เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 124: ใครสักคนที่ยื่นมือมา 1
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 124: ใครสักคนที่ยื่นมือมา 1
< < 99 > >
เคียวยะและเมอันกลับมาที่ห้องตัวเองได้โดยสวัดดิภาพ หลังจากที่ออกจากห้องเรเซอร์เขาต้องแอบเดินไปทีล่ะนิดเพื่อปิดบังตัวตนของเมอัน ทำให้กว่าจะถึงห้องก็ใช้เวลาหลายสิบนาทีเลย ยังไงเสียเคียวยะก็เป็นหนึ่งในคนดังของวิทยาลัย ย่อมมีคนทักระหว่างทางตลอดอยู่แล้ว
ทันทีที่มาถึงห้องเคียวยะก็ถอนหายใจเฮือกโต และเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตัวเองก่อนจะหยิบผ้าขนหนูและเสื้อยืดออกมา และโยนให้เมอัน
“ไปอาบน้ำก่อน”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
เมอันผงกหัวให้และวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ
อนึ่งตัวห้องจะมีห้องนอนขนาดใหญ่ที่มีที่นั่งเล่นด้วย และห้องครัวกับห้องอาบน้ำ
เมื่อเคลียร์เรื่องเมอันเสร็จแล้วเคียวยะก็ลงไปนั่งกับโซฟา และหยิบเศษกระดาษขนาดใหญ่มาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มทำการร่ายเวทมนตร์ขนาดเล็ก
เช่นเดียวกับเรเซอร์ กิจวัตรประจำวันของเคียวยะก็คือการฝึกฝนตัวเอง โดยที่สิ่งที่เคียวยะฝึกก็มาจากที่เอเธอร์และเรเซอร์แนะนำมาอีกที
“ควบคุมปริมาณเวทย์นั้นเหรอ ..”
จากที่เคียวยะได้ฝึกมาหลายวันทำให้รู้ว่า การย่อหรือขยายเวทย์ เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากๆ มันยากกว่าการหักล้างให้ตรงจังหวะอีก โชคยังดีที่เคียวยะมีดวงตามหาปราชญ์ทำให้เขาสามารถควบคุมได้ง่ายกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว
ดวงตามหาปราชญ์มีพลังในการวิเคราะห์ขั้นสูง สามารถบอกชื่อของวัตถุดิบหรือทุกๆอย่างบนโลกได้เพียงแค่มอง สามารถอ่านการเคลื่อนไหว อ่านความน่าจะเป็น อ่านกระแสของทุกอย่าง ว่าง่ายๆเป็นดวงตาที่สามารถเห็นทุกอย่างบนโลกได้
การควบคุมมานาสำหรับเคียวยะเลยทำได้ง่ายกว่าคนอื่นมาก เพราะเขาสามารถเห็นปริมาณมานาที่ใส่เข้าไป หรือมานาที่ขยายตัวหดตัวแบบตรงๆได้ต่างกับคนทั่วไป
เป็นความสามารถที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์ เป็นพลังรอบด้าน
ใช้ในการวิจัยก็ได้ ใช้ในการต่อสู้ก็ได้ ใช้ในการเล่นจิทวิทยาก็ได้ หากตั้งใจเคียวยะก็สามารถอ่านใจคนอื่นได้ เพียงแต่พักหลังๆมักจะเจอพวกมีพลังเชิงคอนเซปต์ทำให้เคียวยะอ่านใจไม่ได้อยู่หลายคน
