< < 101 > >
ถัดจากนั้นหนึ่งวัน ทางวิทยาลัยเรดฮอตก็ได้เปิดการสอนใหม่ขึ้นที่
วันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มเรียนกันแบบเต็มหลักสูตร เพราะเป็นสถานศึกษาใหม่ทุกคนเลยสนใจเอามากๆ ระดับที่ทำให้นักเรียนที่ปกติไม่ชอบเข้าเรียนก็พากันเข้าเรียนทุกคน แค่นั้นไม่พอยังยืดหลังตรงและใจจดใจจ่อกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ
นับว่าเป็นภาพที่แปลกตาเอาเรื่อง เพราะปกติเจ้าพวกนี้จะนอนฟุ้บบนโต๊ะกันตลอด ..เอาเถอะ
ผมอมยิ้มเล็กน้อยด้วยความรู้สึกที่เหงานิดหน่อย เพราะโซเฟียกับกอรี่ที่ชอบส่งเสียงดังตอนนี้ไม่อยู่ด้วย จะมีก็แค่บักเคียวยะที่ชอบนั่งเงียบตลอดเวลา
“เมื่อคืนเมอันเป็นไงบ้างล่ะ”
“ก็เหมือนเดิม ยัยนั่นชอบแอบมองฉันฝึกเวทมนตร์ตลอดเวลาแบบเงียบๆ”
“จะว่าไปเมอันนี่กินข้าวเยอะจริงนะ”
“พอๆกับยัยหนิงเลย สมกับเป็นพวกมหามังกร ท้องไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ ..ทำเอาอยากตั้งชื่อพลังการกินให้ยัยพวกนั้นเลยว่า ‘ออโรโบรอส’”
“นั่นดูป่วย ม.2 นะ อย่าเลย”
เคียวยะทำหน้างงๆใส่ผม
“ป่วย ม.2 ? อะไรล่ะนั่น”
“ช่างเถอะ ว่าแต่ออโรโบรอสสินะ ถ้าตั้งแบบนั้นมันจะไปซ้ำกันชื่อเทพคนหนึ่งน่ะสิ แล้วคิดดูสิ ถ้าเกิดเทพคนนั้นรู้ว่ามันมีคนเอาชื่อตัวเองไปตั้งให้เป็นสกิลการกินของคนอื่นเนี่ย มันไม่ชวนรู้สึกว่า ‘..เอ๋ ฉันมีค่าแค่นี้เองเหรอ’ เลยนะ น่าสงสารแย่”
“ช่างมันสิ ไม่ใช่ว่าออโรโบรอสอะไรนั่นตายไปแล้วรึไง ตั้งแต่ยุคโบราณเพราะโดนจอมมารฆ่าน่ะ”
อย่างที่รู้ๆกันว่าแต่เดิมโลกนี้มีเทพสิบตน แต่เก้าในสิบโดนจอมมารฆ่าตายหมด เหลือเพียงหนึ่งคนเท่านั้นซึ่งก็คือเทพแห่งธรรมชาติ ‘เอโด-เวโด้’
แต่มีอย่างหนึ่งที่เคียวยะไม่รู้คือหลังจากเทพทั้งเก้าตาย ก้อนพลังงานของเก้าคนที่เหลือก็กลายมาเป็นพลังงานอย่างหนึ่งบนโลก อาทิเช่นเทพแห่งอมตะ ‘ไฮดะระ’ ที่กลาเยป็น ‘ไฮดร้า’ ซึ่งออโรโบรอสที่เคียวยะพูดถึงก็กลายเป็นพลังงานรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน
และเขาก็มีบทบาทสำคัญกับเนื้อเรื่องมากๆเลยด้วย เพราะ ‘ออโรโบรอส’ คือ—- ‘ยูจิ’ ไงล่ะ ยูจิเป็นเด็กที่เกิดมาโดยมีพลังของออโรโบรอสและความทรงจำอยู่ แล้วยังเสมือนว่ามีตัวตนของออโรโบรอสหลับใหลอยู่ในตัวยูจิ ทำงานคล้ายๆวิญญาณระดับเทพ ทั้งมอบพลังชั่วขณะให้ยูจิ มอบพรสวรรค์แต่กำเนิดให้ บางเวลาก็โผล่มาให้คำแนะนำด้วย และที่สำคัญเลยยูจิยังได้กฎของทวยเทพที่ห้ามตายมาด้วย ทำให้—-คนที่ฆ่ายูจิได้ก็มีแค่ข้อผิดพลาดของโลกอย่างจอมมารเท่านั้น นอกจากนั้นจะไม่มีใครที่ฆ่ายูจิได้สักคน ต่อให้จะเก่งกว่ายูจิร้อยเท่า แต่ยูจิก็ไม่มีทางตายแน่ๆ ต่อให้ตายก็จะฟื้นกลับมาใหม่ดั่งที่เห็นในช่วงงานเทศกาลโลหิตมังกร
นั่นเป็นเหตุผลที่หลังยุคจอมมารเทพแห่งธรรมชาติก็ยังไม่โดนใครฆ่า เพราะไม่มีใครฆ่าเธอได้นอกจากจอมมาร
ง่ายๆคือพลังแห่ง ‘พล็อตอาร์มเมอร์(การปกป้องจากพล็อต)’ น่ะแหละ
“เอาเป็นว่าอย่าเลย”
“แกมายุ่งอะไรด้วย?”
