< < 110Sec1 > >
“..ลูซิเฟอร์”
ผมเอ่ยขื่อของเขาตรงหน้า ..ปรากฏการณ์ประหลาดแล้วก็การปรากฎตัวของปีศาจมหาบาปนั้นเหรอ ดูเป็นองค์ประกอบที่เข้ากันจนน่าขนลุกเลยแฮะ
ในใจผมคิดอย่างเย็นชา ทว่าในส่วนลึกจริงๆผมเต็มไปด้วยความร้อนลน เหมือนกับเรื่องเมื่อตอนงานเทศกาลโลหิตมังกร—ทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“พวกแกเกี่ยวข้องกับอะไรบางอย่างบนท้องฟ้ารึเปล่า?”
“เรื่องนั้นข้าเองก็สงสัยเช่นเดียวกับท่านนั่นล่ะ”
ลูซิเฟอร์ตอบกลับอย่างว่าง่าย ไม่มีท่าทีต่อต้านหรือตั้งตัวเป็นศัตรูเลยแม้แต่น้อย
นั้นเหรอ พอได้ยินว่าพวกปีศาจมหาบาปไม่ได้เกี่ยวข้องในเชิงพันธมิตรกับตัวบนฟ้า ผมก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง ..อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผมจำเป็นต้องรีบไปตรวจสอบในจุดกลางให้เร็วที่สุด เพราะบางที ..มันอาจจะเป็น ‘เทียนหลง’ หรือไม่ก็มีเบาะแสสำคัญก็ได้ ถ้าได้ดูใกล้ๆผมต้องรู้แน่นอน ทีนี้ปริศนาที่กลุ้มใจทั้งหมดก็จะเคลียร์—ถ้าหากทั้งหมดเป็นไปได้ง่ายๆอย่างที่คิดคงดีไม่น้อย
“แล้วพาใครมาบ้างล่ะ?”
“ไม่ใช่หน้าที่ของข้าที่ต้องบอก”
ผมยิ้มให้ลูซิเฟอร์
“ที่แน่ๆการที่แกโผล่มาไม่มีทางเป็นเรื่องที่ดีหรอก” ผมเดินเข้าหาลูซิเฟอร์ตรงๆ “กลับไปนรกซะ ไอ้ปีศาจหลงยุค”
ลูซิเฟอร์ถอนหายใจเฮือกโตพลันหรี่ตามองผมด้วยแววตาที่น่าเกรงขาม
“ครั้งก่อนดูแลข้าไว้ซะดีเลยนะ ต้องขอขอบค—-”
[ตัดมิติ] ได้แหวกอากาศ—เพียงพริบตาเดียวผมก็กระแทกลูซิเฟอร์เข้ากับกำแพงในสภาพบีบคอ ทำให้ลูซิเฟอร์พูดต่อไม่ได้ ต้องบอกว่ายังพูดไม่ทันจบก็โดนเล่นแล้วด้วยซ้ำ
ผมเร็วกว่ามาก เร็วจนอีกฝ่ายไม่สามารถตั้งรับได้
‘แสดงว่าลูซิเฟอร์ยังได้พลังกลับมาไม่ครบสินะคะ’ ยูนาพึมพำขึ้นมา
ใช่ ถ้าลูซิเฟอร์มีพลังครบ ในระยะแค่นี้ ลูซิเฟอร์สามารถกันการโจมตีผมได้ง่ายๆอยู่แล้ว แต่ต่อให้มีพลังไม่ครบ ลูซิเฟอร์ก็ยังคงแข็งแกร่งอยู่ดีด้วยอำนาจแห่งมหาบาป