ทุกคนบนโลกรู้กันดีว่าดวงตามหาปราชญ์เป็นพลังขี้โกง ถึงกระนั้น ..เคียวยะกลับไม่สามารถควบคุมมานาแบบเอเธอร์และเรเซอร์ได้สักที นั่นทำให้เคียวยะหัวเสียไม่น้อย
สิ่งที่ขาดไปคืออะไร? เคียวยะไม่รู้ นั่นบ่งบอกว่าเคียวยะไม่มีเซนต์
พรสวรรค์ของเคียวยะคือดวงตามหาปราชญ์ แต่เขาไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์แบบเรเซอร์ เรื่องมันก็แค่นั้น แต่เคียวยะก็ยังยอมรับไม่ได้อยู่ดี เพราะดวงตาที่เขามีมันเป็นของขี้โกง
ตัวเองที่โกงมาตั้งแต่เกิดกลับไม่สามารถเทียบคนอื่นได้ นั่นเป็นสิ่งที่เคียวยะรับไม่ได้ เพราะเคียวยะเกลียดความอ่อนแอของตัวเอง เป็นหนึ่งในนิสัยเสียกระมัง
“..บัดซบเอ้ย”
เป็นอีกครั้งที่เวทย์ที่เคียวยะใช้มันระเบิด แต่เพราะมีปริมาณที่น้อยทำให้ไม่มีผลอะไรกับตัวห้อง จะมีแค่กระดาษที่มีฝุ่งผงอยู่
เคียวยะปล่อยตัวพิงกับโซฟาและมองขึ้นเพดาน
เขามองเห็นชนิดและขั้นตอนกลางสร้างเพดานเป็นฉากๆเพียงแค่มอง ..แต่ข้อมูลที่ได้มามันเยอะเกินไปทำให้ปวดหัว เคียวยะเลยต้องปิดดวงตามหาปราชญ์
โชคดีที่ดวงตามหาปราชญ์ปิดได้ ตัวเขาในวัยเด็กไม่รู้ว่ามันปิดได้จนต้องทุกข์ทรมาณตลอดเวลากับกระแสความคิดและข้อมูลที่เข้าหัวทุกเวลา
“..”
“คือว่า”
เคียวยะตกใจสะดุ้งกับเสียงเรียก เขารีบหันหลังไปดูก็พบกับเมอันที่อยู่ในชุดเสื้อยืดขนาดใหญ่เกินตัว และกางเกงวอร์มที่ทั้งใหญ่และยาวเกินไปจนเมอันต้องจับปลายกางเกงตลอด ยิ่งกว่านั้นยังต้องเดินแบบลากพื้นอีก
ไม่ต้องถามก็รู้ว่านี่เป็นเสื้อของเคียวยะ
เคียวยะไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างไร แต่ตอนนี้เขาถึงกับตะลึงกับเรื่องบางเรื่องอยู่
“เดินมาแบบไม่มีเสียงเลยนะ”
“..คุณพ่อสอนมา ..เมื่อตะกี้ พี่กำลังควบคุมปริมาณมานาอยู่เหรอ”
เมอันถามพลางเอียงคอด้วย ท่าทางดูน่ารักเหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวน้อย
“อ่า”
“หนูเองก็ได้รับการสอนมาเหมือนกัน พ่อบอกว่าหนูควรรู้ไว้–เพื่อที่จะควบคุมมานาของมหามังกรได้”
มานาของมหามังกรไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะเลียนแบบได้ เพราะมันคือก้อนมานามหาศาลที่ถูกควบคุมได้อย่างสวยงาม เป็นจุดสูงสุดของการใช้มานา หรือก็คือเป็นจุดสูงสุดของการควบคุมมานาที่เคียวยะกำลังฝึกฝนอยู่
“หมายความว่าถนัดเรื่องควบคุมมานาสินะ”
“อืม ..พ่อบอกว่าหนูทำได้ดีเกือบเทียบเท่ามหามังกร”
“โชว์ให้ฉันเห็นทีสิ”
เมอันพยักหน้า และลงมานั่งบนโซฟาข้างๆเคียวยะและหงายมือโชว์
เกิดคลื่นขึ้นที่ฝ่ามือของเมอันก่อนที่จะมีวงกลมสีดำ เมอันเปลี่ยนวงกลมสีดำให้กลายเป็นมีดสั้น
“..ทำได้ยังไง?”
