เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 149: เรนออกอาละวาด
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 149: เรนออกอาละวาด
< < 113 > >
เทียนหลงลอยอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทุกตนในเกาะวาเรอร์
“..เทียนหลง”
ผู้ที่ส่งเสียงเป็นคนแรกท่ามกลางความเงียบคือโซล่า เธอแหงนหน้ามองบนฟ้าด้วยใบหน้าที่ยังเปื้อนน้ำตาอยู่
“คุณ..ตื่นแล้วเหรอ”
โซล่าผละตัวออกจากต้นไม้เดินตรงไปหาเทียนหลงด้วยร่างกายที่อ่อนล้าเต็มทน ไม่มีใครที่เข้าไปช่วยโซล่าพยุงร่างเพราะยังอึ้งกันอยู่
“ฟังก่อนนะคะ เทียนหลง เรื่องของคุณเรเซอร์ฉันจะหาวิธีเคลียร์เอง เพราะอย่างนั้นขอเวลาอีกสักหน่อย ฉันขอเวลาอีกแค่—”
พูดไม่ทันจะจบเทียนหลงก็ม้วนตัวบนอากาศหนึ่งตลบก่อนจะพุ่งเข้าใส่โซล่า—
“—ทำ–ไม”
“เกะกะจริงหล่อน!!!!”
หนิงจับคอเสื้อของโซล่าและโยนไปทางยูจิ พร้อมกัยื่นมือออกมารับหน้าของเทียนหลงไว้ตรงๆ
การปะทะของสองมังกรผู้ยิ่งใหญ่ ทำให้เกาะวาเรอร์ทั้งเกาะถึงกับสั่นสะเทือน ต้นไม้รอบๆพากันล้มละเนละนาด เปลวเพลิงแห่งมหามังกรได้พวยพุ่งออกมาปกคลุมทั่วทั้งป่าเพื่อไม่ให้ความเสียหายกระจายวงกว้าง
เพลิงของหนิงไม่ใช่แค่ยับยั้งความเสียหาย แต่มันยังช่วยเยียวยาร่างกายที่บอดซ้ำของโซล่าให้ด้วย
“ยูจิพาโซล่าหนีไปก่อนนะ!! เดี่ยวจัดการไอ้มังกรสวะนี่เสร็จแล้วจะตามไปน้า!!”
“นี่หนิง! อย่ามาว่าเทียนหลงว่าเป็นมังกรสวะนะ! เขาคือมังกรสวรรค์ที่จักรวรรดิเคราพราชามังกรต่างหาก!”
“หนวกหูน่า! เลือดมหามังกรในตัวฉันมันบอกว่ามังกรทุกตัวนอกจากฉันคือสวะหมดนั่นแหละ!!”
โซล่าเลือดขึ้นหน้าคิดจะเถียงต่อแต่ก็ห้ามตัวเองไว้ได้ เพราะเธอรู้ดีว่าหนิงกำลังปกป้องตัวเองอยู่ และรู้ด้วยว่าในที่นี้มีแค่หนิงเท่านั้นที่พอรับมือเทียนหลงได้
“คุณหนิง ..ผมจะรีบกลับมาช่วยนะครับ”
ยูจิไม่ใช่คนโง่ เขารู้ฐานะตัวเองดี รู้จุดยืนตัวเองดี รู้ว่าลำพังตัวเองช่วยหนิงไม่ไหวแน่เลยเลือกจะทำตามที่หนิงว่าโดยง่าย แน่นอนในมุมหนิงก็ดีใจที่ยูจิรู้งานแต่อีกใจก็เซ็งหน่อยๆ
(อยากให้ยูจิปกป้องจัง) อีกใจก็คิดดั่งสาวน้อยคนหนึ่ง
“สู้ๆนะครับ!!”
