เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 126: เที่ยวเมือง (2)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 126: เที่ยวเมือง (2)
< < 100 Sec2 > >
ผมกับเบลลามีแยกตัวกับโซล่าทันทีที่กินข้าวเสร็จ
ตอนนี้พวกเราเลยกำลังเดินข้างกันเพื่อมุ่งหน้าไปร้านหนังสือ ทว่า
“เรเซอร์รู้ได้ยังไงว่ามีร้านหนังสือเหรอ?”
เบลลามีจู่ๆก็ถามขึ้นขณะเดินข้างผม
“นะ นั่นสินะ รู้ได้ยังไงกันน้า” ผมหัวเราะแห้งๆ
ไอ้ผมไม่เคยมาเมืองสักหน่อย เดินก็เดินข้างโซล่าตลอดทางไปรู้เรื่องร้านหนังสือจากไหน?
“เรเซอร์คนโกหก”
ไม่รู้ทำไม แต่คำด่าของหล่อนมันช่างหอมหวาน ประหนึ่งเป็นรางวัลชีวิตอย่างไรอย่างนั้นเลย
“น้อมรับคำขอรับ ท่านหญิง”
“ทำไมต้องโกหกด้วยล่ะ?”
เบลลามีมีสีหน้าที่จริงจัง ทำเอาผมไม่กล้าพูดติดตลกเลย
“พูดแบบนี้อาจดูหลงตัวเองไปหน่อยนะ แต่โซล่าตั้งใจจีบฉันอยู่”
“อือ แล้วยังไงต่อ”
“แค่คิดขึ้นมาได้ว่าถ้าเบลลามีเห็นฉันกับโซล่าคุยจีบกันเข้า เธอคงจะไม่พอใจแน่ๆน่ะ”
“..เป็นเพราะเราสินะ”
“อืม จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
เบลลามีจ้องหน้าผม ทำเสียง “เห๋” ลากยาวแบบไร้อารมณ์
“เอาเป็นว่าขอบใจนะ แต่เมินโซล่าแบบนั้น ไม่ดีนะ”
อ๊ะ ไม่เขินแฮะผิดคาด
‘วันนี้หยอกเบลลามีเยอะไปแล้วนี่คะ? ไม่แปลกหรอกที่เจ้าตัวจะเริ่มปรับตัวได้’
คงต้องพยายามหามุกดีๆไว้หยอกเธอแล้วสินะ
‘หยุดเลย มุกหยอกน่ะนานๆทีดีกว่า ถ้าโดนสวนกลับมาว่า—-พูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนรึเปล่า–เข้า จบเห่เลยนะคะ เพราะมาสเตอร์ก็ไม่ใช่ผู้ชายที่น่าไว้ใจอะไรอยู่แล้ว เล่นมีภรรยาตั้งสองคนแล้วยังมาเล่นบทจีบสาวหน้าตาเฉยเนี่ย ถึงทุกฝ่ายจะอนุญาติแล้วก็เถอะ แต่ควรมีหน่อยนะคะ ยางอายน่ะยางอาย’
..แรงไปแล้ว แต่ขอน้อบรับไว้เลย ว่าแต่หล่อนเป็นหญิงจิ้นเหมือนกับฉันที่เป็นชายซิงแท้ๆ แล้วไปเอาความรู้มาจากไหนเนี่ย
‘พวกภูตที่ตกหลุมรักกับเจ้านายมาเล่าให้ฟังน่ะค่ะ เพราะสถานะภูตของพวกเธอทำให้คนที่ตัวเองรักไปพัวพันกับผู้หญิงบ่อยๆแล้วตัวเองก็บ่นไม่ได้ด้วย เพราะเป็นแค่ก้อนพลังงานตามติด ทำให้ภูตบางส่วนเวลาโดนนายท่านชมจะสวนกลับว่า พูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนสินะ ใส่น่ะค่ะ’
สุดยอด ปัญหาเชิงโครงสร้างชัดๆ
เอาเป็นว่าผมรับไว้เป็นบทเรียนล่ะกัน
“ครั้งหน้าจะระวัง”
“สนใจโซล่าหน่อยก็ได้นะ”
“แบบนั้นจะดีเหรอ?”
เบลลามีพยักหน้ารับพลางยิ้มให้
“สุดท้ายเรเซอร์ก็จะเลือกเราอยู่แล้ว”
…พูดอะไรอย่างนั้นเล่า
‘ร้ายกาจมาก’
เห็นด้วยเลย
ผมหน้าแดงแจ๋ ต่างกับเบลลามีที่มีสีหน้าที่เรียบเฉย ..
