เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 123: ย้ายฝั่ง
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 123: ย้ายฝั่ง
ปล.หลายคนอาจจะเผลอข้ามตอนก่อนหน้าไปนะครับ เพราะผมลงตอนประกาศทับครับผม ผมแนะนำให้กลับไปอ่านตอนก่อนก่อน เพราะตอนก่อนมีเนื้อหาสำคัญที่ส่งมาถึงตอนนี้อยู่ครับผม
(ป.ล.นี้จะมาไล่ลบหลังหมดอาทิตย์นี้นะครับ)
< < 98 > >
ช่วงพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน หรือราวๆหกโมงเย็น ผมกำลังทำกิจวัตรประจำวันอยู่ นั่นคือการออกกำลังกาย โดยที่ตอนนี้ผมกำลังทำดันพื้นอยู่
“998!”
998คือจำนวนการดันพื้นที่ทำแบบติดต่อกัน ตัวเลขนั่นอาจดูเว่อร์ ไม่สิ ดูเว่อร์เลยแหละ แต่ถ้าเทียบกับกายภาพระดับนักดาบขั้นสูงที่ผมมีแล้วมันก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก
“999!”
อีกแค่ครั้งเดียวก็จะเป็นอันจบการดันพื้น ต่อไปก็ฝึกฝนเวทมนตร์ ..
ปังๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ผมต้องพักการดันพื้นและลุกขึ้นไปเปิดประตู
“ใครมาเวลานี้นะ”
ผมหมุนลูดบิดประตู และชะโงกหน้าดูผู้ที่มาเยือน
ตรงหน้ามีผู้ชายตัวสูงราวๆ 170 กว่าเซนติเมตร ผมสีม่วง แน่นอนว่านั่นคือเคียวยะ กำลังทำหน้าบูดบึ้งอยู่ด้วย เหมือนทุกที
“ออกกำลังกายอยู่เหรอ”
“อ่า แต่ก็ใกล้เสร็จแล้วแหละ”
“มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”
“..อ่า ..เอ๊ะ”
ผมชายตามองเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ตัวเล็กพอๆกับเด็กประถมตอนปลาย มีเลือนผมสีขาวปนดำ และที่สำคัญสวมโค้ทอยู่ แต่เพราะผมตัวสูงกว่าและอีกฝ่ายเงยหน้ามองผมพอดีทำให้เห็นภายใต้เสื้อโค้ทได้
มีหูเอลฟ์อยู่ และหน้าตาก็คุ้นมาก
เด็กที่เคียวยะเคยช่วยไว้ตอนนั้น—-มหามังกรเทียม ‘เมอัน’ สินะ
“เข้ามาก่อนเลย”
ผมเปิดประตูให้เคียวยะ เคียวยะลากเมอันเข้ามา ทางเมอันก็ไม่ได้ปฎิเสธอะไร เธอเดินตามเคียวยะต๋อยๆ ดูๆแล้วก็น่ารักดี มั้งนะ
ผมคว้าเสื้อยืดสีขาวใกล้ๆมาใส่ไว้ก่อน
“เดี่ยวฉันไปเรียกคนอื่นมาก่อน ช่วยอยู่ที่นี่ก่อนนะ”
“เออ เร็วๆหน่อยล่ะกัน”
แน่นอนว่าสถานการณ์แบบนี้ผมต้องพาทุกคนมารวมตัว
ว่าแต่ว่า ไปเก็บเมอันมาจากไหนกันนะ เจ้าเคียวยะเนี่ย
****
เพียงไม่นานห้องผมก็บรรจุคนถึง 8 คน ได้แก่—–
-ตัวผม เรเซอร์ ดราแคล์ ตัวร้ายแห่งโลกไลท์โนเวล
เบลลามี นางอวยของผม ผู้เป็นร่างสถิตของจอมมาร
เคียวยะ ตัวร้ายเหมือนกัน แต่บทดีกว่าผม
เรย์ เพื่อนพระเอก กระสอบทรายประจำเรื่อง
หนิง นางเอกหลักประจำเรื่อง ผู้ถือครองพลังของมหามังกรเพลิงไว้
เอเธอร์ ตัวบัคประจำโลก