นั่นไม่ใช่เวทย์ที่มีในบันทึกของโลกใบนี้ เคียวยะใช้ดวงตามหาปราชญ์ดู ทำให้พบว่าเวทมนตร์ที่เมอันโชว์คือเวทย์ใหม่ที่คิดค้นมาสดๆจากการควบคุมมานา
ถ้าวัดแค่การควบคุมมานา เคียวยะแอบคิดว่าเมอันเหนือกว่าเอเธอร์ไปแล้ว อยู่ระดับที่เทียบชั้นได้กับมหามังกรของแท้
“..”
เมอันเงียบไม่ตอบอะไร ใบหน้าของเธอจู่ๆก็ซีดขึ้นมา
“เป็นอะไรไป”
“เปล่าค่ะ ..พี่ถามว่าทำได้ยังไงสินะคะ”
“ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด”
พูดจบเคียวยะก็หันหน้าหนีเมอัน และหยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาก่อนเริ่มฝึกอีกครั้ง—ทางเมอันเอาแต่นั่งมองเคียวยะฝึกฝนตั้งแต่เมื่อครู่จนจบ
เคียวยะใช้เวลาฝึกฝนทั้งหมดสองชั่วโมง และไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าเคียวยะหัวเสีย แต่ก็ไม่เหวี่ยงเพราะตอนนี้เมอันอยู่ด้วย
เมอันมองเคียวยะแบบไม่กระพริบตา
“มีอะไร”
“เปล่าค่ะ ..แค่สงสัยว่าพี่ชายจะเข้านอนตอนกี่โมง”
“เดี่ยวก็นอนแล้ว แค่อยากนั่งพักก่อน”
เคียวยะหายใจหอบนิดหน่อย การใช้เวทมนตร์และสมาธิติดต่อกันสองชั่วโมงคือเรื่องที่ยาก แต่ทางเมอันเหมือนว่าจะไม่เข้าใจว่าทำไมเคียวยะถึงเหนื่อย เพราะเธอควบคุมมานาได้ดีเกือบเท่ามหามังกร ความเหนื่อยล้าจากการใช้มานาจึงไม่มีเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ไปนอนก่อนซะละ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูนอนก่อนไม่ได้หรอก”
“พ่อแกนี่จุกจิกจริงนะ”
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนที่บ่มเพาะความคิดพวกนี้ให้เมอันคือพ่อหรือ ‘เรน’ นั่นเอง
เรนตัวตนที่แสนเลวร้ายของโลกใบนี้ ..วีรกรรมของเรน เคียวยะพอได้ยินมาจากเอเธอร์บ้าง
เขาคือคนที่ไม่ก่อประโยชน์ให้แก่โลก เป็นคนเห็นแก่ตัวที่เกิดมาเพื่อทำลายทุกอย่าง เป็นคนที่ควรจะตายโดยเร็ว
“ที่ๆเคยอยู่ เป็นที่ยังไง”
เคียวยะนึกสงสัยในภูมิหลังของเมอันจึงถามออกไป
“แน่นอน ถ้าไม่อยากตอบก็แล้วแต่เลย เธอมีหน้าที่แค่เล่าแผนของเรนให้ก็พอแล้ว เรื่องส่วนตัวน่ะไม่ได้อยากรู้อะไรขนาดดนั้นหรอก”
เมอันส่ายหัวให้ เธอก้มหน้ามองมือตัวเองที่สั่นและกุมไว้แน่น
“หนูมีพี่น้องอยู่สองคน”
“มหามังกรเทียมน้ำแข็งและสายฟ้าสินะ จากที่ได้ยินมา”
