< < 109Sec2 > >
อีกประมาณหกวันก่อนที่พวกเราจะกลับอาณาจักรฟัฟนิร์ ทางผมก็พยายามเร่งหาเบาะแสของก้อนมานาปริศนาพลางแกะอักษรโบราณไปด้วยโดยไม่ฝืนตัวเองต่างกับก่อนหน้านี้ แทนที่จะทุ่มแรงทั้งหมด ขอพยายามแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไปจะดีกว่าน่ะนะ
เพราะอย่างนั้นผมเลยมีเวลาว่างพอมานั่งคุยเล่นกับชาวบ้านบ้างต่างกับหลายวันก่อนหน้านี้
อาทิเช่นตอนเที่ยงตรงของวันนี้ ผมกำลังนั่งจิบชาของเอเธอร์ไปพร้อมๆกับเมอันอยู่ อย่างที่เอเธอร์เคยว่า จากที่ให้เคียวยะสอบปากคำก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้รู้อะไรเลย เธอรู้แค่ตัวเองต้องทำตามที่เรนสั่ง แม้แต่เป้าหมายลำดับขั้นที่เรนจะทำก็ไม่รู้ ทั้งๆที่เป็นคนสำคัญขององกรณ์แต่สภาพเธอไม่ต่างกับพนักงานระดับด้านในบริษัทเลย
สุดท้ายเธอก็กลายเป็นคนว่างงาน เพราะนอกจากเรื่องการควบคุมมานาเธอก็ทำอะไรไม่ได้เลย เอเธอร์จึงลากเมอันมานั่งดื่นชากินขนมด้วยกันบ่อยๆตอนเคียวยะไปเรียน วันนี้ช่วงพักเที่ยงผมเลยมาร่วมวงดื่มชาด้วยซะเลยเป็นการผ่อนคลาย
“ชาวันนี้พิเศษกว่าทุกวันแฮะ”
“วันนี้ใส่น้ำตาลเพิ่มไปด้วยน่ะครับ”
ไม่ใช่อะไรที่ดูเว่อร์แบบ–ผมใช้วัตถุดิบพิเศษอะไรเลยก็แค่ใส่น้ำตาล บอกตามตรงแอบรู้สึกหน้าแตก ผมควรรู้สึกตัวตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำว่าชาแบบใส่ซองที่เอเธอร์ปล้นมาจากชาวต่างโลกเนี่ย ไม่น่ามีอะไรซับซ้อนหรอก
“ไว้ครั้งหน้าผมจะเตรียมท็อปปิ้งให้นะครับ หากต้องการ”
“ก็ดีนะ”
ขณะที่จิบชาผมก็ชำเลืองมองเมอันเป็นระยะตลอดไปด้วย เพราะแทบไม่ได้คุยกับเมอันเลย ดูท่าเธอจะไม่ค่อยกลัวเอเธอร์แล้วต่างกับทีแรกที่ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
ก็อย่างที่รู้กันดี เอเธอร์คือคนที่ถ้าเป็นมิตรด้วยแล้วจะสบายใจที่สุดเลย เพราะทั้งใจดีทั้งแข็งแกร่งล่ะนะ การที่เมอันโดนเอเธอร์ลากมาตั้งวงน้ำชาด้วยกันคงจะสร้างความเคยชินให้เจ้าตัวขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เป็นเด็ก(ภายนอก)ขี้กลัวก็เถอะ
“เป็นไงบ้างล่ะ อยู่กับเคียวยะไม่ได้โดนทำอะไรใช่รึเปล่า?”
