< < 109Sec1 > >
ศูนย์กลางโลกเดินเข้าไปในป่าตามที่ได้ข้อมูลมาจากออร่า เขาตรงไปเรื่อยๆและมาถึงที่หมายที่ที่ออร่าว่าไว้
“..จากนั้นก็”
เอามือไปแตะที่ต้องไม้และทำจังหวะสูดลมหายใจเข้าปอด
ทันใดนั้นภาพก็ตัดไปที่โรงทดลองปริศนาซึ่งมีแสงไฟจากเพลิงคอยสอดส่องอยู่ ยูจิหันซ้ายขวาไปมาก่อนที่จะก้าวเท้าเดินไปต่อ
(ให้ผมมาที่แบบนี้ทำไมกันนะ ..) ยูจิถามกับตัวเองพลันถอนหายใจออกมา (คุณออร่าเนี่ยยากจะเข้าใจจังเลยนะ)
ยูจิเดินมาเรื่อยๆตามทางที่มีแสงไฟส่องและไปปรากฎอยู่ภายในห้องทดลองขนาดบรรจุคนได้ราวๆสิบคน ยิ่งไปกว่านั้นยัง ..ยังมีคนสองคนกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ด้วย
ไม่ใช่คนอื่นคนไกลแต่อย่างไร ..
“..คุณโซล่า ..คุณหนิงก็ด้วย”
เสียงของยูจิไม่ได้ดัง แต่เพราะนี่เป็นห้องใต้ดินที่ไร้ซึ่งเสียงจากธรรมชาติใดๆ ทำให้ทั้งสองคนได้ยินเสียงของยูจิเต็มสองหู และหันกลับมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือก อย่างกับเด็กน้อยเวลาโดยจับได้ว่ากำลังทำเรื่องไม่ดีกัน
แต่คนที่ดูตกใจที่สุดคงจะเป็นโซล่า
“ทั้งสองทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ?”
(ตกลงกับคุณออร่าไว้แล้วแท้ๆว่าจะไม่ให้ใครรู้ ..ไม่สิ ทั้งสองคนน่าจะมาถึงก่อนผมนะ แล้วทำไมต้องขอให้ผมเก็บเป็นความลับด้วยล่ะ ในเมื่อทุกคนเขารู้อยู่แล้ว)
จากนั้นยูจิก็นึกขึ้นมาได้ติดๆว่าบางที สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นเป้าหมายที่เรเซอร์กับเอเธอร์กำซับไว้ว่าอันตราย
“เรื่องนั้นทางนี้ต่างหากค่ะที่อยากถาม ทำไมคุณยูจิถึงได้?”
โซล่าลูบคางด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทางหนิงยืนเอ๋อไปราวสามวิก่อนชี้นิ้วมาทางโซล่า
“ยัยนี่บอกว่าให้ฉันปิดเงียบไว้นะ ฉันไม่เกี่ยวนะ ฉันโดนบังคับ”
“ฉะ ฉันมีแรงบังคับเธอที่ไหนกันย่ะ!”
“เชื่อฉันเถอะนะยูจิ! ฉันอยู่กับยูจิมาตั้งนานนะ!! เชื่อฉันดีกว่าเชื่อยัยผู้หญิงเหลี่ยมจัดคน—”
โซล่าตะบะแตกพุ่งไปหยิกแก้มของหนิงพลางใช้มืออีกข้างดึงแก้มหนิงแบบไม่เกรงใจเลยสักนิด
“เธอเนี่ยนะ เป็นแบบนี้ตลอดเลย ไหนบอกว่าเป็นเพื่อนกันไงเล่า เพื่อนกันไม่ทำแบบนี้กันสักหน่อย ยัยบ้า ยัยบ้า ยัย—ฮึยย!!!!!”