และ ยูจิ พระเอกแห่งโลกใบนี้ ผู้เปรียบได้ดั่งจุดศูนย์กลางโลก
และสุดท้าย บัดนี้พวกเราก็มานั่งตีวงล้อม– ‘เมอัน’ มหามังกรเทียมที่แสนจะอันตราย
เมอันนั่งในท่าพับเพียบ เจ้าตัวเหงื่อไหลไม่หยุด ตัวสั่นด้วย ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกพอโดนคนจ้องไม่หยุดเข้า
ทำเอาแอบคิดเสียมารยาทเลยว่านี่ใช่คนอายุหลักพันจริงๆป่ะเนี่ย
“ไม่ได้พบกันนานนะครับ เมอัน”
นับตามวันจริงๆก็แค่เดือนเศษๆเองมั้ง แต่ดูพูดเข้าสิ
เอเธอร์ยิ้มให้เมอัน รอยยิ้มของเอเธอร์ไร้ซึ่งความรู้สึก ซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่ายิ้มแบบโกรธๆเคืองๆอีก นั่นทำให้มีน้ำตาไหลออกมาหนึ่งหยดจากตาของเมอันแล้ว
น่าสงสารแท้ ถ้าผมอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเมอัน สภาพไม่น่าต่างกันนักหรอก
“รับชาอะไรดีครับ”
“มะ..ไม่เอาค่ะ”
“น่าเสียดายนะครับ”
เอเธอร์เก็บถุงชาเข้ากระเป๋าเสื้อ และเปลี่ยนเป็นยื่นขนมไปให้แทน
“ขนมธัญพืชครับ”
ครั้งนี้เอเธอร์ไม่ถาม แต่ยื่นให้เลย แน่นอนว่ามีหรือที่เมอันจะกล้าปฎิเสธ ถึงกระนั้นเธอก็ยังกล้าๆกลัวๆทำท่าจะหยิบไม่หยิบยึกๆยักๆไม่มา กลัวน่าดู
“ไม่มีพิษหรอกนะครับ” ยูจิช่วยพูดให้ “คุณเอเธอร์ก็เอามาให้ผมกินเหมือนกัน เขาบอกดีต่อสุขภาพครับ”
“ใช่ครับ รับไว้เถอะครับ สิ่งนี้ผมทำเองกับมือเลย มีหลากหลายรสชาติ และที่สำคัญแต่ล่ะรสชาติก็ให้ผลตามกันด้วยครับ อย่างที่ผมให้คุณยูจิก็ขนมที่ทำให้รู้สึกอยากออกแรงเยอะขึ้น และของที่ผมให้คุณก็ ..”
บนซองเขียนไว้ว่า ‘กุหลาบ’ พึ่งรู้นี่แหละว่ากุหลาบเอามาทำเป็นขนมได้ด้วย โลกนี่ช่างกว้างใหญ่จริงๆ ..อือ กว้างใหญ่มาก
“ความลับล่ะนะครับ”
เมอันรับไว้ และเก็บเข้ากระเป๋า แหงล่ะ ใครมันจะกล้ากินฟร้ะ
“อย่าแกล้งเด็กแบบนั้นสิ” เรย์ทักขึ้น
“แกล้ง? ไม่ใช่หรอกนะครับ ธัญพืชที่ผมให้ไปมันมีผลทำให้ร่างกายอ่อนแรง ขืนเจรจาผิดพลาดแล้วอีกฝ่ายคิดจะสู้กับพวกเราคงจะมีปัญหาตามมาพอตัว ผมเลยคิดจะวางยาอีกฝ่ายให้อ่อนแรงก่อนครับ ในกรณีที่แย่ จะได้กินนิ่ม ..โอ๊ะ หลุดซะแล้ว”
พูดแบบนี้มันจงใจหลุดชัดๆ ในบางมุมเอเธอร์ก็เป็นพวกกวนประสาทแฮะ สงสารกันบ้างสิ ในฐานะเพื่อนร่วมโลกน่ะ ดูเมอันตอนนี้ดิ จะร้องไห้แล้วเนี่ย
ต่อจากนั้นหนิงก็โพล่งต่อ โดยที่ทำตัวเชิดๆใส่
“เห๋ มหามังกรเทียมสินะ สุดยอดเลยนะ มหามังกรเนี่ย แต่ก็นะ มหามังกรเทียม ..คำว่า ‘เทียม’ เนี่ย ว่าไงดี ชวนให้รู้สึกว่าอ่อนด๋อยดีเนอะ มหามังกรแท้ๆ แต่กลับเทียม น่าตลกจัง”
แล้วหล่อนจะไปข่มเขาทำไมล่ะฟร้ะ!? ศักดิ์ศรีของมหามังกรมันค้ำคอรึไงหะ!?
