< < 109 Sec 5 > >
ในคืนนั้นเบลลามีกลับห้องไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรตอบผม เธอทำเพียงลูบหัวปลอบประโลมผมจนกว่าผมจะปล่อยมือออกจากเธอ
ผมนั่งอยู่บนโซฟากัดฟันกรามแน่นและก้มหัวมองพื้น
“…ยูนา”
‘คะ?’
“วิธีที่ใช้ฆ่าจอมมาร มันได้ผลจริงๆใช่มั้ย ..ที่พวกเราคิดกันเอาไว้น่ะ”
‘ถ้าตามข้อมูลที่มาสเตอร์ให้มาทำได้แน่นอนค่ะ’
รู้กันดีอยู่แล้ว ไพ่ตายของผมกับยูนาน่ะ แต่ผมถามย้ำเพื่อความสบายใจของตัวเอง ..มันเป็นเพราะผมกลัว ผมมันก็แค่คนธรรมดา ผมกลัวเป็น กลัวในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เคยพบเจอ และกลัวจะต้องสูญเสีย
ผมชุบชีวิตคนตายไม่ได้ ไม่สามารถไปจุดต่างๆตามที่ใจต้องการได้ ไม่ได้รวดเร็วประหนึ่งแสง ไม่ได้มีกำลังมากพอจะยกเขาทั้งเขา ..ไม่มีอะไรบอกว่าผมจะปกป้องคนรอบตัวได้ มันจึงไม่แปลกที่ผมจะเกิดความกลัวขึ้นมา เพราะผมไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด ถึงอยากจะตำหนิเบลลามีที่บอกว่าสักวันตัวเองอาจหายไป แต่ตัวผมเองก็ด้วย ตัวผมเองก็ไม่สามารถรับปากได้ว่าจะปกป้องเบลลามีได้
ในงานเทศกาลโลหิตมังกร ผมได้พบกับความจริงว่าแค่สองมือของผมมันคว้าทุกอย่างไม่ได้ คว้าไว้ไม่ทัน ช้าเกินไปไม่พอแรงที่มียังไม่พออีก
เรื่องราวครั้งนั้นมันเป็นเพราะผมตั้งใจแบกรับทุกอย่างไว้ด้วยส่วนหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างหายนะมันก็เป็นเพราะผมมีพลังไม่พอเหมือนกัน ผมไม่สามารถปฎิเสธความไร้พลังของตัวเองได้ ผมรู้ รู้ว่าตัวเองไม่ได้ไร้พลังก็แค่ ..ปัญหามากมายมันทำให้ตัวผมดูคล้ายกับคนไร้พลัง
ถ้าคราวนั้นเอเธอร์ตั้งใจจะฆ่าผมจริงๆอย่างที่ว่า ถ้าไม่เกิดเปลี่ยนใจกลางทาง ผมได้ตายไปแล้วแน่ๆ ยูจิถ้าไม่มีความอมตะก็คงตาย ถ้าลูซิเฟอร์ไม่ยั้งมือ ทั้งเรย์และเคียวยะก็เช่นกัน หนิงเองถ้าเธอไม่เต็มใจยอมแพ้ ผมก็ช่วยเธอไม่ได้เหมือนกัน …ทั้งหมดถ้ามันไม่เป็นตามที่หวังไว้ เบลลามีก็คงถูกพาตัวไปและกลายเป็นจอมมารในเวลาต่อมา