ใบหน้าของยูจิที่อ้อนวอนขอให้หนิงรอดหลุดออกมา ก็ไม่อยากจะคิดแต่ใบหน้าของเขามันดูน่ารักจนไม่น่าเชื่อว่าเจ้าตัวเป็นผู้ชาย ไม่สิ การที่ผู้ชายจะน่ารักก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก แต่หากดูตามค่านิยมมันก็แปลก เอาเป็นว่าหน้าของยูจิตอนเชียร์ใครสักคนนั้นน่ารักเกินห้ามใจ
ถ้ามีจัดอันดับฉากตัวละครให้กำลังใจคน ยูจิจะพุ่งแชงตัวละครหญิงทุกตัวแน่นอน เพราะเขาน่ารักยิ่งไปกว่านั้น ให้จำกัดความว่าเป็นนางฟ้าที่มนุษย์มิอาจแตะต้องได้ก็ไม่เกินจริง
“สู้ตายค่าาาา!!!!”
หนิงระเบิดพลังพุ่งชนกับเทียนหลงอย่างสูสี ทางยูจิกับโซล่าก็พากันวิ่งตรงไปที่วิทยาลัยให้เร็วที่สุด
ความกลัวต่อเทียนหลงไม่มีเลยแม้แต่น้อย เพราะได้ความน่ารักของยูจิมาช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจ
****
หลังจากเหตุการณ์สั่นสะเทือนของเกาะวาเรอร์ นักเรียนและคณะอาจารย์ทุกคนก็ตื่นนอนและมารวมกลุ่มกันที่โรงพละของวิทยาลัย ซึ่งมีขนาดใหญ่สามารถบรรจุคนได้กว่าพันคน
นักเรียนทุกคนอยู่ในสภาพแตกตื่น แหงล่ะ เพราะจู่ๆแผ่นดินก็ไหวไม่พอยังมีเสียงระเบิดดังขึ้นไม่หยุดอีก ราวกับว่า ..อยู่ท่ามกลางสนามรบอย่างไรอย่างนั้น และสถานการณ์ข้างต้นก็ดันไปคล้ายกับเรื่องเมื่อตอนงานเทศกาลโลหิตมังกร
หลายคนยังจำภาพเหตุการณ์นั้นได้แต่ครั้งนี้ไม่มีทหารรึกองอัศวินมาคอยคุ้มกัน ..แต่ทุกคนก็รู้ดีว่ามีเอเธอร์อยู่เพียงแต่เขาไม่ได้อยู่ในที่แห่งนี้
“เอเธอร์หายไปไหนเนี่ย”
“มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย”
“รู้งี้ฉันไม่นามาเรียนที่นี่เลย”
“ความปลอดภัยของพวกเราอยู่ที่ไหนฟร้ะ”
เหล่านักศึกษาพากันคุยกันแบบไม่เกรงใจคณะอาจารย์ เพราะความวิตกที่เผชิญหน้า
คณะอาจารย์เองก็เคลื่อนไหวอะไรมากไม่ได้ พวกเขาแค่คอยนับรายชื่อนักเรียนและรวบรวมนักเรียนมาไว้ด้วยกันก็เท่านั้น
“..หายไปหลายคนเลยนะครับ อาจารย์บลาซ”
อาจารย์แช็คคุยกับบลาซที่อยู่ใกล้ๆ เขาคุยกับบลาซด้วยน้ำเสียงที่ถ่อมตัวและแฝงความนับถือ เพราะบลาซถือว่าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในวิทยาลัย แม้ว่าอายุของทั้งสองจะพอๆกันแต่สถานะต่างกันราวฟ้ากับเหว
“นั่นสินะ ค่อนข้างเป็นปัญหาเลย”
รายชื่อนักเรียนที่หายได้แก่
1.เรเซอร์ ดราแคล์
2.ยูจิ
3.เบลลามี
4.เคียวยะ
5.เรย์ คามาเลีย
6.หนิง
7.โซล่า เลนนอน
8.มิรันด้า ซี มารีน
“ห้าในเจ็ดคนเป็นนักเรียนชั้นสูงด้วย ถ้าเกิดทำให้พวกเขาเจออันตรายได้มีปัญหากับทางครอบครัวแน่ ..โดยเฉพาะโซล่า เลนนอน”
“เอ่อ ..เรื่องนั้นก็ใช่อยู่หรอกครับ แต่นักเรียนทุกคนก็สำคัญพอกันไม่ใช่รึไงครับ”
บลาซยิ้มให้แช็ค
“วิทยาลัยนี้พวกที่ทำตัวเยี่ยงลูกศิษย์จริงๆน่ะมีไม่กี่คนหรอก ที่เหลือก็มีแต่พวกลูกคุณหนูเอาแต่ใจ ..แต่อีกสามคนที่หายไปก็สำคัญจริงๆนั่นแหละ”
พูดจบบลาซก็เอาใบรายชื่อมาให้แช็คแทน
“ฉันจะออกไปตามหานักเรียนที่เหลือเอง ฝากคอยเช็คชื่อแทนด้วย แล้วก็บอกพวกนักเรียนไปว่าเอเธอร์คอยเฝ้ายามให้อยู่”
“แต่ว่าเขาไม่อยู่ไม่ใช่เหรอครับ?”