“..เป็นของเทียมมันแย่หรือคะ?” เมอันพูดเสียงสั่น
“ไม่ได้จะบอกว่าแย่หรอก แค่—ถ้าให้เทียบกับของจริงเนี่ย คำว่าเทียมมันดูไม่ดีเลยนะ แบบจะมีไปทำไมเล่า ของเทียมเนี่ย ฮะ ฮะ ฮะ” หนิงหัวเราะร่า
ถามจริง! นี่ตั้งใจข่มกันจริงๆสินะ!
สัญชาตญาณมหามังกรในใจลึกๆคงบอกให้หนิงทำ หรือก็คือสันดาบดินของยัย ‘ฟัฟนิร์’ มันโผล่น่ะแหละ
เมอันตัดสินใจไม่พูดอะไรต่อ หลบหน้าหนีเอา เบลลามีเห็นหนิงพูดข่มก็ถอนหายใจเฮือกโต และพยายามยิ้มให้เมอัน
“ไม่ต้องห่วงนะ ..ทุกคนใจดี”
ดูที่ทำแต่ล่ะคน มันเรียกว่าใจดีไม่ได้หรอกนะครับ คุณเบลลามี
ผมได้แต่กุมขมับด้วยความเหนื่อยใจ กว่าครึ่งในวงสนทนาไม่มีใครเป็นมิตรกับเมอันเลยสักคน แต่ไม่ต้องห่วงนะเมอัน โอนี่จังคนนี้จะคุยด้วยดีๆเอง
“ถ้านั้น—เข้าเรื่องกันเถอะ” ผมจ้องตาเมอันตรงๆ
บรรยากาศพาไปกระมัง ผมเลยเผลอข่มเมอันไปด้วยคนเฉยเลย
เมอันทนไม่ไหว คลานไปหลบหลังเคียวยะ
“มีอะไร”
“กลัว ..หนูกลัว”
“กลัว? ยุ่งยากชะมัด มีอะไรต้องกลัว”
เมอันไม่พูดอะไร ทำเพียงจับแผ่นหลังของเคียวยะไว้แน่น–เคียวยะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไหนธัญพืชที่เอเธอร์ให้มา”
เมอันยื่นธัญพืชที่มีคุณสมบัติอันตรายให้เคียวยะ เคียวยะรับมาและเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองแทน เคลียร์ประเด็นเอเธอร์จบก็หันมาทางหนิงต่อ
“หนิง แกเองก็อย่ามาทำเป็นวางก้าม สภาพหล่อนก็ไม่ต่างกับของปลอมหรอก”
นั่นสินา พลังที่ได้มาก็มาจากที่บรรพบุรุษไปขโมยเขามาเมื่อสมัยก่อนด้วย
“หะ หา!? ว่าไงนะ”
“จะ ใจเย็นๆก่อนครับ”
หนิงจะพุ่งไปเอาเรื่องเคียวยะ แต่โชคดีที่ยูจินั่งอยู่ข้างๆเลยช่วยรั้งตัวหนิงไว้ได้
แน่นอนแรงยูจิสู้หนิงไม่ได้หรอก แต่แค่ยูจิจับตัว หนิงก็ระทวยจนหมดแรงแล้ว
ต่อจากหนิงก็ผม
“แกเองก็ ..ทำตัวชิลๆหน่อย”
“ขอย้อนได้มั้ยเนี่ย ไม่อยากได้ยินคำนี้จากนายหรอกนะเคียวยะ”
“หึ”
เคียวยะหัวเราะขึ้นจมูกเป็นอันปรับบรรยากาศ พอบรรยากาศเริ่มดีแล้วผมก็ตบมือสองครั้งและเริ่มเข้าเรื่องจริงๆ
“เข้าเรื่องเลยนะ เคียวยะ ก่อนอื่นเล่าความเป็นมาทีสิ”
“เริ่มแรก”