ดวงตาของลูซิเฟอร์ส่องแสง เป็นเครื่องหมายว่า [อำนาจมหาบาป-ความเย่อหยิ่ง] ได้ถูกใช้งาน มันมีคุณสมบัติในการยกระดับตัวเองให้มากกว่าอีกฝ่ายเล็กน้อย โดยไม่สนความห่างของร่างกายรึพลังเวทย์ เป็นหนึ่งในพลังที่โกงสุดที่ผมรู้จัก เพราะแม้จะไม่กี่วิ แต่ลูซิเฟอร์เป็นคนเดียวในโลกที่สามารถยกระดับมานาตัวเองให้มากกว่ายูจิได้
ต่อให้ตอนนี้ ผมจะเร็วกว่าลูซิเฟอร์แค่ไหนก็ตาม เพียงแค่ลูซิเฟอร์ใช้อำนาจมหาบาป เขาก็จะเร็วกว่าผมได้ง่ายๆเลย—–ทว่า ทันใดนั้นแสงจากดวงตาก็ดับลงในไม่กี่อึดใจ
“วิญญาณระดับเทพ—-ยูนา” ลูซิเฟอร์พูดเสียงสั่นเพราะลำคอถูกบีบอยู่
ผมผนึกความสามารถของลูซิเฟอร์ด้วย [ตัดมิติ] เพียงแค่ทำลายก่อนที่พลังจะออกผล มันก็จะโมฆะกันไป ยิ่งไปกว่านั้น ลูซิเฟอร์ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์เช่นนี้ไม่สามารถใช้อำนาจมหาบาปติดๆกันได้ นั่นแปลว่าในหลายวิต่อจากนี้ ลูซิเฟอร์จะเป็นแค่กระสอบทราย
ผมกระชากหัวลูซิเฟอร์มากระแทกเข่า ด้วยพลังกายจากการเสริมด้วยตัดมิติ ทำให้มีแรงมากพอจะทำให้ลูซิเฟอร์วูบ
ร่างของลูซิเฟอร์ลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น ผมไม่รีบฆ่า เพราะการฆ่าจะทำให้มันหนีไปเกิดจุดอื่นบนโลกได้ ที่สำคัญมีเรื่องต้องคุยด้วย ไม่รอช้าผมทำการยกหัวมันขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา
“แกมาทำอะไรที่นี่”
“…”
ลูซิเฟอร์เงียบไม่ตอบผม ทำเพียงจ้องตากัน
“..”
ยูนาฝากที
‘รับทราบค่ะ’
ตัดมิติไม่ใช่แค่ตัดสิ่งที่เป็นกายภาพ แต่มันสามารถตัดได้กระทั่งวิญญาณ สิ่งที่จำต้องไม่ได้ ด้วยเหตุนั้นผมจึงสามารถตัดมิติ เพื่อให้อีกฝ่ายพูดข้อมูลลับก็ได้เหมือนกัน
“..เป็นพลังที่น่ารังเกียจจริงๆนะท่าน ..” ลูซิเฟอร์พูดด่าผม ก่อนที่จะเล่าเรื่องที่ผมถามออกมา “พวกข้ามาเพื่อจับตัวจอมมารและเทพแห่งวัฐจักร ..”
เบลลามีกับยูจิ เป้าหมายเดียวกับคราวก่อน ของพวกปีศาจมหาบาปคือเบลลามี ส่วนของพวกเรนคือยูจิ
“มีใครบ้างที่มา”
“ข้า แอสโมเดียส บิลเซบับ แล้วก็ ..พวกของเรนทุกคน”
ทุกคนสินะ
“มีคนอื่นนอกจากตัวหลักในครั้งก่อนรึเปล่า”
ครั้งก่อนจำไม่ผิดพวกเรนมากันแค่ไม่กี่คน มีแค่ตัวเรนเอง ตัวมือขวา แล้วก็พวกมหามังกรเทียม
“..ลูกน้องทั่วไป”
“กี่คน แล้วทำหน้าที่อะไรบ้าง”
“หลายคน มีหน้าที่ทำตามเร—อึก!”
