เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 139: แหงนหน้ามองฟ้า (3)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 139: แหงนหน้ามองฟ้า (3)
< < 109Sec3 > >
“สัตว์ประหลาดชัดๆ”
เรย์บ่นออกมาในสภาพที่ร่างท่วมด้วยเหงื่อ และหรี่ตามองแกนน่อนที่ยืนอยู่ตรงข้ามผู้ที่ไม่มีเหงื่อแม้แต่หยดเดียวบนใบหน้า เจ็บใจยิ่งกว่าแพ้คือไม่แม้แต่จะทำให้อีกฝ่ายเสียเหงื่อ สำหรับเรย์นี่คือความอัปยศที่แสนน่าเจ็บใจ แน่นอนแกนน่อนไม่ได้ใส่ใจอะไรอยู่แล้ว เพราะเธอชินกับสิ่งที่ผู้ชนะต้องแบกรับ—อาทิเช่นความอิจฉาที่ผู้แพ้ส่งผ่านสายตามาสู่ตนเอง
เกรย์เฝ้ามองเรย์ที่เจ็บใจด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไปตบหลังเรย์โดยตั้งใจเรียกสติเรย์
“ไม่แปลกหรอกที่จะแพ้ท่านอาจารย์ อย่าได้เจ็บใจไปเลย”
เป็นเรื่องปกติ แม้แต่เกรย์เองก็แพ้แกนน่อนมาโดยตลอด
“..แต่ถ้าเป็นอาจารย์คงจะทำให้แกนน่อนลำบากได้อยู่ไม่ใช่รึไงครับ?”
“ชั่วโมงแกว่งดาบมันต่างกันล่ะนะ”
อนึ่ง ‘ชั่วโมงแกว่งดาบ’ เป็นคำเปรียบเปรยที่เลียนแบบคำว่า ‘ชั่วโมงบิน’ นะครับ เป็นเหมือนสำนวณเฉพาะของโลกฝั่งนี้น่ะครับ
“อีกอย่าง ตัวฉันเพรียวๆสู้ท่านอาจารย์ไม่ไหวหรอก”
“..แกนน่อนเธอใช้วิชาดาบสายรุกนี่ครับ แต่วิชาดาบของอาจารย์เป็นสายรับนี่ แถมยังสร้างขึ้นมาเพื่อเค้าเตอร์สายรุกโดยเฉพาะ”
“ถ้าพื้นฐานร่างกายต่างกัน ต่อให้วิชาชนะทางแค่ไหนสภาพก็เละอยู่ดีน่ะนะ อืม ถ้าฉันยังไม่แก่ก็อยากสู้ให้หนุ่มน้อยดูอยู่หรอก แต่สังขารแบบนี้ขืนโดนซัดไปเต็มแรงไม่ตัวแตกตายก็ช็อคตายสักอย่างแหละ”
“พอแก่แล้วอะไรๆก็แย่ลง นักดาบใช้ร่างกายเข้าสู้ ถ้าแก่มันก็จะอ่อนแอลงเรื่อยๆต่างกับพวกนักเวทย์ที่ทรงพลังตามอายุ ..อย่างเกรย์น่ะ อายุปาไปจะเจ็ดสิบอยู่แล้ว เจอแค่พวกนักดาบขั้นบรรลุหน้าใหม่ก็น่าจะชนะได้แบบสิวเสียด หรืออย่างแย่ก็แพ้ไปเลยเพราะจู่ๆกระดูกก็เคลื่อน”
เรย์ฟังแล้วก็อึ้ง เพราะไม่คิดว่าตาลุงใกล้จะลงโลงจะดวลกับนักดาบขั้นบรรลุไหว
“นักดาบจะเก่งสุดในช่วงอายุสามสิบกว่าปี แต่นักเวทย์จะเก่งสุดในช่วงห้าสิบกว่าปี หรือก็คือตัวฉันเลยช่วงที่แข็งแกร่งที่สุดไปเป็นเท่าตัวแล้ว กาลเวลาหลายต่อหลายปีก็ทับทมจนทำให้ฝีมือตกลงไปมาก”