แค่เรื่องชื่อจะมาหงุดหงิดใส่ผมทำไมล่ะเนี่ย
“ช่วยไม่ได้ เปลี่ยนเป็น ‘แบล็คโฮล’ แทนได้เปล่าล่ะ?”
ผมจำเป็นต้องปกป้องศักดิ์ศรีของออโรโบรอส เพราะยังไงซะผมกับเขาก็ลงเรือรำเดียวกัน เป็นพวกเดียวกันที่มีเป้าหมายคือโค่นจอมมารเหมือนๆกัน
“ดูดีเหมือนกันนี่ ไม่เลว”
เคียวยะกอดยิ้มอย่างพึงพอใจ ..หมอนี่อาจจะมีโรคป่วย ม.2 อยู่ในตัวเล็กน้อยก็เป็นได้ ดูจากการที่ชอบตั้งชื่ออะไรเท่ๆ แล้วไม่พอใจที่ผมมายุ่งกับการตั้งชื่อของตัวเอง
เอาเถอะ เคียวยะจะเป็นยังไงก็ช่าง ..โอ๊ะ เหมือนว่าจะได้เวลาเรียนแล้วแฮะ
คาบโฮมรูมกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วด้วยการก้าวเท้าเข้ามาของ ‘เอเธอร์’
เอเธอร์เดินมาอยู่หน้ากระดาน และชายตามองไปรอบๆด้วยรอยยิ้ม
“นับจากวันนี้ผมจะรับหน้าที่เป็นครูประจำชั้นแทนนะครับ แค่ช่วงที่อยู่บนเกาะวาเรอร์”
ทันทีที่ได้ยินนักเรียนทุกคนก็ร้องเฮ
“ไชโย้ววววววว!!!! เอเธอร์คนนั้นจะเป็นครูประจำชั้นแหละพวก!!”
“อาจจะได้คำแนะนำอะไรดีๆมาเยอะเลยก็ได้!”
“รู้งี้ฉันน่าจะแต่งหน้ามาโรงเรียนด้วย ให้คุณเอเธอร์เห็นสภาพหน้าแบบนี้ไม่ไหวเลย”
หลายคนก็หลายปฎิกิริยา แต่ที่เหมือนๆกันคือทุกคนดีใจหมด แม้แต่เคียวยะก็ ..
“ก็ดี จะใช้หมอนั่นเป็นบรรไดให้รู้”
ก็ดีใจแหละ ถึงจะมาแนวศิษย์ล้างครูก็เถอะ
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ นักเรียนทุกคน” เอเธอร์พยักหน้าหนึ่งครั้ง ก่อนพูดต่อ “เช่นนั้นขอเข้าธุระต่อไปนะครับ ..เนื่องในโอกาสพิเศษ ทำให้มีนักเรียนแลกเปลี่ยนมาหนึ่งคนครับ”
“นักเรียนแลกเปลี่ยน? จากอาณาจักรข้างเคียงล่ะมั้ง?”