“..ไม่นะคะ”
เมอันตอบพลางเอียงคอฉงน น่าจะงงๆว่าผมถามถึงอะไร
“ก็แบบโดนจับทดลองร่างกายอะไรจำพวกนี้”
“พี่ชายใจดีค่ะ” เมอันยิ้มให้ “ถึงเขาจะขี้วีนนิดหน่อย แต่เป็นคนที่วิเศษมากค่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นก็โล่งอกไป แน่นอนผมเชื่อเคียวยะนะ ไม่มีทางที่ผมจะไม่ไว้ใจเคียวยะหรอก งืมๆ ถึงตอนแรกจะเผลอคิดว่ามันจะใช้ให้เมอันปล่อยพลังเวทย์ออกมาให้มันวิเคราะห์ก็เถอะ แต่ผมเชื่อใจนะว่าเคียวยะจะไม่ทำเรื่องโหดร้ายกับเมอัน
ผมพยักหน้าพึมพำกับตัวเองและคุยเรื่องเคียวยะกับเมอันไปอีกสักพักหนึ่ง ทำให้รู้ว่าเคียวยะดูแลคนดีเกินคาด สมกับเป็นพวกซึนเดเระของแท้ เอเธอร์เองก็ฟังบทสนทนาไปยิ้มไปก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่สงสัย
“ตรวจสอบจุดน่าสงสัยไปได้ราวๆ 6 ใน 7 จุด แล้วสินะครับ”
“อ่า ตอนนี้ก็เหลือแค่จุดเดียว”
จุดที่น่าสงสัยส่วนที่เหลือมันอยู่รอบๆตัวเมือง เป็นพื้นที่ป่าที่มีแค่น้อยนิดเท่านั้นทำให้ผมเลือกเป็นที่สุดท้าย เพราะผมมีหลักว่าทำงานหนักก่อนค่อยทำงานน้อย
คาดว่าต่อให้ทำงานแบบไปเรื่อยๆก็น่าจะทันแหละ พอมองดูดีๆแล้วที่กลัวว่าจะไม่ทันคงเป็นเพราะผมนอนน้อยเลยพลางทำให้มองเห็นอะไรแคบลงไปด้วย
“เช่นนั้นผมขอข้อมูลส่วนที่หกหน่อยนะครับ”
อนึ่งผมจะแจกส่วนที่ผมวิเคราะห์ไว้แล้วให้ทุกคน และผมพึ่งทำส่วนที่หกเสร็จเมื่อเช้านี้ทำให้คนอื่นนอกจากผมไม่มีข้อมูลกันเลย
“อ่า ตั้งใจจะเอามาให้อยู่แล้วล่ะนะ”
ผมยื่นเอกสารปึกใหญ่หลายสิบแผ่นไปให้ เอเธอร์รับมันมาและ—เปิดดวงตามหาปราชญ์เพื่ออ่านทั้งหมด
ดวงตามหาปราชญ์เป็นของขี้โกง ไม่ใช่แค่มองทะลุแต่มันยังวิเคราะห์ได้ด้วย ทำให้กระดาษหลายสิบแผ่นสามารถถูกอ่านได้พร้อมๆกันในเวลาอันสั้น และวิเคราะห์ออกมาเข้าสู่หัวสมอง กับคนฉลาดอย่างเอเธอร์ย่อมรับข้อมูลทั้งหมดไหวอยู่แล้ว กลับกันถ้าเป็นเคียวยะ อาจจะใช้เวลานานกว่าเอเธอร์ราวหนึ่งเท่าตัวได้ซึ่งก็ยังอยู่ในจุดที่ฉลาดเหนือมนุษย์อยู่ดี
จุดนี้บ่งบอกเลยว่าฝีมือในการใช้ดวงตามหาปราชญ์ของเอเธอร์ยังนำเคียวยะอยู่
“ยังเขียนได้ยอดเยี่ยมอย่างเคย จบไปทำงานเกี่ยวกับเอกสารได้เลยนะครับ”
“นั่นสินะ ก็วางแผนไว้คร่าวๆแล้วล่ะ งานของฉันส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นกองเอกสารนี่แหละ”
ผมเป็นขุนนางชั้นสูงล่ะนะ ทางบ้านคงจะวางแผนให้ผมทำงานคล้ายๆแองเจลิน่าอยู่แล้ว แต่แน่นอนผมกะว่าจบไปจะไปทำงานเกี่ยวกับมูลนิธิเป็นหลัก แต่ก็คงหนีไม่พ้นกองเอกสารอยู่ดี เผลอๆจะเยอะกว่าเดิมด้วยเพราะไม่มีแองเจลิน่ามาช่วยแบก
นึกแล้วก็ปวดหัว มาโลกนี้ก็ยังต้องปวดหัวเรื่องงานในอนาคตอีก พับผ่าสิ
“แล้วเรื่องอักษณโบราณไปถึงไหนแล้วหรือครับ?”