“ค่ะ พวกเขาเป็นพี่ชายและพี่สาวของหนู ..พี่ชายชื่อ ‘ปีเตอร์’ เขาเป็นคนที่กล้าหาญและบ้าบิ่น ชอบปากเสียใส่คนอื่นตลอด โดยเฉพาะกับพ่อ แต่เขาจะใจดีกับหนูและพี่สาวทุกครั้ง ตอนที่หนูโดนพ่อดุพี่ชายก็จะมาช่วย” เมอันพูด “พี่สาวของหนูชื่อ ‘สโนว์’ เธอเป็นคนที่ฉลาดและใจเย็น เธอไม่เคยทะเลาะกับพ่อ เธอเชื่อฟังพ่อตลอด แต่ก็ใจดีกับหนูเหมือนกับพี่ปีเตอร์ เวลาหนูไม่เข้าใจอะไรพี่สโนว์ก็จะอธิบายให้ตลอด เธอสอนเก่งมาก ทุกอย่างที่หนูไม่เข้าใจ เธอรู้หมด”
เคียวยะกอดอกพึมพำว่า “นั้นเหรอ”
(ปีเตอร์คือมหามังกรอัสนี ส่วนสโนว์คือมหามังกรน้ำแข็ง ที่สำคัญยังเป็นเอลฟ์เหมือนเมอันทั้งคู่ด้วย) เคียวยะคิด
“ดูเป็นพี่สาวและพี่ชายที่ดีนี่”
“ค่ะ ทั้งสองคนใจดีมาก ..นอกจากทั้งสองก็พี่สาว ‘อลิซาเบธ’”
(‘อลิซาเบธ’ แวมไพร์สาวที่เป็นมือขวาของเรนกระมัง)
“พี่สาวอลิซาเบธเธอไม่ค่อยพูดอะไร หนูไม่รู้ว่าเธอเป็นคนยังไงเหมือนกัน แต่บางครั้ง ..เธอก็ชอบลูบหัวหนูเล่น ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ตอนที่คุณพ่อไม่อยู่เธอชอบเข้ามาเดินอยู่รอบๆหนู บางทีก็หยิบขนมมาให้ บางทีก็อ่านนิทานให้ฟัง”
เมอันมีใบหน้าที่ดูสับสน เธอไม่รู้จริงๆว่าอลิซาเบธทำไปทำไม แต่เคียวยะรู้ดีตามสามัญสำนึก
“ก็เป็นที่ๆดีนี่ ถ้าไม่นับวัตถุประสงค์ของการมีอยู่น่ะนะ แล้วกับที่ๆดีขนาดนั้น ทำไมถึงเลือกที่จะทรยศล่ะ”
“..”
“คุณพ่อของเธอ มันเลวร้ายยิ่งกว่าความดีที่มีเลยรึไง”
เมอันพยักหน้าให้
“คุณพ่อน่ากลัวที่สุด”
“น่ากลัวยังไงล่ะ จากที่ฟังมามีแต่คนดีๆอยู่รอบๆตัวนี่ จะไปกลัวอะไร”
(ขอโทษด้วยเมอันที่ต้องใช้วิธีสกปรกในการถาม ..) เคียวยะถอนหายใจ
“ไม่ใช่ว่าวิตกไปเองรึไง?”
“..ก่อนหน้านี้หนูมีพี่ชายและพี่สาวอยู่หนึ่งร้อยคน”
“ทุกคนเป็นเผ่าเอลฟ์สินะ”
“ค่ะ”
“แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ”
“พ่อคัดคนที่มีมานาเยอะที่สุดมาสามคน จากนั้นก็..ฝึกฝนพวกหนูกับเก้าสิบเจ็ดคนที่เหลือ”
ถึงตรงนี้เคียวยะก็เบิกตาโพลงกว้าง
“เอลฟ์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีมานาเยอะค่ะ มานาเยอะที่สุดบนโลกและมานาก็มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถควบคุมได้ดีกว่าเผ่าอื่น ..พวกหนูสามคน ต้องฝึกควบคุมมานากับร่างของพี่สาวและพี่ชายอีกเก้าสิบเจ็ดคน และถ้าทำพลาด ..ทุกคนจะตาย”