ตัวอย่างก็คาลอสที่อยู่ในวัยสามสิบกว่าปีซึ่งนับว่าเป็นช่วงที่แกร่งที่สุดของนักดาบ เมื่อบวกกับร่างกายที่พีคที่สุด เกราะแห่งราชาอัศวิน และดาบที่จะทรงพลังขึ้นเรื่อยๆตลอดการต่อสู้ ทำให้คาลอสคือหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดตนหนึ่งในอาณาจักรฟัฟนิร์เลย
เรย์ฟังคำอธิบายของเกรย์กับแกนน่อนอย่างตั้งอกตั้งใจพลางพยักหน้าเห็นด้วยไปด้วย
“แต่ถึงจะบอกว่าฝีมือตก ต่อให้ช่วงหนุ่มสุด ถ้าต้องเจอกับท่านอาจารย์ตัวๆก็ไม่ไหว”
“เพราะพื้นฐานร่างกายต่างกัน เรื่องเทคนิคน่ะผ่านแล้ว มากพอจะสวนข้าได้อย่างดีเยี่ยม แต่ปัญหาคือโครงสร้างร่างกายสวะๆนั่น”
..โครงสร้างต้นกำเนิด ..พรสวรรค์นั่นเอง
เรย์ฟังแล้วก็ยิ่งทำให้อ่อนบ้าทางใจ จนต้องลงไปนั่งกับพื้น ทั้งสองคนเห็นเรย์นั่งก็นั่งตามด้วยเพราะคาดว่าน่าจะมีเรื่องคุยกันอีกยาวเลย
“..สุดท้ายก็พรสวรรค์สินะ”
“ใช่สิ ถึงได้บอกเจ้าหนุ่มให้ตัดใจที่จะไล่ตามเพื่อนที่มีพรสวรรค์มากกว่าโขไง ไม่มีทางที่จะชนะข้อจำกัดร่างกายได้หรอก”
ค่อนข้างสมเหตุสมผล ไม่ได้ใจร้ายอะไรเลย ถือว่าเป็นการช่วยเตือนกันก่อนจะถลำลึกไปมากกว่านี้
แกนน่อนพูดอย่างมีเหตุผลตั้งแต่ครั้งแรก มีแค่เรย์ที่บ้าไปเองกับคำพูดที่ไม่รักษาน้ำใจ ..เรย์ก้มหน้าลงอย่างผิดหวัง เพราะอย่างที่แกนน่อนว่า ตัวเขากำลังอยากจะแกร่งพอจะอยู่ข้างตัวตนอย่างยูจิอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้
“ตัวอย่างก็มีให้เห็นกันประปราย ข้าก็เคยบอกเจ้าหนุ่มหลายรอบแล้วนี่?”
“แหม่ ..ก็ใช่อยู่หรอก แต่พูดแบบนี้ก็ใจร้ายไปหน่อยนะ”
ว่าแล้วเรย์ก็หัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง
“ท่านอาจารย์กำลังหวังดีอยู่นะ”
หวังดี? ได้ยินเรย์แทบอยากจะสวนกลับ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะพอคิดๆดูแล้วก็อาจจะใช่
ไม่เห็นมีเหตุผลที่แกนน่อนจะต้องคอยเตือนเรย์เลย
เกรย์ยิ้มแบบมีเลศนัยใส่แกนน่อนผู้เรียบเฉย
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ หากมองในมุมปกติคือข้ากำลังหวังดีจริงๆนั่นแหละ”
“อะไรกัน แกนน่อนทำตัวน่ารักเป็นเหมือนกันนี่นา ไม่เห็นต้องฝืนเป็นพวกปากเสียเลย”
“ท่านอาจารย์น่ารักที่สุดบนโลกอยู่แล้วล่ะ ศิษย์เอ่ย”
เส้นเลือดปูดขึ้นบนศรีษะของแกนน่อน ทำให้สองศิษย์อาจารย์วัยรุ่นพากันสงบปากโดยมิได้นัดหมาย
“ว่าก็ว่าเถอะนะ แต่อาจารย์เคยเล่าให้ฟังนะว่าเกือบชนะแกนน่อนได้ทีหนึ่ง”