“โอ้ยๆ อย่าดึงแบบนั้นสิ ยูจิมองอยู่นะ อย่าทำแบบนั้นนะ”
การออกคำออกเสียงของหนิงค่อนข้างกวนประสาท ทำให้โซล่าหมันไส้สุดๆ ..ยูจิไม่ค่อยเข้าใจเพราะเขาหมั่นไส้คนไม่เป็น ยูจิเลยเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกัน
คนที่ใช้ความรุนแรงอย่างโซล่ากลับหายใจหอบ ต่างกับหนิงที่ยืนชิลๆด้วยรอยยิ้ม
“โดนปกป้องอีกแล้ว”
เธอมีความสุขเพราะยูจิมาช่วยเธอไว้ แค่นั้นแหละ แน่นอนยูจิไม่เข้าใจอีกตามเคย พอมองทางโซล่าก็พบว่าเธอหมั่นไส้หนิงยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็อดทนไว้ได้ดีโดยการปรับลมหายใจของตัวเอง
ปกติโซล่าก็เป็นคนใจเย็นและแสดงออกอย่างมีมารยาทตลอด แต่ตอนอยู่กับหนิงจะดูใจร้ายขึ้นมามาก แถมยังดูจะเผยสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ออกมามากที่สุดด้วย
ยูจิมองทั้งสองจิกกัดกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะรู้ดีว่าสองคนนี้ไม่ได้จริงจังอะไร เหมือนทะเลาะเล่นๆกันไปนั้นแหละ
โซล่าหันมามองยูจิและพูดด้วย
“มาที่นี่ได้ยังไงคะ?”
“..แค่บังเอิญน่ะครับ พอดีผมตื่นเร็วเลยเดินเล่น”
“เดินเล่นในป่าตอนดึกดื่นอย่างนี้ ฉันไม่คิดว่าคุณยูจิที่มีมันสมองจะทำหรอกนะคะ”
…อนึ่งยูจิโกหกไม่เก่ง การโกหกของเขามันแค่การพูดส่งๆแบบไร้ศิลปะเท่านั้น ว่าโดยง่ายยูจิไม่ใช่คนกะล่อนน่ะแหละ
“เอ่อ ..เรื่องบังเอิญจริงๆนะครับ”
“…”
หนิงโผล่มาบังยูจิไว้
“เดี่ยวสิหล่อนๆ อย่ามากดดันยูจิจะได้มั้ยหะ?”
“แค่สงสัยเองค่ะ ไม่ได้คิดจะกดดันอะไร
“วิธีพูดๆ ระวังหน่อย”
หนิงทำตัวอย่างกับเจ้าหน้าที่พิทักษ์เอกราชผู้บ้าอำนาจที่วางกรามใส่ชาวบ้าน โซล่าครุ่นคิดกับตัวเองไม่กี่วิก่อนตอบ
“นั่นสินะคะ วิธีพูดมันออกไปแนวกดดันด้วย เอาเป็นว่าขอโทษนะคะ คุณยูจิ”
โซล่าโค้งศรีษะให้ยูจิเล็กน้อย ยูจิส่ายหัวไปมาเหมือนไม่อยากรับคำขอโทษ
“อย่าคิดมากเลยครับ ผมสงสัยมากกว่าว่าทำไมทั้งสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
ทั้งสองคนที่ว่าหันไปมองหน้ากันและกัน และเริ่มอธิบายความเป็นมาทั้งหมดให้ยูจิฟัง โดยที่ทั้งหมดหนิงเป็นคนเล่า ..แอบดูเหมือนว่าโซล่าไม่อยากให้ยูจิรู้เรื่องราวชอบกล ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
เมื่อเล่าจบ โซล่าก็โพล่งขึ้นมา
“ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้รึเปล่าคะ?”
เก็บเป็นความลับ ทางยูจิเองก็ตั้งใจจะทำเช่นนั้นตามที่โซล่าพูด แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมโซล่าต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วย
“คุณเรเซอร์กำลังค้นหาบางอย่างอยู่ครับ”
“ซึ่งที่แห่งนั้นก็คือที่นี่แน่นอนสินะคะ”
“ครับ ..รู้อยู่แล้วสินะครับ”
โซล่าพยักหน้ารับ
“ขอทราบเหตุผลได้รึเปล่าครับ”
“ฉันฝันค่ะ”
ฝัน?