“เรื่องนั้น ..โทษที มีตั้งเยอะแต่ฉันแกะได้แค่สามตัว”
เอเธอร์เบิกตาโพงกว้างก่อนหัวเราะเบาหวิว
“อักษรโบราณปกติเขาใช้เวลาหลายสิบปีในการแกะนะครับ ทำได้ขนาดนี้ก็ยอดเยี่ยมแล้ว”
ถึงจะบอกว่าแกะแต่ก็แค่เดาจากเนื้อเรื่องในนิยาย มันมีบางอันที่เหมือนกันอยู่ในความทรงจำ—แน่นอนผมจำได้แค่บางส่วนไม่มีทางจำได้หมดหรอก เลยแกะได้แค่สามตัว
ผมหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะและเริ่มอธิบาย
“อักษรแรกแปลว่าท้องฟ้า อักษรที่สองแปลว่าความลับ อักษรตัวสุดท้ายแปลว่า ..มังกร”
“ท้องฟ้า ความลับ มังกร ..ก้อนมานาปริศนานั่น”
“คงจะเป็นมังกรล่ะมั้ง”
“มังกรที่อาศัยอยู่เกาะวาเรอร์ .. ‘เทียนหลง’ ”
เมอันเบิกตาโพงกว้าง ไม่ใช่แค่นั้น เอเธอร์ก็มีปฎิกิริยาตกใจเล็กน้อย นับว่าเป็นเรื่องน่าแปลกแต่มันก็น่าตกใจขนาดนั้นเลยล่ะ
ตามนิยายต้นฉบับ เทียนหลงจะถูกพาตัวออกไปจากเกาะวาเรอร์ตอนไหนก็ไม่ทราบ บางทีตอนนี้อาจถูกพาตัวไปแล้วก็ได้เพราะตามไทม์ไลน์ปัจจุบันที่ผมอยู่ มันไม่มีข้อมูลความเป็นไปของเทียนหลงเลย รู้แค่ว่ามันเคยพักรักษาตัวที่เกาะวาเรอร์และถูกตัวละครสำคัญพาตัวออกไปร่วมต่อสู้กับพวกยูจิ
หากจำไม่ผิด ในศึกก่อนจบเรื่องกับจอมมาร ตัวผม เรเซอร์ในโหมดตัวร้ายชั้นต่ำได้ถูกเทียนหลงเป่าจนเละ แต่ยังหนังเหนียวรับพลังของจอมมารยืดเวลาตัวเองไปได้ เป็นอันไปสู่ตอนจบของเรื่องราว
เทียนหลงคือหนึ่งในตัวสำคัญในเรื่อง ถ้าหากเจอกันได้โดยเร็วจะเป็นเรื่องที่ดีมากเพราะเขาเป็นมิตรแน่นอน เนื่องจากว่าในยุคโบราณเทียนหลงคอยรับใช้ทวยเทพ ทำให้เทียนหลงตามมารับใช้ยูจิผู้เป็นเทพกลับมาเกิดใหม่ด้วยเช่นกัน
“เทียนหลงสินะครับ เป็นชื่อที่นานๆทีจะได้ยินนะครับ”
นั่นสินะ เล่นหายตัวไปหลายร้อยปีเลยนี่นะ จะเลืองหายไปตามกาลเวลาก็ไม่แปลก เพราะมนุษย์อยู่ได้ไม่นานนัก
“แต่อะไรทำให้คิดอย่างนั้นล่ะครับ”
“แค่ข้อสันนิฐานนะ ..เทียนหลงปรากฏตัวขึ้นทันทีที่จอมมารถือกำเนิดที่เกาะวาเรอร์ ตามประวัติศาสตร์เทียนหลงต่อสู้กับจอมมารนานกว่าเจ็ดวันก่อนที่จะพ่ายแพ้ และหายสาบสูญไป–ตอนแรก ฉันก็คิดว่าเทียนหลงคงจะลาโลกแล้วล่ะ เหมือนกับที่หลายคนคิด แต่ว่านะอักษรโบราณที่พวกเราเจอ รวมถึงกำดัก ถ้าเกิดเทียนหลงตายไปแล้วจริงๆจะมันมันไว้ทำไม? กลบศพของเทียนหลงเหรอ? กับดักที่ซับซ้อนไม่พอ ยังต้องอาศัยดวงในการหาอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นอักษรโบราณที่มีแค่เทพกับจอมมารที่ผ่านออกและใช้เป็น”