ในช่วงสามสัปดาห์ที่ร่วมฝึกกับเกรย์และแกนน่อน มีบ่อยครั้งที่สองศิษย์อาจารย์จะแยกกันไปคุยและวางแผนรับมือแกนน่อนกันร โดยที่เกรย์เคยเล่าให้ฟังครั้งหนึ่งว่าสมัยหนุ่งๆเขาเคยเกือบเอาชนะแกนน่อนได้
“อ่า นึกแล้วก็น่าคิดถึง นั่นนับว่าเป็นวันที่ทั้งน่ายินดีและน่าเสียใจในเวลาเดียวกันเลยล่ะ”
เกรย์แหงนหน้ามองฟ้าโดยที่ไมไ่ด้สังเกตุเลยว่าแกนน่อนมีเส้นเลือดปูดขึ้นบนหัวอีกอันแล้ว
“ตอนนั้น เป็นการต่อสู้ที่จบในไม่กี่วินาที แต่ถึงอย่างนั้นก็ดุเดือดสุดๆ ท่านอาจารย์ออกดาบที่เร็วที่สุดบนโลกออกมา และฉันก็ ..อืม เริ่มๆลืมแล้วแฮะ แต่ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ปัดดาบของท่านอาจารย์ได้ เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก จากนั้นก็ ..อ่า จำไม่ผิดหลังจบการต่อสู้ ท่านอาจารย์ยิ้มด้วยล่ะ”
เกรย์พูดเรื่องสมัยก่อนพลางอมยิ้มไปด้วย สภาพตอนนี้คือตาแก่ที่กำลังย้อนวันวานแบบหลงๆลืมๆ
“เงียบปากได้แล้ว เกรย์”
น้ำเสียงที่สุดจะเย็นชาวับขึ้นมาประหนึ่งลมหนาว นั่นทำให้เกรย์ตัวแข็งทื่อและตาค้างไปชั่วขณะหนึ่ง—แกนน่อน เกลียดสิ่งที่น่ารัก แต่เกลียดยิ่งกว่าเมื่อตัวเองถูกบอกว่าเป็นสิ่งน่ารัก และการยิ้มก็คงใกล้เคียงกับคำว่าน่ารักด้วย นั่นทำให้เธอโกรธ
ลำพังแค่เกือบแพ้ไม่เท่าไหร่หรอก เพราะเดิมทีแกนน่อนไม่ได้ภูมิใจวิทีดาบของตัวเองอยู่แล้ว
“เมื่อตะกี้ทำตาแก่คนนี้ช็อตได้เลยนะ”
“แกนน่อน เธอควรใส่ใจคนแก่หน่อยนะ”
“การตายถือเป็นเกียรติสูงสุดของพวกลัทธินักดาบไม่ใช่รึไง ข้ากำลังช่วยให้ตายไวๆอยู่นี่ไง”
เกรย์พลันหัวเราะขึ้นมา ทำเอาเรย์งงว่ามันน่าขันตรงไหน
“ใครกันที่บอกฉันว่าห้ามตายโดยเด็ดขาด”
“เพราะมีค่าให้ลงทุนเลยพูดอย่างนั้นไปยังไงล่ะ”
จากนั้นทั้งสองก็คุยเรื่องสมัยก่อนกันอย่างเฮฮา แม้ว่าฝั่งแกนน่อนจะไม่ยิ้มเลย แต่เธอก็ดูสนุกเล็กน้อย ทำเอาเรย์คิดเลยว่าทั้งสองคนรู้จักกันมานานแค่ไหน ..และตั้งแต่แรกก็สงสัยมาโดยตลอดว่า–แกนน่อนอายุเท่าไหร่กันแน่
หลังจากที่เหลาเรื่องคุยกันจนหมดแล้ว เกรย์ก็หันมามองเรย์ที่นั่งนิ่งมาหลายสิบนาที
“ไปเดินเล่นกันหน่อยดีกว่า”
“เชิญไปกันเลย ข้าขอนั่งอยู่แถมนี้พอ”
เกรย์พยักหน้ารับและลุกขึ้นเดินไป เรย์เดินตามเกรย์ไปติดๆ
ทั้งสองเดินกันตามป่า คุยเรื่องทั่วๆไปกันสักพักหนึ่ง ก่อนที่เกรย์จะหยุดเท้าลงและลงไปนั่งกับโขกหินแถวๆนั้น
“เดินไม่ไหวแล้วเหรอ?”
