< < 106 > >
ตั้งแต่ที่จำความได้ ตัวฉันก็ไล่ตามพี่ชินดร้ามาโดยตลอด พี่ชินดร้าทำอะไร ฉันก็จะทำตาม ก้าวตามเธอทุกก้าว แม้แต่ดาบที่รักนักรักหนา ฉันก็เรียนมันเพราะอยากเป็นเหมือนพี่ชินดร้า อยากทำได้เหมือนคนที่ฉันเคราพรักที่สุด
ฉันไม่คิดว่าการไล่ตามใครสักคนมันเป็นสิ่งที่ผิด ต่อให้มันจะไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการจริงๆ แต่มันก็ไม่ผิดสักหน่อยที่จะเดินตามคนที่รู้สึกเคราพ
ตลอดมา ฉันไล่ตามเธอได้ตลอด พี่ชินดร้าไม่ใช่คนที่ไกลเกินที่คนอย่างฉันจะยืนระดับเดียวได้ ฉันสามารถยืนเคียงข้างได้
กระทั่งตอนเธอตายไปแล้ว เท่าที่ตอนนั้นรู้น่ะนะ ..ในทุกวันก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม ฉันจะฝึกแต่สิ่งที่พี่ชินดร้าฝึกมาโดยตลอด เพราะอย่างนั้นทุกๆวันไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลย
จนถึงช่วงหนึ่งที่ฉันได้พบกับ ‘ยูจิ’ หมอนั่นคือคนถัดจากพี่ชินดร้าที่ฉันเคราพนับถือแล้วก็อยากเดินผ่านแผ่นหลังนั้น ต่อให้แผ่นหลังของยูจิมันจะเล็กกว่าฉันแค่ไหนในภายนอก แต่ในจิตใจของฉัน แผ่นหลังของยูจิมันใหญ่เกินกว่าที่ฉันจะเทียบได้
ราวกับว่ายูจิกำลังแบกอะไรบางอย่างอยู่ ..ยูจิคือคนที่จะแบกทุกอย่างไว้คนเดียวเพื่อทุกคน จะยิ้มให้ทุกคนเสมอต่อให้ชีวิตของตัวเองจะลำบาก นั่นล่ะยูจิ
ไม่รู้ทำไม แต่ตัวยูจิมีสเน่ห์บางอย่างอยู่ มันเหมือนสเน่ห์ติดตัว—เอกลักษณ์ที่คนอย่างฉันไม่มีทางมีมัน อาจจะนี่ด้วยส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันนับถือยูจิ ..มันควรมีแค่นี้แหละ แต่ในใจมันรู้สึกค้างคาอยู่ ให้กล่วาเป็นคำสั้นๆก็คงเป็น ‘เศษเสี้ยว’ อะไรสักอย่าง ที่ทำให้การเจอกันของยูจิและฉันคือโชคชะตา
ฉันไม่รังเกียจโชคชะตานั้น ..ฉันอยากจะยืนเคียงข้างยูจิ ต่อให้พี่ชินดร้าจะยังไม่ตาย แต่ตอนนี้คนที่ฉันอยากยืนเคียงข้างไม่ใช่เธออีกแล้ว แต่เป็นยูจิต่างหาก
ยูจิมีเป้าหมายอยู่ ฉันอยากเป็นส่วนหนึ่งในที่นำพาหมอนั่นไปสู่เป้าหมาย
เพราะอย่างนั้นแหละ ..ฉันถึงเริ่มชิงชังตัวเอง ที่รู้ตัวว่ากำแพงพรสวรรค์ระหว่างฉันกับยูจิมันสูงเกินไป ไม่ใช่แค่นั้น ผู้หญิงที่ฉันชอบก็ยังไปชอบยูจิอีก ตลกร้ายอะไรกันนะ ..กระทั่งดาบที่ฉันยืดถือมาตลอดก็ถูกยูจิก้าวข้ามไปได้ในไม่กี่วัน
รู้ตัวอีกที ฉันก็อิจฉาในยูจิ รู้สึกเกลียดตัวเองยิ่งกว่าเก่า ..อย่างน้อยๆ ถ้าฉันมีพลัง ถ้ามีพลังระดับเรเซอร์ ฉันคงจะยืนเคียงข้างยูจิและคอยให้คำแนะนำได้ หรืออย่างเคียวยะ ฉันคงจะพัฒนาตัวเองไปได้พอๆกันกับยูจิ และร่วมกันแก้ปัญหา
พอรู้อย่างนั้นก็เลยเกิดคิดขึ้นมาว่าตัวเองยังจำเป็นอะไรอีก
คนอ่อนแอ ไม่คู่ควรจะอยู่ข้างยูจิหรอก ตัวฉันไม่สมควรเป็นเพื่อนกับยูจิเลยสักนิด..ฉันคิดอย่างนั้นน่ะนะ
****
แสงจากไฟอ่อนๆส่งไอร้อนมาถึงใบหน้า แสงไฟนั้นช่วยดึงฉันออกจากโลกในจิตใต้สำนึกที่แสนน่าเศร้า เปลือกตาค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นทิวทัศน์โดยรอบที่มืดสนิท มีเพียงแค่แสงไฟจากแคมป์ไฟเท่านั้น
ฉันหันไปมองข้างๆก็พบกับเด็กสาวเมื่อครู่ ..เธอนั่งอยู่ใกล้ฉันมาก ที่สำคัญยังจ้องหน้าฉันอยู่ด้วย
ถ้าเป็นยูจิคงจะเขินไปแล้ว แต่เสียใจด้วย ฉันมีภูมิต้านทานเรื่องผู้หญิงทำให้ใกล้แค่นี้ไม่เขินหรอก
“จำได้รึเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?” เธอถาม
“..เกิดอะไรขึ้น..เหรอ”
ความทรงจำเมื่อตอนก่อนจะหลับพลันแล่นเข้ามาในหัว พอรู้แล้วก็แทบจะหายใจไม่ออก ตัวสั่นระริก
“สะ สัตว์ประหลาด!”