สรุปก็คือ เคียวยะบังเอิญเจอเมอันขณะอ่านหนังสือ และคุยกันไปคุยกันมาก็ชวนให้ทรยศเรนและมาอยู่กับตัวเองแทน จากนั้นเคียวยะก็พาเมอันมาหาผม และผมก็ไปตามทุกคนมากลายเป็นเหตุการณ์ ณ ปัจจุบันนี้
เรื่องมีอยู่แค่นี้แหละ
“ทรยศเรนสินะ ..แล้วคำตอบล่ะ”
“มาถึงตรงนี้มันก็มีแค่อย่างเดียวแหละ แต่เรื่องนี้ยัยนี่ต้องเป็นคนพูดเอง”
เคียวยะผละให้เมอันเป็นคนพูด ..เมอันมองไปรอบๆ และพึมพำขึ้น
“หนูจะทรยศคุณพ่อ ..ได้โปรดช่วยหนูด้วย”
“ที่พูดเชื่อได้แค่ไหน”
“..หนูไม่อยากกลับไปอีกแล้ว ที่ๆพ่ออยู่มันน่ากลัว”
จากที่ดูก็ไม่ได้โกหกอะไร แต่จะให้ไว้ใจแล้วยินดีต้อนรับนี่มัน ..มันต่างกับกรณีของเอเธอร์ ของเอเธอร์คือไม่มีทางเลือกเลยต้องรับ จากสถานการณ์แล้วก็เหมือนโดนกึ่งบังคับแหละ แต่ทางเมอันสิ ผมสามารถปฎิเสธก็ได้ เพียงแต่ถ้าได้เมอันเป็นพวกมันก็ชวนอุ่นใจขึ้นเยอะเลย ตัวตนที่สู้แบบเอาจริงกับคาลอสได้เนี่ย
แล้วก็ไม่มีใครบ้ามาขอเข้าพวกโง่ๆแบบนี้หรอก ถ้าไม่ได้มีพลังมากมายแบบเอเธอร์น่ะ
การมาโต่งๆแบบนี้ แถมยังโดนพวกผมล้อมเนี่ย มันไม่ต่างกับการมอบชีวิตให้ทางนี้เลย
“..ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ”
แต่ก็ยากจะเชื่ออยู่ดี
เมอันหน้าซีดเผือก เธอหรี่ตาลงคล้ายจะยอมรับในโชคชะตาของตัวเอง
ขี้โกงจังเลยนะทำหน้าแบบนั้น ..
“ฉันอยากช่วย”
เคียวยะพึมพำขึ้นมา เขาหน้าแดงแจ๋ ดูจะอับอายเอามากๆ
“ไม่ได้ยินเลย พูดอะไรน่ะ”
แน่นอนว่าทางผมได้ยินชัดแจ๋ว แต่อยากเห็นเคียวยะเดะเระแตก
การบอกว่าจะช่วยใครตรงๆมันเป็นเรื่องยากสำหรับเคียวยะ—เพราะเคียวยะมันเป็นพวกถือตัวสูง เป็นซึนเดเระขนานแท้ เป็นพวกที่ถ้ามีคนที่ชอบจะทำตัวแบบเกลียดแกว่ะ แต่จริงๆโคตรรักเลย
ผมกับเบลลามีรู้ดี เพราะพวกเราได้รับการปฎิบัติเช่นนั้นมาโดยตลอด ว่าตามตรงไม่ได้เกลียดหรอกนะนิสัยนั้น ถึงมันจะน่ารำคาญหน่อยๆก็เถอะ
“ไม่เห็นได้ยินเลยคร้าบบบบ”
“ก็บอกว่า ..ฉันอยากช่วยไง”
“ทำไมถึงอยากช่วยล่ะ” ผมเอียงคอฉงน
“ช่วยทำไมเหรอ” เรย์ยิ้มกรุ่มกริ่ม
“เคียวยะใจดีจังน้า” หนิงแซว
“ช่วยใครเหรอ ไม่พูดชื่อเราไม่รู้นะ” เบลลามีก็ร่วมวงด้วย
เคียวยะทนไม่ไหวทุบโต๊ะดังลั่น และแหกปากโวยวายออกมา
“ฉันอยากช่วยไอ้เด็กนี่! ไม่รู้ทำไมแต่ในใจมันอยากช่วย—-มันก็แค่นั้น!”