“คาดว่าเดินได้อีกสักแสนก้าว ฉันน่าจะลาโลกแล้วล่ะนะ”
“..ยังมีกระจิตกระใจเดินเล่นอีกนะครับ”
เรย์ยืนพิงต้นไม้แถวนั้นเอา
“นึกถึงตอนที่อาจารย์รับผมเป็นศิษย์ครั้งแรกเลยนะ จำไม่ผิดอาจารย์ก็นั่งบนโขกหิน ส่วนผมก็ยืนพิงต้นไม้อย่างนี้ แล้วยังวิวทิวทัศน์อีก ..นี่มันที่เดิมเลยนี่นา” เรย์หัวเราะพึมพำ “แก่แล้วไม่ใช่เหรอครับ ยังอุตส่าห์จำได้อีกนะ”
“ถ้าเรื่องสำคัญ ต่อให้แก่ก็ยังพอจำได้น่ะนะ ..นี่หนุ่มน้อย”
“ครับ?”
เกรย์หันมายิ้มให้เรย์
“ใกล้ได้เวลาจบการศึกษาแล้วสิ”
อีกไม่กี่วัน เรย์ก็ต้องกลับอาณาจักรฟัฟนิร์ ..นั่นหมายความว่าใกล้ได้เวลาจบการศึกษาเต็มทีแล้ว
“น่าเสียดาย ฉันอยากจะสอนหนุ่มน้อยอีกอย่างน้อยสักปี”
“ช่วยผมแค่นี้ก็มากพอแล้วล่ะ ..เทคนิคทั้งหมดของอาจารย์ก็แสดงให้ผมเห็นหมดแล้วนี่”
“แต่พวกวิชาขั้นบรรลุ หนุ่มน้อยยังใช้ไม่ได้เลยนะ”
เรย์ชะงักไปชั่วขณะ แต่ก็ผ่อนคลายทั้งหมดลงด้วยการยิ้ม
“ผมจะเรียนรู้ด้วยตัวเอง ปัญหาหลักๆคือผมยังจับเขล็ดการใช้งานไม่ได้ แต่ทฤษฎีน่ะรู้หมดแล้ว เหลือแค่ฝึกฝนด้วยตัวเอง”
“คงต้องอย่างนั้นนั่นแหละ—ถ้าเป็นหนุ่มน้อยต้องทำได้แน่ ยังไงก็เป็นคนที่ฉันเลือกเองกับมือ”
“จะไม่ทำให้ผิดหวัง ..ขอบคุณนะครับ สำหรับสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ..มันมีค่ากับผมมากจริงๆ”
เกรย์ลุกขึ้นเดินมาหาเรย์ เขากำลังจะเอื้อมมือไปลูบหัวเรย์แต่ก็ยั้งมือไว้ก่อน
“รีบบอกลากันไปไหน ยังไม่ถึงพิธีจบสักหน่อย”
“มีพิธีด้วยเหรอเนี่ย กินเลี้ยงล่ะ ฉลองกันยกใหญ่ไปเลยดีมั้ย?”
“น่าเสียดายไม่มีกินเลี้ยงอะไรหรอก หลังจากวันนี้ก็ไม่ว่างรับแขกอย่างเธอแล้วด้วย พวกเราจะเจอกันอีกทีก็ตอนพิธีจบเลย ยิ่งไปกว่านั้น หลังจบพิธีจบฉันก็มีธุระเหมือนกันน่ะนะ ค่อนข้างสำคัญเลย พอทำธุระเสร็จก็ต้องออกจากเกาะวาเรอร์ทันทีอีก”
เรย์เสียดายนิดหน่อย อย่างน้อยก่อนกลับสักวันเขาก็อยากมาคุยเล่นกับทั้งสองอีกหน่อย
“แต่ไม่ต้องห่วง ถึงการจากลาจะเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่พิธีจบน่ะมีของขวัญให้แน่นอน” เกรย์ยิ้มแบบมีเลศนัย “เป็นของที่จับต้องได้ด้วยล่ะ ถ้าได้ไปมีดีใจจนน้ำตาแตกแน่ๆ”
“หวังว่าจะไม่ใช่ดาบบนหลังที่แบกไปมาตลอดนะครับ ดูราคาแพงไปหน่อยทำเอาผมเกร็งเลย”
….