“ปฎิกิริยาปกติล่ะนะ”
ฉันรีบตรวจสัมผัสร่างกายตัวเองทันทีว่ามีช่วงไหนขาดหายไปรึเปล่า ยังครบสามสิบสองอยู่มั้ย หรือสมองได้รับผลกระทบหนักจนน่าเป็นห่วงรึเปล่า ถึงทั้งหมดมันจะต้องวินิจฉัยอีกทีทีหลังก็เถอะ แต่ตอนนี้สติฉันไม่อยู่กับตัวแล้วเลยตรวจร่างกายไปแบบส่งๆ
ไม่รู้ทำไมดันมีคนขำกับท่าทางของฉันซึ่งไม่มีทางเป็นเด็กสาวอารมณ์ดูไม่ดีตลอดเวลา แต่เป็นชายชราที่มีจุดเด่นแค่กระเป๋าสะพายดาบ แกเป็นคนที่ยื่นการประลองสุดไม่แฟร์มาให้ฉัน
ขำใหญ่เลย ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าขำ—รู้สึกโกรธขึ้นมาเลย
“ไม่ได้เห็นปฎิกิริยาแบบนั้นตั้งนาน”
“ปกติตายก่อนจะได้กลัวล่ะนะ”
เด็กสาวหยักไหล่ให้เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ชายชราก็หัวเราะเป็นปกติอีก
“เรื่องตลกไว้หอมปากหอมคอนะ แล้วหนุ่มน้อย ร่างกายปกติดีใช่รึเปล่าน่ะ?” ชายชราถาม
“..ถึงจะถามอย่างนั้นก็เถอะ แต่ก็ไม่แน่ใจเลยครับ”
“เหรอ จริงๆทางนี้ก็อยากรับผิดชอบนะ เพราะคนของทางนี้ดันเล่นแรงเกินไป”
ที่ทำยังอยู่ในขอบเขตุของการละเล่นอยู่เรอะ!? ตัวฉันปลิวทั้งๆที่ดาบยังไม่ทันได้สัมผัสร่างเลยนะเห้ย!
น่ากลัว โลกนี้มีพวกน่ากลัวเยอะเกินไปแล้ว! พอเห็นสองคนนี้ฉันก็เห็นภาพซ้อนทับเป็นเอเธอร์ แล้วก็ปวดขมับขึ้นมาเลย อยากตะโกนด่าทันทีเลยล่ะว่า ‘ไอ้พวกไร้สามัญสำนึก!’
จะว่าไปโลกนี้ก็น่ากลัวเนอะ พอเก่งขึ้นมากๆแล้วสมองก็ดันมีปัญหาขึ้นมาแทนอีกเนี่ย
“ยังไงก็แล้วแต่นะหนุ่มน้อยนี่ก็มืดมากแล้ว”
มืดแล้ว ..นั่นสินะ ตอนนี้ฉันน่าอยู่ในถ้ำเลยไม่รู้ว่ากี่โมงกี่ยามแล้ว
ฉันเป็นรูมเมทกับยูจิด้วยสิ ถ้ารู้ว่าดึกดื่นขนาดนี้แล้วฉันยังไม่กลับคงเป็นห่วงแน่
“นั้นขอกลับก่อนนะครับ”
“นี่มืดมากแล้ว กลับคนเดียวอันตราย”
“ไม่เป็นไรหรอกน่าๆ แค่ลงเขาเอง”
“บนภูเขามีงูแถมยังมีพิษด้วย ถ้าเป็นพวกที่ ‘ร่างกายอ่อนแอ’ แบบเจ้าหนูโดนกัดไปสักทีก็พอทนไหวอยู่หรอก”
แล้วจะพูดทำซากไรเล่า
“แต่พวกงูในป่ามันทำงานกันเป็นทีม เป็นเผ่าพันธ์รูปแบบพิเศษ ต่อให้ฉันแต่ถ้าพลาดโดนพวกมันรุมกัดเป็นสิบตัวก็ได้เจ็บเหมือนกัน เพราะนั้นกลับเองได้ตายแน่ ..แล้วก็ได้หลงทางแน่ๆขืนกลับเองน่ะ”
เด็กสาวพูดทำเหมือนฉันเป็นเด็กอย่างไรอย่างนั้น รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเลย ฉันเกร็งยิ้มที่ไม่มีเศษเสี้ยวของความจริงใจและพูดด้วย
“อ่อ เรอะ แล้วจะไปส่งมั้ยล่ะ?”