ถึงตรงนี้เมอันก็ร้องไห้ออกมา เธอก้มหน้ามองพื้นและร้องสะอึกสะอื้น
“ชีวิตของพี่ชายคนหนึ่งหายไปทันทีที่หนูจับพลาด พี่สาวที่อยู่ข้างหลังพี่ชายก็ร้องไห้โวยวายบอกให้ปล่อยเธอไป แต่พ่อก็ไม่ยอมและต่อยเธอ ปิดปากเธอ บังคับเธอที่ดิ้นไม่หยุดให้หนูฝึกควบคุมมานา ..วันนั้นหนูไม่ได้ทำพลาด แต่วันต่อมาหนูก็ทำพลาด ทำให้เธอตายขณะที่พยายามดิ้นให้หลุดอย่างสุดความสามารถ—-ภาพคนที่พยายามเอาตัวรอดจากความตายเป็นชั่วโมง โดยที่มีหนูคอยเล่นด้วยมันยังวงเวียนอยู่ในหัว”
(เรน ..ไอ้บ้านั่น)
ทดลองมนุษย์—กับเผ่าเอลฟ์
เรนคือส่วนสำคัญที่ทำให้เอลฟ์ใกล้สูญพันธ์ุไม่ผิดแน่
“ทุกครั้งที่หนูพลาด คุณพ่อจะหัวเสียและทำโทษหนู หนูเคยโดนพ่อบีบคออยู่บ่อยครั้ง และเกือบจะตายทุกครั้ง เพราะพ่อยั้งมือไว้ได้ทัน ..แล้วก็เปลี่ยนมาเตะต่อยหนูแทน เขาด่าทอหนูว่าเป็นเพราะหนูทำให้ต้องมีคนตาย ถ้าหนูทำตามที่เขาต้องการได้เร็วกว่าสักปีหรือสองปี จะมีคนตายน้อยลง จะไม่มีการสูญเสียโดยไร้ประโยชน์”
“นั้นเหรอ”
“..จนถึงตอนนี้ หนูก็ยังโดนพ่อทำโทษทุกครั้งที่ทำพลาด–ครั้งนี้พ่อเองก็บอกให้หนูติดตามดูพี่ชายไว้ และถ้าหนูทำพลาดแผนของพ่อจะเสียหมด พ่อบอกแบบนั้นและหนูก็ทำพลาด ..”
“ทำพลาด? พูดถึงอะไรน่ะ”
เมอันหันมามองหน้าเคียวยะ ที่กำลังยิ้ม—-แบบน่าสยอง
“อยากช่วยพี่สาวและพี่ชายจากเรนมั้ย?”
“..อยากค่ะ”
“ถ้านั้นก็คิดถูกแล้วที่ทรยศ เธอไม่ได้พลาด แต่เดินเกมถูกจังหวะต่างหาก” เคียวยะพูดต่อ “พวกฉันจะช่วยพวกเธอแน่นอน สักวันหนึ่งต้องช่วยได้แน่ และมันจะเร็วขึ้นเมื่อเธอทำการทรยศเรน”
เคียวยะหัวเราะขึ้นจมูก
“เข้าใจตรงกัน?”
“..ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ชาย”
เมอันยิ้มให้เคียวยะ
“เข้าใจก็ดีแล้ว ถ้านั้นก็เข้านอนได้แล้ว ต้องรีบตื่นไปที่ตัวเมือง เธอเองก็ต้องมาด้วย”
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
“ไม่มีเสื้อหรือของใช้เตรียมมาเลยไม่ใช่รึไง พรุ่งนี้ทางฉันยังไมไ่ด้เริ่มเรียนจริงๆจังๆ เลยพาไปซื้อของด้วยได้อยู่”
“ซื้อให้หนูจะดีเหรอ”
เคียวยะถอนหายใจเฮือกโตแบบหงุดหงิด
“ถ้าไม่อยากได้พรุ่งนี้ก็แค่ไม่ต้องตื่นมาแต่งตัวไป หรือจะยังไม่หลับก็ได้ แค่นั้นแหละ”