“เดินต่อนะ”
“คะ ครับ”
เบลลามีเดินนำไป ทำให้ผมเห็นเธอจากข้างหลังชัดเจนและพบว่าหูเธอแดงแจ๋เลย
ฝืนน่าดู พยายามมากเลยในการพูด
“ที่พูดไปจำจากในหนังสือมาสินะ”
“อือ”
“หนังสือเล่มนั้นขอยืมอ่านหน่อยสิ”
“..อือ”
พวกเราเงียบทันที ไม่พูดคุยอะไรต่อเพราะไม่อยากเขินไปมากกว่านี้
นี่ไม่ใช่บรรยากาศมาคุ มันคือบรรยากาศแห่งความโรแมนติกของสองเรา
‘..พวกสมหวังไปตายซะ พวกสมหวังไปตายซะ’
ยูนาหลุดคาแรคเตอร์ซะแล้ว แต่ช่างมัน ผมไม่มีเวลาไปสนใจพวกไม่สนหวังแบบเธอหรอก
‘คนแบบมาสเตอร์ไปตายซะ คนแบบมาสเตอร์ที่ชื่อว่าเรเซอร์ไปตายซะ ไปตายซะ คิดว่าสมหวังแล้วจะพูดอะไรก็ได้เหรอคะ? ไปตายซะ พวกสมหวังไปตายซะ’
ด่าผมเฉยเลย ที่สำคัญหลุดคาแรคเตอร์ไปไกลล่ะหล่อน! กลับมาก่อนๆ
‘เฮ้อ ไม่ไหวเลยนะคะคนแบบมาสเตอร์เนี่ย พวกสมหวังไปตายซะ’
หล่อนเนี่ยนะ ไม่สมหวังก็อย่ามาพาลสิ
ยูนาเงียบไม่พูดอะไรต่อตามๆเบลลามีไป
“จะว่าไปเรเซอร์”
“อะไรเหรอ?”
“วิญญาณที่อยู่กับเรเซอร์ชื่อยูนาสินะ วีรสตรียูนาในสงครามมหามังกร”
“อะ อ่า มีอะไรกับเธอล่ะ”
เบลลามีผงกหัวให้
“แค่คิดว่าเราต้องแนะนำตัวด้วยหน่อยน่ะ”
‘ท่าทางอย่างกับขอคุณแฟนพาไปแนะนำคุณพ่อคุณแม่เลยนะคะนั่น .ให้ตายสิ ฉันกลายเป็นผู้ปกครองของมาสเตอร์ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย’
ฝากด้วยล่ะกันครับคุณยายยูนา
‘คุณยาย? มาสเตอร์พักนี้ทำเสียมารยาทใส่ฉันบ่อยจริงนะ’
ขอโทษล่ะกัน แล้วว่าไง เธอสะดวกมั้ย
‘แน่นอน จริงๆมาสเตอร์จะแนะนำเรเซลและอันนาให้ฉันรู้จักยังได้เลยนะคะ ถ้าจะแนะนำเบลลามีกับฉันก็ควรแนะนำทั้งสองคนก่อนด้วยซ้ำ’
ฉันลืมคิดไปน่ะ ถ้าไม่มีคนทักก็ไม่เคยคิดว่าจะพาไปแนะนำเลยสิ ตั้งแต่ตอนที่ทำพันธสัญญากับเธอก็มีแค่ชิน(ชินดร้า)ที่รู้ด้วย
‘เอาเป็นว่า–ไว้เจอกันคราวหน้าก็อย่าลืมชวนด้วยนะคะ’
เข้าใจแล้ว
“นั่นสินะ เอาเป็นวันไหนดีล่ะ เอาเป็นคืนนี้เลยดีมั้ย?”