“ไปส่งเจ้าหนูนั่นแทนทีสิ”
เด็กสาวพูดสั่งชายชรา ..ในมุมของฉัน ฉันว่าวัยรุ่นอย่างหล่อนนี่แหละที่ต้องไปส่งฉัน รู้แล้วน่าจะมีภูมิเรื่องในป่าพอสมควร แล้วดูฝากฝีมือก็เก่งกว่าฉันมากด้วย ทำเอาไม่อยากเชื่อเลยว่านี่มาจากคนอายุพอๆกัน
ทว่าพอโดนสั่งแต่ทางชายชราก็ไม่ได้ตำหนิอะไร กลับกันเขาลุกขึ้นยืนแบบไม่บ่นไม่กล่าวอะไร
“เดี่ยวไปส่งเองนะหนุ่มน้อย”
“อ่า ..ครับ”
ฉันลุกขึ้นจะตามชายชรา แต่ก่อนหน้านั้น ..
“จะว่าไป ..ชื่ออะไรล่ะ อายุพอๆกันด้วย ว่าไงดีล่ะ—วิชาดาบที่ใช้ยอดเยี่ยมมาก ถึงจะนิสัยเสียแต่ก็มีฝีมือสูงกว่าฉันมาก ในฐานะผู้ใช้ดาบบางทีอาจเก่งที่สุดที่ฉันเคยรู้จักเลยด้วย”
ฉันหลีกเลี่ยงไม่เรียกเธอว่านักดาบเพราะเธอคงไม่ชอบ แต่ดูแล้วทางเธอน่าจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกระมัง
“ฝีมือของเจ้าก็ไม่เลว ฝึกต่อไปเสีย”
เป็นคนที่วางมาดเก่งเหลือเกินนะ ..
“เลยอยากรู้ชื่อน่ะ ในฐานะคู่แข่งล่ะนะ”
พูดจบฉันก็ทุบหน้าอกตัวเองอย่างมั่นอกมั่นใจ
“คู่แข่ง? ..คนที่เรียกข้าว่าคู่แข่ง ล่าสุดก็มีแค่ตาเฒ่านั่นล่ะนะ”
ตาเฒ่า คงหมายถึงชายชราแหละ เพราะพอเธอพูดอย่างนั้นชายชราก็สะดุ้งเฮือกและเหงื่อตกใหญ่เลย
“เรียกข้าว่า ‘แกนน่อน’ ล่ะกัน”
แกนน่อน ..ฉันคุ้นเคยชื่อนี้ดี ในฐานะนักดาบไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของเขาหรอก ตัวตนในตำนานผู้คิดค้นเทคนิคดาบทั้งหมด เป็นผู้ใช้ดาบที่เก่งจนผิดแปลกจากคนทั่วไปถึงขนาดเกิดฉายาอย่าง ‘เทพดาบ’ ขึ้นมาในยุคของแกนน่อน และสืบทอดต่อๆกันมาจนถึงปัจจุบัน
แน่นอน ตัวฉันคือนักดาบย่อมมีแกนน่อนคือไอดอลแน่นอน เพราะแกนน่อนเป็นต้นตระกูลของวิชาดาบในปัจจุบันนี้ทุกวิชา อย่าง [จังหวะแตะสายลม] กับ [ดาบประกายแสง] ที่เป็นพื้นฐานของวิชาดาบขั้นกลางกับขั้นสูงก็ได้มาจากแกนน่อนน่ะแหละ
แต่น่าแปลกที่คนที่ดูจะเกลียดนักดาบ จะมีชื่อเหมือนกับเทพดาบรุ่นแรกแบบนี้ เหมือนตลกร้ายเลยแฮะ
“ครอบครัวแกนน่อน คงเป็นครอบครัวนักดาบสินะ เกลียดดาบแท้ๆแต่ดันมีชื่อเหมือนเทพดาบ แปลกดีเนอะ”
“ชื่อนี้ไม่ได้ผิดหรอก ขืนพูดแบบนั้นอีกหัวของเจ้าได้หลุดออกจากบ่าแน่–แล้วครอบครัวข้าก็แค่ชาวไร่ชาวนาทั่วๆไปเท่านั้น”
พูดจบเธอก็ถอนหายใจ ‘ฟู่วๆ’ และขบตาหลับลง เหมือนตั้งใจจะจบบทสนทนากับฉันเอาดื้อๆ เป็นคนที่แปลกๆ ให้ความรู้สึกเหมือนคุยกับเอเธอร์เลยคือคาดเดายาก
“อย่าไปสนที่เธอพูดมากเลยล่ะกันนะ ถึงเธอจะเป็นคนไร้มารยาทแต่ก็มีด้านดีๆเหมือนกันนะ อย่างการสั่งให้ฉันไปส่งหนุ่มน้อยไง”
“จะเป็นอย่างนั้นแน่เหรอครับ ฮะ ฮะ ฮะ ..ว่าแต่คุณชื่อ?”
“‘เกรย์’”
ชื่อเหมือนผู้หญิงเลยแฮะ แต่เดี่ยวนะ เกรย์นี่ก็..