“ฝันเห็นว่าคุณเรเซอร์จะถูกสิ่งที่เขาตามหาฆ่า”
สิ่งที่กำลังตามหา—ยูจิหันไปมองตามโซล่า และพบสิ่งมีชีวิตตนหนึ่งกำลังหลับใหลอยู่ในหลอดทดลอง
ตัวตนที่เหมือนกับมังกรจีน ..ยูจิเบิกตาโพงกว้าว
“..เทียนหลง…”
“รู้จักด้วยเหรอคะ?”
ไอรู้จักน่ะรู้แน่นอน ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักเทียนหลง แต่ว่า ..อะไรทำให้ยืนยันว่ามันคือเทียนหลงล่ะ? เรื่องนั้นแม้แต่ตัวยูจิที่พูดออกมาก็ตอบไม่ได้ เพราะยูจิพูดออกไปโดยสัญชาตญาณของตัวเอง
บางทีตัวเขาก่อนเสียความทรงจำน่าจะรู้
“ทำไมเทียนหลงถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“เรื่องมันค่อนข้างยาวเลยค่ะ”
ยูจิสังเกตุเห็นกองเอกสารที่เมื่อสักครู่นี้โซล่ากำลังอ่าน ทำให้รู้ว่าทั้งหมดคงจะถูกบันทึกไว้ในเอกสาร และต้องอ่านมันเพื่อแกะรอยเหตุการณ์ต่างๆ ..
“จะเล่าให้ฟังเอง ทั้งเรื่องของเทียนหลงแล้วก็เรื่องในฝันของฉัน แต่ขอแค่อย่างเดียว ..ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ—ช่วยเชื่อฉันได้รึเปล่าคะ?”
เชื่อ ..ใบหน้าของเรเซอร์ลอยเข้ามาในหัวยูจิ ..ยูจิแอบคิดว่าการที่ตัวเองตอบตกลงมันคือการหักหลังเรเซอร์รึเปล่า แต่ว่าทั้งหมดเขาก็ได้คำตอบในทันทีที่เห็นหน้าของโซล่า
สีหน้าที่พยายามดิ้นลนอย่างเอาเป็นเอาตาย ยูจิไม่สามารถเมินสีหน้านั้นได้ ยิ่งกับโซล่าแล้วยิ่งไม่ได้ ยูจิจึงตอบตกลง
“สัญญาครับ ช่วยเล่าทุกอย่างให้ผมฟังด้วยครับ”
จากนั้นโซล่าก็เล่าที่มาที่ไปทั้งหมดให้ฟัง รวมถึงเรื่องในความฝันของเธอด้วย
****
เทียนหลงคือมังกรสวรรค์ เป็นตัวตนที่คอยรับใช้ทวยเทพในยุคโบราณ และแน่นอนว่าในช่วงปลายยุคโบราณ ในช่วงที่จอมมารออกอาละวาดเพื่อทำลายโลก เทียนหลงก็ได้เข้าต่อสู้กับจอมมารและพ่ายแพ้ให้กับจอมมารตามที่บันทึกไว้ในประวัติศาศตร์โลก
แต่ทุกคนรู้แค่ว่าเทียนหลงแพ้ ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือตายรึยัง จนกระทั่งโลกดำเนินมาถึงยุคผู้กล้า
จอมมารได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกคราเพื่อทำลายโลก ตามที่บันทึกว่าในช่วงแรกที่จอมมารได้ปรากฏนั้นไม่มีผู้กล้าหรือหน่วยงานที่คอยรับรองเรื่องจอมมาร ทำให้จอมมารออกอาละวาดได้อย่างง่ายดาย แต่เทียนหลงก็ปรากฏตัวออกมาหยุดจอมมารและเหล่าปีศาจบริวารเอาไว้ได้ ไม่นานทุกอาณาจักรจะส่งทหารมารับมือกับจอมมาร หรือต่อจากนั้นอีกไม่กี่ปีจะกำเนิดผู้กล้ารุ่นที่หนึ่งขึ้นมาเพื่อโค่นจอมมาร