“ผู้หญิงหรือผู้ชายเหรอคะ?”
“ไว้ให้เธอแนะนำตัวเอานะครับ ..เข้ามาได้เลย”
เอเธอร์ส่งเสียงเรียกเธอที่อยู่นอกห้อง—-ไม่นานเธอคนนั้นก็เข้ามา
เลือนผมสีบลอนด์ทรงโพนี่เทล ดวงตาสีฟ้าใส สูงมาตรฐานเด็กผู้หญิงและมีรูปร่างที่เป็นไปตามวัย อยู่กึ่งกลางระหว่างเด็กและวัยรุ่นดั่งที่ควรเป็น เป็นคนที่ให้สเน่ห์ของความเป็นวัยรุ่นมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมรู้จัก พอๆกับเรย์เลย
เธอสวมชุดนักเรียนที่ดีไซน์ที่เหมือนกันของพวกเราทุกอย่าง ยกเว้นตราโรงเรียนที่เป็นรูปนกอินทรีย์สีฟ้า อันเป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักร—‘เนลยอน’ แดนแห่งมหาสมุทรและมหามังกรวารี
ทุกคนอ้าปากค้าง ..ใช่ อ้าปากค้าง แม้แต่เคียวยะก็ด้วย เพราะเธอคือคนจากเนลยอนที่ตีกับฟัฟนิร์ตลอดจนค่อยเลิกตีกันในช่วงสิบปีมานี้ แต่ทุกคนก็รู้ดี ในฐานะขุนนางย่อมรู้จักอาณาจักรเนลยอนกันดีเป็นปกติ
ผมไม่ได้ตกใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเธอจะมา ถ้ามีเรื่องให้ตกใจก็มีแค่ไม่คิดว่าเธอจะอยู่ห้องเดียวกันกับผม
จำไม่ผิด รู้สึกจะชื่อ ‘มิรันด้า’ ไม่รู้ว่าคือชื่อจริงหรือปลอม แต่ที่รู้ๆเธอคือคนรู้จักเป็นการส่วนตัวของเอเธอร์
มิรันด้าชายตามองทุกๆคนพลางทำเสียง “โห” ออกมา
“มิรันด้า ซี มาริน ค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
กล่าวจบเธอก็ยิ้มให้หนึ่งที ทำเพียงแค่นั้นหัวใจผู้ชายกว่าครึ่งก็โดนชิงมาแล้ว
จะว่าไป
‘มิรันด้า ซี มารีน’ การมีชื่อตรงกลางเป็นเครื่องหมายที่บอกว่าเธอคือขุนนางของอาณาจักรเนลยอน
เนลยอนต่างกับฟัฟนิร์ อาณาจักรเนลยอนจะมีชื่อกลาง และชื่อกลางก็จะบอกถึงสถานะขุนนางว่าอยู่ชนชั้นไหน
หากว่าจำไม่ผิดซีนั้นจะอยู่ขั้น … ‘ดยุค’ พอๆกับผมเลย ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อกลางอย่าง ‘ซี’ มันก็ทำให้ผมนึกถึงคนๆหนึ่งขั้นมาได้
‘พาโว ซี มารีน’ นักดาบขั้นบรรลุที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง นาม ‘ดาบนกยูง’ เป็นลูกศิษย์โดยตรงของเทพดาบไม่พอ เขายังเป็นผู้คิดค้นวิชาดาบรูปแบบใหม่อีกด้วย ซึ่งเป็นทักษะดาบที่ทำให้เขามีชื่อเสียงอย่างเขล็ดวิชาของนกยูงต่างๆนานาที่เขาสร้างขึ้นมา ทำให้เขาได้สมญานามว่าดาบนกยูง
พาโวเป็นลูกลับๆของดยุคมารีนแห่งเนลยอน โดยปกติเขาไม่ใช่คนที่มีค่าอะไรแต่ภายหลังเขาได้สร้างชื่อเสียงมากมายในฐานะนักดาบ และเข้ามาเป็นกองกำลังสำคัญให้อาณาจักรเนลยอนทำให้ตัวเขาโดนดึงกลับไปเป็นขุนนางอีกครั้ง เพื่อเพิ่มอำนาจให้ดยุคมารีน
“ซีนี่ชื่อกลางเดียวกับพาโวสินะ แกเกี่ยวข้องยังไงกับเขา”
จู่ๆเคียวยะก็โพล่งขึ้นมา
“เดี่ยวสิเคียวยะ!”
