั้งสิบครั้ง รู้สึกว่าหนังมือเริ่มถลอกออกอย่าฝน่าสยองแล้วล่ะตอนนี้ ถ้าได้เห็นสภาพมือตัวเองตอนนี้อาจจะเป็นลมก็ได้
สโนว์แช่แข็งทวนสายฟ้าได้เพียงห้าจากสิบ ที่เหลือก็พุ่งเช้าใส่ แต่แน่นอนว่าการป้องกันของมหามังกรไม่ใช่น้อยๆ อีกทั้งยังมีถึงสองคน การทำงานเป็นทีมย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
“ไปเลย ปีเตอร์ ฉันจะรับไว้เอง!”
ถ่วงเวลาได้แค่คนเดียว ปีเตอร์พุ่งมาด้วยความเร็วสูงตามแบบฉบับสายฟ้า—พริบตาเดียวผมก็ถูกสายฟ้าของปีเตอร์พุ่งเข้าที่ลำตัวอีกรอบ
ถ้าเน้นป้องกันก็คงกันได้หมด แต่ตอนนี้ผมต้องวิ่งไปหาเบลลามีให้เร็วที่สุด—ไม่ได้ไกลแท้ๆ แต่ทุกก้าวมันก้าวได้ลำบากมาก เพราะถูกขวางเอาไว้ทุกจังหวะ
[เอิร์ธฟิลด์] ที่แอบร่ายไว้ก็ถูกฟ้าผ่าเข้าจุดกลางทำให้ใช้งานไม่ได้ พวกนั้นรู้ทัน—มหามังกรเทียม แข็งแกร่งทัดเทียมกับมหามังกรปกติ
ตอนนี้ผมกำลังต้องสู้กับมหามังกรพร้อมกันสองตนโดยที่ต้องรีบไปหาเบลลามีให้เร็วที่สุด
ลำพังแค่ต้องรับมือพร้อมกัน ยังไม่แน่ใจว่าจะชนะได้เลยแท้ๆ—สุดท้ายผมก็เสียศูนย์จนกลิ้งกับพื้น ปีเตอร์รีบซ้ำด้วยการพุ่งเข้าใส่ผม กะจะเล่นกันให้ตายเลย
ผมพุ่งตัวถอยหลัง ปีเตอร์เบรคตามที่คาดไว้เลยพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง—ปีเตอร์เหวี่ยงปีกใส่—มันมีอณูเวทย์อยู่มากมาย ถ้าโดนเข้าไปตายแน่ๆ
แน่นอนว่ารู้อยู่แล้ว
“[มิติสะท้อน]”
สายฟ้าของมหามังกรถูกสะท้อนกลับ ปีเตอร์พุ่งหลบได้ทันก็จริงแต่ว่านั่นก็เปิดโอกาสให้ผม
ผมพุ่งเข้าไปในช่วงที่เคลื่อนไหวร่างไม่ได้ และกะจะใช้ [ตัดมิติ] ทำให้ปีเตอร์หมดสิ้นพลังไป เหมือนกับตอนที่สู้กับสโนว์คราวก่อน—จะตัดเวลาการใช้งานอาภรณ์เทพมังกรให้เหี้ยนเลย นี่คือข้อได้เปรียบเดียวเมื่อเจอกับของเทียม
ทว่า
อีกฝั่งไม่ได้มีแค่คนเดียว
สโนว์แช่แข็งขาของผมไว้ได้ทันท่วงที ปีเตอร์แสยะยิ้มออกมาราวกับจะบอกว่า—เสร็จฉัน
ลำตัวผมถูกปีเตอร์ที่อัดสายฟ้าไว้เตะเข้า—ความเจ็บปวดนี้มันมหาศาล ไม่ใช่แค่ความเสียหาย แต่ร่างกายยังได้ผลจากสายฟ้าทำให้วงจรเวทย์มีปัญหา
เสียงสายฟ้า คลื่นน้ำแข็ง แรงกระแทก แรงระเบิดทั้งหมดทำให้หูผมเริ่มอื้อ คล้ายกับว่ากำลังดำน้ำอยู่
ผมกัดฟันกรามเรียกสติ รีบตัดมิติสวนก่อนที่จะไม่ทัน—และสำเร็จ ผมตัดมิติใส่ตัวเองทำให้รอดพ้นจากสภาวะบัดซบมาได้ แต่ยังวางใจไม่ได้
คราวนี้ไม่ใช่แค่ปีเตอร์ที่พุ่งจู่โจม สโนว์เองก็โหมโจมตีด้วยเหมือนกัน
ผมป้องกันทั้งหมดได้สิบจังหวะ แต่ตอนที่คิดจะก้าวเท้าไปหาเบลลามีสักก้าวก็ยังดี ผมก็ถูกน้ำแข็งเกาะที่ปลายข้อมือและ—โดนปีเตอร์ตัดแขนในที่สุด
“—-อึก!!!!”