“บอกไปก่อนเถอะ เพื่อความสบายใจของพวกขุนนาง”
ก่อนจะเดินออกไปบลาซได้คว้าคทาเวทย์คู่ใจของตัวเองขึ้นมาไว้บนบ่า และเดินออกจากโรงพละไป
อย่างที่รู้กันดี ‘บลาซ’ คือจอมเวทย์อัจฉริยะ เป็นจอมเวทย์ขั้นบรรลุเนื่องจากได้คิดค้นเวทย์แสงขึ้นรูปแบบใหม่ขึ้นมา โดยที่เขาสามารถคิดค้นมันได้ตั้งแต่ตอนวัยรุ่น ทั่วทั้งโลกเลยรู้จักเขาดีในฐานะจอมเวทย์อัจฉริยะแห่งอาณาจักรฟัฟนิร์
ตั้งแต่เด็กเขาร่วมทำงานกับ ‘สหพันธอิกดราซิล’ มาหลายต่อหลายครั้ง คุณงามความดีของเขาได้รับการตอบแทนโดยการถูกรับเลือกให้เป็นผู้ถือครองคทาแห่งแสง ‘เดอะไลท์’ อันเป็นคทาที่ช่วยให้เวทย์ที่เขาถนัดมันทรงพลังขึ้นไปหลายเท่าตัว
ครั้งหนึ่งก็มีศักดิ์เป็นอาจารย์ของเอเธอร์ด้วย
ในช่วงวัยกลางคน เขาสมัครเข้าเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยเวทมนตร์แต่ยังคงแวะไปทำงานให้แต่ล่ะองค์กรเหมือนแต่ก่อน ชื่อเสียงของบลาซเลยยังคงอยู่ในโลกใบนี้ไม่มีเลืองหายในฐานะจอมเวทย์มากฝีมือ
คนที่วางใจได้ในสถานการณ์วิกฤตนี้ก็คือเขา หากดูแค่ภาวะความน่าเชื่อถือเขามีมากกว่าเอเธอร์เสียอีก
หลังจากที่บลาซเดินออกจากโรงพละได้สักพัก เขาก็ยกคทาขึ้นฟ้าและกำลังจะร่ายเวทย์อะไรสักอย่างออกมา ทว่าจังหวะเดียวกันก็ถูกขัดไว้ก่อน
“เป็นคทาเวทย์ที่วิเศษมากเลยนะครับ สมกับเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงจากสหพันธอิกดราซิล”
เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความอารมณ์ดีแต่ก็ดูแฝงการลงน้ำหนักในคำมากเกินไป พลางให้คิดว่าผู้พูดคงจะหัวเสียอยู่ไม่ผิดแน่ ..บลาซหันทางเจ้าของเสียงและพบกับ ‘เรน’ ในสภาพที่แข็งแรงดีแต่ดูอ่อนล้าชอบกล
“..ใครกัน”
แน่นอนในสถานการณ์นี้บลาซไม่สามารถไว้ใจเรนได้
“ขออภัยที่เข้ามาคุยด้วยแบบกระทันหัน ..ผม เรน”
เรนไม่มีทางที่คนอย่างบลาซจะไม่รู้จัก—-เขารีบชี้คทาใส่เรนอย่างรวดเร็ว
“เรน ..อาชญากรชื่อดังนี่เอง แกคือตัวการสินะ”
“ถูกครึ่งผิดครึ่งนะ ถ้าไอ้ตัวที่ทำเกาะนี้สั่นไม่ใช่ผมหรอก”
“ยังไงก็ช่าง อย่างแกคงไม่ได้มาดีหรอก ตายซะ”
แสงปรากฏขึ้นที่คริสตัลบนคทาเวทย์
“[กระสุนแสง]”
เวทมนตร์ยิงกระสุนแสงขั้นสูง ในหมู่เวทย์ประเภทยิงด้วยกันมันจัดไว้ว่าเร็วที่สุดแล้ว แต่กลับกันมันคือประเภทเวทย์ที่เบาที่สุด ทว่าด้วยเดอะไลท์ที่บลาซถือครอง ทำให้ยกระดับความรุนแรงไปมากไม่แพ้กับเวทย์ประเภทยิงที่มีความรุนแรงมหาศาลอาทิเช่นบอลเพลิงเลย
ถ้าโดนเข้าไปเก่งมาจากไหนก็เจ็บหมด ถ้าไม่ใช่พวกร่างกายเหนือมนุษย์ล่ะก็
“อลิซาเบธ!”