พูดจบเคียวยะก็ลุกขึ้นจากโซฟา เดินไปเปิดตูเสื้อผ้าเพื่อหยิบฝูกออกมาปูบนพื้นข้างๆเตียงนอน จากนั้นก็หยิบหมอนจากบนเตียงมาวางไว้พร้อมกับผ้าห่ม
เมอันเห็นก็รีบเดินมา
“เดี่ยวหนูนอนพื้นเอง”
“แหงอยู่แล้ว ตั้งใจแบบนั้นแหละ”
เมอันนิ่งไปสามวิก่อนสมองจะประมวลผลได้เธอก็พยักหน้า และลงไปนอนบนฝูกที่เคียวยะเตรียมไว้
“แค่นี้นะ จะปิดไฟแล้ว”
“คะ ค่ะ”
พูดจบเคียวยะก็ปิดไฟโดยการใช้เวทย์ลมใส่อุปกรณ์เวทย์ที่ใช้สร้างแสง
ท่ามกลางความมืดที่ทั้งสองไม่ควรจะเห็นกัน เมอันค่อยๆพูดขึ้นมา
“ทำไมพี่ถึงช่วยหนูเหรอ? ..ทำไมพี่ถึงเชื่อหนู”
“ถามอะไรตอนคนจะนอน”
“ขะ ขอโทษค่ะ”
เมอันรีบเอาหัวมุดเข้าผ้าห่ม เคียวยะเห็นลางๆพอเดาได้ก็หัวเราะขึ้นจมูก
“เคยอ่านพวกทฤษฎีที่ว่าถ้าเจอคนที่เหมือนกับตัวเอง เราจะอยู่เฉยไม่ได้รึเปล่า”
“นั่นหมายความว่า..หนูเหมือนพี่เหรอ”
“อ่า ฉันแค่เห็นเธอซ้อนทับกับตัวเองแค่นั้นแหละ แค่คิดขึ้นมาว่า—ตัวฉันเมื่อตอนนั้นก็อยากให้ใครสักคนยื่นมือมาเหมือนกัน”
เคียวยะยิ้มที่มุมปาก ไม่มีใครเห็นรอยยิ้มของเขา และเขาก็ไม่ต้องการให้ใครเห็นด้วย แต่เคียวยะไม่รู้ว่าเมอันสามารถมองเห็นที่มืดได้ เธอเห็นเคียวยะยิ้ม และนั่นก็ทำให้ภาพลักษณ์ที่ดุร้ายของเคียวยะปลิวหายไป
“ใครสักคนที่ยื่นมือมา ..ฉันเองก็ถูกช่วยไว้เหมือนกัน”
“คนๆนั้นคือใครเหรอคะ”
“ไม่บอก ..แต่ที่รู้ๆคือส่วนลึกในใจฉัน ..ฉันอยากเป็นเหมือนหมอนั่น”
เคียวยะยกแขนขึ้นมา พยายามจะคว้าอะไรบางอย่างซึ่งตัวเองไม่มี
“ฉันชื่นชมหมอนั่น นับถือ เคราพ หลงใหลเข้าขั้นอิจฉา ..ถ้าเป็นคนๆนั้น เขาคงจะยื่นมือให้เธอ ในหัวฉันมีแค่นี้แหละ พอเจอกับเธอเลยทำให้ฉันยืนยันตัวเองได้อย่างหนึ่งว่า ตัวฉันอยากจะไล่ตามเจ้าบ้านั่นให้ทันในสักวัน” เคียวยะพูดต่อ “เพราะอย่างนั้นฉันเลยอยากจะช่วย ..อยากจะยื่นมือไปให้เธอล่ะนะ”
เคียวยะถอนหายใจ
“เรื่องนี้อย่าได้เอาไปบอกใครเด็ดขาดล่ะ ถ้าทำแกตายแน่”
“นะ หนูไม่ทำหรอกค่ะ ถ้าพี่ชายอายแล้วจะเล่าให้หนูฟังทำไมล่ะ”
“เพราะเหมือนกันล่ะมั้ง เลยไม่รู้สึกอายเลยสักนิด”
เมอันส่งเสียง “เอ๋” ดังลั่น แต่ถึงตรงนี้เคียวยะก็ไม่พูดอธิบายอะไรต่อ ทำเงียบใส่และหลับทั้งอย่างนั้น
เห็นอย่างนั้นเมอันก็อดถอนหายใจกับตัวเองไม่ได้ ..