“ชื่อเทพดาบคนปัจจุบันนี่นา”
มันอะไรกัน ทั้งสองคนเลย เลียนแบบชื่อของเทพดาบมันทั้งคู่เลย
“โดนทักบ่อยๆเหมือนกันนะ แต่เทพดาบตัวจริงแก่กว่าฉันอีกนะ”
รู้อยู่แล้วล่ะว่าไม่น่าใช่เทพดาบตัวจริง น่าจะเป็นคนชื่อเหมือนมากกว่า ก็เกรย์นี่ชื่อโหลจะตาย แถมยังเป็นชื่อผู้หญิงอีก หลายๆสำนักตั้งข้อสันนิฐานว่าเทพดาบคนปัจจุบันเป็นผู้หญิงไปหลายแห่งแล้วด้วยซ้ำ
ยังไงก็ช่าง ลุงเกรย์เขาเคยเจอเทพดาบ ดูเหมือนโม้ก็จริงแต่เจ้าตัวมีออร่าความน่าเชื่อถืออยู่มากเลย ทำให้ผมไม่นึกสงสัยแม้แต่น้อย
“คะ เคยเจอด้วยเหรอครับนั่น โหว อย่างเจ๋ง!”
เทพดาบคือจุดสูงสุดของนักดาบ ต่อให้ไม่เก่งเท่า แต่แค่ได้พบเจอก็นับว่าเป็นเกียรติแล้ว ครั้งหนึ่งในชีวิตฉันก็อยากเจอเทพดาบเหมือนกัน จากที่ไกลๆก็ได้ แค่นั้นก็พอ
“ดูจากหน้าแล้ว คงมีเรื่องอยากคุยเยอะเลยสินะ ในฐานะนักดาบด้วยกัน” ลุงเกรย์ขยิบตาให้ “ถ้ายังไงเดินไปคุยไปดีกว่านะ จะได้ประหยัดเวลาด้วย”
“อะ โอ้! ครับ!”
ในฐานะนักดาบสินะ ลุงเกรย์เป็นนักดาบจริงๆด้วย ต่างกับยัยแกนน่อนอะไรนั่น เป็นคนที่ฉันคุยด้วยถูกคอได้แน่ๆ
ว่าแล้วลุงเกรย์ก็พาฉันไปส่งและระหว่างทางพวกเราก็คุยกันไปด้วย
ลุงเกรย์คือผู้ใหญ่ที่คล้ายกับวัยรุ่น ต่างกับแกนน่อนที่เป็นตาแก่ในร่างเด็ก ลุงเกรย์คือวัยรุ่นในร่างเด็ก เขาใช้คำแบบวัยรุ่นแล้วก็เข้าถึงง่ายด้วย ทำให้ไม่นานผมก็คุยล้อเล่นกับลุงเกรย์ได้ชิลๆ
ตอนนี้ฉันกำลังเดินผ่านป่ามืดที่มองทางแทบไม่เห็น แถมยังมีพื้นต่างระดับอยู่เยอะทุกๆย่อมก้าว เพราะมืดแล้วทำให้เดินลำบากขึ้นมาก ตามปกติควรอย่างนั้นล่ะ แต่ผมมีพลังกายระดับนักดาบขั้นสูงไม่พอ ยังมีลุงเกรย์ที่ดูเชี่ยวชาญเรื่องในป่าคอยแนะนำอีก ทำให้สามารถเดินไปคุยไปได้แบบสบายใจ
“ว่าแต่ทำไมถึงเรียกแกนน่อนว่าอาจารย์เหรอครับ?”
“ก็แกนน่อนคืออาจารย์ของฉันนี่ ทางเจ้าหนุ่มเองก็มีอาจารย์เหมือนกันนี่ เวลาเรียกอาจารย์ต้องเรียกยังไง ไหนบอกทีสิ”
“อาจารย์คร้าบบบบ แบบนี้แหละครับ แต่ถึงจะบอกว่าอาจารย์ก็เถอะ ..อายุไม่ต่างกันหน่อยเหรอครับนั่น”
ลุงเกรย์หัวเราะร่า
“นั่นสินะ ฉันดูแก่กว่าแกนน่อนเยอะเลยนี่ แต่ถ้าเป็นเรื่องฝีมือ แกนน่อนน่ะเหนือกว่าฉันอีกนะ”
เหนือกว่าลุงเกรย์ ..