แวมไพร์สาวพุ่งตัดหน้าแสงบลาซตามคำเรียก เธอใช้เคียวกวาดเวทย์แสงทั้งหมดทิ้งอย่างง่ายดายจนบลาซแปลกใจในความเร็วของเธอ แต่บลาซก็ไม่รีรอให้อีกฝ่ายได้ทำอะไร
“[แฟลซบอม]”
เวทย์แสงที่จะทำให้อีกฝ่ายสูญเสียการมองเห็นชั่วขณะ–มีหรือที่พวกเรนจะไม่รู้จัก
“[ต้นไม้โลก]”
แขนของเรนปรากฏเกราะจากรากไม้ขึ้น และมันก็ดูดกลืนเวทมนตร์ของบลาซ
“ผู้ใช้วิชาไสยศาสตร์ ..แล้วก็สายกายภาพที่เร็วพอจะปัดกระสุนแสงได้เหรอ ..”
บลาซคือนักเวทย์ เขาไม่ใช่นักเวทย์กึ่งกายภาพอย่างเรเซอร์รึเอเธอร์ เขาคือนักเวทย์แท้ๆเพราะอย่างนั้นในการต่อสู้ 1-1 เขาไม่ได้เก่งพอจะดวลกับพวกที่มีความไวสูงไหว
แต่ว่าถ้ายอมก็เท่ากับตาย บลาซเตรียมปล่อยเวทย์ชุดใหญ่สวนแลกเลย แต่ว่า ..เขาไม่สามารถรีดมานาออกมาได้สักก้อน และคำตอบก็คงมีแค่วิชาไสยศาสตร์แปลกๆของเรน
“..ต้นไม้โลกเหรอ วิชาไสยศาสตร์อะไรไม่เห็นเคยได้ยินเลย” บลาซมองแรงใส่เรน “ให้ตายสิ วันนี้เป็นวันซวยประจำปีสินะ”
บลาซส่ายหัวไปมา และเตรียมรับความตาย ..ใช่ ต่อหน้าต้นไม้โลกบลาซทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาไม่รู้ขีดจำกัดของต้นไม้โลกเลย กับพลังที่ทำดูดมานาของเขาได้แบบไม่ทราบสาเหตุ ในฐานะนักเวทย์ของแท้แล้วมันคือความพ่ายแพ้ที่สมบูรณ์แบบ
“เอาล่ะบลาซ ผมไม่คิดจะฆ่านายหรอกนะ”
“พูดเข้าหูดีนี่”
“ครับ เพราะผมรู้ดีว่านายมีความฝันที่ยิ่งใหญ่อยู่ เพื่อให้ความฝันนั้นเป็นจริงต่อให้แลกกับอะไรก็ย่อมได้ ..บลาซ มาร่วมมือกับผมเถอะ” เรนยื่นมือไปหาบลาซ “โลกที่นายปารถนาจะเป็นจริงได้อย่างแน่นอน เพียงแค่จำมือผม”
“..โลกที่ฉันปารถนานั้นเหรอ”
“ครับ นายต้องการโลกที่ทุกคนเท่าเทียมกันไม่ใช่หรือครับ? ปราศจากขุนนางจอมเอาเปรียบ ปราศจากราชาผู้เย่อหยิ่ง ปราศจากผู้ถูกเลือกที่น่าเศร้า ปราศจากสามัญชนผู้ถูกกดไว้ให้ต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร และสุดท้ายปราศจากผู้ต่อสู้ที่ละทิ้งชีวิตตัวเอง—อย่างนายที่อุทิศชีวิตของตัวเองเพื่อโลกในฝัน”
เรนสลาย [ต้นไม้โลก] ทิ้ง และเดินไปหาบลาซด้วยท่าทางเป็นมิตร