สุดท้ายมันก็จะเกินเยียวยา และจะจบเหมือนกับในนิยายต้นฉบับ—จุดจบที่เธอจะต้องตาย
ไม่ใช่ ช่วยได้แน่ ผมมีพลังที่โค่นจอมมารได้อยู่กับตัวแล้ว ผมช่วยเบลลามีได้แน่—แต่ถ้าตอนนั้นผมถูกสร้างสถานการณ์ให้ใช้ไม่ได้ล่ะ? ถ้าสถานการณ์มันไม่เป็นใจล่ะ? มันก็จะเหมือนกับยูจิที่ช่วยเบลลามีไม่ได้
“ต้องเสียทุกอย่างไป”
น้ำตาไหลออกจากดวงตาของผม ..ความเจ็บปวดที่เกิดจากภาพมโนจิตมันมหาศาลเกินไป
‘ตั้งสติก่อนค่ะ มาสเตอร์’
เสียงเรียกของยูนาทำให้ผมได้สติจนสะดุ้ง เหมือนกับลืมไปเลยว่ามียูนาอยู่ด้วย ..น่าอายจริง
“โทษที เหมือนว่าฉันจะเพี้ยนไปแล้ว ใกล้จะสติแตกขึ้นทุกวันแล้วสิ”
ผมถอนหายใจเฮือกโตพลางมองมือที่ยังสั่นไม่หยุดของตัวเอง ยูนาเห็นทุกอย่างที่ผมเห็น เธอสังเกตุเห็นมือที่สั่นไม่หยุดของผมได้ เลยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจใส่เจ้านายไม่ได้ความคนนี้
‘เชื่อในทุกคน ..ฉันเองก็อยากให้คิดอย่างนั้นเหมือนกันนะคะ แต่ว่า ..ครั้งสุดท้ายที่ฉันเชื่อในพวกพ้องก็คือตอนที่ ‘ซากุระ’ ตาย”
ภาพยูนาที่แบกศพเพื่อนสนิทท่ามกลางเปลวเพลิงยังคงอยู่ในหัวผม ผมยังจำมันได้ดีเช่นเดียวกับยูนา มันเสมือนกับฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนเราไปตลอด–ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
‘ฉันฝากให้ทหารทุกคนช่วยปกป้องเธอเอาไว้ โดยที่ฉันออกตัวไปรับมือกับมหามังกรตนอื่น ในช่วงที่ฉันหายไปไม่กี่ชั่วโมง รู้ตัวอีกทีที่ที่เปรียบได้ดั่งบ้านของฉันก็ถูกเผาจนมอดไหม้ สหายร่วมรบรวมถึงคนสำคัญก็ถูกเผาจนไม่เหลือกระทั่งซาก ..แต่ว่าการที่ไม่เชื่อใจใครเลย และทำทุกอย่างตามใจมันก็แย่พอกัน–ถ้าเกิดเชื่อใจ แล้วพลาดขึ้นมา ความผิดก็จะตกมาอยู่ที่ตัวเอง ถ้าไม่เชื่อใจ แล้วเกิดพลาดขึ้นมา ความผิดก็จะตกมาอยู่ที่ตัวเอง ไม่ว่าทางไหนก็เหมือนกันหมด’
..ยูนาถอนหายใจ
‘ไม่ว่าทางไหนก็บัดซบพอกันค่ะ ไม่มีอะไรดีเลย ทางเลือกน่ะแต่เดิมไม่มีทางที่ถูกหรือผิดหรอก’
ถ้ามีทางที่ถูกคงไม่ต้องมานั่งเครียดอย่างนี้หรอก ..