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดและพูดต่อ
“บางทีเทียนหลงอาจยังไม่ได้ตาย แต่น่าจะพักฟื้นตัวอยู่บนเกาะด้วยความช่วยเหลือจากทวยเทพ”
“ทวยเทพ ..คนที่พอจะเคลื่อนไหวได้”
“เทพแห่งธรรมชาติ เอโด-เวโด้ เธอคือเทพเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่”
เอเธอร์ลูบคางของตัวเอง พลางพูดกับผมต่อ แทบไม่ต้องคิดหรือว่าคิดไปพูดไปกันนะ
“ที่พูดมานับว่าน่าสนใจมากครับ แต่จะให้ปักใจเชื่อเลยคงไม่ได้”
“เพราะอย่างนั้นแหละเลยต้องพิสูจน์ข้อมูลทั้งหมดให้ได้”
เอเธอร์พยักหน้ารับ
“คิดว่าส่วนสุดท้ายใช้เวลาอีกกี่วันจะเสร็จหรือครับ?”
“ห้าวันได้”
“ช้าไปครับ แค่สามวันก็พอ”
“ไม่ไหวหรอก ต่อให้อดนอนก็ไม่ไหว”
เอเธอร์รีบพูดแทรกก่อนที่ผมจะได้บ่น
“ครั้งนี้ผมจะช่วยด้วยอย่างสุดแรง เรื่องธุระที่วิทยาลัยจะวางไว้ก่อนทั้งหมด”
“จะดีเรอะ?”
“พวกเขาไม่กล้าขัดผมหรอกครับ”
พ่อคนแกร่ง รู้จุดยืนตัวเองดีจริงๆ
ขณะที่ผมคุยกับเอเธอร์ เมอันก็นั่งกินคุกกี้เหมือนกระรอกตัวน้อยไปแบบไม่ได้สนใจอะไร เธอน่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุยเรื่องอะไรกัน เพราะทั้งผมหรือเคียวยะก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้เธอฟัง แต่ดีแล้วล่ะ ยังไว้ใจเมอันไม่ได้ ไม่ให้รู้มากจะดีกว่า
จากนั้นผมก็คุยเรื่องงานที่จะแบ่งกันทำให้เสร็จภายในสองวัน คุยเจรจาและยัดงานให้เคียวยะกับวินแบบตามใจชอบเสร็จก็ใกล้จะหมดเวลาพักเที่ยงแล้ว
“ธุระก็มีประมาณนี้แหละ”
“เข้าใจแล้วครับ เรเซอร์ไปทำงานต่อเลยเถอะ เรื่องรายละเอียดหน้าที่ผมจะเอาไปรายงานให้เคียวยะกับวินทราบเอง”
อนึ่ง เบลลามีก็ไม่ได้มีความสามารถในการสืบสวนอะไรอยู่แล้วเลยให้อยู่ที่ปลอดภัยคอยฮิลเพื่อนดีกว่า ทางยูจิกับเรย์สองคนนี้ก็เช่นกัน ผมเลยปล่อยให้ทั้งสองฝึกฝีมือการต่อสู้กันจะดีกว่า
แต่ว่า
“พักนี่เรย์หายไปไหนของเขากันนะ”
ได้ยินมาบ้างว่าหลักเลิกเรียนเรย์จะหายตัวไปทันที กลับมาอีกทีก็เช้าเลย บางวันก็โดดเรียนด้วย จากที่ปกติจะฝึกกับยูจิทุกวัน เดี่ยวนี้ก็อาทิตย์ล่ะสองครั้งเป็นอย่างต่ำ หรือว่าหมดใจแล้วกัน? เป็นผมก็คงหมดใจแหละ เพราะยูจิพัฒนาตัวเองเร็วเกิน ทีแรกไอ้ผมก็คิดว่าคงจะเป็นปีอยู่กว่ายูจิจะขึ้นมาเหนือกว่าผมได้ แต่พอเห็นความรวดเร็วในการพัฒนาของยูจิเข้าไป ก็ทำให้ผมรู้เลยว่าตัวเองดูถูกความขี้โกงของพระเอกไปมาก