ส่วนเหตุผลที่ทำให้เทียนหลงหลับใหลอยู่ที่เกาะวาเรอร์ก็ง่ายๆ เพราะเทียนหลงคือสิ่งมีชีวิตตนแรกที่มาสู้กับจอมมารที่เกาะวาเรอร์ก่อนจะพ่ายแพ้ไป แต่ก็ยังโชคดีที่รอดตายมาได้และพักรักษาตัวด้วยหลอดทดลองนี้
จากบันทึกในเอกสาร ผู้ที่ช่วยชีวิตเทียนหลงเอาไว้คือใครกันแน่ไม่ทราบเช่นกัน เนื่องจากไม่ได้มีบันทึกชื่อเอาไว้ เรียกได้ว่าจงใจไม่เหลือล่องลอยเลยก็ว่าได้ และในบันทึกก็ระบุอาการร่างกายของเทียนหลงตลอดสิบปีไว้โดยละเอียดอีกด้วย
ให้สรุปโดยง่ายๆก็คือเทียนหลงกำลังพักรักษาตัวอย่างลับๆอยู่ เพื่อที่จะเตรียมตัวรับมือกับจอมมารในคราวหน้าอีกครั้ง
****
แม้ข้อมูลจะมีมากเกินกว่าที่คนๆหนึ่งจะรับได้ในเวลาอันสั้น แต่ยูจิก็ปรับตัวได้ไม่ยากและตั้งคำถามกลับโซล่าในทันที
“แบบนี้นี่เอง แต่..มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่คุณเรเซอร์จะตายเหรอครับ?”
“ฉันฝันเห็นว่าเทียนหลังจะฆ่าคุณเรเซอร์”
…ไม่ใช่แค่ยูจิที่ทำหน้าเหวอ แต่หนิงก็ทำตามไปด้วยทั้งๆที่น่าจะรู้อยู่แต่แรกอยู่แล้ว ทำไปทำไม
“ฝันมันเชื่อถือได้ที่ไหน”
หนิงหยักไหล่ให้พลางส่ายหัวไปมา
“จะบอกว่ามีมูลก็ไม่ได้ด้วยครับ”
“..สัญญาแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าจะเชื่อฉันกัน”
โซล่าพูดเสียงสั่น ดูเหมือนจะโกรธ ทำให้ยูจิถึงกับหน้าถอดสี
“แต่ว่า”
“ฝันของฉันคือโชคชะตา ..การที่คุณเรเซอร์จะตายในอนาคตน่ะ มันอยู่ในความฝันของฉันมาโดยตลอด และฉันก็มาที่วิทยาลัยเรดฮอตก็เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นั้นด้วย”
ถ้านั้นทำไมถึงไม่บอกคุณเรเซอร์อย่างนั้น—-โซล่าตอบกลับคำถามนั้นทันที
“เพราะบอกไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาไงค่ะ ..ในฝันก็เหมือนกัน ต่อให้บอกไปคุณเรเซอร์ก็จะไม่ฟังและทำพลาด การที่เขากำลังค้นหาสถานที่แห่งนี้คือข้อผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุด”
“ไม่มีทางที่คุณเรเซอร์จะเมินความเห็นของคุณโซล่าหรอกครับ”
“เรื่องนั้นเอาอะไรมาแน่ใจกันคะ? ทุกวันนี้เขายังเมินฉันบ่อยๆเลยนี่ ..ต่อให้เขาจะไม่เห็นด้วยกับฉัน แต่ตอนนี้ฉันไม่สนแล้ว เพราะฉันจะปกป้องคุณเรเซอร์ให้ได้ ต่อให้ต้องโดนเกลียดก็ตาม” โซล่าคลี่ยิ้ม “ยังไงมันก็ดีกว่าการที่คนรักของฉันตายมากโขเลยนะคะ”