ผมกระแทกเข่าใส่หน้าลูซิเฟอร์ และเตะมันให้ล้มลงกับพื้นพร้อมกับใช้ขายันมันไว้ให้ติดพื้นโดยอัดแรงดันใส่เต็มที่ ทำให้ลูซิเฟอร์เจ็บจนออกสีหน้า
“ข้าชักสนใจแล้วสิว่าใครกันแน่ที่เป็นปีศา—”
“หุบปาก ถ้าตอบแบบเมื่อกี้อีกแกไม่ได้ตายดีแน่”
ลูซิเฟอร์ถอนหายใจเฮือกโตพลันทำหน้าเซ็งๆ
“มากันประมาณ 100 คนได้ 40คน ทำหน้าสนับสนุนอยู่บนเรือ อีก 60คน คอยสนับสนุนบนพื้นดินให้พวกมหามังกรเทียมแล้วก็พวกข้า”
“ขอบเขตุการสนับสนุนไกลแค่ไหน”
“ทั่วทั้งเกาะ มีแค่ภายในตึกและป่าเท่านั้นที่ไม่รู้”
โชคดีสำหรับผมที่บังเอิญมาจ๊ะเอ๊กับลูซิเฟอร์เข้าก่อน แต่แบบนี้ก็งานหยาบอยู่ดี จัดการลูซิเฟอร์เสร็จถ้าออกจากนอกตึกหอ พวกเรนก็จะรู้การเคลื่อนไหวทั้งหมดของผม ..ช่วยไม่ได้เสียเวลาหน่อยแต่ก็ต้องทำ
“คิดจุดสนับสนุนทั้งหมดมาในใจซะ”
ลูซิเฟอร์ทำตามที่ผมบอกเพราะคำสั่งของการตัดมิติ พอทำตามที่ผมบอกแล้ว ผมก็ใช้วิชาไสยศาสตร์ชั้นต่ำสร้างแผนที่จำลองเล็กๆขึ้นมา พร้อมกับจุดที่พวกสนับสนุนเห็น
“..แบบนี้นี่เอง”
ไม่มีปัญหา แค่จมเรือทิ้งซะก็หมดห่วง พวกฝ่ายสนับสนุนตามพื้นดิน ถ้าเจอก็จัดการได้ไม่ยากหรอก
ผมคว้าคอเสื้อลูซิเฟอร์และลากไปตามพื้น—ก่อนอื่น ต้องรีบไปปลุกทุกคน
ยังไม่มีใครเห็นปรากฎการณ์บนฟ้ามากนัก ก่อนที่ทุกคนจะแตกตื่นผมต้องรีบไปบอกพวกอาจารย์ แล้วก็ต้องไปหายูจิกับเบลลามีให้เร็วที่สุดด้วย
เอเธอร์ช่างเขา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเอเธอร์รับรู้ถึงความผิดปกติแล้วแน่นอน เพราะเอเธอร์สามารถตรวจจับก้อนมานาได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาวิ่งไปหา
“คิดจะข้าพาไปไหนกัน?”
“ว่าจะหั่นร่างแกแล้วฝังเอาไว้ไม่ให้ดิ้นไปไหนได้สักชั่วโมง”
“…ท่านจอมมารมีตาหามีแววไม่ มาเลือกผู้ชายอย่างท่าน ในฐานะข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ข้ารับไม่ได้จริงๆ”
“ปีศาจสตอกเกอร์อย่างแกดีตายล่ะ ไล่ตามติดชีวิตเด็กผู้หญิงคนเดียวไม่พอ ยังบังคับให้ยอมจำนนอีก ไอ้สวะเอ้ย”
ผมพูดอย่างมีน้ำโห ลูซิเฟอร์ไม่เถียงกลับ ไม่คิดจะตอบโต้อะไรด้วย เพราะรู้ว่าเปล่าประโยชน์
“ถ้าหากข้าได้พลังกลับคืนมา ขอเตะปากท่านหนึ่งทีได้รึไม่?”