“ใจดีจังน้าเคียวยะ”
“เคียวยะทำไมนายไม่ใจดีกับฉันแบบนั้นบ้างนะ”
“นี่ใช่ที่เรียกว่าซึนเดเระรึเปล่านะ”
“เคียวยะ เท่มาก”
เคียวยะโกรธจนหน้าแดง แต่ก็ยับยั้งอารมณ์ไว้ เพราะถ้าดึงดันจะแหกปากต่อก็คงโดนพวกผมล้อเลียนไม่รู้จบอีก
“เออ ..แค่นั้นแหละ ฉันแค่อยากช่วย ไม่พอใจอะไรก็แล้วแต่เลย อยากจะบ่นอะไรก็ตามใจเลย”
เคียวยะมองหน้าเมอัน และเดาะลิ้นไม่พอใจ
“ถ้าพวกแกไม่ต้องการจะช่วย ฉันก็จะช่วยเอง”
เคียวยะพูดอย่างหนักแน่น ถ้าเวลานี้ไอริสมาเห็นเข้าเธอคงจะตกหลุมรักเคียวยะอีกรอบแล้ว
“พูดอะไรแบบนั้น พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วนะ”
ผมยิ้มให้เคียวยะ ก่อนจะหันไปหาทุกคน
“ทุกคนคิดยังไงบ้างล่ะ”
ไม่ใช่แค่ความเห็นของผม ความเห็นของทุกคนนั้นจำเป็นเหมือนกัน ตั้งแต่วันที่สู้กับเอเธอร์ ผมก็ตั้งใจจะไปเก็บเรื่องที่ไม่จำเป็นมาคิดคนเดียวอีกแล้ว ขืนทำอีก ผมโดนเบลลามีบ่นอีกแหงๆ
ถึงการโดนเบลลามีบ่นมันจะเป็นการให้รางวัลก็เถอะ
“เอาสิ” เบลลามีพูด
“ผมไม่มีปัญหาหรอกนะครับ” ยูจิพูด
“เอาเลยๆ” เรย์พูด
“ยูจิเห็นด้วยฉันก็เห็นด้วยแหละ” หนิงว่าโดยที่ชำเลืองตามองยูจิ
สุดท้ายก็เอเธอร์
“ผมไม่มีปัญหาหรอกครับ ถือซะว่าได้เพื่อนร่วมโต๊ะน้ำชาหนึ่งคน เพราะพวกเรเซอร์ไม่ว่าง ผมจะได้พาคนที่ว่างมาช่วยชิมชาที่ผมชงด้วย”
“อย่าใจร้ายกับเมอันนักล่ะ”
ผมหัวเราะเบาหวิวเช่นเดียวกับเอเธอร์
เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีใครเห็นต่างหรือแย้งอะไรก็เอาตามนั้น
ผมจะยอมรับเรื่องที่เมอันทรยศเรนและรับเธอเข้าพวก
เมอันมองไปที่ทุกคน และยิ้มให้
“ขอบคุณนะคะ”
“ตามนี้นะ จริงๆก็อยากคุยเรื่องของเรนกันเธอเป็นการส่วนตัวด้วย แต่ไว้พรุ่งนี้ดีกว่า เพราะนี่ก็เริ่มมืดล่ะ”
มองออกไปนอกหน้าต่าง ตั้งแต่ที่เคียวยะพาเมอันมาก็ผ่านมาได้หลายชั่วโมงอยู่
“ไปนอนพักก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยเรื่องของเรนกัน ในเมื่อทรยศแล้วก็บอกให้ทางนี้ทราบทุกอย่างได้ใช่มั้ย? ยินดีให้ความร่วมมือใช่มั้ย?”
ที่พูดดูแดกดันบังคับให้อีกฝ่ายร่วมมือไปหน่อยแฮะ แต่ช่างมัน
“ยินดีค่ะ”
“โอเคร เป็นอันดิลนะ เอาล่ะแยกย้ายๆ”
“เดี่ยวสิ”
เบลลามีทักขึ้น
“มีอะไรเหรอ?”
“เมอันต้องนอนที่ไหนเหรอ?”