..ยูจิหรี่ตาลงคล้ายจะยอมรับในเรื่องบางเรื่อง
“..อีกไม่นาน ยังไงคุณเรเซอร์ก็ต้องหาเจอแน่ๆครับ”
“ฉันจะทำให้เขาหาไม่เจอค่ะ”
โซล่ามีพลังพอที่จะทำอย่างนั้น ไม่ใช่พลังที่มาจากตัวเองแต่เป็นพลังที่มาจากทักษะการประดิษฐ์ที่ทำให้เธอได้ชื่อ ‘เทพธิดาผู้สร้าง’
“แต่ยังไงการยุ่งกับที่แห่งนี้คนเดียวมันก็อันตรายอยู่ดีครับ”
“…”
“ให้ผมค้นคว้าข้อมูลด้วยเถอะครับ ในสถานการณ์ที่เลวร้ายผมยังพอช่วยได้อยู่”
เพราะว่ามีอลันล่ะนะ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหนิงอยู่ด้วย
“เข้าใจแล้วค่ะ ..ขอบคุณมากนะคะที่ยอมเชื่อกัน”
“ถ้าเพื่อคุณเรเซอร์ผมก็พร้อมทำ”
ทั้งสองจับมือกันเป็นอันตกลง หนิงเองก็ร่วมแจมจับมือด้วย—-โดยที่ไม่รู้กันเลยว่าความฝันของโซล่ามันดูย้อนแย้ง
แม้แต่โซล่าเจ้าของความฝันเองก็ไม่ทราบ …
หลังจากนั้นทั้งสามก็ค้นคว้าข้อมูลกันต่อยาวๆ จนเวลาล่วงเลยมาจนเช้า ทำให้ทั้งสามตัดสินใจพักก่อน
หนิงอาสาไปเอาเสบียงอาหารมาให้ทุกคน ทำให้เหลือแค่ยูจิกับโซล่ากันตามลำพัง
โซล่ายังไม่หยุดนั่งเขียนข้อมูลที่ได้มาจากเอกสาร ทางยูจิก็นั่งพักผ่อนอยู่บนโซฟาพลางมองการทำงานแบบบ้าคลั่งของโซล่าไปพลาง
ต่างกับยูจิ โซล่าไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แถมยังลงแรงทั้งหมดกับการวิจัยข้อมูลอีก ทำให้ยูจิแอบสงสัยไม่ได้เลยว่าโซล่าทำไปได้ยังไง ..แอบคล้ายกับเรเซอร์ในช่วงสามสัปดาห์มานี้เล็กน้อย
“คุณโซล่าปกติทำงานแบบนี้ตลอดเลยเหรอครับ”
“ไม่หรอกค่ะ อันนี้ฉันค่อนข้างรีบเลยฝืนตัวเองไปหน่อย ปกติฉันจะนอนพักสักสามชั่วโมงก่อนค่อยตื่นมาทำงานต่อ”
“อันนั้นก็เอาเรื่องอยู่ดีนี่ครับ”
ยูจิยิ้มเจื่อนๆ โซล่าได้ยินก็หัวเราะเบาหวิวโดยที่ยังไม่หยุดมือ
“ทุกคนก็รู้รักคุณดีไม่ใช่หรือคะ”
จู่ๆโซล่าก็ชวนคุย
“เห็นครั้งแรกที่เจอกันมาบ่นให้ฉันฟังอยู่เลยนะคะ ว่าตัวเองไม่จำเป็นต่อโลกบ้าง ทุกคนไม่มีผมยังดีซะบ้างน่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นแล้วยูจิก็เขิน
“ตอนนั้นมัน ..ช่วงดิ่งๆน่ะครับ”
“นั่นสินะคะ คนเราก็มีกันหมดช่วงนั้น”
โซล่าหยุดมือและหันมายิ้มให้ยูจิ
“ขอบคุณนะคะ”
“..เรื่องอะไรเหรอครับ?”