“ฝันไปเถอะ”
“ข้าเองก็ไม่กล้าพอจะเตะปากคนรักของท่านจอมมารหรอก”
“จอมมารบ้าอะไร เธอชื่อเบลลามี ไม่ใช่จอมมารของพวกแก แต่เป็นเบลลามีของพวกฉัน”
ลูซิเฟอร์ได้ยินก็ถอนหายใจอีกครั้ง ไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว
“ต่อให้เกิดใหม่กี่ชาติ ท่านจอมมารก็ยังเป็นท่านจอมมาร วิญญาณท่านไม่เคยแปรเปลี่ยน ..การที่ท่านจอมมารตกหลุมรักท่าน เป็นประสงค์ของท่านผู้นั้น ..อย่างไรก็ช่าง ตัวข้ามีสถานะเป็นลูกน้องเคียงบ่าเคียงไหล่ของท่านจอมมาร ในฐานะที่ข้าและท่านมีฐานะสำคัญกับท่านจอมมาร เกรงว่าถ้าเอาแต่ลากข้าไปตามพื้นอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ มันจะสร้างความขุ่นเคืองใจให้ในอนาคตได้ ท่านเองในฐานะคนรักก็คงอยากได้การยอมรับจากลูกน้องที่เปรียบเสมือนคนสำคัญของท่านจอมมารไม่ผิดแน่ ด้วยเหตุนั้น โปรดฟัง บลาๆๆๆ”
ผมขี้เกียจฟังที่ลูซิเฟอร์พล่ามล่ะ เลยปล่อยให้มันพล่ามไม่หยุดและลากมันไปด้าย พลางคิดในใจว่า—อยากหาอะไรมาอุดปากไอ้เบื้อกนี่ชะมัด
ลากลูซิเฟอร์ไปได้สักพัก วิน—หรือชื่อปลอม มิรันด้า ก็วิ่งหน้าตั้งมาหาผม
“เรเซอร์—เห็นเปล่าบนฟ้าๆๆ …อ๊ะ”
เธอเบรกกระทันหันทันทีที่เห็นว่าผมกำลังลากลูซิเฟอร์อยู่ ..
“ใครเนี่ย ไม่สิ นายทำอะไรกับเขาเนี่ย สภาพยับสุดๆ”
“ฟังนะ มิรันด้า ไม่สิ วิน”
ผมเปิดเผยความจริงทันที เวลานี้จำเป็นต้องขอความร่วมมือกับวิน
“…วิน? อ่า ชื่อฉันนี่หว่า เดี่ยวนี้ไม่มีใครเรียกฉันอย่างนั้นเลยนะ—-เดี่ยวดิ!! รู้ได้ไงเนี่ย”
วินแหกปากโวยวาย พุ่งเข้ามากระซากคอเสื้อผมทั้งน้ำตา—ตอนนี้หาได้สนไม่
“ไม่มีเวลาอธิบาย ขอให้ฉันเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่มีคำอธิบายด้วย ตกลงนะ?”
วินอยากจะเถียง แต่พอเห็นหน้าลูซิเฟอร์แล้วก็ทำหน้าแหยงๆออกมา
“กลิ่นอายไม่น่าไว้ใจสุดๆเลยแฮะตาลุงตาดุนี่”
“ไอ้ลุงนี่ก็แค่โรคจิต อย่าไปใส่ใจมันเลย ฟังเรื่องของฉันดีกว่า”
ลูซิเฟอร์ถอนหายใจอีกครั้ง คงคิดว่าจะทำอะไรก็ทำตามสบายเลย ..วินพยักเห็นด้วย ทางผมจึงเล่าเรื่องทุกอย่างไปแบบสั้นๆง่ายใจความ
เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นและที่ผมคิดออกไปแค่ผลลัพธ์เท่านั้น
“..แบบนี้นี่เอง ปีศาจมหาบาปสินะ อืม อืม ไม่มีมูลเลยนะ แต่ตอนนี้มีแต่ต้องเชื่อก่อนล่ะนะ”
วินพูดพลางมองไปที่ปรากฎการณ์พิลึกบนฟ้า
“เพราะปีศาจมหาบาปตายแล้วจะเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ เลยอยากขอความร่วมมือเธอ ช่วยทำผนึกขังไม่ให้มันฟื้นฟูร่างกายได้ที ..ทำได้อยู่แล้วนี่ ยังไงก็—เป็นถึงผู้ใช้วิญญาณระดับเทพ ‘ราชาไสยศาสตร์’ คนนั้นน่ะ”
ผมยิ้มมุมปากใส่วิน วินเองก็ยิ้มรับด้วยแววตาที่ไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย
“ว่าแล้วเชียว ..เรเซอร์นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“ไม่ธรรมดากับผีสิ หล่อนพูดออกมาเองทั้งนั้น ไม่ได้สืบห่าเหวอะไรเลย”
อะไรฟร้ะ ทำมาเป็นเก็กเข้มเหมือนจะบอกว่าผมเจ๋งจริงๆทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนให้ข้อมูลทั้งนั้น
“—-รู้แล้วน่าๆ ขอเท่หน่อยไม่ได้รึไง!!”