“….”
“…ถูกครึ่งหนึ่งล่ะนะ ครึ่ง/ครึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเดาผิดไป”
“หวังว่าอีกครึ่งที่ว่าจะไม่ใช่ของอีกชิ้นนะครับ ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็เถอะ”
“ปะๆ กลับหอไปพักผ่อนได้ล่ะวัยรุ่น ไปเข้าสังคมกับเพื่อนไป”
เกรย์รีบเปลี่ยนเรื่องและโบกมือไล่เรย์กลับวิทยาลัย เรย์ไม่ได้ใส่ใจอะไรและเดินกลับตามที่เกรย์บอก
“พิธีจบเริ่มตอนอีกสองวันถัดจากนี้ ตอนเย็นๆนะหนุ่มน้อย อย่าสายซะละ”
“ครับ! ไว้เจอกันนะครับ”
เรื่องราวของอาจารย์และศิษย์ได้ดำเนินมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว ..
****
ในขณะเดียวกัน ทางเมอัน มหามังกรเทียมเองก็กำลังนั่งอยู่เฉยๆในห้องพักของเคียวยะ เธอนั่งอยู่บนโซฟาอย่างนิ่งสงบไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว
เธอในตอนนี้อยู่ในสถานนะที่—ไม่มีอะไรทำ เพราะให้ปากคำไม่ได้และมีดีแค่พลัง ทำให้ในเวลาปกติเธอไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง มีหน้าที่แค่ไปดื่มชากับเอเธอร์วันล่ะครั้ง และคอยต้อนรับเคียวยะตอนออกไปเรียนและตอนกลับมา แค่นั้นแหละ
แต่ถึงจะบอกว่าต้อนรับ มันก็แค่นั่งอยู่เฉยๆรอเคียวยะกลับมา ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษอย่างที่ควรมีเลย ด้วยเหตุนั้นเองเมอันจึงเริ่มกังวลใจขึ้นมา ประมาณว่า ตัวเองจะเป็นประโยชน์ให้เคียวยะได้รึเปล่านะ? พอคิดว่าตัวเองตอนนี้ไม่น่าไหวก็กังวล และกำลังนั่งคิดหาวิธีแก้อยู่
“..จริงสิ”
เหมือนจะเอ๊ะใจบางเรื่องได้ เมอันรีบลุกขึ้นและวิ่งเตาะแตะแบบเด็กตัวเปี๊ยกตรงไปทางชั้นหนังสือ เธอกระโดดหยิบหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อเรื่อง ‘เป็นแม่บ้านมันไม่ได้ง่ายหรอกนะ!’