“ว่าแต่ลุงเกรย์ฝีมือดาบนี่ประมาณไหนล่ะครับ ไอ้ผมก็อยากอึ้งแล้วพูดว่า—บ้าน่า เหนือกว่าลุงเกรย์เนี่ยนะ!? อยู่หรอก”
แต่ไม่รู้เนี่ยสิว่าเก่งขนาดไหน ถ้าดูจากอายุแล้วทางฉันแอบมั่นใจว่าฉันน่าจะเก่งกว่าอยู่แหละ ก็แก่แล้วอะไรๆก็ควรแย่ลงนี่
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก”
ไม่เท่าไหร่—นี่คือคำที่พวกเก่งจริงชอบพูดกัน
ในฐานะกระสอบทราย ใช่ กระสอบทราย ฉันจะทำเทียร์ลิสต์ความแข็งแกร่งให้ดูเป็นภาพเอง โดยอิงจากคำพูด เพราะอยู่ในฐานะตัวรับดาเมจทำให้ฉันสามารถวิเคราะห์ประโยคพูดอีกฝ่ายออกมาเป็นค่าพลังได้
ระดับSSS พวกไร้สามัญสำนึก เป็นพวกที่ชอบพูดอะไรงงๆแล้วก็มั่นหน้านิดหน่อย เจ้าพวกนี้ก็อาทิเช่น เอเธอร์และแกนน่อน
ระดับSS พวกถ่อมตัว เป็นกลุ่มที่เก่งจริงแต่ไม่พูดเยอะ ชอบบอกว่าไม่ขนาดนั้นหรอก คนจำพวกนี้ก็อย่างลุงเกรย์น่ะแหละ
ระดับS ขี้โม้แต่เก่งจริง คนใกล้ตัวฉันเลยก็เรเซอร์ ไม่รู้ว่าเก่งขนาดไหนหรอก แต่เพราะแอบขี้โม้ทำให้รู้สึกว่าไอ้หมอนี่คงจะดีแต่ปาก ถึงจะเก่งจริงแต่ก็ดีแต่ปาก เป็นประเภทน่าหมันไส้
แบ่งได้ราวๆนี้ล่ะนะ ตามเซ้น
แล้วฉันล่ะอยู่ประมาณไหน—-แน่นอน ไม่เกิน B คิดว่า
ลุงเกรย์ชำเลืองมองฉันที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย
“เด็กวัยรุ่นสมัยนี้สนใจเรื่องความแข็งแกร่งจังนะ”
พวกนักดาบเก่งๆมักจะอ่านใจอีกฝ่ายได้ ไม่ได้เปิดอ่านตรงๆเลย แต่เป็นในรูปแบบคาดเดา แน่นอนไม่ว่าจะอย่างไหนมันก็น่าขยะแขยงเหมือนกันหมด
“แหงสิครับ นักดาบเก่งๆในตำนานส่วนใหญ่ก็สนใจแต่การท้าดวลนี่ครับ อย่างเทพดาบ”
“เทพดาบไม่ใช่พวกเที่ยวประลองไปทั่วหรอกนะ เขาแค่มีรัศมีพิเศษที่ดึงดูดพวกผู้แข็งแกร่งทั้งใต้หล้ามาท้าดวลเป็นประจำเท่านั้นล่ะ”
“ว่าไงดีเนี่ย เท่กว่าไล่ท้าประลองไปทั่วเยอะเลยแฮะ ผมอยากเป็นแบบนั้นบ้างจัง”
ถ้าแข็งแกร่งได้อย่างเทพดาบ ฉันคงจะไม่ถ่วงแข้งถ่วงขายูจิ
“ไม่จำเป็นต้องเป็นเทพดาบหรอก เป็นตัวเองนั่นแหละหนุ่มน้อย”
เป็นตัวเองสินะ
“ถ้าผมบอกว่าตัวเองไม่อยากเป็นตัวเองล่ะครับ”
“เธอก็แค่ปฎิเสธตัวเองในตอนนี้เท่านั้นล่ะ ปัญหาไม่ใช่ตัวเธอ แต่เป็นจิตใต้สำนึกที่ทำให้เจ้าหนุ่มคิดอย่างนั้นต่างหาก”
“ผมเกลียดตัวเองที่อ่อนแอ”
ลุงเกรย์หยุดเดินทันที เขาหันมามองฉัน นั่นทำให้ฉันสะดุ้งเฮือก เพราะพึ่งนึกได้ว่าตัวเองดันไประบายอารมณ์ให้คนที่พึ่งรู้จักเฉยเลย
“ขะ ขอโทษด้วยนะครับ ไม่ได้ตั้งใจจะระบายให้หนักใจหรืออะไรนะ”
“ที่แท้ปัญหาของหนุ่มน้อยก็คือตัวเองที่อ่อนแอสินะ ..แล้วจะแข็งแกร่งไปเพื่ออะไรล่ะ”
…
“แน่นอน เพื่อคนใกล้ตัวครับ”
“ว่าไงดีล่ะ หนุ่มน้อยนี่แอบคล้ายฉันเหมือนกันนะ ..แข็งแกร่งเพื่อทุกคนสินะ นั่นน่ะยิ่งต้องเป็นตัวเองเลยนะรู้รึเปล่า”
ลุงเกรย์หยุดเดินและนั่งลงบนโขกหินแถวๆนั้น ส่วนฉันไม่ได้นั่งด้วยแต่ยืนพิงต้นไม้เอา
“ช่วยคุยเล่นกับตาแก่ที่ใกล้ตายคนนี้หน่อยได้รึเปล่าล่ะ?”