“แล้วฉันควรเลือกทางไหนดี”
‘แล้วแต่มาสเตอร์ไม่ใช่หรือไง? ..จะว่าไป เหมือนจะเคยเห็นในหนังสือห่วยๆที่มาสเตอร์ชอบอ่านนะคะ มาสเตอร์ลองนึกถึงชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองสิ’
เคยคิดไปแล้ว เรื่องพวกนี้น่ะ..ไร้สาระจริงๆ ผมเองก็มีคำตอบในใจอยู่แล้วแท้ๆแต่ยังมากังวล เรื่องนี้ยืนยันใจจริงของตัวเองได้ตั้งแต่ตอนที่สู้กับเอเธอร์แล้ว แต่ผมก็ยังกังวลมันอยู่
‘เพราะสันดานมันไม่ได้แก้ง่ายๆกระมัง’
“อ่า นั่นสินะ ..ฉันคงจะกดดันตัวเองไปหน่อย”
‘ใช่ค่ะ ทั้งทำงานหนักเกินไป ทั้งคิดหลายเรื่องเกินไป อีกทั้งยังสงสัยในตัวเองอีก ประสาทจะเริ่มหลอนก็ไม่แปลกเลย ฉันเองก็เคยอดนอนเป็นเดือนในศึกใหญ่จนประสาทแตก หลอนเห็นพวกเดียวกันเป็นมหามังกรจนไล่ฆ่าพวกเดียวกันไปกว่าร้อยศพเลยนะคะ’
ด้านมืดของท่านวีรสตรีชัดๆ น่าเอาไปเขียนหนังสือประจานวีรกรรมจริงๆ
ยูนาหัวเราะขึ้นจมูก ไม่ใช่เรื่องตลกอะไรเลย อารมณ์เหมือนตลกร้าย
‘พักผ่อนเถอะค่ะ’
เสียงยูนาเหมือนกับเสียงกล่อมเด็ก ในยามปกติไม่เคยเป็นแบบนี้เลยแท้ๆ ปกติเป็นแค่คู่หูตัวปากเสียแท้ๆ ..น่าอายนิดหน่อย แต่ว่า..ยูนาเหมือนกับคนในครอบครัวคนหนึ่ง
ผมควรฝันที่ยูนาบอก ควรจะพักผ่อนสมองที่ทำงานหนักจนเกินควร เพื่อรักษาสภาพของตัวเองไว้ให้ดี ..เพื่อไม่ให้ทำผิดพลาดโง่ๆอย่างที่ยูนาเล่าให้ฟัง
‘ได้ยินอย่างนั้นก็ยินดี แต่ช่วยอย่าเอาฉันไปเป็นอุทาหรณ์ชีวิตได้รึเปล่าคะ?’ ยูนายิ้ม ‘อย่างไรก็ช่าง เอาเป็นว่าฝันดีนะคะ มาสเตอร์’
****
(มุมมอง เบลลามี)
ตั้งแต่จำความได้ เราก็ฝันแต่เรื่องเดิมๆ เพียงแค่ต่างมุมมอง
เราฝันเห็นตอนจบของชีวิตเรา จนคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ..มันก็แค่เรื่องปกติ เราคิดเช่นนั้นจากใจจริง และทำให้คนที่เรารักวิตกกังวลไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทำไมถึงเศร้ากันนะ ..ถ้าเกิดเราตาย ตัวเราเองก็ไม่น่าจะเศร้าอะไรแท้ๆ พอคิดเปรียบเทียบไปมาดูก็เลยรู้ว่ามันเป็นเพราะคนที่ตายไม่ใช่ตัวเอง สมมุติว่าเรเซอร์จะต้องตาย เราคงจะเศร้าเอามากๆ ระดับที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตา เรื่องนี้ตัวเรารู้แล้ว นั่นน่าดีใจ เพราะถ้าเป็นตัวเราเมื่อก่อน ต่อให้ใช้เวลาเป็นชั่วโมงก็คงหาคำตอบของคำถามไม่เจอ
มันทำให้เรารู้สึกดีกว่าเดิม ..และคิดว่าถ้าตายตอนนี้คงไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เพราะเราสามารถเป็นตัวเราที่ภาคภูมิใจได้แล้วนี่นา
เราคิด คิด สงสัย อยากรู้ จึงใคร่ครวญกับตัวเองจนรู้สึกว่าวิญญาณตัวเองกำลังลอยอยู่ รู้ตัวอีกทีเราก็หลับและฝันเห็นเรื่องเดิมๆอีกครั้ง