ตัดมิติรักษา
ไม่ใช่
เจ้าพวกนี้มันรู้ไต๋หมดแล้ว ที่ต้องทำคือ—-ตัดมิติส่งตัวเองหนี
ตามคาด ถ้าเมื่อกี้ผมคิดจะใช้ตัดมิติรักษาตัวเอง ผมได้โดนสโนว์แช่แข็งทั้งตัวแน่ ไม่ก็โดนปีเตอร์เตะจนตัวขาด เพราะเลือกจะตัดมิติหนีก่อนเลยพ้นระยะโจมตีแต่ว่า—พวกนั้นไม่มีทางปล่อยให้ผมได้รักษาตัวเองแน่
ผมถูกกระหน่ำเข้าใส่
‘..มาสเตอร์ บอกตามตรง’
คงจะถึงขีดจำกัดแล้ว ร่างกายใช้พลังออกเยอะเกินไปจนวงจรเวทย์มันฉีกขาด
คล้ายๆกับสภาวะกล้ามเนื้อฉีกขาด แต่มันหนักกว่าตรงที่ผมจะรวบรวมมานาได้ไม่ดี และเวทมนตร์ที่เอาออกมาคงจะโจมตีมั่วชั่วเพราะผมเล็งทิศไม่ได้เหมือนก่อหน้านี้แล้ว
ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องสู้กับเอเธอร์ สภาวะที่ไม่พร้อมสู้ที่สุด—-ถึงอย่างนั้น ผมก็ตัดมิติสวนเพื่อปัดป้องการโจมตีทั้งหมด
การเคลื่อนไหวของผมพลาดตรงไหนกัน? อาจจะพลาดตั้งแต่ที่ต้องเจอสองมหามังกรเทียมตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่ใช่ ผมพลาดตอนที่คิดจะก้าวไปหาเบลลามีสักก้าว จังหวะนั้นทำให้โดนโจมตีเข้าจังๆถึงจะรักษาทั้งหมดและตั้งหลักได้ แต่ว่าจุดยืนก็เปลี่ยน ผมถูกปีเตอร์รุกเข้าเขตุต่อสู้จนเคลื่อนไหวได้ลำบาก และโดนสโนว์คุมเกมคอยซัพพอร์ตจากข้างบนจนหมดหนทาง ถ้าไม่พลาดจังหวะนั้น คงจะดันให้ปีเตอร์และสโนว์ออกจากจุดที่ได้เปรียบได้
แต่ว่าถ้าผมไม่ไปให้เร็วที่สุด สุดท้ายก็จะช่วยเบลลามีไม่ทันอย่างนั้นจะไปมีความหมายอะไร ..เบลลามี—ผมหันไปหาเบลลามี และพบว่าเธอกำลังวิ่งมาทางนี้
หูที่อื้อเพราะเสียงระเบิดกลับมาได้ยินชัด—ก่อนหน้านี้เบลลามีเรียกผมตลอด
“เรเซอร์!!!!”
“ท่านจอมมาร อย่าไปนะคะ!!”
เสียงเรียกของบิลเซบับไม่ช่วยอะไร เบลลามีวิ่งมาจับมือผมไว้และแสงสีขาวก็พุ่งใส่ร่างผม
พลังในการรักษา—ได้ทำงาน
ร่างกายผมกลับมาเหมือนก่อน แต่ว่าถลายขีดจำกัดได้หายไปแล้ว เพราะถูกย้อนไปตอนสมบูรณ์ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย
‘มาสเตอร์ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็—ชนะแน่ค่ะ’
อ่า!
“[ถลายขีดจำกัด]”
รอบตัวผมเกิดแรงระเบิดขึ้นเบาๆ ผมโอบร่างของเบลลามีไว้ไม่ให้ปลิวไปไหน
ก่อนอื่นต้องรีบตัดมิติเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างของเบลลามี—ผมเร่งตัดมิติเต็มพิกัด ทว่า ..ไม่มีอะไรให้ตัดแล้ว
“..ล้อเล่นใช่มั้ย?”
แววตาของเบลลามีเปลี่ยนไป ผมจำใจต้องพุ่งตัวออกและมองส่งเบลลามีที่มีบรรยากาศต่างจากเดิม
ทั้งผม ทั้งสโนว์และปีเตอร์ต่างมองเบลลามีกันตาค้าง ต่างกับบิลเซบับที่อมยิ้มอย่างมีความสุข
..สายไปแล้ว
เบลลามีหันมามองผมก่อนจะยิ้มให้ แต่นั่นเป็นรอยยิ้มที่ดูมั่นใจในตัวเองต่างกับเบลลามีในยามปกติ