ทุกคนหันมาจ้องหน้ากัน ยกเว้นเอเธอร์ที่นั่งเคี้ยวขนมธัญพืชชิลๆพลางหลับตาไปด้วย
“นั่นสินะ ให้เคียวยะรับหน้าที่ดูแลดีรึเปล่า”
“ไม่ได้หรอก เคียวยะเป็นผู้ชายไม่ใช่รึไง” หนิงท้วง
“แต่อีกฝ่ายเป็นเด—”
“เด็กบ้าอะไร อายุเป็นพันล่ะ”
นั่นสิเนอะ ถึงภายนอกและลักษณะนิสัยจะยังดูเป็นเด็กอยู่ก็เถอะ
“แล้วเอาไง แบบนั้นก็เหลือแค่เบลลามีกับหนิงล่ะสิ”
นอกจากสองคนนี้ที่เหลือก็ตัวผู้หมด มีแค่ยูจิที่เป็นตัวผู้แต่อยู่ในหมดหมู่นางฟ้า
“เอาเป็นห้องเราก็ได้นะ”
เบลลามียกมือเสนอตัว
“ห้องเราอยู่ติดกับห้องหนิงด้วย ถ้ามีเรื่องอะไรเราก็พาเมอันฝากไว้ให้หนิงได้”
แบบนี้น่ะเอง
“เอาแบบนั้นก็ได้ โอเครมั้ย?”
ผมหันไปถามเมอัน—-ไม่รู้เหตุใด เจ้าตัวถึงส่ายหัวให้รัวๆ
“บะ เบลลามีเขาไม่น่ากลัวหรอกนะ”
“ไม่ใช่นะคะ คือ..หนูบอกไม่ถูก”
ซับซ้อนจังนะ แต่ก็เข้าใจได้ ตอนอยู่กับเรนน่าจะโดนไอ้บ้านั่นทำมาเยอะน่าดู
“แล้วหนิงล่ะ”
เมอันส่ายหัวให้แรงกว่าของเบลลามีอีก ก็นะ หนิงให้ความรู้สึกเหมือนผู้ใหญ่ใจร้ายนี่นะ เข้าใจเลย
“แล้วจะนอนกับใครล่ะ”
“พี่ชาย ..”
พี่ชาย?
นึกออกอยู่คนเดียวนี่แหละ คนที่ดูจะเข้าถึงเมอันได้ง่ายที่สุด
ทุกสายตาจับจ้องไปที่เคียวยะ แน่นอนว่ายกเว้นเอเธอร์ที่หลังกินธัญพืชเสร็จ เจ้าตัวก็จิบชาเบาๆพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทางดูชิลสุดๆ
เคียวยะเดาะลิ้นไม่พอใจอีกครั้ง
“ทำไมต้องตูด้วย”
“ก็คนที่ใจดีที่สุดคือเคียวยะนี่”
“ใจดีบ้าอะไรล่ะ ..เออๆ เข้าใจแล้ว”
เคียวยะถอนหายใจเฮือกโต ก่อนหันไปพูดกับเมอัน
“ฝากตัวด้วยล่ะกัน”
“คะ ค่ะ”
เป็นอันดิลแล้วเรื่องที่นอนของเมอัน เธอต้องอยู่อาศัยกับเคียวยะ ถึงจะเป็นชายหญิงแต่เมอันเป็นแค่เด็กน้อย ไม่มีทางเกิดเรื่องบัดสีขึ้นหรอก ผมเชื่อสุดใจว่าเคียวยะไม่ใช่ไอ้โลลิค่อน
“ตามนี้ แยกย้าย”
เมื่อคุยธุระเสร็จก็ได้เวลาแยกย้ายกันไปนอน
ทุกคนทยอยออกจากห้องผมไปจนหมด จนกระทั่งเหลือแค่เอเธอร์
หมอนั่นยังนั่งจิบชาแบบสบายใจอยู่ ไม่รู้ทำไม แต่ผมรู้สึกหงุดหงิดหน่อยๆ แบบนี่มันห้องผมนะ มาทำชิลอะไรที่นี่ไรงี้มั้ง
เอเธอร์สังเกตุสายตาของผมได้ เขาทำเพียงยิ้มให้
“รับชาสักแก้วมั้ยครับ?”