“ได้สิครับ”
ในตอนแรก ..คิดว่าลุงเกรย์จะมาพูดให้คำแนะนำฉันซะอีก แต่ที่ไหนได้
“ฟังนะ หนุ่มน้อย การออกดาบน่ะ มันต้องรวดเร็ว ไม่ว่าจะสไตล์ไหนก็ต้องเน้นเร็วไว้ก่อน แต่ก็นะ มันเบสิคอยู่แล้ว ที่ฉันจะสอนก็คือความไวคือต้นกำเนิดของวิชาดาบ วิชาดาบเกิดขึ้นได้จากการต้องการจะสังหารใครสักคนด้วยความรวดเร็ว แม้ในปัจจุบันจะมีเทคนิคดาบมากมายที่ไม่ได้เน้นความเร็วเป็นหลัก แต่—ความเร็วก็ยังคงเป็นพื้นฐานอยู่ดี เพราะสุดท้ายเป้าหมายก็คือการส่งดาบตัวเองผ่านร่างศัตรู”
เขาไม่ได้มานั่งสอนอะไร ไม่สิ ต้องบอกว่าสอนแหละ แต่เขากำลังสอนการใช้ดาบให้ฉันในรูปแบบทฤษฎี ไม่เหมือนตอนเรียนเรียนกับเอเธอร์ที่มักจะเป็นแบบปฎิบัติซะมากกว่า
“ง่ายๆเลยคือจะยังไงก็ช่าง เร็วไว้ก่อน”
“ที่สอนเนี่ย มีแต่สไตล์ดาบที่ลุงเกรย์ชอบไม่ใช่รึไง”
ดูก็รู้ว่าลุงเกรย์สอนได้ห่วยมาก สามารถรับรู้ได้เลย พอเอาไปเทียบกับเอเธอร์ที่สอนเป็นขั้นเป็นตอนได้มีหลักการ
“แต่แปลกแฮะ ลุงคือขาลุยสายโหดสินะ อย่างเจ๋งเลย สมัยวัยรุ่นน่าจะเฟรี้ยวพอตัวเลยนะเนี่ย”
“ไม่หรอกๆ ฉันไม่ใช่ขาลุยหรอก เทคนิคดาบส่วนใหญ่ของฉันคือการตั้งรับแล้วก็สวนมากกว่า”
“แต่บอกว่าให้เร็วๆเข้าไว้นี่”
“สวนกลับด้วยความเร็วไงล่ะ”
..อ่า จะว่าได้ก็ได้แหละ
“เทคนิคดาบที่หนุ่มน้อยเรียนอยู่เป็นแบบที่เน้นลุยโหมกระหน่ำใส่สินะ”
ถ้าดูจากสไตล์ดาบที่ใช้ก็อย่างนั้นล่ะ เทคนิคดาบขั้นสูง [ดาบประกายแสง] [ระบำดาบ] ทั้งสองเทคนิคก็มีไว้พุ่งโจมตีอีกฝ่ายเอาท่าเดียว ไม่มีถอยเลย
“ก็ใช่ครับ”
“หนุ่มน้อยไม่เหมาะกับทางนี้หรอก เลิกฝึกสไตล์ดาบสายลุยได้แล้ว”
ผมเลือกฝึกดาบสายนี้ก็เพราะมันเป็นสไตล์เดียวกับพี่ชินดร้า จะให้ทิ้งไปง่ายๆนี่ไม่ไหวหรอก
“ขอฟังคำอธิบายหน่อยครับ”
“หนุ่มน้อยเป็นพวกคิดก่อนทำ ดูจากความมั่นใจที่ไม่เหลือแล้ว คงจะแพ้มาเยอะสินะ”
“ก็..ครับ”
“ตอนที่วิเคราะห์เหตุการณ์ทัน ทุกอย่างก็จบไปแล้วใช่มั้ยล่ะ อย่างตอนที่ดวลกับแกนน่อน—ตอนที่เธอถูกซัดไปชนกับต้นไม้ แทนที่เธอจะใช้ต้นไม้เป็นแท่นพุ่งเข้าหาแกนน่อนต่อเลย แต่เธอกลับยืนบนพื้นเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ก่อน ซึ่งนั่นไม่ใช่คุณสมบัติที่นักดาบขาลุยต้องมีกัน มันคือคุณสมบัติของนักดาบสายตั้งรับ”
ก็จริงอย่างที่ลุงเกรย์พูด แต่ ..