วินหน้าแดงแจ๋ด้วยความเขินอาย เธอกระทืบพื้นรัวๆด้วยความหงุดหงิด
“เรื่องตลกเอาพอหอมปากหอมคอพอ มาต่อธุระกันดีกว่า”
“…อืม ไว้จบเรื่องแล้วจะขอไถความจริงให้หมดเลย”
“ก่อนอื่น เดี่ยวฉันหั่นร่างลูซิเฟอร์เอง”
“ได้เลย อ่า ใช่ๆ เดี่ยวนะ ถ้าจะหั่นเอาแบบแนวนอนดีกว่านะ จะได้เก็บใส่หลุมง่ายๆหน่อย”
สมกับเป็นวินเลย ทำงานแนวนี้มาน่าจะบ่อยจนชินชาไปแล้ว แถมยังให้คำแนะนำดีๆกันได้อีก เป็นโปร์ไม่ผิดแน่
“เข้าใจแล้ว”
“นับวันมนุษย์ยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ นี่คือ ..ความน่ารังเกียจของโลกสินะ”
ลูซิเฟอร์พึมพำตัดพ้อ ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง
..จะว่าไป
“เบลลามีกับยูจิตอนนี้ พวกแกได้ลักพาตัวไปรึยัง?”
ลูซิเฟอร์ถึงกับสระอึก พยายยามเม้มปากตัวเองไม่ให้พูด แต่สุดท้ายก็ขัดขืนการตัดมิติไม่ได้
“ยูจิตอนนี้ยังหาตัวไม่เจอ—แต่ถ้าท่านจอมมาร บิลเซบับพาตัวไปแล้ว”
…
“ตอนนี้อยู่ไหน”
“ไม่รู้หรอก ..ตอนที่ข้าเจอหน้าท่าน ข้าก็ตัดสินใจ ยกเลิกการสนับสนุนทันที เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการรีดข้อมูลดังเช่นที่ท่านทำ”
“สมกับเป็นปีศาจมหาบาป ไหวพริบดีเหลือเกินนะ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก แต่ในใจ ..แทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว วินสังเกตุเห็นได้เลยตบหลังผมเบาๆ
“จำไม่ผิดเธอทำวงตรวจสอบไว้รอบวิทยาลัยสินะ ช่วยดูความเป็อนยู่ของทั้งสองคนให้ที”
“ฉันออกมาตอนแรกเพราะสัมผัสได้ว่าเบลลามีหายไปนี่แหละ ส่วนยูจิก็หายไปนานแล้วนะ ตั้งแต่ก่อนที่อะไรแปลกๆบนฟ้าจะโผล่”
วินพึ่งออกมา แสดงว่าเบลลามีน่าจะยังไปได้ไม่ไกล
“รีบจัดการลูซิเฟอร์แล้วไปกันเถอะวิน แต่ก่อนอื่น เธอช่วยขยายวงไสยศาสตร์ได้รึเปล่า!?”
“ไม่ไหว”
ไม่ไหว?