“ที่ยอมเชื่อฉันน่ะค่ะ เพราะคุณ ยัยหนิงเลยยอมไม่บอกคนอื่นตามไปด้วย”
(ยัย สินะ สองคนนี้สนิทกันจังเลยนะ ฮะๆๆ)
การได้เห็นสนิทกับคนอื่นนอกจากตัวเอง สำหรับยูจิมันแอบรู้สึกดีพิลึก ไม่ใช่ว่าอยากกีดกันหนิงให้ออกไปไกลๆ แต่แค่ดีใจที่หนิงไม่ได้ยึดติดกับตัวเองอย่างเดียว
“คุณโซล่าสนิทกับคุณหนิงจังเลยนะครับ”
“จะว่าสนิทก็ได้ค่ะ ..”
โซล่าแอบยิ้มกับตัวเองอย่างพึงพอใจ
“จะว่าไป คิดยังไงกับหนิงบ้างคะ?”
คิดยังไง?
“แน่นอนว่าคุณหนิงเขานิสัยดีนะครับ ต้องชอบอยู่แล้ว”
“ชอบนี่ชอบแบบไหนกันคะ?”
ยูจิเอียงคอฉงน
“ชอบแบบไหน..”
“แบบครอบครัว แบบเพื่อน แบบคนรัก ไรงี้”
“แบบเพื่อนสิครับๆ”
ยูจิตอบกลับทันทีด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้เหตุใดโซล่ากลับสีหน้ารู้สึกเสียดาย แต่ก็ยังเลือกจะพูดบ่นหนิง
“มาว่าฉันว่านก หล่อนเองสภาพก็กึ่งนกแล้วล่ะย่ะ”
นก? กึ่งนก? ไม่เข้าใจเลย
“คุณยูจิเคยชอบใครแบบคนรักบ้างหรือเปล่าคะ?”
“..ไม่มีนะครับ แต่ก็..รู้สึกว่ามันไม่ใช่คำที่ไกลตัวนะครับ”
ยูจิแหงนหน้ามองเพดาน และมีเศษเสี้ยวความทรงจำเข้ามาในหัว
หญิงสาวผู้มีเลือนผมสีขาวอมทอง …คล้ายกับคนๆหนึ่ง แต่ว่าไม่ใช่ ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีความรู้สึกชอบคนที่คล้ายกันแบบคนรักในเวลานี้ ทว่า ..พอพูดถึงชอบแบบรัก รักแบบคนรักแล้ว ..กลับมีใบหน้าของโซล่าเข้ามาในหัวของยูจิ มันกลบภาพของหญิงสาวผมสีขาวอมทองจนหมด
ดูน่าเศร้า แต่ความรู้สึกเป็นสิ่งที่อธิบายได้ยาก บางทีเหตุผลมันก็ไม่ต้องมีเหตุผลที่มากมาย คนเราก็รักใครคนหนึ่งได้แล้ว เพียงแค่รูปลักษณ์ก็ได้ แค่ได้ยินเสียงก็ได้ ตามสัญชาตญาณก็ได้ ไม่ว่าอะไรก็ได้ทั้งหมด
ยูจิหันไปมองหน้าโซล่าและนึกถึงคำพูดของโซล่าที่เคยมอบให้ตัวเอง
‘ได้คุณช่วยไว้เลย’
นั่นเหมือนกับประโยคปลดล็อคความรู้สึก …ใบหน้าของยูจิแดงขึ้นมา เริ่มทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะตอบโซล่ากลับยังไง ยูจิได้ตกลงในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว—แต่จังหวะนั้นโชคดีที่หนิงมาก่อน เธอพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือนผมสีขาวอมทองของหล่อนกระแทกเข้าหน้ายูจิ
หนิงโย้นเสบียงทั้งหมดไว้บนโซฟาที่ยูจินั่งอยู่ และลงมานั่งข้างๆยูจิ
“อันนี้ส่วนของมื้อเช้านะทุกคน มาๆ มากินกันเถอะ”
หนิงพูดพลางตบโซฟาที่กว่าครึ่งโดนเสบียงอาหารครองไว้ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดนี่ยังเป็นเพียงแค่มื้อเช้าเท่านั้น ..ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหนิงกะกินคนเดียวซะ 9/10 ได้เลย
ยูจิถอนหายใจโล่งอก และหันไปหาโซล่า
“คุณโซล่าชอบคุณเรเซอร์สินะครับ?”