“ฉันกำลังชี้ทางที่ทำให้แข็งแกร่งขึ้นอยู่นี่ไง ถ้าว่างพอคิดว่าตัวเองอ่อนแอ สู้มาพัฒนาตัวเองซะสิ หนุ่มน้อย”
ลุงเกรย์ยิ้มให้ฉัน ..ไม่รู้ทำไม แต่เพียงแค่ประโยคพูดเดียว ฉันก็แทบจะโยนวิชาดาบทั้งหมดของพี่ชินดร้าทิ้งแล้ว—ไม่สิ โยนทิ้งไปแล้วต่างหาก เพื่อให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น ฉันจำเป็นต้องก้ามข้ามตัวเองที่ยึดติดอยู่กับอดีต
จากนั้นลุงเกรย์ก็อธิบายศาสตร์ของนักดาบสายตั้งรับให้ฟังโดยละเอียด ปกติวิชาสายนี้จะเหมาะกับพวกที่ทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ ประเภทตัวตายตัวแทน เกิดมามีหน้าที่รับดาเมจและตายอย่างเดียว ซึ่งฟังดูไม่ดีเท่าไหร่เลย
ฉันเองก็ใช่ว่าจะไม่ศึกษาเลย แต่วิชาดาบสายป้องกันมันมีหน้าที่แค่ป้องกันนั่นแหละ ไม่สามารถทำความเสียหายให้ใครได้ ทว่า ..ลุงเกรย์กลับชี้ทางสว่างให้ และทำให้สไตล์ดาบสายป้องกันมีค่าพอจะเล่าเรียน
“ฉันไม่ใช่ครูสอนที่ดีหรอกนะ อาจจะทำให้เธอเจ็บได้ ถ้าเข้าใจแล้วก็เช็ดน้ำตากำดาบให้แน่น ..แต่ก่อนหน้านั้น ไปนอนก่อนเถอะ”
ลุงเกรย์ยกร่างตัวเองออกจากโขกหิน แกบิดขี้เกียจพลางหาวไปด้วย
“แต่ว่ายังไม่ได้ฝึกเลยนะ”
“พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ก็ได้นี่” ลุงเกรย์ยิ้มให้ “ฉันต้อนรับตลอดน่า ไม่ต้องห่วง”
ลุงเกรย์ดูเกร็งๆขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรไม่เข้าเรื่องอยู่ แต่นั่นทำให้เขาไม่กล้ามองหน้าฉันต่างกับก่อนหน้านี้
“ว่าไงดี ..ตาลุงอย่างฉัน เกิดมายังไม่เคยมีลูกศิษย์ด้วยสิ คงจะให้คำแนะนำให้หนุ่มน้อยไฟแรงอย่างเธอได้ไม่มีเท่าไหร่ แต่ก็นั่นสินะ ถูกใจเข้าแล้วล่ะ อยากได้หนุ่มน้อยเป็นลูกศิษย์แล้วล่ะ เพราะนั้นสนใจเป็นลูกศิษย์ของฉันรึเปล่าล่ะ ลูกศิษย์โดยตรงคนแรกและคนเดียวเลย”
คงอย่างนั้น อายุขนาดนี้แล้ว คงจะสอนใครต่อไม่ไหวแล้วล่ะ
“ฉันจะมอบวิชาดาบทั้งหมดที่มีในคลังสมองให้หนุ่มน้อยทั้งหมด แล้วก็ ..นั่นสินะ พอสำเร็จการศึกษาได้เมื่อไหร่ก็ต้องมีของจบการศึกษาให้ด้วย ว่าไง ข้อเสนอเย้ายวลดีใช่มั้ยล่ะ?”
“..ลุงเข้าใจยากจังเลยนะ”
“ฉันพูดใจจริงออกไปทั้งหมดเลยนะ มีส่วนไหนที่เข้าใจยากกันล่ะ”
“ทำไมต้องเป็นผม ..ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเก่งกว่าผมมาก ถ้าได้วิชาของลุงไป เขาต้องทำได้ดีกว่าที่ผมทำได้แน่ๆ”
ได้ยินถึงตรงนี้ลุงเกรย์ก็ถอนหายใจลากยาว
“มันคือสิทธิ์ของฉันที่จะเลือกลูกศิษย์ด้วยตัวเองนะ หนุ่มน้อย”
“ถ้ายังไงก็—”
ฉันกำลังจะบอกว่าให้เจอกับยูจิก่อน แต่ก็ถูกพูดขัดเอาไว้
“ใช่ว่าข้อเสนอของฉันไม่มีข้อแลกเปลี่ยน แล้วมันก็ต้องเป็นเธอที่ฉันถูกใจเท่านั้น”
“..ข้อเสนอ”
“ใช่ ข้อเสนอที่ทำให้ฉันยอมรับหนุ่มน้อยเป็นศิษย์”
ถ้าแบบนั้น ..ก็ค่อยโล่งอกหน่อย
“มันคือความฝันสูงสุดของฉันล่ะนะ แล้วก็ไม่มีทางเป็นจริงด้วย เพราะอายุมากแล้ว แต่ถ้าเป็นวัยรุ่นอย่างเธอ โอกาสเป็นไปได้คงจะมากกว่าลุงแก่จะลงโลงอย่างฉัน”
“ครับ ช่วยบอกทีครับถึงความฝันของลุงเกรย์”
ลุงเกรย์พยักหน้ารับ และโพล่งขึ้น—-ความฝันของลุงเกรย์ทำให้ฉันลืมตายใจไปหลายวินาที
“ฉันอยากจะชนะเทพดาบสักครั้งในชีวิต ..”
นั่นคือความฝันที่ยิ่งใหญ่ ..โค่นเทพดาบ
“วิชาดาบที่ถ่ายทอดให้เธอก็คือวิชาดาบที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อจะชนะเทพดาบให้ได้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จน่ะนะฉันจะฝากวิชาดาบให้เธอเอาไปพัฒนาต่อโดยที่ต้องแบกความฝันของฉันเอาไว้ด้วย นั่นแหละข้อแลกเปลี่ยน”
“จะให้ผม ..คะ โค่นเทพดาบเนี่ยนะ?”