ในฝันผมของเราไม่ใช่สีดำ แต่ใบหน้าเรานั้นเหมือนเดิม ภายในฝัน ภายในเรื่องราวของเราที่แตกต่างกับทุกที เราและเราในฝันไม่เหมือนกัน ทั้งนิสัยและความปารถนา แต่ว่าเธอในฝันก็คือเรา เรารู้มันได้โดยสัญชาตญาณแม้ว่า..เธอจะแตกต่างกับเรา
เธอเป็นศูนย์กลางของทุกคน มีสหายที่แสนสำคัญอยู่เจ็ดตน ล้อมรอบด้วยลูกน้องที่พร้อมมอบชีวิตให้เธอถึง 71 ตน ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังยิ่งใหญ่กว่าใครๆในยุคนั้น
ชื่อของเธอคือ ‘—–’ ..ชื่อ ..ชื่อว่าอะไรกันนะ? เราไม่รู้ ตลอดมาที่ฝันถึงเรื่องของเธอเราไม่เคยรู้เลยว่าเธอคือใคร
เรื่องราวความฝันดำเนินต่อไป เรารู้ดีแก่ใจว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันสำคัญ แต่เราก็จำไม่ได้ทุกเรื่องต่อให้มันผ่านมาซ้ำกันเป็นร้อยๆรอบแล้วเราก็ยังจำไม่ได้ที่เราจำได้มีเพียงแค่ ..ตอนจบที่เธอยืนอยู่ท่ามกลางโลกที่ล่มสลาย
ตัวเธอเดินลากขาอยู่ท่ามกลางโลกที่ล่มสลาย เพราะขาได้รับบาดเจ็บเราเลยเดินไม่เหมือนคนปกติ ควรจะหยุดเดินและพักรักษาก่อนแต่ก็ไม่ เธอผู้นั้นยังคงเดินต่อไปทั้งๆที่ขายังเจ็บอยู่ ในที่สุดก็มาถึงที่มหาวิหารที่ใกล้จะพังทลายแห่งหนึ่ง เธอเดินเข้าไปโดยไม่ลังเลหรือสงสัยอะไร เดินไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่แท่งบูชาขนาดยักษ์
เธอใช้ฝ่ามือแทงไปที่อกของตัวเองและนอนบนแท่นบูชานั้น ก่อนที่เธอจะหลับตาเธอประสานมือเข้าด้วยกันคล้ายกับว่ากำลังขอพร ..
จากนั้นภาพก็ตัดเป็นสีขาว เรื่องราวจบลงแค่นั้น เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อ เราไม่รู้ว่าตัวจริงของเธอผู้นั้นคือใคร แต่ที่รู้ๆคือ ..เป้าหมายของเธอยังไม่ลุล่วง และจำเป็นที่จะต้องดิ้นรนเพื่อทำให้ความปารถนาในใจของเธอเป็นจริง ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร เธอจะต้องทำให้เป้าหมายสำเร็จให้ได้
เราไม่รู้แน่ชัดหรอกนะ แต่เธอมีชื่อที่แท้จริงอยู่ ไม่ใช่ชื่อที่ทุกคนเรียก เป็นชื่อที่แท้จริงที่เธอได้มาแต่กำเนิด ชื่อที่แท้จริงของเธอ ทั้งพวกพ้อง ข้ารับใช้หรือว่าศัตรูก็ไม่เรียกเธอด้วยชื่อที่แท้จริง แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่เรียกตัวเองอย่างนั้น
ไม่มีใครไม่พอใจ เธอพอใจกับชื่อปัจจุบันของตัวเอง และจะเรียกตัวเองด้วยนามที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อไปจนกว่าโลกใบนี้จะถูกทำลาย
..สุดท้ายเมื่อเรื่องราวในฝันมาถึงตอนจบ เราก็ตื่นขึ้นจากนิมิต
เรานั่งอยู่ที่สวนสาธารณะหน้าหอพักสำหรับผู้หญิง ไม่รู้ทำยังไงถึงมาหลับตรงนี้ได้