“ค่ะ ทูลหัวเลยค่ะ”
โซล่าพูดอย่างนั้นด้วยรอยยิ้มแบบหยอกเล่น
ยูจิหัวเราะแห้งๆ และรู้สึกแปลกใจ เพราะตามบันทึกที่เคยอ่าน ถ้าเกิดชอบใครเข้าควรจะหึง แต่ยูจิไม่เลย กลับกัน เขาดีใจที่เป็นเรเซอร์ด้วยซ้ำ ในใจลึกๆของยูจิ เขาเริ่มอยากจะช่วยให้โซล่าสมหวังกับเรเซอร์ขึ้นมาแล้ว เพราะอยากให้เธอที่มอบคำพูดที่แสนอบอุ่นให้ตนเองมีความสุขล่ะนะ
ยังไงซะการที่คนที่ตัวเองชอบที่สุดสองคนได้สมหวังกันก็เป็นเรื่องที่ดี ยูจิคิดเช่นนั้นอย่างบริสุทธิ์ใจ
****
ในขณะเดียวกัน บนเรือส่วนตัวอันหรูหราที่กำลังมุ่งหน้าทางเกาะวาเรอร์นั้นมีหนึ่งในสามปีศาจเจ็ดมหาบาป ลูซิเฟอร์ แอสโมเดียส และบิลเซบับอยู่
ทั้งสามกำลังยืนรับลมอยู่หน้าเรือส่วนตัว โดยที่ข้างหลังมีเรนกำลังนั่งกินไวน์โดยที่มีอลิซาเบธคอยบริการความสะดวกให้
เรนมองแผ่นหลังของปีศาจมหาบาป พลางยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ
“ใครจะคิดล่ะว่าพวกปีศาจมหาบาปจู่ๆก็ยื่นข้อเสนอสุดจะจิตนาการมาให้”
“ข้อเสนอนั่นน่าเชื่อถือแน่หรือคะ?”
อลิซาเบธชักถาม เธอยังไม่ได้ไว้วางใจพวกปีศาจมหาบาปซะเท่าไหร่ เพราะพวกนั้นมันต่างกับเธอที่ชอบทำตามใจตัวเองซะส่วนใหญ่ ถ้าไม่ใช่จอมมารไม่มีใครคุมพวกมหาบาปไหวแน่นอน
“อย่าวิตกไป ถึงจะเป็นพวกเอาแต่ใจ แต่ถ้าเพื่อจอมมารเจ้าพวกนี้ไม่มีทางหักหลังแน่นอน”
“รับทราบค่ะ จะว่าไป..เรื่องของเมอัน”
ตามที่รู้กันว่าเมอันถูกส่งไปสอดแนมที่เกาะวาเรอร์ก่อนที่เรนจะมา และก็ขาดการติดต่อไปเลย
“ปล่อยๆไปเถอะ คิดซะว่าเป็นรางวัล”
“..ค่ะ ..” อลิซาเบธเงียบไปก่อนที่หูของเธอจะกระตุก “เมื่อสักครู่นี้ มีการติดต่อมาจากเทพดาบแล้วก็ดาบมังกรเหล็กค่ะ นายท่าน”
“ติดต่อมาว่าไง”
“ตรวจสอบรายละเอียดวิทยาลัย และกำลังพลอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว เรื่องที่อยู่ของเทียนหลงยังอยู่ระหว่างตรวจสอบอยู่ ตามนี้ค่ะ”
เรนวางแก้วไวน์ลงโต๊ะข้างๆก่อน