แน่นอนว่าฉันเสียงสั่นใหญ่เลย เพราะมันคือเป้าหมายที่สูงส่งเกินกว่าที่ฉันคู่ควร
“ใช่ ถ้ามีโอกาสก็จงดวลกันซะ แน่นอน ต่อให้แพ้ก็ไม่ถือโทษโกรธกันหรอกนะ เพราะขนาดฉันในช่วงที่แกร่งที่สุดก็เอาชนะไม่ได้เลย”
กล่าวจบลุงเกรย์ก็หัวเราะร่า
“เอาไงล่ะ ได้ยินแบบนี้แล้วหายข้องใจรึยัง”
“..ช่วยได้เยอะเลยครับ—-ตกลงครับ”
ไม่รู้หรอกว่าทำไมต้องเป็นฉัน ไม่รู้ด้วยว่าทำไมถึงสนใจเด็กที่พึ่งเจอกันวันแรกได้ขนาดนี้ แต่ที่รู้ดีคือฉันอยากจะแกร่งมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นมีแต่ต้องยื่นมือไปเท่านั้น ต่อให้นั่นคือทางไปสู่ความตาย
ใช่ ..ทางไปสู่ความตาย ดูเป็นคำที่ไม่ได้ไกลเกินตัวฉันเลยแฮะ ราวกับเป็นเรื่องปกติของฉัน เป็นความรู้สึกที่แปลกดี
“ถ้านั้นก็”
ลุงเกรย์ ..อาจารย์เกรย์หยิบดาบที่อยู่ในกระเป๋าสะพายออกมา มันคือดาบที่อยู่ในฝักสีเงินลูกแก้วน้ำเงิน เป็นดาบที่ดูสง่างามและมีสเน่ห์ดึงดูดแปลกๆอยู่ ทำให้ละสายตาไม่ได้
“เงยหน้าขึ้นสิ แล้วก็ยื่นไหล่มาซะ”
ฉันทำตามที่อาจารย์เกรย์ว่า ให้ดาบที่ทรงพลังนั่นทับอยู่บนบ่าและสาบานตน—ภายใต้แสงจันทร์ ฉันได้สาบานตนเป็นลูกศิษย์ของเกรย์—เป็นผู้สืบทอดเขล็ดวิชาดาบ ‘พระจันทร์เสี้ยว’ เพียงคนเดียวบนโลก
****
อาจารย์เกรย์มาส่งถึงแค่ตรงถนนทางเดิน ฉันบอกลากับเขาแค่นี้และนัดเจอกันอีกทีพรุ่งนี้
ฉันถอนหายใจเฮือกโต รู้สึกว่าทุกอย่างมันผ่านไปมาเร็วมาก ตามไม่ค่อยทันสักเท่าไหร่เลย ..ฉันแหงนหน้ามองพระจันทร์
“เขล็ดวิชาดาบพระจันทร์เสี้ยว ..เป็นชื่อขั้วตรงข้ามกับเขล็ดวิชาดาบตระกูลประกายแสงที่มีต้นตำหรับเป็นเทพดาบ แม้แต่ในปัจจุบันนี้นักดาบส่วนใหญ่ก็ยังใช้กันอยู่” ฉันแสยะยิ้ม “ตั้งชื่อได้สมกับเป็นวิชาที่มีไว้เพื่อโค่นเทพดาบเลยแฮะ ..ต้องเรียกว่า เค้าเตอร์เมต้า สินะ สุดๆเลยแฮะ”
…ในขณะที่ฉันจ้องมองแสงจันทร์อยู่นั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น–พอหันไปมองก็พบกับยูจิที่วิ่งหน้าตั้งมาทางนี้
“โย่ว! ออกมาวิ่งเล่นตอนกลางคืนเหรอจ๊ะ?”
“หะ หาแทบแย่เลยครับ จู่ๆก็หายไปไหนมาครับเนี่ย!?”
“ฮะๆๆๆ โทษทีๆ พอดีนอนเล่นในป่าเพลินไปหน่อยน่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นยูจิก็โกรธเป็นฝืนเป็นไฟ
“นอนในป่า!? ถึงตายได้เลยนะครับนั่น ทำอะไรเสี่ยงๆแบบนั้นไม่ดีเลยนะครับ!”
นางฟ้าชัดๆเป็นห่วงกันด้วย—ไม่เสียชาติเกิดที่ได้เกิดมาเป็นเพื่อนกับยูจิจริงๆ
“โทษทีๆ ไม่ทำอีกแล้วน่า”
“เป็นไปได้ช่วยอย่าทำอีกนะครับ ..ยังไงก็เถอะเรย์”
“หืม?”
“หน้าดูดีขึ้นเยอะเลยนะครับ ไปเจออะไรดีๆมาสินะ”
“นั่นสินะ ไว้มีอารมณ์จะเล่าให้ฟังล่ะกัน”
“จะตั้งตารอนะครับ”
ยูจิคลี่ยิ้มที่ส่งกลิ่นอายอบอุ่นมาให้—-อ่า เข้าใจแล้ว
ฉันไม่ได้เป็นเพื่อนกับยูจิเพราะโชคชะตาหรอก ..แต่เป็นเพื่อนกับหมอนี่ด้วยใจจริงต่างหาก
MANGA DISCUSSION