เราแหงนหน้ามองฟ้า ..ดวงดาวในสมัยนี้น้อยกว่าสมัยก่อนมาก
ที่จริงแล้วเราฝันอยู่สองเรื่อง แต่ทุกเรื่องในตอนจบคือตัวเราและตัวเธอที่เห็นจะตายเสมอ คงจะเพราะอย่างนั้นด้วย ทำให้เราคิดว่าการที่ตัวเองจะหายไปจากโลกมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร บางทีถ้าเกิดเราได้พบกับเธอที่ปารถนาจะให้โลกใบนี้ถูกทำลาย เราคงจะ ..ยอมรับความปารถนาของเธอแต่โดยดี และช่วยเธอแน่ๆ
เพราะความฝันที่แสนยาวนาน ต่อให้จำไม่ได้ แต่ความรู้สึกก็ยังคงอยู่ เราคิดว่าการที่เธอทำลายโลกใบนี้มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ จะอยู่ต่อหรือจะถูกทำลายมันไม่ใช่เรื่องของเรา มันคือเรื่องของคนอื่นบนโลกนี้ที่ต้องตัดสินกันเอง เป็นเรื่องราวของคนอื่นที่ไม่ใช่ของเรา ..ตัวเราก็แค่ ‘หมาก’ ตัวหนึ่งเท่านั้นล่ะ
หมาก ทำไมคำนี้จู่ๆก็เข้ามาในหัวกันนะ หมากเหรอ หมาก ..เป็นคำที่ดีโหดร้ายจังเลยนะ แล้วก็ย้อนแย้งอีกแล้ว โลกที่แสนสวยงามใบนี้ ไม่ควรมีใครถูกเรียกว่าหมากแท้ๆ ทั้งๆที่โลกใบนี้สวยงามแต่กลับมีหมากนี่มัน ..นั่นจะเรียกว่าโลกใบนี้มันสวยงามได้เหรอ? ในเมื่อเราถูกเรียกว่าหมากทั้งๆที่อยู่บนโลกที่ทุกคนมีอิสระ
ทุกอย่างย้อนแย้งไปหมด แต่ก็ลงตัวได้แบบแปลกประหลาด พอเอาไปผนวกกับอีกความฝันหนึ่ง ความฝันเกี่ยวกับตัวเราที่ได้เฝ้ามองโลกหลากสีที่แสนงดงามใบนี้แล้ว
เราทั้งอยากให้โลกใบนี้อยู่ต่อไป และอยากให้โลกใบนี้ถูกทำลาย อีกทั้งในทุกความฝัน จุดจบของเราก็คือการหายไปจากโลกใบนี้ เพราะอย่างนั้นล่ะจึงยังไงก็ได้ ต่อให้โลกถูกทำลายก็ไม่เป็นไร ต่อให้โลกได้อยู่ต่อไปก็ไม่มีปัญหา
“..”
เราหรี่ตาลง ครุ่นคิดกับตัวเอง ทบทวนตัวเอง
แต่เรเซอร์อยากให้เราอยู่ต่อ
“..”
มันไปซ้อนทับกับอีกความฝันหนึ่งเข้า ต่อให้หักล้างแล้วมันพอดีจนเราได้คำตอบว่ายังไงก็ได้ แต่ว่ามันก็ยังอดนึกสงสัยไม่ได้
อีกความฝันหนึ่งคือฝันที่ตัวเรามีความรู้สึกดีๆให้ใครสักคน เหมือนกับที่มีให้เรเซอร์ เรารักคนๆนั้น ไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่านั้น ขอแค่ได้รู้สึกรักคนๆนั้นก็พอ แม้ในตอนสุดท้ายเราจะต้องจากไป แต่เราก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว ..แต่ว่า
ภาพของเรเซอร์เข้ามาในหัวเรา
ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งนั้น ..ให้นิยามมันออกมาก็คงจะเป็น— ‘ข้อผิดพลาด’ ทางความรู้สึกสินะ
ไม่เหมือนกับครั้งนั้น ครั้งนี้เราได้จับต้อง ได้รู้สึกเหมือนกัน ได้ตกลง ได้พูดคุย ถูกมองว่าสำคัญที่สุด ..แบบนี้นี่เอง
เข้าใจแล้วล่ะ เราอยากได้มากกว่านี้ เรามันโลภมาก