ผ่านไปหลายชั่วโมง
เมอันยังไม่หลับ เธอยังลืมตาได้เหมือนเดิม หายใจได้แบบคงที่เพราะพ่อเธอสอนมาดี
เธอลุกขึ้นยืน มองไปที่เคียวยะที่หลับสนิท และกำลังจะยื่นมือไปที่คอของเคียวยะ ..แต่เธอก็หยุดมือไว้ก่อน
‘อยากจะยื่นมือไปให้เธอล่ะนะ’
คำพูดของเคียวยะย้อนเข้ามาในหัว ทำให้เมอันน้ำตาไหลมาอีกครั้ง
ตลอดมา ไม่เคยมีใครบอกว่าจะช่วยเธอจากขุมนรกเลย ..ในใจลึกๆของเมอันเองก็อยากออกไปที่แย่ๆแห่งนั้นใจจะขาดตลอดเวลา แต่เธอทำไม่ได้ เพราะเธอถูกโซ่แห่งความกลัวตรึงเอาไว้
โซ่นั่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังคงผูกมัดเมอันไว้ แต่ ..อย่างน้อยๆตอนนี้ก็มีคนที่พยายามจะดึงโซ่ที่พันรอบตัวเธอออก
เธอดีใจ ..และเสียใจในเวลาเดียวกัน
“พี่ชายน่าจะมาเร็วกว่านี้สักหนึ่งพันปีนะคะ”
เพราะโซ่ที่อยู่รอบตัวเธอ มันถูกพันไว้หลายล้านครั้ง เป็นเวลานับพันๆปี ไม่มีทางที่เธอจะหายกลัวได้ในทันที
แต่ว่า
ความจริงที่ว่ามีคนคิดจะช่วยเธอก็ไม่สามารถปฎิเสธได้
มนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว ไม่ถึงกับเรน แต่ก็ไม่ได้ใจดีเยี่ยงผู้เสียสละ
เธออยากจะเชื่อในตัวเอง ..อยากเชื่อว่าตัวเองจะหลุดพ้นได้
“ขอโทษนะคะ คุณพ่อ”
พูดจบเมอันก็ยิ้มคล้ายจะตำหนิตัวเอง ก่อนลงไปนอนอีกครั้งและหลับตาลง
เมอันตัดสินใจทรยศเรนโดยสมบูรณ์
****
ท่ามกลางแสงจันทร์ ภายในคฤหาสน์ขนาดยักษ์ใจกลางป่านั้น—- ‘เรน’ กำลังนั่งชมวิวทิวทัศน์ภายนอกประสาทจากภายในประสาทอยู่
เขานั่งไขว่ขาและจิบไวน์บนมือไปด้วย โดยที่ตรงข้ามนั้นคือ ‘ลูซิเฟอร์’ บาปแห่งความเย่อหยิ่ง
ลูซิเฟอร์เองก็จิบไวน์อยู่เหมือนกัน
“แล้วท่านคิดอะไรอยู่ล่ะถึงส่งข้ารับใช้ตัวเองไปทำภารกิจระเบิดตัวตาย” ลูซิเฟอร์ถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
เรนยิ้มตอบลูซิเฟอร์
“ข้ารับใช้? ช่วงนี้ผมก็ไม่ได้ส่งใครไปทำงานนะครับ ..อ๊ะ หรือว่ากำลังพูดถึง ‘เมอัน’ อยู่หรือครับ?”