‘ถ้าระดับอาจารย์ช ของแค่นั้นทำได้ง่ายๆอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ?’
ยูนาเองก็สงสัยเหมือนกับผม แต่ไม่จำเป็นต้องถามอะไร เพราะวินตอบข้อสงสัยของผมในทันทีที่สงสัย
“ไอขยายอ่ะทำได้อยู่แล้ว แต่จุดกลางของวิชามันถูกทำลายไปนี่สิ ..เมื่อตะกี้เลยพึ่งโดนทำลายไป ก่อนหน้านั้นฉันก็ขยายไปได้ระดับหนึ่งแล้วนะแต่ถูกขัดก่อน โทษทีนะ”
“..โดนทำลาย ..ไม่สิ สิ่งที่ควรตกใจไม่ใช่แค่นั้นสักหน่อย”
ผมกัดฟันกรามแน่น
“อืม วิชาไสยศาสตร์ของราชาไสยศาสตร์มันไม่ได้ไก่กาถึงขนาดทำลายได้ง่ายๆรึหาเจอได้ง่ายๆหรอกนะ นั่นหมายความว่า—มีคนที่เก่งพอจะทำลายวิชาของอาจารย์ฉันได้ในพริบตาเดียว—เจ้าตัวเข้ามาในพื้นที่วิทยาลัยแล้ว” วินพยักหน้าพึมพำ “ทีแรกตั้งใจจะไปเจอกับตัวการน่ะนะ แต่บังเอิญเจอสหายเลิฟเข้าก่อน”
“..ดีแล้วล่ะ”
คนที่ทำได้ขนาดนั้น ผมมั่นใจว่าต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ แค่วินคนเดียวหรือแค่ผมคนเดียว ไม่มีอะไรมั่นใจว่าจะเอาอยู่
“ลูซิเฟอร์ ..นอกจากปีศาจมหาบาป มีใครบ้างที่เข้ามาบุกหอพัก”
“—–”
ไม่ทันที่ลูซิเฟอร์จะได้บอกกล่าว ผมก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคนกำลังเดินมาทางนี้
..ผมหันไปมองทางที่สัมผัส และพบกับ—เด็กสาวปริศนาคนหนึ่งที่เดินมาแบบไร้เสียง ทุกๆก้าวๆของเธอไม่มีเสียงเร้นลอดออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
เธอคือผู้หญิงที่มีผมบ็อบสีน้ำตาลสั้นอันใหญ่ประบ่า ผมม้วนๆตรงปลายของเธอให้ความรู้สึกเหมือนหมาเล็กน้อย ดวงตาของเธอเป็นสีเขียวอ่อนๆดูไร้อารมณ์ เสมือนผืนหญ้าที่เหี่ยวแห้ง เป็นผู้หญิงที่นับว่าตัวค่อนข้างสูง เป็นคนที่มีทั้งความสวยและความน่ารักอย่างลงตัว
การแต่งตัวของเธอก็ชวนให้รู้สึกถึง ‘นักดาบพเนจร’ ชอบกล ชุดกิมิโนไร้สี มันเป็นชุดกิมิโนที่ให้ความรู้สึกเหมือนชุดในโรงฝึกดาบทั้งๆที่ไม่ใช่ นอกจากนั้นเธอก็สวมผ้าคลุมสีน้ำตาลดูเก่าๆโทรมๆที่มีอายุพอสมควร ..นอกจากนั้นสิ่งที่เด่นที่สุดก็คือดาบสั้นทรง ‘คาตานะ’ ที่เหน็บไว้ข้างตัวเธอ
เธอเดินตรงมา ไร้เสียง เช่นเดียวกับหัวใจของผมที่หยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง เพราะใบหน้าของเธอ—ผมจำได้ดี ไม่มีทางลืม
การปรากฏตัวของเธอทำให้ผมใจหาย …ผมกัดฟันกรามแน่น และพุ่งถอยออกมาจากตรงนั้น—วินหันมามองผมอย่างงๆ
“เดี่ยวสิ เรเซอร์ อธิบายท—”
เพียงพริบตาเดียว ร่างของวินก็พุ่งออกจากหอพักลงไปบนพื้นหญ้า
เธอที่ปรากฎตัวออกมาอยู่ในท่าเก็บดาบเข้าฝัก และพุ่งเข้าใส่ผมเป็นรายต่อไปด้วยความรวดเร็วที่มากกว่าอย่างท่วมถ้น
ถ้าให้นิยามการเจอกับเธอโดยย่อล่ะก็—-ผมจะบอกทันทีว่ามันเหมือนกับเวลาที่เอเธอร์เป็นคู่มือให้ผม ‘เอเธอร์’
เธอหรือว่า—- ‘เทพดาบ’ เป็นหนึ่งในตัวตนที่ในหัวผม ไม่เคยมีคำว่าสามารถ ‘ชนะได้’ สลักไว้อยู่เลยสักครั้ง
ผมพุ่งตัวหนีสุดแรง และ—-
“———-ตัดมิติถลายขีดจำกัด!!!!!!!!!!!!!”