“มะ ไม่ล่ะ ว่าแต่มีอะไรจะคุยอีกรึเปล่า”
“ครับ เป็นเรื่องค่อนข้างสำคัญเลย” เอเธอร์มองออกไปนอกหน้าต่าง “เหมือนว่าเกาะนี้จะมีปริมาณมานามากเป็นพิเศษครับ”
“ขนาดไหน”
“มากกว่าของเรเซอร์ร้อยเท่าได้”
ร้อยเท่า ..ยูจิเป็นร่างเกิดใหม่ของเทพ เบลลามีเป็นร่างเกิดใหม่ของจอมมาร ทั้งสองคนจะมีมานาติดบัคก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ แต่ร้อยเท่านี่อาจจะไม่เท่าทั้งสอง แต่มันก็เยอะระดับใช้ได้ไม่มีหมดเหมือนกัน
“จับสัมผัสได้ตอนไหนล่ะ”
“วิชาไสยศาสตร์ของมิรันด้าจัดว่ายอดเยี่ยมมากครับ ผมบังเอิญไปเจอ เลยทำการแทรกแทรง และเปลี่ยนให้เป็นของตัวเอง ก่อนจะลองขยายวิชาไสยนั้นจนจับสัมผัสเข้าได้ครับ”
ทำแบบนั้นเจ้าตัวไม่โกรธแย่เลยเรอะ?
“ไปมายังล่ะ”
“ยังเลยครับ ตั้งใจว่าจะมาบอกทุกคนก่อน”
“แล้วไหงมาบอกแค่ฉันล่ะ”
“ทุกคนออกจากห้องกันเร็วมากเลยนะครับ ดูท่าจะรีบผมเลยไม่ห้าม”
ไม่น่าเชื่อว่าคิดแบบนั้นจริงๆเลยสักนิด
“ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันอยู่บริเวณไหนของเกาะ”
“จะให้ฉันช่วยหาที่อยู่ของก้อนมานาสินะ”
“ครับตามนั้นเลย เข้าใจง่ายดีนะครับ”
“อ่า ..เอเธอร์ขอชาสักแก้ว แล้วก็–มาคุยรายละเอียดเรื่องก้อนมานากันเถอะ”
เอเธอร์พยักหน้ารับและทำตามที่ผมว่า
****
หลังจากที่ยูจิออกจากห้องของเรเซอร์ ยูจิก็ลงไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะของโรงเรียน โดยที่—คุยกับ ‘อลัน’ วิญญาณระดับเทพในครองครองของตัวเองไปด้วย
“วิทยาลัยที่เกาะวาเรอร์นี่ดีใช้ได้เลยนะครับ”
‘นั่นสินะครับ เป็นที่เล่าเรียนที่คู่ควรกับยูจิ’
“คู่ควรสินะ ..อย่ายกยอผมให้ดูสูงเลยครับ”
ยูจิหัวเราะแห้งๆ ต่างกับอลันที่ยืนยันเสียงแข็ง
‘ยูจิควรค่าแก่การยกย่อง’
“ขอบคุณมากนะครับ ..จะว่าไป คุณอลันยังไม่เคยคุยกับคุณยูนาเลยนะครับ”
‘วิญญาณระดับเทพของท่านเรเซอร์หรือครับ?’
“ใช่ครับ เห็นว่าเป็นวิญญาณระดับเทพเหมือนกัน เลยคิดว่าอาจจะอยากคุยด้วยรึเปล่า”
‘เรื่องนั้นผมไม่มีความประสงค์แต่อย่างไร แต่ถ้ายูจิต้องการผมก็จะคุยด้วยครับ’
ยูจิถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อลันเนี่ยตามใจผมจังเลยนะ”
‘เป็นหน้าที่ของบริวารที่ต้องเดินตามผู้นำครับ’
ยูจิถอนหายใจอีกครั้ง เขายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมอลันต้องยกย่องตัวเองตลอดเวลาด้วย
ขณะนั้นเองเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น
‘เหมือนว่าจะมีคนมาทางนี้นะครับ’
“อะ ครับ ถ้านั้นไว้ค่อยคุยกันนะครับ”
‘หากมีอะไรก็คุยกับผมในใจได้เลยครับ’
ยูจิพยักหน้ารับ และหันไปมองที่เจ้าของเสียงคนที่วิ่งมา
คนๆนั้นคือ ‘โซล่า’ เธอวิ่งมาหายูจิ และค่อยๆครี่ยิ้มเหมือนกำลังตามหายูจิอยู่พอดี
“มีธุระอะไรรึเปล่าครับคุณโซล่า”
“ค่ะ คือว่า ..พรุ่งนี้ ฉันมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย”
เรื่องอยากให้ช่วย?