“รายละเอียดทั้งหมด จะส่งเป็นรายงานให้มา คาดว่าจะถึงสองวันถัดจากนี้นะคะ”
“หืม อือ ไม่เลว สมกับเป็นเทพดาบที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเครื่องจักรสารพัดประโยชน์ในสงคราม หาข้อมูลได้รวดเร็วจริงๆ ..เรื่องแผนการบุกชิงตัวค่อยวางหลังจากได้ข้อมูลทั้งหมดครบถ้วน แต่ก็นะ พอเดาได้อยู่แล้วว่าเอเธอร์มันโผล่หัวมาแน่”
เรนขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
“..ครั้งนี้จะเอาคืนให้ดูทั้งเอเธอร์” เรนแสยะยิ้ม “นี่ อลิซาเบธ”
“?”
“เธอไม่คิดว่าเกาะวาเรอร์คราวนี้มันมีแต่องค์ประกอบที่น่าสนใจหรือไง”
อลิซาเบธยังคงไม่เข้าใจ เพราะที่เธอทำก็แค่ทำตามคำสั่งเรนผู้เป็นนายเหนือหัวเท่านั้น ไม่มีอารมณ์ตื่นเต้นกับเรื่องราวต่างๆเช่นเดียวกับเรนหรอก เรนเองก็น่าจะเข้าใจดีแท้ๆ
“ที่เกาะนั้นมีร่างเกิดใหม่ของเทพ จอมมาร ตัวตนที่แกร่งสุดบนโลก มังกรสวรรค์ เทพดาบและดาบมังกรเหล็กผู้ได้รับนามเทพดาบตามที่ทุกคนเข้าใจกัน ..ยิ่งไปกว่านั้นยังมีไอ้ตัวประหลาดที่เล่นนอกบทบาทตัวเองอีก” เรนจ้องเกาะวาเรอร์ที่ไกลออกไปเขม็ง “เรเซอร์ ดราแคล์ ..ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับแก ทำไมครั้งนี้ถึงได้ต่างออกไปจากทุกครั้ง เป็นผลกระทบจากการบิดเบือนของโลกเหรอ? ไม่รู้ แต่ในศึกคราวก่อนทำให้ทางนี้ตระหนักรู้เลยล่ะว่าแก—คือตัวตนที่ต้องฆ่าให้ได้โดยเร็วที่สุด”
เรนนึกย้อนกลับไปตอนที่พูดคุยกับเทพแห่งธรรมชาติ เอโด-เวโด้ หรืออีกนามคือคาร่า ตอนนั้นคาร่าเลือกที่จะเผชิญหน้ากับเรนเพื่อขวางไม่ให้ไปเล่นงานเรเซอร์ต่อ ไม่รู้ว่าทำไม แต่ถ้าทำถึงขนาดทำให้เทพที่วางตัวเป็นกลางไม่ยุ่งกับใคร ทำพฤติกรรมกึ่งๆเข้าพวกได้เช่นนี้ย่อมทำให้เรนสังหรณ์ใจไม่ดี
เพราะอย่างนั้นเป้าหมายของเรนในคราวนี้เลยไม่ใช่แค่การชิงตัวร่างเกิดใหม่ของเทพและจอมมาร ยังรวมถึงการฆ่า ‘ตัวร้ายที่เล่นนอกบท’ อีกด้วย
ในไม่กี่วันถัดจากนี้ จะเกิดสมรภูมิรบขึ้นที่เกาะวาเรอร์อย่างแน่นอน
MANGA DISCUSSION