“ได้สิ ที่ไหนดี”
ห้องฉันมั้ย—-ขืนเผลอพูดแบบนี้ไปได้โดนคิดว่าเป็นพวกล่อซี้เอาจริงๆแน่ แล้วก็รู้สึกหักหลังสองคนนั้นทางอ้อมด้วย
‘นั่นสินะคะ กับเรเซลและอันนายังแค่จับมือกับสกินชิพนิดเดียวเอง แต่กับคนที่สัญญาว่าอีกสามปีค่อยตัดสินใจสถานะใหม่ก็พาเข้าห้องไปทำอะไรแปลกๆแล้ว ถ้ามาสเตอร์ทำแบบนั้นขึ้นมาคงจะเลวร้ายน่าดู’
ใช่เลย
“ที่สวนสาธารณะก็ได้”
“เข้าใจแล้ว”
พวกเรายิ้มให้กัน และจังหวะนั้นเองก็ได้ยินเสียงที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นจากที่ไหนสักที่
“ถอดชุดเลยล่ะกัน”
เสียงนั้นแสนคุ้นเคย ใช่ คุ้นเคยมาก เหมือนกับใครคนหนึ่ง
ผมชายตาไปมองพร้อมกันกับเบลลามีและแน่นอนเขาคนนั้นคือ ‘เคียวยะ’ หมอนั่นกำลังยืนกอดอกอยู่ในร้านขายเสื้อผ้า
ข้างๆเคียวยะก็มีเมอันอยู่ เธอมองเคียวยะแบบงงๆสลับไปกับพี่พนักงานที่ดูเหงื่อตก
“คือว่าคุณลูกค้า ช่วยรออีกสักห้านาที”
“ถอดชุดเปลี่ยนเลยก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”
“หนูไม่ได้ติดอะไรอยู่แล้ว”
“เห็นมั้ยเจ้าตัวก็ว่าอย่างนั้น”
เคียวยะกับเมอันทั้งสองกำลังคะยั้นคะยอให้พนักงาน ..จับเมอันเปลี่ยนเสื้อมันกลางแจ้งเลย
คุณพี่สาวพนักงานหน้าแดงก่ำแล้วส่ายหัวให้รัวๆ
“มะ ไม่ได้ค่ะๆ ลูกค้าท่านอื่นๆจะลำบากเอ–”
“ร่างกายหนูไม่มีอะไรน่าดูหรอกนะ” เมอันพูดพลางโพสต์ท่านางแบบ
“ถ้ามีไอ้บ้าที่หื่นกับหุ่นเด็ก 10 ขวบนี่มันโรคจิตแล้ว” เคียวยะพยักหน้าเห็นด้วย
..ไอ้พวกนั้นทำบ้าอะไรฟร้ะ
ผมไม่รอช้ารีบพุ่งเข้าไปพร้อมกับยูนา
ลำดับแรกผมกระซากคอเสื้อเคียวยะ
“ทำบ้าอะไรของแกฟร้ะ”
“หะ? อะไรกัน เรเซอร์เองนี่ เบลลามีก็ด้วย บังเอิญซะจริงนะ”
“คุณเคียวยะครับ ผมถามว่าทำบ้าอะไรอยู่ครับ?”
เคียวยะทำหน้างงๆใส่ผม เบลลามีเองก็มาร่วมพูดด้วย
“เคียวยะ โจร กกน. วิตถาร”
“เรื่องสมัยก่อนมันเดี่ยวอะไรฟร้ะน่ะ พวกแกมีปัญหาอะไรกันเนี่ยถามจริง”
ยังไม่รู้ตัวอีกไอ้บ้านี่
“เอาล่ะ มาเรียนคาบสามัญสำนึกกับฉันก่อนมา”
“ทางนี้”
ผมกับเบลลามีร่วมแรงร่วมใจจูงมือเคียวยะออกนอกร้านกัน แต่ก่อนจะออกก็หันไปคุยกับพี่พนักงานก่อนด้วย
“เดี่ยวห้องว่างเมื่อไหร่พี่ช่วยน้องคนนั้นลองเลยนะครับ ผมคุยธุระกับเพื่อนสักเดี่ยว เอาล่ะๆ มาทางนี้เร็ว”
“นะ นีแ่ก เป็นบ้าอะไรหะ!? อย่ามาใช้กำลังกันนะเว้—บัดซบ!! แรงเยอะเกินไปแล้ว แม่งเอ้ย!”
เคียวยะดิ้นใหญ่เลย แน่นอนว่าผมไม่มีทางปล่อยไปแน่ ทางผมแรงเยอะกว่าเคียวยะเป็นทุนเดิมแล้ว ทางเบลลามีเคียวยะไม่กล้าใช้กำลังด้วยเลยปล่อยให้โดนลากเอาง่ายๆ
จากนั้นก็สั่งสอนเคียวยะคร่าวๆพอเข้าใจ ก่อนจะลากกลับมาที่ร้าน
****
“เป็นเมืองที่ดีนะครับ”
“นั่นสิเนอะ ทำเอาว่างๆอยากลางานมาพักผ่อนที่นี่เลย”
ขณะนี้เอเธอร์และวินกำลังยืนกอดอกอยู่ริมทะเล ทั้งสองชมวิวทิวทัศน์ที่แสนสวยงามด้วยรอยยิ้ม
“วิน ..ไม่สิ มิรันด้าไม่ไปเที่ยวกับคนอื่นเหรอครับ? อย่างเรเซอร์” เอเธอร์ถาม
อนึ่งในปัจจุบันวินใช้ชื่อปลอมเป็นมิรันด้า
“ไม่ล่ะๆ ไม่ได้สนิทอะไรด้วยขนาดนั้น ว่าแต่เอเธอร์พูดถึงเรเซอร์คนนั้นบ่อยจังนะ นั่นลูกรักรึ?”