“ใจจริงนายไม่เคยอยากเสียสละตัวเองเลยนี่ครับ แต่ไม่มีทางเลือก ..แต่ว่านะบลาซ ผมบอกไว้เลยว่าต่อให้พยายามมากแค่ไหน โลกที่นายต้องการก็ไม่มีอยู่จริงหรอก”
บลาซหรี่ตาลง เขารู้ดีอยู่แล้วว่าโลกในฝันของเขาไม่มีทางเป็นจริง เพราะมันคือโลกที่สวยงามขัดกับโลกที่โหดร้ายใบนี้
ปราศจากขุนนางจอมเอาเปรียบ ..ขุนนางที่เกิดมาเพื่อกดขี่ทุกชีวิตบนโลก ไม่มีทางหายไปจากโลกหรอก
ปราศจากราชาผู้เย่อหยิ่ง ..สายเลือดของราชวงศ์จะยังวนเวียนอยู่ในโลกต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ตัวเขาไม่มีทางเปลี่ยนแปลงมันได้
ปราศจากผู้ถูกเลือกที่น่าเศร้า ..เหล่าเด็กที่ถูกกำหนดชะตาตั้งแต่กำเนิด ไม่มีทางหายไปจากโลกเพราะโลกนี้ต้องการผู้เสียสละ
ปราศจากสามัญชนผู้ถูกกดไว้ให้ต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร ..ผู้คนที่ถูกกลไกโลกเล่นตลก ผู้บริสุทธิ์ที่แค่อยากมีชีวิตอย่างมีความสุขแต่กลับมีไม่ได้เพราะพวกชนชั้นสูงจอมละโมบ
ปราศจากผู้ต่อสู้ที่ละทิ้งชีวิตตัวเอง—นั่นคือตัวเขา ที่ต้องสละตัวเองเพื่อทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ว่ามันก็สูญเปล่าเพราะไม่มีอะไรที่แก้ไขได้หมดจด
บลาซรู้ดีว่าตัวเองโลกสวย แต่ ..จะให้ทิ้งคนที่ถูกโลกเล่นตลกอยู่ เขาทำไม่ได้
“นายตั้งใจจะขึ้นเป็นหนึ่งในคณะกรรมการเวทมนตร์แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเหรอ? ไม่เลย ก็เหมือนกับทุกที สุดท้ายแค่เสียงของนายคนเดียวมันก็เปลี่ยนโลกไม่ได้หรอก หรือต่อให้พยายามเปลี่ยนไปทีละนิด แต่เวลานายมีพอเหรอ? คิดว่าเวลาแค่สิบหรือยี่สิบปีมันมากพอเหรอ?”
“..”
เรนวางมือไว้บนไหล่ของบลาซ
“ที่ต้องคว่ำมันให้ได้น่ะไม่ใช่พวกราชาหรือขุนนางหรอกนะ”
“..ว่าไงนะ”
“คนที่นายต้องโค่นไม่ใช่อาณาจักรนี้ แต่เป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ตัวตนที่ให้กำเนิดความไม่เท่าเทียมตั้งแต่แรกน่ะไม่ใช่มนุษย์ชั้นสูง—แต่เป็นผู้คุมกฎอย่างทวยเทพต่างหาก”
บลาซมีสีหน้าที่ตกใจเป็นครั้งแรก เขาหันไปมองเรนด้วยใบหน้าที่อยากถามว่า-เสียสติไปแล้วเหรอ?