“ใช่แล้ว”
“นั่นสินะ ก็แค่ส่งไปทำงานเองนี่ครับ แปลกตรงไหน”
ลูซิเฟอร์ถอนหายใจ
“ให้ไปจับตาดูผู้ใช้ดวงตามหาปราชญ์เนี่ยนะ ..ได้ยินมาว่าท่านคืออัจฉริยะด้านการสร้าง ข้าเองก็ยอมรับเพราะทำได้ถึงขนาดสร้างมหามังกรเทียมที่มีพลังทัดเทียมกับของแท้ แต่ดูท่าข้าจะคิดผิดไป—”
“จะบอกว่าผมโง่เหรอ ลูซิเฟอร์”
เรนดูจริงจังขึ้นมาทันตา
“เช่นนั้นก็อธิบายให้ข้าฟังทีสิ ท่านไม่กลัวเมอันจะย้ายฝั่งหรือไง ถ้าเป็นท่านจอมมาร เขาใจดีพอจะต้อนรับทุกคน แม้ว่าจะเป็นศัตรูนะ ฟังไว้ซะ จอมมารน่ะ–”
“ก็ได้ครับ ก็ได้ ไม่ต้องมาพล่ามอวดเจ้านายตัวเองหรอกครับ ผมจะอธิบายให้ฟังเองเพื่อความพอใจไร้สาระของคุณ”
เรนวางไวน์ลงบนโต๊ะและผสานมือตัวเอง ก่อนแสยะยิ้มออกมา
“ผมแค่เชื่อใจครับ ใช่ ผมเชื่อในตัวเมอัน—-เชื่อว่าต่อให้เธอทรยศผม แต่ในตอนสุดท้ายเธอก็จะไม่หักหลังผม”
“..อะไรที่ทำให้เชื่อขนาดนั้นล่ะ”
“สายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น—-ระหว่างเครื่องมือและเจ้าของครับ”
ฟังถึงตรงนี้ลูซิเฟอร์ก็หลุดขำออกมาเบาหวิว
“มีอะไรน่าขำหรือครับ?”
“ท่านคือคนน่ารังเกียจของแท้เลย”
เมอันไม่ใช่ข้ารับใช้ แต่เป็นเครื่องมือของเรน
“พูดเกินไปครับ ..”
“ไม่หรอก ข้าไม่ได้คิดผิดหรอก คนแบบท่านน่ะข้าเกลียดที่สุดเลย”
เรนคิ้วกระตุกเล็กน้อย แต่ก็กลับมาปั้นยิ้มให้ลูซิเฟอร์ได้อยู่ดี
“แต่ว่า ..ถ้าเพื่อเรียกสติท่านจอมมารกลับมา ข้าพร้อมจะเป็นคนน่ารังเกียจเช่นเดียวกับท่าน ต่อให้คนกว่าครึ่งบนโลกจะต้องตาย แต่เพื่อเป้าหมายของท่านจอมมาร ข้าก็พร้อมจะทำ”
“แบบนี้นี่เอง คุณไม่ได้รังเกียจผมเพราะผมมันน่ารังเกียจ แต่รังเกียจผม เพราะตัวผมนั้นช่างคล้ายกับคุณสินะครับ”
เรนอ้าแขนโอ้อ่าเหมือนจะเล่นใหญ่ ตั้งใจเยาะเย้ยลูซิเฟอร์ด้วย แต่ลูซิเฟอร์ไม่ถือสา ต้องบอกว่าไม่ใส่ใจเลยก็ได้
“ใช่แล้ว มันก็มีบ้างล่ะนะ ..ที่จะเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้น่ะ”
เรนได้ยินก็หัวเราะลั่น
“กลับกัน ลูซิเฟอร์ ผมถูกใจคุณชะมัด”
เรนตบขาตัวเองรัวๆ และไล่จากขามาตบที่อกตัวเองเพื่อให้หยุดหัวเราะ
“ให้ตายสิ คุณทำผมเกือบขาดอากาศหายใจตายเลยนะ ลูซิเฟอร์ ..” เรนยื่นมือมา “ถ้าไม่รังเกียจ—-มาร่วมมือกันเถอะครับ”
ร่วมมือกัน ทั้งๆที่ร่วมมือกันตั้งนานแล้ว หมายความว่าเรนมีแผนที่อยากให้ลูซิเฟอร์ร่วมมือด้วยอีก โดยที่นั่นคือแผนลับที่พวกตนไม่รู้
“ให้ตายสิ”
…ลูซิเฟอร์ถอนหายใจ
“คนอย่างท่านเนี่ยไว้ใจไม่ได้จริงๆ ..ว่ามาสิ”
ในวันนั้น เช่นเดียวกับเมอัน ทางลูซิเฟอร์เองก็—-ตัดสินใจทรยศเหล่ามหาบาป
ลูซิเฟอร์ตกลงที่จะร่วมมือกับเรน