อย่างยูจิแค่ครึ่งปีก็พอแล้วในการก้าวข้ามผม ..พัฒนาเร็วกว่าเนื้อเรื่องในนิยายมาก ไม่ใช่แค่อุปสรรคที่ต้องเจอ แต่ฝีมือของยูจิก็พัฒนาไปเร็วตามๆกันไปเลย
“แต่ว่าเรย์ ..ไปปลอบใจมันหน่อยล่ะกันวันนี้”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เรย์เองก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเหมือนกันครับ ถึงถ้าเทียบกับยูจิแล้วมันจะไม่ได้มากมายอะไรก็ตาม”
ไอ้ประโยคที่ว่าถ้าเทียบกับยูจินี่ทำเอาเรย์ดูแย่เลย ในฐานะผู้ฝึกสอนไม่ควรเทียบเด็กสองคนด้วยกันแบบนี้ไม่ใช่รึ? แต่ช่างเถอะ ความจริงนี่นะ ไอ้ผมอีกหนึ่งปีต่อจากนี้ก็น่าจะใกล้ตกกระป๋องแล้วเช่นกัน
สถานการณ์ที่ผมเจอตอนนี้คือทางตัน และไม่มีเวลา เดือนนี้ทั้งเดือนต้องมานั่งวิเคราะห์ข้อมูล แก้ปริศนามากมายจนแทบไม่มีเวลาฝึกไม่พอ ผมยังไม่รู้ว่าตัวเองควรพัฒนาอะไรอีกเหมือนกัน
จะบอกว่าผมถึงทางตันแล้วก็ได้ โดยปกติทางตันของมนุษย์จะอยู่ที่ตอนอายุราวๆสามสิบกว่าปี เร็วหน่อยก็เกือบสามสิบปี แต่ผมใช้ทางลัด รู้สูตรฝึกให้เก่งเร็วทำให้ตันเร็วกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว แต่ก็นั่นล่ะ เจอทางตันเข้าแล้ว มันไม่มีสูตรการก้าวข้ามทางตันหรอกบนโลกนี้ นอกจากพรสวรรค์ฟ้าประทานเฉกเช่นยูจิ และนอกจากหาอาวุธมาเสริมหรือหาลูกเล่นใหม่ๆเพิ่มความหลากหลาย
เรื่องอาวุธรึเวทมนตร์ใหม่ๆก็ตั้งใจจะคว้ามาอยู่หรอก แต่คนมันไม่มีเวลานี่หว่าจะให้ทำอะไรได้ ตอนนี้ทุกอย่างมันลัดตัวไปหมดเลย ไม่มีเวลาไปทำอะไรใหม่ๆ ผมไม่ใช่ยอดมนุษย์ที่ทำเป็นสิบเรื่องได้พร้อมๆกันนะ เป็นแค่คนรู้สูตรโกงสคิปเท่านั้นล่ะ
พอนึกแล้วก็ท้อแฮะ—-เอ๊ะ เดี่ยวก่อนนะ
จู่ๆผมก็นึกเรื่องของเรย์ที่เอเธอร์พูดถึงขึ้นมไาด้
“..แต่เดี่ยวนะ ..เอเธอร์นายบอกว่าอย่างน่าเหลือเชื่อเนี่ย”
น่าเหลือเชื่อ—กับเอเธอร์เนี่ยนะ?? เอเธอร์ผู้น่าเหลือเชื่อบอกว่าเรย์แกร่งขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
เอเธอร์ทำหน้าแบบ อ้ออออออ แล้วก็ตอบผมอย่างเรียบเฉย
“เรย์ทิ้งวิชาดาบของตัวเองไปแล้วครับ”
“..เอ่อ มันก็น่าเหลือเชื่อแหละ แต่เรย์เปลี่ยนไปใช้อะไรแทนล่ะ หอกเหรอ? หรือมีด?”