ผมกู่ร้องออกมาสุดเสียง เตรียมงัดทุกอย่างที่มีเพื่อสู้กับเทพดาบ หากไม่ทำอย่างนั้น จะไม่จบแค่ ‘ชนะไม่ได้’ ผมได้ ‘ตาย’ จริงๆแน่
เทพดาบตวัดดาบออกมาด้วยสปีดที่มองไม่ทัน ผมใช้ตัดมิติฟันโดยอาศัยการวิเคราะห์ที่ถูกเร่งโดย [ถลายขีดจำกัด] ในการปัดวิถีดาบของเธอ
แรงปะทะเพียงไม่กี่วินี้ทำให้ลูซิเฟอร์แขนขาด และกระเด็นออกจากหอไปคนล่ะทางกับวิน
เสียงปะทะดังมาก แถมเสียงที่เกิดขึ้นก็ช้าเกินกว่าจะตามความเร็วดาบของเทพดาบได้ทัน
ถ้าหากวัดแรงตีกันแบบนี้ สุดท้ายผมก็จะแพ้อยู่ดี—ผมจึงใช้เวทย์เพลิงอัดใส่ และพุ่งตัวออก พอทำอย่างนั้นเทพดาบก็จะเสียจังหวะออกดาบมาปัดป้องเวทย์ ทำให้ผมเว้นระยะได้
…เพียงไม่กี่วิ สิ่งที่เจอก็ทำให้ผมต้องหายใจหอบอย่างกับคนขาดอากาศหายใจเป็นเวลานาน
ไม่เหมือนกับเอเธอร์ จุดเด่นของเทพดาบคือความเร็วในการสังหาร—ในการปะทะแรก การที่ผมจะโดนเทพดาบฆ่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ แต่โชคดีที่ไหวตัวทัน ทำให้รอดมาได้ ..คิดถูกจริงๆที่คิดค้น [ถลายขีดจำกัด] เอาไว้ ถ้าไม่มีมันผมได้ตายไปเป็นสิบรอบแล้ว
เทพดาบเก็บดาบเข้าฝัก และหรี่ตามองผม
“พรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม โชคชะตาที่ยอดเยี่ยม ร่างกายที่ยอดเยี่ยม ..เจ้าคือคนที่โลกใบนี้ต้องการ ไม่ใช่คนที่ควรจะมาตายที่นี่ ..เจ้าหนูสหายเข้าก็ด้วย ถึงจะเป็นของปลอม แต่พลังคือของจริง” เทพดาบยื่นมือให้ผม “เพราะฉะนั้นจะไม่ฆ่าพวกเจ้า ถ้าเกิดไม่มาขวางกัน—แต่ ถ้าคิดจะขวาง ข้าจะปริดชีพเจ้าเสียวันนี้”
…พูดจาอวดดีจริงๆนะ แต่ก็สมกับเป็นเทพดาบดี
ผมรวบรวมลมหายใจ หยิบถุงมือเวทย์ขึ้นมาสวมพร้อมกับชักดาบที่ชินมอบให้ผมไว้เป็นของขวัญออกมา
“—ใครกันแน่ที่กำลังขวางทาง—หลีกไปซะ”
ทันทีที่โพล่งออกไป ไม่มีแม้แต่เสียง เทพดาบก็พุ่งเข้ามากระหน่ำดาบใส่ผมอีกครั้ง–ผมเร่งสปีดตัวเองสุดตัว และตอบโต้เทพดาบกลับอย่างสุดความสามารถ
ระหว่างนี้ ผมได้แต่หวังว่าวินจะรีบตื่นจากฝันดี(?)เร็วๆ
****
ภายในป่าที่มืดมิดอย่างค่ำคืนของเกาะวาเรอร์ ..