“เทพไม่ใช่แค่เรื่องเล่าหลอกเด็กรึไง”
“ไม่เลย เทพน่ะมีอยู่จริง เหมือนกับจอมมารนั่นแหละ แค่ไม่เคยปรากฏตัวอย่างอลังการเช่นจอมมารก็เท่านั้น ..ฟังให้ดีล่ะบลาซ ศัตรูของโลกไม่ใช่จอมมาร ไอ้จอมมารอะไรนั่นก็แค่หมากของเทพเท่านั้น มีหน้าที่โดนผู้กล้าปราบและจบๆกันไปแค่นั้นแหละ ตัวปัญหาน่ะไม่ใช่จอมมารแต่คือเทพที่สร้างวัฐจักรประหลาดขึ้นมาบนโลกต่างหาก”
“ถึงอย่างนั้น จะให้เชื่อเรื่องที่พูดทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องหรอกนะ ยิ่งกับแกที่เป็นอาชญากรโลกด้วยแล้ว”
“ถ้านั้นก็จับมือผมสิบลาซ ผมจะพานายไปดูความจริงของโลกใบนี้เอง หรือจะปฏิเสธแล้วพยายามอย่างไร้ประโยชน์ต่อไปก็แล้วแต่เลย”
..บลาซมองไปในดวงตาของเรน—แววตาของเขาไร้ซึ่งคำโกหก
****
ในขณะเดียวกันเคียวยะนั้น ..
“ไม่ได้เจอกันนานนะ ไอ้ปีศาจสารเลว”
เคียวยะก่นด่าด้วยน้ำเสียงสุดจะทิ่มแทง แต่ลูซิเฟอร์หาได้สนไม่ เพราะปกติทั้งชีวิตเขาก็โดนด่ามาตลอดอยู่แล้ว กะอีแค่โดนเด็กด่าเขาไม่คิดมากเลยสักนิด
“ยังคงเป็นเด็กที่ปากเสียคงเส้นคงวาเลยนะท่านน่ะ”
เคียวยะกำลังเผชิญหน้ากับลูซิเฟอร์อยู่ โดยที่ข้างหลังของเคียวยะมีเมอันยืนอยู่ด้วย
“เมื่อคราวก่อนทำไว้ได้ยอดเยี่ยมทีเดียว ข้าขอชื่นชม สมกับเป็นผู้ถือครองดวงตามหาปราชญ์ของจริง”
“ของจริงเรอะ”
“ใช่แล้ว ดวงตาของท่านคือของจริง เมื่อครั้งที่ได้ปะทะกันครั้งก่อนทำให้ข้านึกย้อนไปถึงสมัยก่อน ในศึกที่ต้องสู้กับผู้เป็นเจ้าของดั้งเดิมของดวงตามหาปราชญ์ .. ‘อาเธียน่า’ คือชื่อของเจ้าของดั้งเดิม” ลูซิเฟอร์ล้วงเสื้อโค้ทและพล่ามต่อ “อาเธียน่าคือต้นกำเนิดของดวงตาวิเศษทุกอย่างบนโลก ไม่ว่าจะดวงตามหาปราชญ์หรือว่าดวงตาหยั่งรู้ต่างๆนานา ..อย่างไรซะ ดวงตาที่ทรงพลังที่สุดก็คือดวงตามหาปราชญ์ที่ท่านครอบครองอยู่”
ลูซิเฟอร์ชี้ตาตัวเองคล้ายจะบอกให้เคียวยะลองมองที่ตาตัวเองดู
“ลองมองให้ดีๆเสีย ถึงพลังที่แท้จริงของมันที่ปรากฏในคราวนั้น ..ที่แข็งแกร่งน่ะไม่ใช่พลังที่มีอยู่ตอนนี้ แต่เป็นพลังที่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ อย่าง [ดวงตามหาเทพ] ..เทพแห่งปัญญา อาเธียน่า นั่นคือชื่อของพลังที่ท่านถือครองอยู่”