ถ้าจำไม่ผิดนี่คือหนังสือที่เคียวยะกำลังศึกษาเพื่อเอาไปพัฒนางานเขียนตัวเองอยู่ เนื่องจากว่าบรรณาธิการขอให้เคียวยะลองไปเขียนนิยายขายฝัน หวานๆ มีเปรี้ยวนิดหน่อยดู ซึ่งไม่ใช่แนวปกที่เคียวยะมักจะเขียน
ส่วนเหตุผลว่าทำไมเมอันถึงเลือกหนังสือเล่มนี้ก็ง่ายๆเลย ..พูดถึงแม่บ้านก็คือคนที่ทำงานอยู่ที่บ้าน เมอันที่อยู่แต่ในห้องอาจจะได้รู้ศาสตร์แม่บ้านที่คอยช่วยให้ชีวิตเคียวยะสบายขึ้นก็ได้
ว่าแล้วเธอก็อ่านหนังสือทุกบรรทัดอย่างบรรจง และลงมือเลียนแบบตัวเอกในหนังสือดู
..รู้ตัวอีกที ห้องก็เละเทะไปเสียแล้ว
เมอันยืนอยู่เฉยๆ หน้าซีดเผือก ทำอะไรไม่ถูก ..เธอหันไปมองนาฬิกา และเริ่มลนลานใหญ่เพราะใกล้เวลากลับของเคียวยะแล้ว
“แย่แล้ว แย่แล้ว ทำยังไงดี ..ไปถามเอเธอร์ ..ไม่ทัน”
เมอันตบหน้าตัวเองและวิ่งเตาะแตะตรงไปจะเก็บข้าวของที่ลก แต่ก็ดันสะดุดของที่ตัวเองวางไว้จนกลิ้งไปชนชั้นหนังสือจนล้า และชั้นหนังสือก็ล้มลงชนกับโตีะ เก้าอี้ ของตกแต่ง หรืออย่างแย่ก็พวกแก้วน้ำจนแตก
เละกว่าเก่าหลายเท่าตัว
เมอันตัวแข็งทื่อ พร้อมกันนั้นลูกบิดประตูก็ดังขึ้นและถูกดันออก—เคียวยะกลับมาแล้ว และเขาก็ไม่ได้เดินเข้ามาในทันที แต่ยืนมองสภาพห้องอยู่เฉยๆ
“..เชี่ยไรว่ะเนี่ย?”
เคียวยะสังเกตุเห็นเมอันที่นอนอยู่กับพื้น ก็ทำหน้าขยาดใส่
“ยะ ยัยเด็กนี่”
“..ขอโทษค่ะ”
จะร้องไห้แล้ว เมอันใกล้จะปล่อยโฮแล้ว ..เคียวยะเห็นก็หยุดปาก และเดินเข้าในห้อง เขาถกแขนเสื้อตัวเองทั้งสองข้างขึ้นและถอดเสื้อคลุมเครื่องแบบโรงเรียนออกมาวางไว้บนเตียง
“ลุกขึ้นมาเก็บกวาดซะ เดี่ยวฉันช่วยด้วย”
“คะ ค่ะ!”
เมอันทำตามที่เคียวยะว่าช่วยเก็บกวาด แม้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายคือจะเละไปกว่าเก่า
“จงใจสินะ ไอ้เด็กเปรต”
จิตสังหารพวยพุ่งออกมาจากเคียวยะ เทียบกับเมอันแล้วดูกระจอกก็จริงแต่เมอันแพ้ทางเคียวยะเลยกลัวไปเอง
“ไม่ใช่ค่ะๆๆๆ!”
“ถ้านั้นก็อย่าทำพังสิ เอ้า เก็บเศษแก้วซะ”
เมอันวิ่งไปเก็บเศษแก้วแต่ในจังหวะนั่งดันลงผิดท่าทำให้เศษแก้วตำเนื้อเข้า เคียวยะหน้าซีดพุ่งไปจับขาเมอันขึ้นมาดู ..และทำหน้าขยาดอีกครั้ง
“แก้วทิ่มเข้าเนื้อไปตั้งขนาดนั้น แต่ไม่มีแผลเลยเนี่ยนะ ล้อเล่นรึไง”
“ขอโทษนะคะ..เพราะหนูทำให้วุ่นวายไปหมด”
เมอันพูดพลางมองห้องที่สภาพเมอันตอนนี้คือหมา เธอหงอยเป็นหมาของแท้เลย
“เออสิ สำนึกผิดซะ ปรับปรุงตัวเองด้วย”
“..หนูแค่อยากจะทำเพื่อพี่ชายสักนิด”
“จำไม่เห็นได้ว่าขอให้ทำความสะอาดบ้าน แกแค่อยู่เฉยๆในห้องก็ทำเพื่อฉันโขแล้ว ถ้ารู้ว่าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ทำแล้วมีแต่จะแย่ก็ไม่ต้องทำ แค่นั้นแหละ”