ไม่ว่าจะฝันไหน มันก็ไม่ใช่เราทั้งนั้น ทั้งฝันแรก ทั้งฝันที่สอง
เธอที่อยากให้โลกใบนี้ถูกทำลายไม่ใช่เรา ในฝันนี้เราจะสาปแช่งโลกใบนี้ต่อไปจนกว่าจะดับสูญ นั่นไม่ใช่เรา
เธอที่อยากจะให้ลูกใบนี้อยู่ต่อก็ไม่ใช่เรา เพราะเราไม่อยากตาย ไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากตาย นี่ก็ไม่ใช่เรา
มันก็แค่เศษเสี้ยวความทรงจำของใครสักคน หรือต่อให้เป็นเราจริงๆ—ก็ไม่ใช่เราในตอนนี้
เราในตอนนี้ ในโลกที่ผิดเพี้ยนใบนี้–อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป อยากสัมผัสความสุขให้มากกว่านี้ เพราะอย่างนั้นเลยไม่อยากตาย เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
“..ต้องไปขอโทษ”
เราต้องไปขอโทษเรเซอร์ และขอถอนคำพูด เพราะยังไงเราก็ไม่อยากตาย
ตัวเราก็คือตัวเรา ไม่ใช่ใคร ความรู้สึกนี้เป็นของเรา จำเป็นต้องทำให้มันถูกต้อง
ในขณะที่เรากำลังจะรีบวิ่งไปหาเรเซอร์อีกครั้ง เราก็ถูกขวางเอาไว้ก่อน
ตรงหน้าเรามีคนอยู่สองคน ผู้หญิงคนหนึ่งแล้วก็ผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งสองมีใบหน้าที่คุ้นมากราวกับเคยรู้จักกันที่ไหนมาก่อน
ไม่รู้ทำไม พอเห็นหน้าของทั้งสองก็ผล็อยนึกถึง ‘ลูซี่’ ขึ้นมา ทั้งสองมีกลิ่นอายที่คล้ายกับ—ลูซิเฟอร์ บาปแห่งความเย่อหยิ่ง ความรู้สึกที่มีให้ทั้งสองเหมือนกับลูซี่ทุกประการ
หญิงสาวผู้เลอโฉมเดินเข้ามาหาเราจนตัวแทบจะติดกัน เพราะตัวสูงกว่าเธอเลยก้มตัวคุยด้วยในระดับสายตาที่เท่ากัน
“ไม่ได้พบกันเสียนานนะคะ ท่านจอมมาร”
เธอโค้งศรีษะให้เราพร้อมกันกับชายที่อยู่ข้างๆ
“รู้สึกยินดีที่ได้พบกับท่านอีกครั้ง”
จอมมาร ..ลูซี่เรียกเราอย่างนั้นเหมือนกัน ..
เศษเสี้ยวความทรงจำไหลเข้ามาในหัวอีกครั้ง ชื่อของทั้งสอง ตัวตนของทั้งสองไหลเข้ามาในหัวของเราทั้งหมด
อย่างที่คิดเอาไว้ ทั้งสองเหมือนกับลูซี่
“เกรงว่าท่านจะยังไม่ได้รับความทรงจำกลับคืนมา” เธอนำมือทาบกับอกและเอ่ยนามของตัวเองออกมา “นามของฉันคือ ‘บิลเซบับ’ ..ไม่ได้พบกันนานนะคะ ท่านจอมมาร ดิฉันรู้สึกโล่งใจเหลือเกินที่ได้พบท่านอีกครั้ง”
บิลเซบับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
เราถอยหลังหนี ..บิลเซบับมีใบหน้าที่เสียใจทันทีที่เห็น แดสโมเดียสถึงกับน้ำตาซึม เห็นแล้วเราก็รู้สึกผิด แต่ว่า ..เราไม่อยากจะหายไป
“ท่านดิลุค”
“ไม่ใช่ ..เราไม่ได้ชื่อว่าดิลุคสักหน่อย”
นั่นไม่ใช่เรา
“..เราชื่อ ‘เบลลามี’ ต่างหาก”
บิลเซบับเงียบไป เธอหรี่ตาลงอย่างเศร้าศร้อยชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะกลับมาปั้นยิ้มให้
รอยยิ้มของเธอชวนให้คิดถึงอย่างน่าประหลาด
MANGA DISCUSSION