ได้ยินอย่างนั้นเคียวยะก็หัวเราะขึ้นจมูก
“เรื่องนั้นจะมาบอกฉันทำไมกัน”
“ข้าสนใจท่านนิดหน่อยล่ะนะ เพราะสมัยก่อนข้ามีเรื่องกับอาเธียน่าอยู่เล็กน้อย ..ที่สำคัญที่สุดคือท่านเป็นคนสนิทของท่านจอมมาร การที่บริวารเช่นข้าให้คำแนะนำถือว่าเป็นเรื่องที่พึงกระทำ”
“แล้วแกโผล่หน้ามาทำไมกัน คิดจะทำอะไรกันแน่”
“ก็เหมือนกับครั้งก่อน แต่ก่อนหน้านั้น เมอัน ไม่คิดว่าท่านจะทรยศเรนได้ลงคอเลยนะ”
เมอันถูกลูซิเฟอร์ทักก็ตัวสั่นและไปหลบหลังเคียวยะ ทั้งๆที่คนที่ควรหลบหลังที่สุดคือเคียวยะแท้ๆ
“คะ..คุณพ่อมาด้วยรึเปล่า”
“แน่นอนสิ ยังไงซะพวกเราก็กำลังร่วมมือกันอยู่”
เมอันเกาะหลังเคียวยะแน่น สภาพเธอตอนนี้ไม่สามารถสู้กับใครได้ง่ายๆ ..ต่อให้มีพลังแค่ไหนก็ไม่ไหว เคียวยะเห็นก็ถอนหายใจและดันเธอออกจากหลัง
“อยู่เฉยๆอย่ามาเกะกะก็แล้วกัน”
“…ค่ะ”
เคียวยะถอนหายใจและเพ่งความสนใจทั้งหมดมาให้ลูซิเฟอร์
“ครั้งก่อนสอนฉันซะดิบดีเลยนะ ไอ้ปีศาจขี้ข้า”
“คิดซะว่าเป็นการชี้นำก็ได้ ข้าถูกชะตาท่านพอสมควรเลย” ลูซิเฟอร์พูด “ไม่สนใจมาเป็นปีศาจมหาบาปแทนข้าหน่อยหรือท่าน?
“เป็นขี้ข้ามันน่าสนใจตรงไหน”
ลูซิเฟอร์ยิ้มมุมปาก
“น่าเสียดาย คิดว่าท่านคือผู้สืบทอดที่ดีแท้ๆเชียว”
“เรื่องอะไรต้องไปเดินตามหลังแกฟร้ะ? จะขยี้แกให้แหลกคือเป้าหมายของฉันต่างหาก คอยดูให้ดีล่ะไอชั้นต่ำ ครั้งนี้นี่แหละ ฉันจะต้องชนะแกให้ได้—-ลูซิเฟอร์!!!!”
หนึ่งในคนที่เคียวยะอยากก้าวข้ามให้ได้ที่สุดก็คือ—ลูซิเฟอร์นี่แหละ
ก่อนที่เคียวยะจะได้พุ่งเข้าสู้ ..เรนก็ก้าวเข้ามาในวงก่อน
เมอันถึงกับหน้าซีดทันทีที่เห็นเรนโผล่มา เคียวยะหยุดร่างตัวเอง ลูซิเฟอร์หันไปมองเรนด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“อะไรกันๆ ..นี่ผมโดนหักหลังวะแล้วหรือเนี่ย—เมอันทำกันได้นะ”
เสียงเรียกของเรนทำให้สัญชาตญาณทาสของเมอันกลับมาอีกครั้ง
****
“ไม่รู้ว่าเรื่องตลกอะไรหรอกนะ แต่พวกแกนี่ขวางกันเก่งชะมัด คราวก่อนก็มหามังกรเทียม คราวนี้ก็แวมไพร์เลขา”
“ให้คุณผ่านไปไม่ได้หรอกค่ะ ..เรเซอร์ ดราแคล์”
อลิซาเบธยืนขวางเรเซอร์ไว้ ..เธอจะปล่อยให้เรเซอร์ไปยุ่งเกี่ยวกับเรนไม่ได้เด็ดขาด เพราะข้อผิดพลาดของโลก—คือตัวอันตรายที่สุดในที่แห่งนี้