“แหม่ๆ อะไรกันครับเนี่ย”
เอเธอร์ยิ้มอย่างเย็นยะเยือกให้เรน พลางหันไปรอบๆ
ตอนนี้เรนกำลังเผชิญหน้ากับเอเธอร์ โดยที่ข้างหลังของเขามี อลิซาเบธ(มือขวา) สโนว์(มหามังกรน้ำแข็ง) และปีเตอร์(มหามังกรสายฟ้า)อยู่ด้วย
“ว่าจะไปเยี่ยมเทียนหลงเสียหน่อย แต่ดันบังเอิญเจอคุณเสียได้ ..เหมือนว่าพวกเราจะมีชะตาต้องกันนะครับ เรน”
“เออสิ ..ครั้งก่อนบอกไปแล้วไม่ใช่รึไง? ว่าจะมาแก้แค้นน่ะ”
“ยกกันมาตั้งสี่คนเช่นนี้ ประเมินตัวผมไว้สูงน่าดูนะครับ”
เรนไม่คิดจะคุยกับเอเธอร์ต่อแล้ว เขาผสานวงจรเวทย์เข้าด้วยกัน—และโพล่งขึ้น
“[วิชาไสยศาสตร์]—[โลกจำลอง]”
แสงสีดำวูบขึ้นบนพื้น—-ภาพตัดไปที่ห้องสี่เหลี่ยมสีดำที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ข้างในแค่ 5 ชีวิต
โลกใบนี้ไร้ขอบเขตุ ไม่มีอะไรขวางกั้น มีเพียงความมืดที่ไม่มีสิ่งใด แต่ถึงอย่างนั้นก็มองเห็นสิ่งมีชีวิตได้ชัดเจน
เรนผสานวงจรเวทย์อีกครั้ง เป็นการออกคำสั่งใช้งานวิชาไสยศาสตร์
“[วิชาไสยศาสตร์]—[ต้นไม้โลก]”
“..ต้นไม้โลก ..ไม่เคยได้ยินเลยนะครับ”
“แหงอยู่แล้วสิ มันคือวิชาที่ฉันคนนี้คิดค้นขึ้นมาเอง—โดยใช้เวลากว่าพันปีเชียวนะ!” เรนแสยะได้ใจ “นี่คือวิชาที่มีไว้เพื่อโค่น—เทพ!!!”
รากไม้ขึ้นมาปกคลุมร่างของเรน และค่อยๆหลอมรวมกลายเป็นเกราะทรงรากไม้ ..หน้าตาดูไม่ได้ดีเท่าไหร่ บอกว่าดูน่าเกียจเลยก็ได้ ทว่า–ประสิทธิภาพคือของจริง
เอเธอร์ใช้ดวงตามหาปราชญ์วิเคราะห์ และพยักหน้าเหมือนกับยอมรับ
“ถึงผมจะไม่ใช่เทพ แต่ว่าตามตรง ..นั่นสร้างปัญหาให้พอควรเลยนะ”
ทั้งอย่างนั้น รอยยิ้มก็ยังไม่หายไปจากใบหน้าของเอเธอร์
MANGA DISCUSSION