“ระดับดยุคเลยนะเว้ย”
ทุกคนพากันตื่นกลัวเพราะเคียวยะพูดอะไรไม่คิดอีกแล้ว—-แต่ทางมิรันด้าไม่ได้โกรธอะไร เธอตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา
“พี่ชายน่ะ”
..โกหก
พาโวไม่มีน้องสาวซะหน่อย เขาเป็นลูกคนเดียวของผู้หญิงในโซนค้าทาสที่ไอ้ผู้นำของดยุคมารีนมันเผลอไปทำพันธ์ุไว้ต่างหาก ทำไมผมถึงรู้น่ะเหรอ นั่นก็เพราะในนิยายมันมีบอกมาไงล่ะ พาโวคือคนที่ยกระดับให้เรย์เป็นอย่างมากเลยตามเนื้อเรื่อง ถือว่าเขาเป็นตัวละครฝ่ายพระเอก
มีเรื่องให้ผมเคลียร์อีกแล้วสิ ตัวจริงของมิรันด้าผมต้องรู้ให้ได้ไม่พอยังต้องเจียดเวลาไปตามหาก้อนมานาที่เอเธอร์มาเล่าให้ฟังคราวก่อนด้วย
อา ไม่ไหวแฮะ งานชักเยอะไปล่ะ
“เคียวยะ เย็นนี้มีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อยน่ะ”
“ไว้ตอนเย็นค่อยมาบอกล่ะกัน”
“โอ้ ช่วยได้มากเลย”
เอาเป็นว่าเดี่ยวแบ่งงานให้เคียวยะบ้างดีกว่า
“เออ เรเซอร์ มิรันด้าน่าสนใจดีแฮะ”
เคียวยพูดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“รักแรกพบสินะ”
“ไม่ใช่ หมายถึงอย่างอื่นต่างหาก ..เจ้าคนที่ชื่อมิรันด้า กล้ามเนื้อมันสุดยอดเลย พลังกายน่าจะเยอะกว่าเรย์ด้วยซ้ำ”
ตั้งใจสังเกตุหน่อยก็จะเห็นได้ว่าตาของเคียวยะเลืองแสงหน่อยๆ เขากำลังตั้งใจมองตัวจริงของมิรันด้า
ว่าแต่พลังกายเยอะกว่าเรย์สินะ คงจะอย่างนั้น ผมเคยประมือกับมิรันด้าเล็กน้อยด้วยทำให้รู้ว่าพลังกายผมเป็นต่อมิรันด้ามากพอตัวเลย ซึ่งพลังกายตัวผมกับเรย์ก็มีอยู่พอๆกันด้วย
“ฝากมองประวัติส่วนตัวให้ทีสิ”
“อ่า”
สุดยอดเลยแฮะดวงตานักถ้ำมอ—-หมายถึงดวงตามหาปราชญ์ ปัญหาของผมสามารถเคลียร์ได้ง่ายๆเลยถ้ามีมัน
“บัดซบ ทำไมมองไม่ได้ล่ะวะ อาการเหมือนกับตอนที่ตั้งใจจะมองแกเลย”
แปลว่ามีการขัดขวางการมองเห็นสินะ
“แบบนี้นี่เอง มีพลังเชิงคอนเซปต์อย่างหนึ่งเหมือนกับยูนาสินะ อืมๆ น่าสนใจ ..ว่าแต่คนที่ดวงตามหาปราชญ์มองไม่ได้เนี่ยชักจะเยอะไปแล้วนะ”
ให้นับๆดูก็ ผม หนิง ยูจิ เมอัน เอเธอร์ แล้วก็นี่ยังไม่นับรวมคนที่เคียวยะยังไม่เคยเจออีกนะ
“หนวกหูน่า ..เอาเป็นว่ามาร์คหัวไว้เลยว่ายัยนี่อันตราย”
“เข้าใจล่ะ เอาตามนั้น”
อย่างที่เคียวยะบอกน่ะแหละ พวกที่หลบหลีกการมองของเคียวยะได้ต้องมีพลังรูปแบบพิเศษอยู่แน่ๆ และหากพูดถึงพลังรูปแบบวิเศษก็ต้องนึกถึงยูนาหรืออลันซึ่งก็เป็นตัวตนระดับวิญญาณระดับเทพอีก