ไม่ว่าอย่างไหนก็ดูไม่รุ่งเลยแฮะ มันน่าเหลือเชื่อในรูปแบบหมดหนทางกระมัง–ทว่ากลับไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เอเธอร์ส่ายหัวให้คล้ายจะปฎิเสธคำว่าหมดหนทางของผมไปในตัว
“เรย์เปลี่ยนสไตล์ดาบไปเป็นรูปแบบตั้งรับครับ”
…จุดเปลี่ยนใหญ่ของจริง ในเนื้อเรื่องต้นฉบับ—-เรย์มันไม่เคยใช้วิชาสายตั้งรับสักครั้งเลยนะเห้ย!!!!
‘โลกนิยายใบนี้ ทุกอย่างชักจะผิดเพี้ยนไปกันใหญ่แล้ว’ …และผมคาดว่า ผมคงจะพูดประโยคนี้ซ้ำอีกไม่ต่ำกว่าสิบรอบแหงๆ
****
ภูเขาบนเกาะวาเรอร์
เสียงฝีเท้าของคนสองคนดังกึกก้องไปทั่วป่า ทั้งสองวิ่งกันด้วยสปีดที่พอๆกันแต่เหมือนว่าจะมีฝ่ายหนึ่งยั้งความเร็วของตัวเองเอาไว้เพื่อให้อีกฝ่ายตามทัน—ทั้งสองฝีเท้าหยุดลงพร้อมกันและประชันหน้ากันในท่าจับดาบแบบเบสิค
เรย์ คามาเลีย ขณะนี้กำลังเผชิญหน้ากับ—แกนน่อน เด็กสาวผู้เป็นนักดาบปริศนา
แกนน่อนตวัดดาบเข้าหาเรย์ด้วยความเร็วสูง เรย์คาดการณ์ว่ามันเร็วพอๆกับเทคนิคสูงสุดที่ตัวเองทำได้โดยการแลกมากับการทำให้ร่างกายตัวเองพัง อย่างการผสมระหว่าง [ดาบประกายแสง] [ระบำดาบ] และ [จังหวะแตะสายลม] เมื่อใช้พร้อมกันทั้งหมดจะมีความเร็วการลงดาบระดับนักดาบขั้นบรรลุ
ซึ่งกำลังจะบอกว่าการตวัดดาบธรรมดาของแกนน่อนมันเร็วเทียบเท่านักดาบขั้นบรรลุเลยนั่นแหละ แค่ตวัดดาบโดยไม่ใช้เทคนิคอะไร
เรย์ถึงจะกลัวแต่—ชินแล้ว ใช่ โดนแบบนี้มาจนชินแล้ว
เรย์พุ่งถอยหลังไปด้วยความเร็วที่ผิดปกติ ประหนึ่งวาร์ปถอยหลัง มันไม่ใช่ [จังหวะแตะสายลม] เพราะมันคือการพุ่งไม่ใช่การก้าวขา—-นี่คือเทคนิคใหม่ที่เรย์เรียนรู้มาจากเกรย์ คนที่ตนฝากตัวเป็นศิษย์ และการใช้จังหวะเท้านั้นก็คือเทคนิคการออกขาของ ‘เขล็ดวิชาดาบพระจันทร์เสี้ยว’ ที่ตั้งใจจะสอนเล่น
ชื่อเทคนิคนี้คือ [กระต่ายดวงจันทร์] ไม่รู้ที่มา แต่ที่แน่ๆตั้งชื่อได้เห่ยมาก
มันคือเทคนิคที่ทำให้เรย์ไม่กล้าเอ่ยออกมา เพราะน่าอายเนื่องจากชื่อไม่เท่เอาซะเลย ทักษะการตั้งชื่อของเกรย์เข้าขั้นบัดซบ เรื่องนี้ต้องยอมรับเลย