“…ขอโทษจริงๆค่ะ”
…เคียวยะเดาะลิ้นหนึ่งครั้ง ขมวดคิ้วเข้าหากัน ดูเหมือนจะโกรธ ก็ใช่ครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งหนึ่งไม่ใช่
“ไม่รู้หรอกว่าอะไรดลใจถึงอยากทำความสะอาด แต่ถ้าพลาดมีอยู่แค่สองทางเลือกคือไม่ทำพลาดอีก อยู่เฉยๆซะ ส่วนตัวแกควรอยู่เฉยๆแต่เห็นแก่น้ำใจ จะยอมให้ปรับปรุงตัวก็ได้ เพราะฉะนั้นปรับปรุงตัวซะ สำนึกผิดตลอดด้วย”
“..ค่ะ!” เมอันยิ้มตอบกลับความเคียวราวกับเด็กตัวน้อยจริงๆ
และแล้วคอร์สการเป็น พ่อบ้าน/แม่บ้าน ของเคียวยะก็ได้เริ่มขึ้น เมอันถูกเคียวยะเคี้ยวอย่างหนักเรื่องวิธีการทำความสะอาดห้อง เป็นเวลากว่าสามชั่วโมง ในที่สุดเมอันก็ไม่ทำข้าวของพังแล้ว
เคียวยะยืนมองห้องที่กลับมาเหมือนเดิม จะมีแก้วหรือของบางอย่างที่หายไปบ้างเพราะพังไป แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะหลังจากวันนี้มันจะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว
“หึ ทำได้ไม่เลว ขอชมล่ะกัน”
“เพราะพี่ชายช่วยสอนหนูต่างหาก”
“รู้ตัวก็ดี ยินดีซะ ตัวแกตอนนี้ได้ปรับปรุงตัวแล้ว แถมยังรู้สึกผิดจนจบด้วย”
เมอันครี่ยิ้มอีกครั้ง เคียวยะเห็นเมอันยิ้มก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว—นั่นทำให้เมอันพลันแก้มแดงแจ๋ขึ้นมา
“อะ เอ่อ ..อะ คือ พะ พี่ชาย”
กลายเป็นโรบอทซะแล้ว
“มีอะไร?”
“คือ ..พี่ชายจะไม่ทิ้งหนูใช่มั้ย?”
“หา? ฉันต่างหากที่ต้องถาม ทางฉันกลัวว่าแกจะหนีไปซบอกไอ้เรนนั่นจะตาย”
เคียวยะจะสื่อว่าระแวงว่าเมอันลอบเข้ามาเก็บข้อมูลแล้วกลับเฉยๆ แต่เหมือนว่าทางเมอันจะคิดไปคนล่ะทางกัน ..เธอหน้าแดงแจ๋ด้วยความเขินอาย ที่สำคัญตอนนี้หุบยิ้มไม่อยู่แล้ว
“หนูอยู่ที่นี่ได้ใช่มั้ยคะ?”
“เออสิ”
“..เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนบอกให้หนูอยู่ที่นี่ได้”
เคียวยะถอนหายใจเฮือกโต พลางทิ้งตัวลงโซฟา เมอันส่งสายตากังวลมาทางเคียวยะ ..
“ทุกอย่างมันก็ต้องมีครั้งแรกนั่นแหละ และพอมีครั้งแรกก็จะมีครั้งต่อไป
“พี่ชายจะพูดกับหนูอีกครั้งเหรอคะ?”
“ไม่ใช่ ..ครั้งต่อไป แกต้องเป็นคนพูดเองต่างหาก”
…การสนทนาเงียบไป เพราะเมอันไม่ได้ถามอะไร และเคียวยะไม่ใช่คนที่จะชวนคุย
เมอันจ้องมองเคียวยะจากหลังโซฟา และอมยิ้มกับตัวเอง
****
“อย่ามา ..ล้อเล่นนะ”
ในห้วงลึกที่เทียนหลงหลับใหลอยู่–โซล่ากำลังอ่านอักษรโบราณด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด เธอกัดริมฝีปากตัวเองจนมีเลือดไหลและล้มนั่งลงกับพื้นคล้ายกับหมดเรี่ยวแรง
“..นี่คือ..ประสงค์ของพระเจ้าเหรอ?”
เธอตัดพ้อออกมาหลังจากที่ได้อ่านอักษรโบราณ ที่สลักไว้ว่า—- ‘จงฆ่า — ซะ’