ผมเท้าคางมองมิรันด้าอย่างใจจดใจจ่อ ในจังหวะนั้นเธอก็หันมาสบตากับผมพอดี เธอไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่จ้องตาผมกลับเท่านั้น
จากนั้นไม่นานเอเธอร์ก็แนะนำมิรันด้าซ้ำ และเชิญให้เธอเลือกที่นั่งของตัวเอง โดยที่เธอขอไปนั่งกับกลุ่มผู้หญิง
ในแรกเริ่มเธอกับผู้หญิงไม่ได้คุยอะไรกัน จนกระทั่งเธอชวนคุย แรกๆก็ไม่ค่อยมีใครอยากคุยกับเธอเท่าไหร่ เพราะเธอคือคนจากอาณาจักรเนลยอน แต่เพราะหล่อนคุยเก่งมากๆทำให้เพียงไม่กี่นาทีทุกคนก็คุยอยู่ล้อมรอบวงเธอเสียแล้ว
พลังแห่งการเข้าสังคมชั้นเทพชัดๆ …แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าทุกคนจะชอบมิรันด้า
บางคนก็ส่งสายตาจิกกัดใส่มิรันด้า แหงล่ะ กับอาณาจักรเนลยอน พวกเราคือคู่อรินี่นา
หลังจากที่คนในห้องทำความรู้จักกับมิรันด้าได้สักพัก เอเธอร์ก็ตบมือสองสามจังหวะ
“จะขอเริ่มการสอนเลยนะครับ”
เหมือนว่าเอเธอร์เป็นผู้สอนล่ะ
****
เพียงไม่นานตามหน้าต่าง หรือประตูห้องก็เปี่ยมไปด้วยฝูงนักเรียนหลายสิบคน
เพราะเอเธอร์คือผู้สอนทุกคนเลยพากันสนใจ หลายคนแรกเริ่มจะคิดอย่างนั้น แต่ไม่ใช่แค่นั้น เนื้อหาที่เอเธอร์สอนมันยังล้ำมากจนทำให้นักเรียนที่อยากเห็นเอเธอร์นั้น—-อยากจะฟังที่เอเธอร์สอนทุกอย่าง
ทฤษฎีเวทมนตร์สำหรับใช้จริง ทฤษฎีเวทมนตร์สำหรับการวิจัย สองอย่างนี้เอเธอร์แยกออกจากกัน เขาไม่เหมารวมว่าเวมนตร์ต้องมีแค่ทฤษฎี แต่เขาแยกออกจากกันและอธิบายมันอย่างสมเหตุสมผล และเป็นมูลความรู้ที่มีประโยชน์เอามากๆ
เอเธอร์คือเซียนทุกอย่างบนโลก เขาไม่ใช่เซียนที่มีจุดเด่นคือรู้ทุกอย่าง แต่เป็นเซียนที่ทำได้ทุกอย่าง หากต้องการเขาอาจจะยึดตำแหน่งเซียนจากเกรลมาเป็นของตัวเองได้ก็ได้ และด้านเวทมนตร์ถ้าต้องการอาจจะชิงตำแหน่งราชาจอมเวทย์มาได้ก็เป็นได้ หรือแม้แต่ตำแหน่งเทพดาบ ถ้าเขาต้องการเขาอาจจะชิงมาเป็นของตัวเองได้เหมือนกัน ยังมีอีกหลายๆสายที่เอเธอร์อยู่ในขั้น ‘เป็นได้’
ผมคืนหนึ่งในคนที่รู้ดี และยอมรับเลยว่าเอเธอร์คือตัวตนเข้าขั้นติดบัคของโลก
ปกติผมไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่ แต่ที่เอเธอร์สอนมันจำเป็นและเข้าใจง่ายทำให้ผมฟังแบบไม่เผลอหาวเลยแม้แต่น้อย
เอเธอร์ยังคงบรรยายต่อไปเรื่อยๆ เหล่านักเรียนก็แห่กันมามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งจบคาบ ทุกคนก็พากันเงียบก่อนที่จะพูดพร้อมกันว่า “จบแล้วเหรอ?”