กระต่ายกับดาบ ไม่เข้ากันสักนิด
อย่างไรซะนั่นก็ช่วยทำให้เรย์หลบแกนน่อนได้หนึ่งจังหวะ—แต่ไม่ได้ใช้เทคนิคเดิมพุ่งเข้าใส่ เพราะมันคือเทคนิคสำหรับถอย ไม่ใช่เทคนิคในการใช้รุก และประยุกต์ใช้รุกไม่ได้ด้วย
เรย์ตั้งท่าดาบเตรียมกันไว้—-แกนน่อนพุ่งเข้ามา และตวัดดาบใส่แบบไม่ลังเลว่าจะโดนสวน
แน่นอนว่าไม่ลังเลก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะฝีมือต่างกันเกินไป ในระยะอันใกล้ ความเร็วดาบระดับขั้นบรรลุ ไม่มีทางที่เรย์จะตอบสนองทัน
สุดท้ายเรย์ก็โดนฟาดไปปลิวไปชนกับต้นไม้เหมือนอย่างเคย–ดาบไม้ที่เกรย์ให้ยืมก็หักอีก
…เพราะชินแล้ว เลยรู้วิธีทำให้ไม่สลบ เรย์ค่อยๆพยุงร่างขึ้นมาพลางมองแรงใส่แกนน่อน สำหรับเรย์แกนน่อนคือคู่แห่งไปโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว ทำให้เขาเจ็บใจเวลาแพ้เป็นปกติ
ในจังหวะที่ทั้งสองจ้องหน้ากันบรรยากาศก็พลันมาคุ ทำให้ตาแก่เกรย์ต้องวิ่งมาหาทั้งสอง
“วันนี้ทำได้ดีมากเรย์ ใช้เทคนิค [กระต่ายดวงจันทร์] ได้เร็วกว่าวันก่อนมาก” เกรย์หันไปถามความเห็นแกนน่อนด้วย “คิดอย่างไรบ้างล่ะ ท่านอาจารย์”
แกนน่อนแหงนหน้ามองฟ้า คิดแค่ไม่นานก็ตอบ
“ไม่เลว ถือว่ามาถูกแทน เพียงแต่ให้เจ้าหนูนี่ฝึกกับข้าไปก็ไม่มีความหมายหรอก ฝีมือห่างกันเกินไป ไม่มีทางได้เรียนรู้อะไรจากข้าหรอก”
แกนน่อนพูดแบบไม่รักษาน้ำใจเรย์เลยสักนิด แต่ก็ไม่เป็นไร ‘เรย์ชินแล้ว’
เรย์ถอนหายใจเฮือกโต
“ยังไงก็เถอะ ขออีกรอบนะ”
“เข้าใจแล้ว เกรย์ไปประจำตำแหน่งซะ”
“อ่า ครับๆ อย่าแรงมากนักนะ ถ้าส่งเรย์เขาไปไกลมาก สังขารแบบฉันก็วิ่งตามไปไม่ทันหรอกนะ เกรงใจคนแก่หน่อยๆ”
แกนน่อนถอนหายใจ เรย์กับเกรย์หัวเราะร่าไปพร้อมๆกัน ทำเอาคิดว่าสองคนนี้นี่ดูเหมือนปู่กับหลานมากกว่าศิษย์อาจารย์อีกด้วยซ้ำ
ทางเรย์เองก็กำลังพยายามอย่างสุดความสามารถ
MANGA DISCUSSION