“ลูกรัก? จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะครับ จริงๆในวิทยาลัยนี้มีเด็กหลายคนที่เหมือนจะดึงดูดผมเป็นพิเศษอยู่หลายคนเลย”
“เห๋ อาณาจักรฟัฟนิร์มีแต่บุคลากรชั้นเลิศสินะตอนนี้ อืมๆ ต้องเอาไปรายงานให้เนลยอนฟังแล้วสิ”
เอเธอร์หัวเราะเบาหวิว
“เชิญตามสบายเลยครับ ว่าแต่อาจารย์บลาซไม่คิดจะว่ายน้ำเล่นหน่อยหรือครับ”
ข้างหลังของทั้งสอง ‘บลาซ’ อาจารย์ชื่อดังประจำวิทยาลัยกำลังนั่งเล่นอยู่หลังโขกหิน
ไม่ใช่แค่เป็นอาจารย์ชื่อดัง เขายังเป็นอัจฉริยะชื่อดังซึ่งดำรงตำแหน่งในฐานะ ‘นักเวทย์ขั้นบรรลุ’ อีกด้วย หรือก็คือผู้สร้างเวทมนตร์ที่เป็นที่ยอมรับแก่สายตาชาวโลกได้
“ฉันไม่ถูกกับทะเลเท่าไหร่”
“น่าเสียดายนะครับ ทะเลที่นี่ออกจะสวยตั้งขนาดนี้”
“แต่เดิมทะเลเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งไม่ใช่รึไง ที่พวกเราได้เล่นมันก็เป็นเพราะสิ่งมีชีวิตพวกนั้นสูญพันธ์ุไปแทบจะหมด เพราะถูกมนุษย์กวาดล้างในช่วงยุคสงครามแย่งชิงอำนาจ ให้ยิ้มแย้มเล่นน้ำทะเลที่ปล้นเขามา ฉันทำไม่ได้หรอก”
บลาซถอนหายใจเฮือกโต วินเห็นก็ยักไหล่ให้ เอเธอร์ไม่ได้มีท่าทางอะไรเป็นพิเศษ
“แล้วก็เธอมิรันด้า ระวังอย่าให้ตัวจริงโดนเปิดเผยซะล่ะ”
“แหม่ อาจารย์บลาซนี่ล่ะก็ ระดับฉันไม่มีทางพลาดหรอกน้า”
“เอเธอร์เล่าให้ฟังหมดแล้ว เห็นว่าเกือบจะโป๊ะแตกให้เรเซอร์แล้วนี่”
มิรันด้าได้ยินก็หน้าซีดเผือก เธอหันไปมองเอเธอร์—เอเธอร์ยิ้มตอบกลับ
“ทีหลังก็ระวังหน่อยล่ะกัน”
“คะ ค่าา ขอโทษที่สร้างความเดือดร้อนให้นะคะ!”
จากนั้นทั้งสามก็คุยเล่นต่อขณะที่รอบข้างมีคณะอาจารย์หลายคนนอนพักร้อนกัน โดยที่ตลอดการสนทนา มิรันด้าจะถามหารายชื่อเด็กที่มีจุดพิเศษกว่าคนหนึ่ง หรือก็คือคนที่มีแนวโน้มจะเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับเทพ ‘ยูนา’ อันเป็นเป้าหมายดั้งเดิมของเธอการมาเยือนที่แห่งนี้
ขณะที่วินยิ้มตอบกลับเอเธอร์และบลาซไปเรื่อย เธอก็กำลังนึกสงสัยเรื่องหนึ่งอยู่
(ว่าแต่ว่าเรเซอร์รู้ได้ยังไงนะว่าฉันกำลังทำไสยศาสตร์อยู่ ..)
‘วิน อาจารย์ว่าจับตาดูชายที่ชื่อเรเซอร์น่าจะดี’
‘แรกซ์’ วิญญาณระดับเทพของวินร่วมออกความเห็นด้วย
(รางสังหรณ์ของจารย์สินะ นั่นสินะ ทางหนูก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ..เรเซอร์ เรเซอร์ ดราแคล์ บุตรชายของดยุคดราแคล์ ชายที่เอเธอร์ให้ความสนใจ การที่จะได้สืบหาความจริงของคนๆนี้นั้นน่าสนใจเอามากๆ ต่อให้ไม่ใช่ผู้ถือครองวิญญาณระดับเทพ แต่ก็เป็นคนที่ทำให้เอเธอร์ถูกใจได้ แค่นี้ก็น่าสนุกน่าสนใจพอแล้ว)
วินเลียริมฝีปากตัวเองด้วยความตื่นเต้น