“เหมือนว่าจะหมดเวลาแล้วนะครับ คาบต่อไปเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ที่ภาคสนามโดยที่อาณาจักร ‘แช็ค’ จะเป็นผู้สอน โปรดไปให้ตรงเวลาด้วยนะครับทุกคน”
กล่าวจบเอเธอร์ก็เดินออกจากห้องท่ามกลางเสียงตบมือของนักเรียน พอเห็นปฎิกิริยาของทุกคนก็ทำให้ผมรู้เลยว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่มีเอเธอร์มาเป็นครูส่วนตัวให้ในบางเวลา
“คาบต่อไปคาบจารย์แช็ค เอาล่ะโดดดีกว่า”
“ไปเมืองกันเถอะ”
“หิวล่ะ หาอะไรกันดีกว่า”
หลังจบบรรยายสุดน่าอัศจรรย์ก็เป็นเวลาโดดเรียนของพวกเด็กไม่เรียน …แน่นอนผมไม่ใช่พวกนั้นเลยรีบไปที่สนามฝึกซ้อมพร้อมกับเคียวยะ
ทางด้านมิรันด้าเองก็เหมือนกัน เธอเดินไปกับกลุ่มผู้หญิง—และเผลอสบตากับผมอีกแล้ว
เหมือนว่าจะไม่ใช่แค่ผมที่สนใจมิรันด้า ทางเธอก็สนใจผมเหมือนกัน
นั่นยิ่งทำให้เธอน่าสงสัยเข้าไปใหญ่
****
พวกเรามาถึงที่สนาม โดนที่นักเรียนหายไปเกือบครึ่ง
อาจารย์แช็คผู้มีกล้ามที่โตที่สุดในโรงเรียนถอนหายใจ ก่อนที่จะเริ่มพล่ามสอนเรื่องทฤษฎีศิลปะการต่อสู้ระยะประชิด
ทั้งหมดเป็นข้อมูลที่ดีตามมาตรฐานอาจารย์ในโรงเรียนแห่งนี้ แต่อาจารย์แช็คไม่ได้มีศิลปะการพูดเช่นเอเธอร์ทำให้เด็กหลายคนรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมันไม่น่าฟังซะเท่าไหร่
อาจารย์แช็คบรรยายเรื่องศิลปะการต่อสู้ได้เกือบๆหนึ่งชั่วโมง เขาก็มองไปที่นาฬิกา
“เอาล่ะ ถ้านั้นมาเริ่มปฎิบัติดีกว่า”
พอถึงปฎิบัติจริงทุกคนก็กระตืนรือร้นขึ้นทันตา เพราะยังไงเสียพวกผมก็คือสายปฎิบัติ เป็นพวกที่ชอบปฎิบัติมากกว่านั่งจำทฤษฎี กฎต่างๆนานา
เรื่องการต่อยตีเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่คนสายปฎิบัติหลายคนชอบ อย่างกอรี่แต่ก่อนไอ้หมอนี่ก็ซ่าต่อยเขาไปทั่วเหมือนกัน
“ฟังๆ อย่าพึ่งส่งเสียงกัน ให้จับคู่แล้วลองฝึกทักษะที่ฉันสอนไปดู เดี่ยวฉันจะช่วยดูให้ทีล่ะคู่”
อาจารย์กล่าวจบนักเรียนก็เริ่มจับคู่ ทางมิรันด้าก็จับคู่ได้แบบง่ายๆกับคนที่เธอคุยด้วยเยอะสุดในห้อง
ส่วนผมก็ ..
“จับคู่กับฉันซะ” เคียวยะพูด
“อ่า ออมแรงด้วยล่ะ”
เคียวยะหัวเราะขึ้นจมูกพอเห็นผมบอกให้ช่วยออมแรง
ทางเมื่ออาจารย์เห็นว่าทุกคนจับคู่แล้วเรียบร้อยก็ตบมือหนึ่งจังหวะ
“เริ่มซ้อมกันเลย!”
การฝึกซ้อมจึงดำเนินไปด้วยเหตุนี้
จากที่ดูๆเด็กกว่าครึ่งจะเล่นกันมากกว่าฝึกจริง มีแค่ไม่กี่คู่ที่ฝึกจริงจัง หนึ่งในนั้นมีคู่ผมและเคียวยะอยู่ด้วย
พวกเรารุกรับตามที่อาจารย์สอนอย่างสูสี เพื่อเรียนรู้เลยต้องออมแรงไว้ให้พอๆกับเคียวยะและรุกรับกันไปมาตามสมควร
ทั้งหมดคือการทำเพื่อเรียนรู้ ไม่จำเป็นต้องเหนือกว่าใคร
อนึ่งทางมิรันด้าเองก็ออมแรงให้อีกฝ่าย และรุกรับแบบสูสีเหมือนคู่ผมเช่นกัน
“มองไปทางมิรันด้าบ่อยจริงนะ”
“รู้สึกน่าสนใจนิดหน่อยน่ะ”
พูดให้ถูกคือ ‘น่าสงสัย’
“อย่านอกใจเบลลามีเชียว”
“แกเนี่ยโอ๋เบลลามีจังนะ”
ยังไงก็เถอะ ไว้ใจผมหน่อยไม่ได้รึไงนะ—-ว่าแต่ทางผมกับเบลลามีแค่คุยกัน ยังไม่ได้มีสถานะจริงจังแบบที่เป็นกับเรเซลและอันนาสักหน่อย ไอ้บ้านี่จะรีบไปมั้ยเนี่ย
“นั้น—เรอะ!”
จู่ๆเคียวยะก็เร่งแรงอัดหมัดหวังเสยคางผม เป็นจังหวะทีเผลอของแท้เลย แต่น่าเสียดายเพราะผมสามารถหลบได้ง่ายดายและสวนกลับอัดเข้าลิ้นปี่ทำเอาเคียวยะถีงกับทรุด
“เห้ยๆ ทีเผลอนะนั่น”
“บัดซบ แม้แต่ทีเผลอก็เอาไม่อยู่สินะ สัตว์ประหลาดเอ้ย!”
ผมหัวเราะร่า ต่างกับเคียวยะที่หงุดหงิดสุดขีด
“ให้ตายสิ ..หืม? มีอะไร?”
มีเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งเดินมาทางพวกผม
“ขอจับคู่กับเรเซอร์หน่อยสิ”
“..เอาสิ”
เคียวยะไม่ปฎิเสธ และแลกคู่กับคนอื่น และจากนั้นไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่นักเรียนรอบๆพากันหันมามองทางผม
“ไม่เห็นรู้เลยว่าเรเซอร์เก่งศิลปะการต่อสู้เนี่ย รบกวนด้วยนะพวก”
คนที่ขอจับคู่กับผมเอ่ยชม ..เก่ง ..นั่นสินะ ผมคงเก่งจริงๆแหละ
“เอาเป็นว่ารบกวนด้วย ต่างคนต่างเรียนรู้”
จากนั้นผมก็สู้กันเพื่อการเรียนรู้กับคนตรงหน้า และรู้ตัวอีกทีก็เวียนฝึกกับคนอื่นมาไม่รู้กี่สิบคนแล้ว
ผมไม่ได้เหนื่อยอะไรเป็นพิเศษ เพราะออกแรงไม่เยอะน่ะนะ
“คนต่อไป”
ผมเอ่ยขึ้น และคนต่อไปก็มา แต่ไม่ใช่ผู้ชาย
เป็นผู้หญิงคนแรกที่เดินมาขอจับคู่กับผม—-แล้วหล่อนยังเป็น ‘มิรันด้า’ อีก
มิรันด้ายื่นมือมาให้ผม
“รบกวนด้วยนะ”
เหมือนว่าหล่อนจะอยากจะแลกเปลี่ยนความรู้กันกับผม ..รึเปล่านะ?
ผมสังหรณ์ใจไม่ดีเลยว่าตามตรง
MANGA DISCUSSION